Group Blog
 
<<
มกราคม 2552
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
13 มกราคม 2552
 
All Blogs
 
เมื่อ...ผีเสื้อขยับปีก บทเรียนที่ 6 แจกของ




“ถ้าแกมองจนพอใจแล้วก็บอกด้วยละกันนะ”
เสียงทุ้มเปรยตามสายลมมาจากปากหยักได้รูปที่วันนี้ยิ่งทวีความแดงจัดเนื่องจากความหนาวของอากาศในยามค่ำคืนบวกกับเปลวจากไฟกองเล็กๆที่โหมลุกโชนอยู่ไม่ห่างโดยที่เจ้าตัวไม่ได้เงยหันมามองแม้แต่แวบเดียว
คำเปรยแกมประชดนั้นทำให้ฉันที่เผลอยืนจ้องชายหนุ่มตรงหน้าอยู่ไม่รู้ว่านานเท่า...ก็คงนานโขพอตัวล่ะจนทำให้คนถูกมองรู้สึกตัวกลายร่างเป็นผู้ชายปากจัดขึ้นมานำพายิ้มขำๆเกิดร่องรอยในหัวใจ

ใบหน้าขาวจัดซีกหนึ่งถูกประกายไฟสาดจนแดงกร่ำตัดกับรอยเขียวจางๆของหนวดเคราที่เพิ่งทยอยขึ้นยิ่งทำให้ชายหนุ่มทวีความเข้มขึ้นกว่าปกติ ไฟนีออนกำลังวัตต์ไม่สูงจากด้านหลังสะท้อนทำมุมกับใบหน้าที่ก้มต่ำจนเกิดรูปเงาตัดปกปิดส่วนดวงตาเรียวเฉียงชวนแปลกตาล้อมกรอบลูกนัยน์ตาดำดั่งนิลเนื้อดีซึ่งตกอยู่ภายใต้แพขนตายาวหลุบลงจนไม่อาจรับรู้ถึงความรู้สึกแท้จริง
เวลาครามทำหน้านิ่งไม่พูดจาและไม่ต้องการให้ใครก็ตามเข้าถึงความรู้สึกขณะนั้น สิ่งหนึ่งที่ครามมักทำเป็นอันดับแรกคือกระพริบตาถี่ๆแล้วขนตายาวหนาก็จะพรางหลบลูกนัยน์ตาจนเห็นเป็นเพียงเงาลางเลือน หรือไม่ก็จะสบมองนิ่ง นัยน์ตาดำขลับนั้นดำดิ่งลึกสู่ก้นมหาสมุทรไม่มีสิ้นสุดดึงดูดให้คนที่สบตากริ่งเกรงจนไม่กล้าเอ่ยคำดังตั้งใจไว้แต่แรก
ยามที่ฉันต้องเข้าไปมีส่วนร่วมกับเหตุการณ์เช่นนี้ต่อหน้าต่อหน้า ในสมองยุ่งๆก็มักคิดไปเรื่อยว่า ถ้าสุภาษิต ‘ดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจ’ ใช้ได้กับคนทั่วไป ครามก็คือข้อยกเว้นนั้น การอ่านความรู้สึกของชายหนุ่มคนนี้ผ่านดวงตาเป็นเรื่องทำได้ยากยิ่งไม่ต่างจากการค้นหาเมล็ดเกาลัดที่ถูกฝังกลบด้วยฝีมือกระรอกน้อยในดงป่าลึก

ไล่จากดวงตาผ่านจมูกโด่งเป็นสันสวยจนชวนอิจฉามีหยดเหงื่อเล็กๆเกาะพราว ฉันเลื่อนสายตาลงมองส่วนที่สีจัดที่สุดของใบหน้า
ฉันรู้จักครามมาจนพอรู้ว่าถ้าอยากอ่านความรู้สึกของชายหนุ่มผู้ชอบเก็บงำความรู้สึกคนนี้ต้องเร็วพอจะสังเกตการขยับตรงมุมปาก ไม่ว่ายามโกรธ พอใจ ไม่สบายใจหรือแม้แต่มีความสุข มุมปากของครามจะขยับเคลื่อนบ่งบอกเพียงแวบแล้วจางหายโดยเร็วไม่ต่างจากน้ำค้างปลายใบเรียวของยอดหญ้ายามกระทบแสงแดดแรกยามเช้า ครามเป็นคนที่หวงรอยยิ้มที่สุดคนหนึ่งที่ฉันรู้จัก นอกเหนือไปจากรอยยิ้มอย่างเป็นทางการหรือรอยยิ้มเสแสร้งไว้หลอกลวงประชาชีอย่างที่ฉันมักค่อนขอดเสมอยามจำต้องอยู่เป็นพยานไม่ห่าง
ริมฝีปากของครามเป็นส่วนที่มีเสียงชื่นชมจากบรรดาสาวๆมากเป็นอันดับต้นๆ จนไปถึงเสียงกระแนะกระแหนจากบรรดาชายหนุ่มขี้อิจฉาพอกัน นอกไปจากสีแดงจัดเกินมาตรฐานชายไทยแล้ว เมื่อผ่านสายตาของคนชื่นชม มุมปากลึกหยักรั้งก็อาจดูเหมือนเป็นรอยยิ้มแม้เจ้าตัวกำลังโกรธอยู่ก็ตาม หรืออาจมองเป็นรอยหยันตลอดเวลาจากสายตาคนขัดใจก็ได้ ยิ่งเวลาครามเหยียดริมฝีปากอย่างจงใจ มุมปากจะยิ่งกดลึก หยักรั้งสูงขึ้นบวกกับรอยหยามในแววตามันก็แทบก่อให้เกิดสงครามขึ้นมาได้อย่างง่ายดายกับคู่กรณี
แต่ส่วนอวัยวะในร่างกายของชายหนุ่มผู้ซึ่งพระเจ้าช่างลำเอียงเหลือเกินในการปั้นที่ฉันชื่นชอบที่สุดกลับเป็น นิ้วเรียวยาวขาวจัดจนเกือบจะเรียกว่าบางใส ความยาวของนิ้วและขนาดใหญ่ของมือที่ฉันเคยขอวัดเทียบต่างกันเกือบเท่าตัว เล่นเอาครามหัวเราะจนตัวงอ และฉันก็เข็ดเสียจนไม่กล้าแตะเรื่องนี้อีกเลย ครามไม่ใช่ผู้ชายหยิบโหย่งแม้ดูจากภายนอกแล้วให้ภาพลักษณ์ของคุณชายเจ้าสำอางก็ตาม มือสวยๆของครามหยิบจับอะไรอย่างรวดเร็วและชวนมอง กับของชิ้นเล็กและบอบบางราวกับครามใช้เพียงปลายนิ้วสัมผัสพร้อมจับอย่างทนุถนอมเสมอ แต่กับของชิ้นใหญ่หนัก มือกลับกุมเกร็งแน่นดูทรงพลังกว่าที่เป็น
การเคลื่อนไหวมือของครามที่ชวนตราตรึงในความทรงจำของฉันเสมอมาก็คือยามนิ่มเกิดเรื่องเศร้าเสียใจไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม ครามจะขยับมาอยู่ข้างๆ ท่อนแขนจะวางทาบตรงด้านหลังศีรษะราวดั่งเป็นหลักยึดพักพิงแล้วนิ้วมือเรียวสวยเอื้อมลูบอย่างอ่อนโยน แม้ครามจะไม่พูดอะไรออกมาแต่นั่นคือการปลอบใจที่ได้ผลชะงัดยิ่งกว่าทุกคำพูดของเพื่อนที่เหลือทุกคนรวมกันด้วยซ้ำไป


“ถ้าแกยังขืนจ้องนานกว่านี้ จะเก็บเงินแล้วนะ” คำแดกดันดังดักคอขึ้นอีกครั้ง ทำให้ฉันหลุดหัวเราะออกมาคราวนี้
“แค่จ้องแค่นี้กลัวจะจืดหรือไง” ฉันย้อนอย่างไม่ยอมแพ้ “หรือว่าแกเป็นปลาเค็ม”

มือเรียวบางที่กำลังง่วนอยู่กับคีมตัดลวดชะงักหยุดทันที ปลายผมแม้จะสั้นเกินกว่ามัดได้แต่ได้ถูกความพยายามรวบมัดเป็นกระจุกสั้น ทิ้งส่วนที่ยาวไม่พอระยุ่งกระจายตรงต้นคอสะบัดหันมามอง

“ปลาเค็มอะไร?” คิ้วเข้มขมวดยุ่งพอกับปลายเสียงสะบัด
“อ้าว! แกไม่เคยได้ยินหรือ” ฉันพยายามเก็บรอยยิ้มให้มิดชิด “ก็เรื่องเล่าเก่าเก็บสมัยเสื่อผืนหมอนใบไง ครอบครัวชาวจีนล้อมวงกินข้าวเย็น ข้าวต้มคนละถ้วย แล้วกับข้าวก็คือ...”

ฉันถอนหายใจยาวอย่างจงใจเมื่อไม่ได้รับปฏิกิริยาใดใดตอบสนองกลับมาจากการปล่อยทิ้งช่วงเวลาเพื่อหยั่งเชิงปิดท้าย
“ปลาเค็มไงล่ะ...เป็นปลาเค็มห้อยจากขื่อหลังคาลงมาตรงกลางโต๊ะกินข้าวที่นั่งล้อมวงกันอยู่”
“แล้วมันเกี่ยวกันตรงไหน” เสียงห้วนจัดบ่งบอกความระมัดระวังตัว
“อ้าว! ก็ปลาเค็มนั่น อาเตี่ยแขวนไว้ให้จ้องเพิ่มความเค็มให้ข้าวต้มไง”
“จ้อง! ไม่ได้เอามากินหรือ” ครามสวนขึ้นมาอย่างแปลกใจ
“เอา ไว้ แค่ จ้อง มอง และ ดู เท่านั้น” ฉันเน้นย้ำทีละคำแล้วรีบเล่าต่อไม่ให้ขาดช่วง “แล้วทีนี้ลูกชายก็เผลอจ้องมองดูปลาเค็มพร้อมกลืนน้ำลายเอื้อกๆนานไปหน่อย อาเตี่ยแกเห็นอย่างนั้นแกเลยตวาดขึ้นมาว่า ‘ลื้อหยุกจ้องปลาเค็มเดี๋ยวนี้น่ะอาตี๋ ลื้อจ้องมังซะปลาเค็มมังจืดแล้วลื้อรู้ไหม!...ซี้ซั้วต่า’ ”

สายตาสองคู่สบตาอย่างไม่มีใครยอมใครตลอดเวลาที่นิทานเดินทาง

“ชั้นถึงได้ถามแกไงว่า แกเป็นปลาเค็มรึไง” ปลายเท้าฉันกระดิก ดิ๊กอย่างจงใจ “มองแค่เนี้ย ทำเป็นหวงไปได้”
“แกถึงได้เอาแต่กลืนน้ำลายเอื้อกๆตอนที่จ้องชั้นใช่ไหม” ตาเรียวเฉียงหรี่ลงอย่างเจ้าเล่ห์ “แกต่างหากที่อยากกิน ‘ปลาเค็ม’ แสนอร่อยที่อยู่ตรงหน้า...จริงไหมอาหมวย” ปลายเสียงเน้นลงหนัก

สิ้นคำยอกย้อนแฝงความนัย ฉันรู้สึกราวถูกตะลุมพุกพุ้ยเต็มท้อง จุกเสียจนขาอ่อนกับการพลาดแบบไม่น่าให้อภัยของตัวเองกับการเปิดโอกาสให้ศัตรูหยิบฉวยอาวุธที่ตัวเองอุตส่าห์สร้างมาอย่างดีกับมือ คืนกลับมาตีแสกใส่กลางหน้า

“ชั้นเกลียดแกว่ะ” ฉันสะบัดไล่ความมึนสารภาพออกมา “เวลาที่แกเอาปากไอ้มินมาใส่ปากแกแบบนี้”
“แก พ ล า ด เอง” พูดจบครามหัวเราะจนตาพราวเมื่อเห็นฉันยกมือยอมแพ้อย่างหมดรูป


ค่ำคืนนี้เราอยู่ที่ตึกFB เป็นตึกที่ค่อนข้างร้าง เอ่อ...จะเรียกว่าเป็นตึกร้างเลยก็ได้ ตึกนี้เด็กวิจิตรได้หยิบยืมเอามาใช้อีกตามเคยไม่ต่างจากโดมแดง เพราะโดยปกติจะเป็นตึกที่ไว้เพียงเปิดให้ลูกช้างลงทะเบียนเรียนวิชาต่างๆตอนเปิดเทอม แล้วหลังจากนั้นตึกนี้ก็ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของพวกเราโดยปริยาย
ชั้นบนในแต่ละห้องไม่ต่างจากห้องเก็บของ มีเศษข้าวของผุพังกองสุม บางห้องก็เป็นตัวห้องเองที่ดูผุจนไม่กล้าก้าวย่างเข้าไป ส่วนชั้นล่างมีสภาพที่ดีกว่า โดยแบ่งเป็นสองฟาก ฟากหนึ่งคือห้องอาหารราคาแพงเกินกว่านักศึกษาใช้บริการ ส่วนอีกฟากเก่ากว่าและโทรมกว่า คือส่วนที่เด็กวิจิตรได้รับอนุญาตให้เอาไว้ใช้
ห้องเรียนจำนวนสองถึงสามห้องมีเอาไว้ใช้เรียนเขียนแบบและเรียนวิชาประวัติศาสตร์ศิลป์ที่ต้องมีการฉายสไลด์จึงไม่สามารถเรียนที่โดมแดงได้ ตรงส่วนด้านหลังเป็นลานโล่งไม่กว้างนักมีบ่อดินใต้ต้นสักเก่าแก่ไว้เตรียมดินเหนียวสำหรับงานปั้น ตรงห้องบริเวณปลายสุดเป็นที่เรียนวิชางานปั้นซึ่งพวกเรากำลังขึ้นโครงงานปูนอยู่ตอนนี้
ลานห้องเปิดโล่งใต้บันได จะอยู่ติดถนนแยกจากด้านหน้ามอจากตึกอธิการบดีขึ้นมา แค่เวลาหลังสองทุ่มก็แทบไม่มีรถหรือคนผ่านไปมาแล้ว ยิ่งในช่วงต้นธันวานอกจากอากาศหนาวทิ้งตัวลงมากอดแล้ว การขี่รถจักรยานยนต์ก็ดูเหมือนจะโดนเทพธิดาแห่งสายลมยื่นใบมีดกรีดซ้ำจนใบหน้าแทบเป็นริ้ว ทำให้ยิ่งดึกรถราที่แล่นผ่านก็ยิ่งห่างหาย จนหลงเหลือเพียงเสียงสายลมฟาดกระทบใบไม้แห้งสะบัดไปมาจนอ่อนใจทิ้งตัวลงยอมแพ้เกลื่อนเต็มพื้น

แม้ครามจะไม่บ่นถึงความหนาวที่ชอนไชอย่างไม่ปราณี แต่การขยับไปจนใกล้กองไฟมากขึ้นตามลำดับความดึกก็บ่งบอกชัด เสื้อกันหนาวผ้าร่มสีเข้มถูกรูดซิบปิดจนติดคาง มือขาวบางเริ่มออกแดงทีละน้อยจากทั้งลมหนาวและแรงฟืนไฟ คีมตัดลวดขยับไปมาอย่างยากลำบากขึ้น โครงเหล็กของครามใกล้เป็นรูปเป็นร่างมากกว่าของฉันที่มันยังคงไม่อาจเรียกได้เต็มปากว่า’โครง’ เหล็กเส้นสองหุนที่ฉันดัดเตรียมเอาไว้ถูกจับแล้ววาง วางแล้วจับ พยายามยัด...เฮ้อ...จัดให้มันเป็นโครงตามแบบดินเหนียวที่ปั้นไว้ จนในที่สุดก็ต้องยอมแพ้ เหล็กถูกตัดสั้นจนเกินไปที่จะเป็นแกนกลาง ฉันยกมือปาดหน้าผากอย่างอ่อนใจ

“พลาดอีกแล้ว” ครามเดินมายืนดูอยู่เงียบๆโดยฉันไม่ทันสังเกตเย้าขึ้นมาเบาๆแต่กลับทำให้ฉันสะดุ้งจนใจตก
“เฮ้ยยย มาไม่ให้สุ้มให้เสียง” ฉันบ่นงึมงำ “ยังไม่พลาดสักหน่อย เดี๋ยวไปตัดเหล็กอีกเส้นก็ได้แล้ว”
“เอายาวเท่าไร”
“คงสักเมตรยี่สิบ...ดัดโค้งปลายสองข้างกับโค้งตรงกลางอีกทีได้แน่คราวนี้” ฉันจับเหล็กที่ดัดแล้วมากะ “เส้นนี้มันสั้นไป พอดัดโค้งตรงกลางมันเลยไม่พอดี”
“ใช้เกือกม้ากี่ตัว” ครามหมายถึงเหล็กดัดรูปเกือกม้าเอาไว้เชื่อมแกนระหว่างโครงเหล็ก
“สามนิ้วหกตัว” ฉันหยิบพิมพ์ดินเหนียวขึ้นมาดูแล้วลองประมาณคร่าวๆ “ส่วนลำตัวใช้เก้านิ้วอีกสี่ตัวคงพอ”

ครามฉวยพิมพ์ดินเหนียวจากมือฉันไปพิจารณาอีกที
“ตรงปลายมันกว้างกว่าน่าจะสักสิบสองนิ้วสักตัวฐานจะได้แน่นขึ้นนะ ไม่งั้นตอนใส่ตาข่ายมันจะไม่มีที่ให้เกาะ แถมพอยัดหนังสือพิมพ์ลงไปอาจเบี้ยวได้”
“เอาอย่างงั้นก็ได้” ฉันไม่ขัดใจ “เราไม่ถนัดงานปั้นจริงๆว่ะ งมมาเป็นชั่วโมงแล้วยังไปไม่ถึงไหนเลย”
“เอาน่า เดี๋ยวก็ได้” ครามปลอบใจกลับมาพร้อมคว้าเศษเหล็กที่ดัดกองไว้เดินลิ่วนำไป


ห้องเล็กแคบถ้ามองเผินๆราวกับห้องเก็บอุปกรณ์การก่อสร้าง เพราะมีทั้งเหล็กเส้นหลายขนาด ลวดกองโตสุมอยู่ แท่นไม้ยาวมีที่ตัดเหล็ก ต่อกับส่วนที่มีเหล็กสั้นๆปักห่างตามระยะห่างต่างกันออกเพื่อใช้ในการดัดเหล็กให้โค้งตามแบบ ส่วนตรงมุมห้องมีถุงปูนกองสูงระเกะระกะปนกับถังที่ครอบไว้
เมื่อฉันก้าวเข้าไป ครามกำลังดึงเหล็กเส้นออกมาจากกองวางพาดคีมตัดเหล็กขนาดใหญ่ ฉันหยิบสายวัดลงไปทาบก่อนที่จะปล่อยให้ครามเป็นคนลงแรง เหล็กถูกวัดขนาดตัดออกมาตามต้องการ ครามหยิบเหล็กก้าวตรงมา
“ถอยไป ยืนตรงนี้มันเกะกะ” ครามดันฉันที่ยืนตรงปลายส่วนดัดเหล็กให้ถอยออกนอกประตู
ฉันขืนตัวเอาไว้ก่อนบอก “เดี๋ยวชั้นดัดเอง แค่ตัดเหล็กให้ก็พอแล้ว”
“ทำไม” ตาจ้องนิ่งบ่งบอกขอคำอธิบาย
“ก็...เกรงใจ มันรบกว_”
แสงวาบจากดวงตาปะทุออกมาทำให้คำที่เหลือถูกกลืนหาย
“ไม่เกี่ยว!” เสียงเข้มกระแทกสวนมา

ฉันลอบถอนหายใจ แล้วพยายามหาคำอธิบายที่จะไม่เพิ่มความร้อนให้กับคนเจ้าอารมณ์
“ ชั้นอยากลองดูว่าจะทำด้วยตัวเองไหวไหม จะได้รู้ไงว่าตัวเราจะเหมาะกับประติมากรรมหรือเปล่า” อธิบายยังไม่ทันจบ เจ้าความรู้สึกบางอย่างในใจทำให้ขำจนหลุดหัวเราะออกมาแล้วส่ายหัวปลงตัวเอง “แต่จริงๆก็พอรู้ตัวแล้วล่ะ นอกจากพื้นฐานปั้นแล้วชั้นคงไม่ขอแตะงานแบบนี้อีกแล้ว ไอ้เรามันคนประมาณฝีมือตัวเองเก่งมั่ก ก็เลยอยากทำให้เต็มที่กับครั้งแรกและหวังว่ามันคงเป็นครั้งสุดท้าย”
กรามที่ถูกกดเป็นสันคลายลง เหล็กในมือที่ถูกกำเอาไว้แน่นยื่นตรงมา
“ตามใจ ลองดูก็แล้วกัน” รอยหยันยกขึ้นอย่างจงใจให้เห็น “ทำไม่ไหวก็ตะโกนเรียก อย่ามัวแต่งมกับทิฐิจนไหปลาร้าหลุดละกันนะ”
“แกมันปากจัดจริงๆว่ะ” ฉันอดใจไม่ไหวหลุดปากเสียดสีออกมา “ชั้นอยากให้บรรดาสาวๆได้มารู้ได้มาเห็นตัวตนที่แท้จริงของหนุ่มในฝัน แล้วจากนั้นคงพากันตาสว่างเป็นทิวแถวเลิกเพ้อเจ้ออยากเป็นคุณนายสองสานกันสักที”
“มีแค่คนเดียวล่ะ...”
“ที่ซวยพอ” ฉันรีบสวนขัดขึ้นมาไม่ขอรอฟัง

นัยน์ตาดำจัดไม่ต่างจากท้องฟ้าค่ำคืนนี้ลึกเสียจนฉันต้องเสก้มลงมองเศษเหล็กในอุ้มมือ เสียงหัวเราะดั่งสายลมโฉบผ่านสายน้ำแล้วจางหาย รองเท้าผ้าใบสีดำขยับหันกลับเดินจากไป
เหล็กในมือกดไว้แน่นและนานกว่าจะรู้ตัว ฉันก้มมองการค่อยๆคืนตัวของรอยแดงบุ๋มแล้วหัวใจก็เต้นกลับคืนเข้าสู่จังหวะปกติ

เสียงหัวเราะในใจเมื่อฉันย้อนนึกถึงนามสกุล ‘สารสาร’ ที่ถูกฉันเก็บเอามาล้อเลียนว่า สองสานนั่นล่ะ ฉันเก็บความฉงนไว้ตั้งแต่ครั้งแรกตอนเห็นนามสกุลนี้ในหนังสือแนะนำตัว จนเอ่ยถามเชิงเย้าหลังจากสนิทสนมกันพอตัวแล้ว
“แกเป็นเจ้าของหนังสือสารสาระใช่ไหม”
“ห๊า!”
“ก็แกนามสกุลสาน-สา-ระ...ไ ม่ ใ ช่ เ ห ร อ” ตอนท้ายฉันแทบพูดออกมาไม่เป็นคำเพราะเสียงหัวเราะแทรกเข้ามา
“ห๊า!!!”
...ไม่กี่ครั้งหรอกที่ฉันสามารถทำให้ครามนิ่งอึ้งแบบไม่คาดฝันได้และปล่อยความรู้สึกฉายชัดให้เห็นทั่วทั้งใบหน้าและที่สำคัญคือจากแววตา

“อ๊ะ!” ฉันผงกหัวไปมา หน้าตาซื่อบวกเสียงสนิท “โทษที โทษที...ชั้นเข้าใจผิดเอง ความจริงแกมันเป็นพวกทำอะไรก็ต้องให้แน่ ต้องให้มั่น ย้ำให้แน่น ซ้ำให้ชัด จะจักจะสานก็ต้อง ‘สานสองครั้ง’...ชั้นผิดเองว่ะ”
ปากแดงจัดอ้าค้าง ขนตายาวกระพริบปริบปริบ ฉันขบปากไว้จนแทบห้อเลือด รอ...รอให้ครามควานหาเสียงตัวเองให้เจอก่อน
“ธ า ร” พ่อหนุ่มสองสานแค่นเสียงคำราม ย้ำออกมาทีละคำ “สา-ระ-สาร”

พาเสียงขึกขักในลำคอซึ่งถูกกดเอาไว้อย่างยากลำบากหลุดออกมาประสานเสียงหัวเราะจากพลอยและมินที่คราวนี้เงียบกริบปล่อยฉันโซโล่ยาว
แล้วในที่สุดภาระกิจของฉันก็บรรลุ เมื่อเสียงหัวเราะแบบที่ไม่ค่อยได้ยินบ่อยครั้งกระจายลั่นตามมา



เหล็กสามหุนที่ครามเลือกให้ใช้ดัดยากกว่าเหล็กสองหุนที่ฉันตั้งใจไว้

“แกล้งกันหรือเปล่าวะ” ฉันบ่นงึมกับตัวเอง
“ใครแกล้งใครล่ะ”

เสียงแทรกจากด้านหลังทำเอาสะดุ้งจนสุดตัว มือกดเหล็กไว้เต็มแรงแฉลบพลาดไปโดนหมุดเหล็กอีกตัวบาดหลังมือเป็นทางยาว อาจเพราะมัวแต่ยังตกใจจึงยังไม่รู้สึกเจ็บ ตัวหันขวับกลับหาทิศทางของเสียงอย่างแรงและเร็วจนเซเอียงเข้าหาท่อนไม้ด้านหลัง พร้อมๆกับมือแข็งแรงดึงรั้งเอาไว้ไม่ให้ถึงกับล้มปะทะ

“ระวัง!”
ฉันปรับระยะโฟกัสสายตาอยู่ชั่วครู่
“พี่เฮง!” แล้วถอนหายใจโล่งอก “ตกใจแทบตายเลยพี่ เล่นมาเงียบๆแบบนี้”
“เอาน่ะ...ขวัญเอ๊ยขวัญมา” พี่เฮงยิ้มซะกว้างพูดเหมือนหลอกเด็ก
“เงียบตรงไหน ก็เพราะไม่เงียบถึงได้ตกใจซะสะดุ้งโหยงต่างหากล่ะไอ้ธาร” หน้าพี่เต็มโผล่จากด้านหลังส่งเสียงแทรกเข้ามาทำเอาใจกระตุกอีกรอบ
มือยกปาดหน้าผากถูกคว้าเอาไว้
“เฮ้ย...เลือดออก”
“อ้าว!...เฮ้ย! เกิดอะไรขึ้น” พี่เต็มก้าวพรวดเข้ามา
ฉันดึงมือจะมาดูแต่พี่เฮงยังกุมไว้ไม่ยอมปล่อย
“อ๋อ...คงเมื่อกี้ มือมันพลาดไปเกี่ยวโดนเหล็กเข้า” ฉันไม่รู้จะทำตัวอย่างไรถูก กระตุกมือไปมาเหมือนเล่นชักเย่อ รีบบอก “แต่ไม่เจ็บเลยพี่ บาดไม่ลึกแค่เฉี่ยวๆเอง”
“อยู่นิ่งๆ” พี่เฮงสั่งเสียงดุทำเอาฉันหยุดไม่กล้าเคลื่อนไหวทันที
“ไม่เป็นไรพี่เฮง” ฉันพูดเสียงอ่อยก่อนหันไปขอความช่วยเหลือจากพี่เต็ม “จริงๆนะพี่เต็ม”
“เกิดอะไรขึ้น” เสียงเข้มจากครามโพล่งขึ้นมาจากหน้าประตูทำเอาทุกคนเงยหันไปดู
“มือธารมันโดนบาด พวกเราย่องเข้ามาเงียบไปหน่อย เด็กน้อยเลยสะดุ้งไปเกี่ยวเหล็กเข้า” พี่เต็มเย้าขำๆ เอามือมาโยกหัวฉันไปมา
สายตาครามลดลงมามองมือซึ่งยังถูกกุมเอาไว้ ทำเอาฉันเส้นกระตุกอีกครั้งแต่ก็ยังไม่สัมฤทธิ์ผล
พี่เฮงหันมามองดุๆอีกครั้งก่อนลากฉันหัวซุนผ่านครามออกมาเข้าห้องน้ำฝั่งตรงข้าม

“เดี๋ยวธารล้างเอง” ฉันรี่ตรงไป
พี่เฮงถอยไปยืนพิงประตูห้องน้ำตรงกันข้ามอ่างล้างมือเงียบๆ
ฉันเหลือบมองผ่านกระจกแล้วรีบก้มลง
“น้ำเย็นเจี๊ยบเลย” ฉันบ่นงึมงำ หันกลับมาสะบัดมือแล้วเช็ดลงกับขากางเกง
“เฮ้ยยยย” พี่เฮงกระโจนก้าวเดียวตรงมา คว้ามือมาล้างน้ำใหม่อีกครั้ง “ชุ่ยไปละเราน่ะ”
...โดนพี่เฮงดุรอบที่เท่าไรแล้ววันนี้

“ไม่มีผ้าเช็ดหน้าบ้างหรือเราน่ะ”
ฉันได้แต่ยิ้มแหย ส่ายหัวยิก เสียงถอนใจดังสวนออกมาทำเอารู้สึกตัวยิ่งลีบลง
พี่เฮงตบๆกระเป๋าเสื้อไปกระเป๋ากางเกง แล้วผ้าเช็ดหน้าสีขาวผืนใหญ่ก็ถูกดึงออกมาแล้วบรรจงซับน้ำอย่างเบามือ
‘ผู้ชายคณะนี้ มือเรียวสวยได้รูปทุกคนเลยว่ะ’ ฉันมองไปหาเรื่องมาคิดไป

“ดีที่ไม่ลึก” พี่เฮงยกมือมาส่องกับไฟนีออนข้างบนพิจารณาแผล “แต่เราคงไม่มีพลาสเตอร์ยาอีกตามเคยสิ”
‘คนประเภทไหนที่มีพลาสเตอร์ยาติดตัวว้า’ ฉันได้แต่คิดอยู่ในใจขณะยิ้มปฏิเศษอีกครั้ง
พี่เฮงเลยสะบัดผ้าเช็ดหน้าผืนเดิม แล้วพับเป็นทางยาวมาพันรอบมือให้อย่างบรรจง

...ถ้าฉันไม่รู้สึกอะไรกับการดูแลครั้งนี้ คงเป็นการโกหกตัวเองจนเกินไป
ชายหนุ่มท่าทางสุภาพยืนอยู่ไม่ห่าง คอยปฐมพยาบาลอย่างอ่อนโยน ทำเอารู้สึกดั่งตัวเองเป็นเจ้าหญิงตัวน้อยก็ไม่ปาน หัวใจก็เลยออกจะเต้นเกินจังหวะไปพอตัว
เพียงแต่ว่า...นะ ผู้ชายดีดีย่อมมีเจ้าของแล้วเสมอ ฉันคิดมาถึงตอนนี้พร้อมยิ้มจนแก้มป่อง พอดีกับจังหวะเงยหน้าขึ้นมาพอดีของเจ้าชาย เอ้ย...รุ่นพี่ใจดี
“ขอบคุณค่ะ” ฉันรีบบอกสวนสายตาฉงนเชิงถาม


เราสองคนเดินกลับมายังห้องงานปั้น
ครามกำลังก้มดัดเหล็กอยู่หันมองมา สายตาตกจับจ้องยังมือที่พันผ้าขาวชั่วครู่
ฉันจ้ำเข้าไปหา
“ไม่เป็นไรเดี๋ยวชั้นทำต่อเอง ขอบ_” ไฟลุกโชนในแววตาส่งมาทำเอาคำพูดที่เหลือกลืนหายลงคอ
“ถอยไป!” เสียงตวาดแม้เบาแต่มีความแรงจนฉันต้องหยุดชะงัก
“ออกมากินมันเผากันเถอะ” พี่เต็มเกาะตรงขอบประตูตะโกนเข้ามา “ไอ้ธารออกมานี่ มาช่วยกันเฝ้า ปล่อยครามมันทำไป”



มันถูกเผาจนผิวเริ่มเกรียมดำเป็นกระหย่อม
ครามปัดมือกับขากางเกงก่อนทรุดตัวลงนั่งฝั่งตรงกันข้าม

“นิสัยเหมือนกันเลยนะ” พี่เฮงพูดขึ้นมาลอยๆ
ฉันเข้าใจ แต่ครามขมวดคิ้วยุ่ง
“อะไรวะ” พี่เต็มบ่น
“ก็นี่ไง” พี่เฮงพยักหน้ามายังรุ่นน้องสองคน “มีขากางเกงไว้เช็ดมือ เห็นธารล้างแผลเสร็จก็เอามาเช็ดขากางเกงท่าทางเหมือนกันเปี๊ยบ”
“ส่วนมากเขาก็ทำกันนะธารว่า” ครามใช้ไม้เขี่ยมันเผาไปมาไม่ยอมมองหน้าใคร ทำให้ฉันต้องเป็นคนต่อบทสนทนา
“แต่ไม่ใช่พี่ว่ะ” คำปฏิเศษจากพี่เต็มออกจะเหลือเชื่ออยู่ “ทำไม...ทำเป็นไม่เชื่อ เห็นม๊กม๊กแบบนี้ พี่เป็นคนรักสะอาดกว่าที่คิดเอาไว้นะเว้ย ไม่เชื่อดมหัวพี่ดูได้เลย สระทุกวัน หอมพฤกษาธรรมชาติซะขนาดนี้” พี่เต็มหันมาชี้หน้าฉัน “ไอ้ธารหยุดเหล่เดี๋ยวนี้เลยนะเอ็งน่ะ”
“ทั้งเนื้อทั้งตัว ยอมเสียเวลาทำความสะอาดที่เดียวหรือเปล่าอาเฮีย” ฉันพยักหน้าหงึกหงักรับ
“เดี๊ยะ...อาหมวย ทำไมลื้อรู้ทันอย่างนี้” พี่เต็มหัวเราะจนลั่น

...ครั้งที่สองของวันนี้แล้วที่ถูกเรียกว่า ‘อาหมวย’

มันเผาส่งกลิ่นโชยรับใบสักแห้งโรยตัวลงสะบัดเจอเปลวไฟจนส่งเสียงเปี๊ยะป๊ะ ลูกไฟเล็กๆแตกตัวเป็นประกายสีส้มสด

“แล้วผู้ชายนี่เขาพกผ้าเช็ดหน้าติดตัวกันทุกคนด้วยหรือเปล่าล่ะพี่” ฉันสะบัดมือที่ถูกพันยกขึ้นมา เหลือบมองเจ้าของผ้าเช็ดหน้า
พี่เฮงหัวเราะหึ หึ ส่ายหน้าไปมาไม่ยอมโต้ตอบ
“ทำไมวะ” พี่เต็มแทบจะมุดเข้ากองไฟแยงดูมันเผาหันกลับมามองก่อนลากเสียงยาว “อ๋อ~” แล้วขยับตัวเอื้อมมือไปที่กระเป๋ากางเกงด้านหลังดึงผ้าเช็ดหน้าสีขาวออกมาสะบัดโชว์ “นี่ไง!”
ฉันจ้องผ้าเช็ดหน้าสีขาวนวลที่สะบัดไปมาสะท้อนสีส้มจัดจากเปลวไฟด้วยความรู้สึกประหลาดใจจนเหลือเชื่อ
พี่เต็มปล่อยเสียงหัวเราะจนตัวงอ
“ชอบจริงๆว่ะ สีหน้าไอ้ธารแบบนี้” มือพี่เต็มชี้เข้าหน้าฉันอย่างหมายมาด “สมแล้วที่ไอ้หนัดมันเล่าไว้เปี๊ยบไม่มีผิดเพี้ยน เป็นเด็กที่พอลืมระวังตัวแล้ว ความรู้สึกในใจมีอะไรบ้างออกมาจนเกลี้ยง” แล้วตบท้ายเสียงหนัก “เด็กจิ๊บเป๋ง”
“ทำไมถึงได้สงสัยเรื่องแบบนี้ขึ้นมาล่ะ” พี่เฮงหันมาดึงฉันออกจากสถานการณ์กระอักกระอ่วน
“เปล่า” ฉันตอบอุบอิบ “ก็แค่สงสัยเฉยๆ ก็อย่างพ่อของธารก็เหมือนกัน ต้องมีผ้าเช็ดหน้าติดตัวอยู่ตลอด ขนาดวันหยุดไม่ได้ไปทำงานก็ยังต้องมีไว้ติดตัว”
คราวนี้ครามหยุดมือ เงยขึ้นมาจนได้ แสงสะท้อนที่เต้นสาดตามจังหวะเปลวไฟทำให้ยิ่งยากจะจับความรู้ใดใดจากสีหน้า
“แล้วแม่ของเรามีผ้าเช็ดหน้าติดตัวด้วยหรือเปล่าล่ะ” พี่เต็มย้อนถามแปลกๆ
“เอ...ไม่น่าจะมีนะ ธารก็ไม่เคยเห็น” ฉันตอบหลังจากนิ่งนึกอยู่ชั่วครู่
“ก็นั่นล่ะคือคำตอบ” ไม้ในมือพี่เต็มปักลงพื้นเอาคางเท้าไว้
“ห๊ะ?” ฉันงงตามคำตอบไม่ทัน
“แม่ไม่พกแต่พ่อเป็นคนพก” เสียงพี่เฮงอธิบายตามมา
ฉันพยายามประมวลความคิดตาม
“หญิงไม่พกชายเป็นคนพก” พี่เต็มต่อประโยคให้จบ
ฉันอ้าปากกว้าง แล้วก็เข้าใจ
“ผู้ชายไม่ได้ใช้ผู้หญิงเป็นคนเอาไปใช้” ครามบอกเสียงเบาๆขณะมองตรงมา
“อ๋อ~” ฉันพยักหน้าหงึกหงัก “ผู้ชายเขาคิดกันแบบนี้เอง ไม่ได้เอาไว้ใช้เองแต่...” ฉันตีหน้าเฉย หลิ่วตา “ก็ ‘เพื่อตัวเอง’ เต็มๆ”

สิ้นเสียงพูด เสียงหัวเราะดังก้องประสานใต้ท้องฟ้าเข้มดำ
แล้วฉันก็รอ...รอให้เสียงหัวเราะจางหาย
ปล่อยเสียงที่พยายามรีดจนเรียบเพื่อหมัดเด็ดหมัดสุดท้าย

“ไอ้ที่พูดมาทั้งหมดนี่ ‘ผ้าเช็ดหน้า’ ใช่ไหมพี่”

สรรพเสียงเงียบกริบ ได้ยินเพียงสายลมแผ่ว
พี่เต็มยกมือชี้หน้าก่อนปล่อยเสียงหัวเราะจนตัวผงะหงาย
พี่เฮงเอื้อมมาตบบ่าฉันไปมา ได้ยินเสียงหัวเราะกึกกักแบบคนกลั้นไม่อยู่
ฉันหันไปสบตาคราม คราวนี้รอยหัวเราะเต้นระยับในแววตาส่งมาให้เห็นจนไม่ต้องค้นหา มุมปากกดไว้จนบุ๋มสั่นระริก

“ไอ้ธาร! ไอ้ธาร!” พี่เต็มตะโกนกลั้วเสียงหัวเราะไม่ยอมหยุด

สุดท้ายเราต่างคนต่างก็กลั้นไม่อยู่ เสียงหัวเราะประสานทะลวงความเงียบสงัด ใบไม้สุดท้ายที่พยายามยื้อเกาะเกี่ยวกิ่งไว้จนแน่นตกใจจนทยอยทิ้งตัวลงมาไม่ขาดสาย

เมื่อต่างเรียกหาสติอารมณ์มาจนครบจนสงบแล้ว
พี่เต็มอธิบายเพิ่มความคิดเดิมที่คงยังติดค้างในใจ

“พี่ว่าผู้ชายเราทำแบบนี้มันไม่ประหลาดหรอก เข้าใจได้ง่ายจะตาย” พี่เต็มหักกิ่งไม้แห้งเติมลงไปในกองไฟขณะพูดขึ้นมา “ผู้หญิงสิที่ประหลาด ตัวเองใช้ไอ้ผ้านี่บ่อยจะตาย เอะอะอะไรก็มีเหตุให้ใช้แต่กลับไม่ยอมมีไว้ติดตัว พอจะใช้ขึ้นมาต้องทำเป็นหาวุ่นวาย แล้วผู้ชายอย่างเรามันก็เลยจำเป็นต้องมีไว้ติดตัวน่ะสิ”
“อ้าว...ถ้าผู้หญิงยอมมีติดตัว ผู้ชายก็อดทำตัวเป็นพระเอกสิพี่” ฉันย้อนอย่างไม่ยอมแพ้ “โอกาสมันไม่ได้หากันง่ายๆนี่ไอ้การจะแปลงร่างเป็นเจ้าชายขี่ม้าขาวน่ะ แต่แค่...ผ้าเช็ดหน้าผืนเดียว แปลงร่างหนุ่มธรรมดาเป็นซูเปอร์แมนได้โดยไม่ต้องใช้ตู้โทรศัพท์ ผู้หญิงเขาถึงได้ทำเป็นไม่พกผ้าเช็ดหน้า เปิดโอกาส_”
“งั้นพี่ก็เป็นเจ้าชายขี่ม้าขาวของเราล่ะสิ”

ฉันหยุดกึก อ้าปากค้าง
พี่เฮงหัวเราะหึ หึ
“หน้าเรานี่มัน....” ตัวพี่เฮงหันไปอีกทางแต่ก็ยังได้ยินเสียงหัวเราะกึกกักจนตัวสั่น
“ธารเอ๊ยธาร” พี่เต็มเปรยขึ้นมา ส่ายหน้าอย่างปลงๆ


เศษขี้เถ้าจากฟืนปลิวลอยล้อยามสายลมกระพือกวาดลงมา
ครามปักไม้ลงกลางกองไฟ มันเผาหอมฉุยถูกยื่นมอบให้
“ขอบใจ” ฉันรับมาพร้อมส่งรอยยิ้มกว้างอย่างเอาใจ
“ร้อน...เป่าก่อนล่ะ” ครามเตือนเมื่อเห็นฉันกำลังจะบิเปลือกดำๆทิ้ง

พี่เต็มเขี่ยเลือกมันเผา จนกองไฟส่งเสียงประท้วง
“แล้วไอ้ยอดมนุษย์ที่เหลือไปไหนกันหมดล่ะ”
“พลอยกับมินออกไปหาอะไรกิน ส่วนนิ่มก็กลับไปนอนแล้ว” ครามตอบคำถามพี่เต็ม
“เป็นอย่างนี้ทุกปีเลยนะช่วงนี้ พอเห็นกองไฟก็รู้เลยว่าถึงเวลางานปั้นกลับมาอีกแล้ว” พี่เต็มตัดใจยกมันเผาส่งให้พี่เฮงอย่างเสียดายเต็มที่ “พอปีหน้าก็ไม่ได้เห็นแบบนี้อีกแล้ว”
“อ้าว! ทำไมล่ะคะ”
“อ๊ะ...เราไม่รู้เหรอ ปีหน้าเราก็ย้ายไปตึกใหม่แล้ว”
“ตึกไหน” ฉันนึกตามไม่ทัน
“ตึกใหม่ตรงข้ามคณะเกษตรไงล่ะ” พี่เฮงตอบแทนพี่เต็มผู้กำลังปลุกปล้ำกับมันเผา
“เสร็จแล้วเหรอคะ” ฉันนึกภาพตึกคณะที่พวกพี่เจ๋งเคยพาไปดู “ความจริงน่าจะบอกว่า มันเสร็จไปนานโขแล้วมากกว่าด้วยซ้ำนะธารว่า”
พี่เต็มหัวเราะหุหะอย่างพอใจ
“เรานี่มัน...” มือพี่เต็มสะบัดเร่าด้วยความร้อนของเจ้ามันเผาในมือ “อย่าพูดงั้นเลย มีตึกเป็นของตัวเองให้ใช้ก็ดีถมไปแล้ว ถึงมันจะดูแตกลายงาดู...เฮ้อ~ก็ช่างมันเถอะ ไงก็ดีกว่าเป็นสัมภเวสีคอยอาศัยคอยหยิบยืมตึกคนอื่นเขาอยู่อย่างนี้”
“เห็นแบบนั้นแต่ข้างในก็ใช้ได้นะ” พี่เฮงพูดรอมชอม “ห้องเพ้นต์ห้องดรออิ้งทำช่องแสงไว้อย่างดีพอเหมาะใช้ได้เลยล่ะ ต่างจากโดมตอนนี้ แสงเงามันตีกันยุ่ง”
พี่เต็มพยักหน้าเห็นด้วย มือบิมันเผาออกเป็นสองเสี่ยงสำเร็จจนได้
“โรงปั้นก็ใหญ่ใช้ได้ มีที่ไว้ให้เก็บที่อ๊อกเหล็กกับอุปกรณ์ได้เยอะดี ไม่เหมือนที่โดมกองกันมั่วเกยออกมาด้านนอก ของหายประจำ” พี่เต็มยกมันเผาขึ้นมาดมอย่างชื่นใจ “พี่ก็เสียดายเหมือนกันที่ไม่มีโอกาสได้ใช้ตึกใหม่ เขาเอาแต่บอกว่าปีหน้าปีหน้าจะได้ใช้ ไอ้พวกเราก็รอแล้วรออีก รอกันจนทยอยจบกันไปแล้วก็ยังไม่ได้แม้แต่จะเหยียบเข้าไปเลย”

ฉันแทบไม่ได้ฟังคำรำพึงรำพันเพราะมัวแต่จ้องอาการอินเลิฟมันเผาจนออกนอกหน้าของผู้พูด

“พี่เต็มเตรียมมันไว้ติดตัวตลอดงั้นเลยเหรอคะ” ขอรับรองว่านี่คือความสงสัยจากใจจริงๆไม่ได้ตั้งใจกวนแม้สักนิด
“เฮ้ย! เปล่า ใครมันจะบ้าอย่างงั้น” พี่เต็มปฏิเศษเสียงหลง “เผอิญพี่ไปแกลลอรี่ที่เฮงมันเล่นดนตรีอยู่ ก่อนกลับแม่ครัวที่เขาหลงรักพี่ให้เป็นของฝากมา...ไอ้เด็กคนนี้นี่” ปู่คณะโวก่อนบ่นงึมในคอตบท้าย
“เอ๊อะ...อืม ม ม~” ฉันลากเสียงยาว “บอกรักด้วยหัวเผือกหัวมัน”
พี่เต็มฟังแล้วสะบัดหน้าฉึบ
“ไอ้เด็กที่เอาแต่ยิ้ม ดูเรียบร้อยน่ารักแถมหัวอ่อนคนนั้นหายไปไหนวะคราม”
“มันไม่เคยมีอยู่พี่” ครามสวนตอบไม่รอช้า

ฉันข่มความเก้อเสไปหาตัวช่วย
“พี่เฮงเล่นดนตรีที่แกลลอรี่เหรอคะ”
“อืม...คราวจริงต้องไปต่อที่ดวงตะวันแต่คืนนี้มันเหนื่อยๆเลยขอลาเขามา พอดีเจอพี่เต็มก็เลยมาด้วยกัน”
“เอากีต้าร์มาด้วยหรือเปล่าคะ”
พี่เฮงพยักส่งไปยังเสาใต้บันได
ฉันส่งสายตาอย่างคาดหวัง ยิ้มกริ่ม เม้มปากแน่น พี่เฮงมองนิ่งกลับมาก่อนส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ
“อ่ะ...อยากฟังเพลงอะไรล่ะเรา” พี่เฮงลุกยืนไปหยิบกีต้าร์โปร่ง
ฉันเหลือบตามองท้องฟ้าบ่นขึ้น
“คืนนี้พระจันทร์ไม่ยอมขึ้น ไม่งั้นจะขอเพลง blue moon”
คอร์ดแรกดังสวนขึ้นมา ทำฉันร้องโอยโอดครวญ
“ไม่เอา let it beแล้วพี่”
พี่เต็มหัวเราะทั้งที่มันเผาอยู่เต็มปาก
ฉันมองเชิงถามครามแต่ได้กลับมาเพียงการส่ายปฏิเศษ
“อ๊ะ..ถึงไม่มีจันทร์แต่ดาวพราวเต็มฟ้า..เล่นเพลง when you wish upon a starได้หรือเปล่าคะ”

เสียงกีต้าร์ลอยล้อตามลมหนาวคือคำตอบ


~When you wish upon a star
Makes no difference who you are
Anything your heart desires
Will come to you
If your heart is in your dream
No request is too extreme
When you wish upon a star
As dreamers do
Fate is kind~




และนี่คือครั้งแรกที่ฉันได้ยินเสียงร้องของพี่เฮง เสียงนุ่มกังวานใสขึ้นจมูกนิดๆ มันเพราะแปลกหูและมีเสน่ห์ในเนื้อเสียงเสียจนฉันเสียดาย น้อยครั้งเหลือเกินที่พี่เฮงจะยอมก้าวออกมาเป็นผู้ร้องเพลง พี่เฮงมักใช้กีต้าร์บอกแทนความรู้สึกภายในใจเสมอ
มันเผาอุ่นๆถูกกุมไว้ในมือ
สายลมราวเงี่ยหูฟัง ค่อยๆล้อตัวลงฟังอย่างว่าง่ายเมื่อถูกกล่อมด้วยเมโลดี้สวยใส


ก่อนที่เมโลดี้สุดท้ายจะจางหาย
ไฟนีออนรอบตัวตกกระตุกก่อนดับตัวเองมืดจนเกิดความมึนงงไปชั่วครู่

“เฮ้ย!” พวกเราต่างร้องขึ้นมาพร้อมกัน
กองไฟเล็กๆตรงหน้าลุกโชนราวกับจะส่งแสงทดแทน
กิ่งไม้แห้งถูกสุมเข้าไปเพื่อเพิ่มกำลังให้กองไฟเล็กๆ

“ครั้งแรกของเทอมสองใช่ไหม” พี่เต็มบ่นเบาๆ “เจอแจ็คพ็อตจนได้”
แล้วเดินออกไปยืนตรงริมเนิน มองตรงไป
“เคยเจอกี่ครั้งแล้วล่ะ” พี่เต็มหันมาถาม “แจกของน่ะ”
“เทอมแรกก็สามครั้ง” ฉันยิ้มแหยๆ “ครั้งแรกกำลังปีนเข้าหอ ธารตกใจเสียจนรูดลงมากับประตูเหล็ก ดีที่พลอยมันจับไว้ทัน กดตัวกันลงตรงซอกเสา นิ่มน่ะเกือบร้องไห้เลยตอนนั้น”
“เดี๋ยวมันก็มา” พี่เต็มหันกลับมองฝ่าความมืด

เสียงกีต้าร์เกาเบาๆลอยมาราวปลอบใจ
ครามลุกเดินมานั่งข้างกาย


ไม่ต้องรอนาน หรือที่จริงๆแล้วก็ไม่ได้อยากรอ
เสียงกระหึ่มของเครื่องยนต์นำร่องดังมา
ไฟหน้ารถสาดแหวกความดำมืดกราดทั่วพื้นถนนสายเล็ก
รถจักรยานยนต์เคลื่อนเรียงตัวเป็นแถว บิดตรงมาพ้นมุมตึกวิทยาศาสตร์

พี่เต็มวางกีต้าร์ลงแล้วลุกขึ้นยืนพร้อมๆกับคราม
ขณะฉันจะขยับตัวตาม มือของครามกดน้ำหนักลงตรงบ่าเป็นการบ่งบอกไม่ให้ลุกตามมา

ผู้ชายสามคนยืนเรียงราวกำแพงแกร่ง แผ่นหลังมืดสะท้อนแสงจากกองไฟวูบวาบเป็นประกาย
ผมยาวถึงกลางหลังของพี่เต็มปลิวไสวรับสายลมกระโชกชวนให้นึกถึงหนังผีไทยพื้นบ้านชวนสยอง
ฉันนั่งกอดเข่าเงียบแต่ไม่หลงเหลือความหวั่นเกรงอย่างที่เคยเป็นมา

ก่อนที่กองทัพรถจักรยานยนต์จะเคลื่อนตัวมาถึง
เสียงร้องตะโกนบางคำดังนำมา
เสียงตะโกนดังก้องแหวกเสียงอื่นใดเมื่อเคลื่อนมาใกล้บริเวณกองไฟ

“ค ว _”

เพียงแต่ว่ามันออกมาไม่เต็มคำ เมื่อคนเปล่งเสียงได้แวบเห็นกำแพงมนุษย์ซึ่งแม้ขนาดไม่ได้ใหญ่โตอะไรแต่ทำถึงกับสะอึกกลืนอักษรตัวสุดท้ายลงคอ แล้วบิดคันเร่งหนีหายจากไปอย่างไม่กล้าต่อกร
ขบวนรถเลี้ยวหนีหายลับตรงวงเวียน เหลือเพียงเสียงจางๆของเครื่องยนต์ทิ้งไว้


“ไอ้พวกนี้นี่มัน...” พี่เต็มส่ายหน้าอ่อนใจ “กี่ปีกี่ปีก็ไม่เคยเปลี่ยน จนกลายเป็นประเพณีบ้าๆไปแล้ว”
“พี่เต็มไม่เคย...สักครั้งเลยหรือคะ”
“ไม่! พี่ไม่ชอบ ไม่ใช่นิสัย” พี่เต็มพูดเสียงแข็งกว่าเคย “พี่ไม่ชอบที่ต้องรอความมืดเพื่อมาบังหน้าปลดปล่อยสันดานหยาบในจิตใจตัวเอง อยากจะทำอะไรก็ไม่กล้าทำซึ่งหน้า ต้องรอให้ไฟดับถึงจะด้านพอ จะอ้างว่าทำเล่นๆสนุกๆ มันทุเรศไป..เอ๊ย โทษทีว่ะ” พี่เต็มยกมือบอกตาม “มันก็แค่คนขี้ลาด ตาขาวอีกต่างหาก ขนาดไฟดับยังต้องรอรวมกลุ่มไม่กล้าออกมาตัวตัวด้วยซ้ำ”

พูดจบพี่เต็มยกนาฟิกาขึ้นมาดู แล้วหันมาบอก
“กลับกันเถอะ ดึกป่านนี้อาจอีกนานกว่าไฟจะมา อยู่ไปก็ทำงานต่อไม่ถนัดอยู่ดี”
พี่เฮงฉวยกีต้าร์เก็บใส่กระเป๋า
“ไปก่อนนะ” พี่เฮงหยุดตรงหน้า “อย่าอยู่ดึกไปเลยนะเรา เคยได้ยินเรื่องคานในห้องมืดหรือเปล่าล่ะ”
ฉันส่ายหน้ายิก พี่เฮงทำเสียงต่ำลงคอ ชวนเย็นวาบจากสันหลัง
“ชายแก่จะห้อยหัวลงมาทักทายเวลาเหลือนักศึกษาแค่คนเดียวในห้องน่ะ”
“พี่~” ฉันแทบร้องไห้
“ไม่เชื่อก็ตามใจ”
พี่เฮงเดินตัวปลิวไปพร้อมเสียงหัวเราะหึ หึ หึ

รุ่นพี่ทั้งสองซ้อนรถจักรยานยนต์จากไป
ฉันหันกลับมา ครามยืนเตะเอากองทรายใส่กองฟืนเพื่อดับไฟ ฉันเลยเดินไปเก็บของเตรียมตัวกลับ
“คงไม่ต้องรอมินกับพลอยแล้วมั้ง” ฉันหันมาถาม
“ไม่ต้องหรอก ไม่รู้ไปรอกินป๊อกอี๊ดหรือเปล่าถึงได้ไม่ยอมกลับมาสักที ถ้ามันมาแล้วไม่เห็นก็กลับไปเองล่ะ”

ป๊อกอี๊ดที่ครามพูดถึงคือร้านขายอาหารหน้าโรงฆ่าหมู พอหลังเที่ยงคืนจึงเริ่มเชือดแล้วส่งมายังร้านเพิงแหงนด้านหน้าเพื่อประกอบอาหารรสชาติจัดไว้แกล้มเหล้าเป็นส่วนใหญ่
เสียงร้องของบรรดาหมูดังลอยมาประกอบการกินทำให้กลายเป็นชื่อเรียกขานขึ้นมา
ฉันเคยตามไปกินที่ร้านนี้แค่ครั้งเดียวแล้วไม่ขอกลับไปอีก
เสียงที่ได้ยินหลอนมาจนถึงทุกวันนี้


ไฟก็ยังคงดับ
ทั่วทั้งมหาวิทยาลัยมืดสงัด ลมโชยกระโชกใบไม้แห้งร่วงเกรียวกราว

ก่อนถึงอสม. ซึ่งเป็นตึกศูนย์กลางของสภานักศึกษา
จู่ๆครามก็หยุดรถ จอดตรงข้างทาง เงาตะคุ่มของตัวตึกรอบข้างและไม้ใหญ่โดยรอบ
ฉันก้าวลงรถอย่างงงๆ ครามหันหลังจับแฮนด์จักรยานยนต์ไว้แน่น

“ธารไม่อยากรู้เหรอว่า เรามีผ้าเช็ดหน้าติดตัวหรือเปล่า”
“หา!”

ครามหันกลับมา มือสองข้างซุกไว้ตรงกระเป๋ากางเกง ขาเตะเศษใบไม้แห้งไปมาจนฟุ้ง
ความมืดปกคลุมจนเรามองเห็นกันเป็นดั่งเงาลางเลือน
ฉันพยายามตั้งตัวให้ติด เพียงแต่ไม่กล้าเอ่ยคำใดออกมา ลมหนาวฟาดลงมาอย่างไม่ปราณีจนต้องยกมือกอดอกไว้แน่น
สีขาวจากผ้าตรงอุ้งมือสะท้อนออกเป็นแสงมัว สายตาจับจ้องจากคนตรงหน้ามองนิ่ง ทำให้รู้สึกราวกับว่าผ้ามันรัดแน่นยิ่งกว่าที่เป็น
ครามเอื้อมดึงมือข้างที่ถูกพันผ้าไว้ แกะผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นออกอย่างช้าๆแล้วปล่อยทิ้งลงพื้น อีกมือกวาดไปด้านหลังกางเกงยีนส์ดึงผ้าเช็ดหน้าสีขาวขลิบลายสีเข้มออกมา พับทบเป็นสามเหลี่ยมแล้วตวัดลงมาทีละพับจนได้ขนาด บรรจงพันลงบนแผลที่มือฉันอย่างนุ่มนวล
หัวใจฉันเต้นแรงยิ่งกว่าตอนยืนมองพี่เฮง มันรัว เร็วและแรงมากเสียจนฉันกลัวเหลือเกินว่าครามจะได้ยิน
ใบหน้าครามก้มหลบจนไม่อาจมองเห็น ผมนิ่มสลวยทิ้งตัวอยู่ใกล้จนได้กลิ่นแชมพูอ่อนๆโชยมา
ครามหยุดมือเมื่อปมสุดท้ายเสร็จสิ้น ใบหน้าเงยให้เห็นแค่แวบก่อนหันโยนตัวขึ้นอานจักรยานยนต์

“ไปเถอะ”

ฉันก้าวซ้อนตาม มือเกาะแน่นลงตรงบ่าคราม
เทพธิดาแห่งสายลมฟาดแส้ลงมาอย่างเกรี้ยวกราดบาดใบหน้าจนชา แต่มือข้างนั้นกลับร้อนกรุ่นไล่ไออุ่นลงมาจับคลุมหัวใจ






Create Date : 13 มกราคม 2552
Last Update : 15 มกราคม 2552 18:31:19 น. 11 comments
Counter : 867 Pageviews.

 
สวัสดีค่ะ
ขอขอบคุณสำหรับการเยี่ยมเยียนที่อบอุ่นนะค๊า

อัพบล็อกเฉพาะกิจ พาเที่ยวแวนคูเวอร์ค่ะ
ขอเรียนเชิญนะคะ




โดย: fleuri วันที่: 27 มกราคม 2552 เวลา:18:41:26 น.  

 
Photobucket

เจ้าของบล็อกนี้ เขียนเรื่องน่าสนใจ และน่าติดตามค่ะ ให้กำลังใจนะคะ

ปอลอ ชวนไปเที่ยวต่อค่ะ


โดย: fleuri วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:6:18:38 น.  

 
เข้ามาแอบอ่านเรื่องราวค่ะ ^^
ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ



ที่บอกว่าติดใจในคำพูดเรา ติดใจในทางดีหรือไม่ดีคะเนี่ย


มีความสุขในทุกๆวันนะค ^^




โดย: MOnKEy_PrAi วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:2:38:13 น.  

 
Photobucket

สวัสดีค่ะ

รออ่านตอนต่อไปนะคะ ให้กำลังใจเหมือนเดิมค่ะ

Happy Valentine's Day!


โดย: fleuri วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:9:25:43 น.  

 
คำถามที่คุณไปถามที่บล็อก ที่ว่า คลิปคอนเสิร์ตแล้วอยากแปลงเป็นmp3 ก่อนอื่นเลยต้องดูก่อนว่าคลิปนั้นมีนามสกุลอะไร มีความยาวเท่าไหร่ ถ้ามันมีความยาวมากไปจะใส่ลงบล็อกไม่ได้นะ ต้องแปลงไฟล์ก่อน แล้วจะแปลงเป็น mp3 นั่นหน่ะ ไม่ได้นะต้องเป็น mp4 ค่ะ หรือเป็นนามสกุลอื่นก็ได้


โดย: benji2 วันที่: 14 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:22:04:14 น.  

 


สวัสดีค่ะ

มาปล่อยลูกโป่งที่บ้านนี้

ยินที่ได้รู้จักกันเช่นกันค่ะ

รักษาสุขภาพ

และมีความสุขมาก ๆ

ในวันแห่งความรัก

ซึ่งความรักนี้ มีอยู่รอบตัวเรา

มีความสุขกับคนที่เรารัก

และคนที่รักเราค่ะ

Happy Valentine's Day!


โดย: fleuri วันที่: 15 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:0:27:57 น.  

 
Photobucket

Have a good weekend Pictures, Images and Photos

สวัสดีค่ะ ตามสบายค่ะ


โดย: fleuri วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:4:25:17 น.  

 
สวัสดีค่ะ

มาให้กำลังใจเจ้าของบล็อกน่ารักบ้านนี้จ้ะ

มีความสุขมาก ๆ รอชมตอนต่อไปจ้า

HAVE A SNUGGLY SUNDAY Pictures, Images and Photos


โดย: fleuri วันที่: 1 มีนาคม 2552 เวลา:1:55:03 น.  

 
Photobucket

Happy Woman's Day!


โดย: fleuri วันที่: 8 มีนาคม 2552 เวลา:1:06:52 น.  

 
น่าเอามาทำการ์ตูง อิๆๆๆ เก่งๆๆๆ

มาสะกดจิต อิๆๆๆ


ขอให้มีความสุขกะวันจันทร์เน้อ


โดย: พลังชีวิต วันที่: 9 มีนาคม 2552 เวลา:9:42:14 น.  

 
ขอบคุณที่แวะไปหากันที่บล็อคนะค่ะ
ไปนอนแล้วจร้า


โดย: ยายกุ๊กไ่ก่ วันที่: 15 มีนาคม 2552 เวลา:23:49:54 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Quaver
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 77 คน [?]




เป็นคนหัวแข็งที่มาพร้อมรอยยิ้มอ่อนๆ
เป็นคนหัวอ่อนที่มาพร้อมท่าทางแข็งๆ




Friends' blogs
[Add Quaver's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.