Group Blog
 
<<
มีนาคม 2552
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
17 มีนาคม 2552
 
All Blogs
 
เมื่อ...ผีเสื้อขยับปีก บทเรียนที่ 7 Twin Night



มินจ้ำเดินตัวปลิวก้มหน้าก้มตาสวนไป ทำเอาคำทักทายที่กำลังหลุดมาถูกชะงักอยู่ตรงริมฝีปาก ฉันได้แต่ส่ายหัวหันกลับเข้าคณะ ยังไม่ต้องออกแรงก้าวเดิน บ่าก็ถูกรั้งเอาไว้แทบหงายหลัง
มองกลับมาก็เห็นมือคล้ำกร่ำรอยแดดจับไว้แน่น
“อะไรวะ!” ฉันบ่นงึมงำ “เรียกธรรมดาก็ได้”
มินยิ้มกว้าง มือปัดไปมาตรงหัวไหล่เชิงเอาใจ ทำเอาฉันต้องรีบเบี่ยงตัวหลบ
“พอแล้ว!”
“เพิ่งเห็น” มินพยักเพยิดยิ้มจนลักยิ้มข้างแก้มบุ๋มลึก
“กี่ตัว?”
“อะไร?”
“ก็...” ฉันแกล้งถอนหายใจยาวก่อนถามต่อ “ควายที่แกกำลังไปตามไง”
“เฮ้ย...ไอ้นี่” มินหลุดปากพร้อมกลั้วหัวเราะ



ลมฝุ่นพัดมาวูบใหญ่ กลิ่นหอมจัดโชยเข้าจมูกจนฉุนกึ้ก ฉันกระเด็นห่างออกมาโดยอัตโนมัติ ตามองผ่านหลังมือที่ยกอุดจมูก
เห็นมินทำหน้างงพร้อมก้าวเดินตรงมา
ฉันยกมืออีกข้างห้ามเอาไว้ เดินพลางถอยหลังหนีไปเรื่อยๆ
มินย่างสามขุมเข้ามาไม่หยุด
“พอแล้ว!” ฉันตะโกนลั่น “แกไปตกกระปุกน้ำหอมมาจากไหนวะ”
มินคำรามเชิงแกล้ง
หลังฉันชิดกับผนัง หมดทางหนีเอาตัวรอด ฉันมองผ่านข้ามไหล่มิน ร้องตะโกนอย่างยินดี
“พลอย!”
มินหยุดกึก หน้าสะบัดหันมองตามทิศสายตาทันที ถอยตัวเบี่ยงออกด้านข้าง ยื่นคอยาวกวาดตามองไปทั่ว
ฉันยืนหัวเราะกึกกักจนตัวงอ เมื่อสายตาเราสองคนสบกัน ฉันหลิ่วตาล้อเลียน ไอ้หนุ่มขายาวเก้อเสียจนหน้าคล้ำๆออกแดงจัดเหมือนเด็กเกเรที่ถูกคว้าตัวไว้ได้ เขยิบตัวไปพิงผนังอีกด้าน เสมองไปอีกทาง
แม้อยากจะเย้าต่อแต่ก็เห็นใจจนไม่อยากต่อความยาว

ฉันกวาดสายตาสำรวจสภาพเพื่อนคนนี้อย่างรวดเร็ว เชิ้ตขาวพับแขนเรียบร้อยเรียบกริบกับยีนส์สีซีดตัวเก่ง
‘วันนี้ใส่คอนเวิร์สแทนแตะครบสูตรเลยทีเดียว’ ฉันนึกติดขำในใจ
ตวัดมองกลับไปส่วนบนสุด ผมหยักศกถูกลงน้ำมันจนเรียบกริบ ไม่รวมกลิ่นน้ำหอมฉุนจัดโชยมาเป็นระยะ
‘สรุปได้อย่างเดียว’ ฉันโคลงหัวอย่างอ่อนใจจนเกิดคันปากอย่างสุดทนถามขึ้น
“คราวนี้สาวคณะไหนอีกว้า”

มินยิ้มกริ่ม ตาพราวจนระยับ แต่ไม่เอ่ยคำใดออกมา
นี่คือสิ่งที่ฉันชื่นชอบในตัวผู้ชายคนนี้ แม้ว่าหัวใจมินจะเป็นประเภทแสวงหาความอบอุ่นไปเรื่อยแต่ปากของมินจะปิดสนิทเสมอ ไม่ว่ากับใคร สนิทแค่ไหนก็ไม่เคยได้ยินมินเอาเรื่องผู้หญิงมาพูดลับหลัง มีให้เห็นเพียงยิ้มๆเวลาเริ่มตกหลุมรัก พอรู้ตัวปีนขึ้นมาได้อย่างสะบักสะบอมก็เศร้าจนชวนน่าเตะ
จนพลอยประชดประชันว่า มินอกหักเพราะหาเรื่องกินเหล้ามากกว่ากินเหล้าเพราะอกหัก
แต่คนที่คอยดูแล คอยดึงคอยฉุด ทั้งคอยหาหยูกยาบังคับกรอกปากแก้เมาค้างทุกครั้งก็เป็นคนที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันนี่ล่ะ

“คืนนี้ธารไปFBหรือเปล่า”
“ไม่” ฉันส่ายหัวปฏิเศษย้ำ
“อ้าว ไอ้เรานึกว่าจะไปจะได้ให้มาช่วยกันลงปูนสักหน่อย”
ฉันจ้องนิ่ง งานปูนของมินที่ขึ้นโครงไว้ขนาดใหญ่ราวเมตร การลงปูนต้องทำเสร็จในทีเดียวจึงเป็นเรื่องยากในการลงมือทำคนเดียว
“แกเบี้ยวมากี่ครั้งแล้ววะ” ฉันส่งเสียงเข้ม “ก็เสือกทำซะใหญ่โตเกินความจำเป็น แล้วทิ้งไว้จนป่านนี้ พอใกล้ส่งทำมาเป็นเร่ง ใครจะมีเวลาว่างให้แกตลอดวะ”
“เฮ้ย! อย่าเพิ่งโกรธ คราวนี้ไปแน่” มินยิ้มอย่างง้องอน “ช่วยกันหน่อยเหอะ เดี๋ยวไม่ทันแห้ง ต้องขัดเงาอีก ของแกขัดหรือยัง ถ้ายัง...เดี๋ยวชั้นช่วย”
“แกก็เป็นซะอย่างงี้” ฉันเป่าปากฟู่อย่างอ่อนใจ “ไม่ต้องหรอก ชั้นขัดไปรอบแล้วเหลือแต่งอีกนิดหน่อยก็เรียบร้อย” พลางนึกกะเกณฑ์ในใจคร่าวๆแล้วบอกออกมา “เอางี้ คืนนี้ชั้นต้องแกะพิมพ์ยางให้เสร็จ เหลืออีกนิดหน่อยเอง พอเสร็จแล้วเดี๋ยวตามไป” พยักหน้าสำทับ “รับรองตามไปช่วยทัน พลอยกับแกก็พอกัน คืนนี้จะลากไปทำพร้อมๆกันให้เสร็จทีเดียว”
“เอาไปนั่งแกะที่โน่นดิ เดี๋ยวชั้นช่วยเองแป๊บเดียวเสร็จ”
“ไม่ได้หรอก คืนนี้พี่พาดนัดไว้ แกบอกจะมาตรวจงานว่าต้องแก้ตรงไหนให้ แล้วจะผสมสีลองพิมพ์เป็นตัวอย่าง นี่เดี๋ยวชั้นต้องออกไปซื้อกระดาษด้วย”

...พี่พาดหรือพี่ประพาด อาจารย์พิเศษสอนวิชาศิลป์พื้นฐาน รุ่นพี่ที่ก้าวมาเป็นอาจารย์พิเศษมักให้ความกันเองกับรุ่นน้องอย่างพวกเราเสมอจนออกตัวไม่ให้เรียกว่าอาจารย์ด้วยความเขินตัวเอง

ฉันหรี่ตามองเขม้น
“ทำเป็นเสนอตัวจะช่วย แล้วแกแกะของตัวเองเรียบร้อยหรือยัง งานชิ้นนี้ส่งก่อนงานปั้นอีกนะ”
มินขยุกขยิกเป็นคำตอบ
“สเก็ตช์แกผ่านยังมิน ต้องให้พี่พาดเขาตรวจก่อนแกะด้วยนะ แผ่นยางจำกัดคนละแผ่นเอง พลาดไม่ได้นะโว้ย”
“เฮ้ย...สบาย มือชั้นนี้แล้ว ชั้นตวัดสองสามทีเรียบร้อย แกะปึ้บปั้บแป็บเดียวเสร็จ แค่แกะยางไม่ใช่woodcut ของจริงสักหน่อย”
“แกก็เป็นซะอย่างงี้”


ถึงฉันจะทำเป็นบ่น แต่ก็รู้ฝีมือของมินดี มินเก่งสมคำโวนั่นล่ะ ใช้เวลาทำงานแต่ละชิ้นน้อยกว่าพวกเรากว่าครึ่งแต่ผลงานที่ออกมาเยี่ยมกว่าทุกครั้ง ชวนเจ็บใจฝีมือตัวเองจริงๆ


‘รักครั้งนี้จะเกินเดือนไหมว้า’ ฉันยืนมองมินที่แทบบินจากไป


ฉันหมุนตัวสองมือซุกกับกระเป๋ากางเกงขยับก้าวเดิน ตัวกลับโดนยึดอย่างแรง ก่อนจะหงายหลังลงไปจริงๆ ไหล่สองข้างถูกกุมยึดเป็นหลักไว้แน่น
“อะไรอีกวะ!” ฉันตะโกนอย่างโมโห “เรียกอย่าง ‘คน’ เป็นกับเขาไหมวะ บอกว่าไม่เบี้ยวก็ไม่เบี้ยวดิ...ไอ้...” คำสุดท้ายกลืนหายลงคอเมื่อเห็นเต็มตาว่าเจ้าของมือที่ยึดไหล่เอาไว้ กำลังยืนยิ้มเฉ่งอยู่กลับเป็นพี่เต็ม
“เรานี่เป็นเด็กขี้โมโหนะเนี่ย”
“นึกว่าไอ้มิน” ฉันแก้ตัวเสียงอ่อย
“พี่เห็นแล้วล่ะ เลยอยากเลียนแบบดูสักหน่อย ไอ้ธารเอ๊ยเราน่ะรับประกันความผิดหวังจริงๆว่ะ”

ฉันได้ทำตาปริบปริบยืนรอเวลาพี่เต็มหยุดเสียงหัวเราะตัวเองลง
ขาในยีนส์สีมอมขะมุกขมัวจนยากคาดเดาสีดั้งเดิมของมันได้ ยื่นมาเตะเท้าฉันเบาๆ
...ทำเอาฉันนึกบ่นในใจ ‘คนนะพี่ไม่ใช่ลูกหมา’


“ป่ะ...เลี้ยงข้าวพี่หน่อยวันนี้” พี่เต็มพยักหน้าชวนซ้ำ
ฉันหันมองซ้ายขวา จ้องกลับไปที่พี่เต็ม คิ้วขมวดยุ่งถามขึ้นอย่างสงสัย
“ไม่เห็นพี่หน่อยเลยพี่ วันนี้พี่หน่อยเขาไม่เข้าคณะมั๊ง”
พี่เต็มแยกเขี้ยวขาว
“เดี๋ยวปั๊ดเหนี่ยว..เดี๊ยะ!ไอ้เด็กคนนี้”
ฉันเลยต้องอ่อนข้อ
“โห...พี่เล่นให้เลี้ยงตอนจะปลายเดือนแบบนี้นี่นะ ข้าวเกรียบยังกรอบได้ไม่เท่าเลยอ่ะ ไว้ตอนต้นเดือนไม่ดีหรือ จะเลี้ยงให้เต็มคราบเลยตอนนั้น”
“เฮ้ย! ต้นเดือนอะไร พี่หิวซะเห็นมดตัวเท่าช้างแล้ว”
“ช้างตัวเท่ามดพี่”
“เออ...เหมือนกั๊น” พี่เต็มยิ้มกว้าง “ใช้ได้นี่เรา วันหลังเราไปเปิดหมวกคู่หูคู่ฮาหาเงินกินข้าวกันดีกว่าว่ะ” พี่เต็มพยักหน้ายิก “ไปเหอะ..อมช.ใกล้ๆตรงนี้ ข้าวราดแกงสิบบาทไข่ดาวอีกฟอง พอเลี้ยงพี่ไหว...ไม่ต้องมองหาไอ้ไหว!”
ฉันหัวเราะก๊าก ยอมยกธงขาว


อมช.ส่วนหนึ่งนอกจากสโมสรนักศึกษาแล้วก็มีร้านขายอาหาร ปริมาณเพียงพอกับราคาสบายกระเป๋า นอกจากร้านอาหารใต้หอกับฝายแล้ว ที่นี่ถือว่าเป็นที่ฝากท้องของเด็กวิจิตรด้วยที่คณะไม่มีร้านอาหารอย่างคณะอื่นเขา แถมยังเดินไปกินได้สะดวกเนื่องจากข้ามถนนผ่านหอสมุดไปก็ถึงแล้ว

ตอนเดินกันไป พี่เต็มเล่าให้ฟังว่าเอาเงินไปซื้อเหล็กเส้นไว้ทำงานประติมากรรมลอยตัวที่รับการว่าจ้างมาจนเกลี้ยง ขนาดเงินเอาไว้เติมน้ำมันรถก็ไม่เหลือเลยต้องเดินไปไหนต่อไหนทั่วมอ ทิ้งท้ายอย่างเจ้าเล่ห์ว่า ดีนะที่เอางานมาทำที่คณะ เลยไม่ต้องซื้อท่อลมออกซิเจนไว้อ๊อกเหล็ก แถมตบท้ายหลอกล่อต่อ ว่าถ้าได้รับค่าจ้างแล้วจะพาไปเลี้ยงเหลาเจี่ยท่งเฮง


“พี่ยังไม่ได้บัตรเชิญนะ”
หลังจากนั่งมองพี่เต็มบรรจุอาหารลงไปราวครึ่งกระเพาะ จู่ๆแกก็เงยหน้าจากจานข้าวพูดขึ้น
“บัตร? บัตรอะไรคะ”
“ก็งานไนท์ไง ปีนี้ธีมอะไรวะ แล้วจัดที่ไหน ทำไมดูเงียบกริบอย่างงี้”

ฉันพยักหน้าอย่างอ่อนใจเมื่อนึกถึงงานไนท์ นี่คืองานแรกของเด็กปีหนึ่งต้องจัดการกันเอง เพื่อเป็นการขอบคุณรุ่นพี่
มันทำให้ฉันรู้ซึ้งคำว่า “มากคนก็มากความ”

“มีแต่คนเสนอไอเดีย นี่ก็จะเอา โน้นก็จะเอา เถียง เอ๊ย เขาไม่ให้ใช้คำว่าเถียง” ฉันนึกถึงการประชุมทุกครั้งที่ผ่านมา “ถกกัน จนป่านนี้ยังหาข้อสรุปกันไม่ได้เลย บางคนจะจัดหรู ก็เลยมีคนเหน็บเรื่องเงินขึ้นมา ประชุมกันสามรอบเข้าไปแล้ว หน้าดำหน้าแดงแยกย้ายกันไปทุกที”
“แล้วจะทันเหรอวะ อีกไม่ถึงเดือนแล้วนี่”
“เกือบแล้วล่ะพี่เต็ม” ฉันส่ายหัว “ไอ้ที่ยากที่สุดน่ะคือเก็บเงิน ธารน่ะสงสารไอ้จ๋อยมากเลย มันทำหน้าที่เหรัญ หน้าเหี่ยวลงทุกวัน เก็บเงินยากเก็บเงินเย็นจนมันแทบจะพกปืนไปปล้นอยู่รอมร่อแล้ว”
“เอาวะ พอใกล้เส้นตายก็เรียบร้อยเอง เป็นอย่างงี้ทุกปี เห็นมันทุกงาน มันคือสันดานเด็กคณะเราว่ะ” พี่เต็มทำท่าสบายๆไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ “แล้วเราทำหน้าที่อะไร”
“ก็...ออกแบบบัตรเชิญที่พี่ขอนี่ล่ะ” ฉันหัวเราะฮึฮะแบบทำตัวไม่ถูก รู้สึกเก้อเหมือนถูกดักทางทั้งๆที่นายพรานไม่ได้ตั้งใจ “พอดีกับงานวู้ดคัทพอดีเลย คืนนี้จะให้พี่พาดช่วยดูให้ด้วยค่ะ ถ้าใช้ได้ก็รอแค่ลงรายละเอียดเรื่องธีมเรื่องสถานที่แล้วที่เหลือก็แค่พิมพ์...แกะตัวหนังสือกลับด้านยุ่งยากน่าดู” ฉันบ่นงึมตบท้ายแล้วรีบบอกต่ออย่างเอาใจ “พอเสร็จแล้วจะส่งให้ถึงมือเลยอ่ะ”
“เออ! แล้วธีมอะไรล่ะ”
ฉันได้แต่ยิ้มกริ่ม ส่ายหัวไม่บอก
“ไว้พี่คอยดูโชว์ของกลุ่มเรา” ฉันทำหน้าตามีเลศนัย “ไม่ตะลึงให้เตะเลยพี่จ๋า”
“เออ...จะไปเตรียมซักรองเท้ารอว่ะ”

พี่เต็มกวาดข้าวคำโตเข้าปากจนเกลี้ยงจาน ฉันตัดใจถามขึ้น
“อีกจานไหมพี่ พอเลี้ยงไหว”
“ก็บอกแล้ว คณะเราไม่มีคนชื่อไหว” พี่เต็มยกมือเขกหัวดังเป้ก “ขอบใจว่ะ อิ่มแล้ว”


ขากลับ พี่เต็มร้องขอบางอย่างก่อนแยกตัวเข้าห้องสมุดเพื่อไป “หลับ”
...คือไปหลับจริงๆ ด้วยความเย็นฉ่ำของแอร์และความเงียบอันเป็นคุณสมบัติลงตัว


“พี่วานเราอีกนะคราวนี้ ตัวสุดท้ายแล้วล่ะ ผ่านได้ก็จบละ”
“ฟิสิกส์?”
“ไม่...ไอ้นั่นผ่านเรียบร้อยแล้ว ตัวนี้ยากกว่าสิบเท่า” สีหน้าพี่เต็มเหนื่อยหนัก “พี่ลงอารยธรรมสากลมาสามรอบแล้ว ได้ F มาเชยชมมันทุกปีว่ะ เซ็งจัดโว้ย!”
“เฮ้ย! ทำไม่ธารไม่เห็นพี่ในคลาสเลยล่ะ” ฉันถามกลับอย่างตกใจ
“ใครจะตื่นไปไหววะ แปดโมงเช้าแบบนั้นกับอากาศหนาวๆแบบนี้”
“โอ๋ย~ พี่เต็ม พี่ไม่รู้เหรอว่า อาจารย์เขามีคะแนนเข้าห้องด้วยนะ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะสิบหรือยี่สิบคะแนนนี่ละ แกบอกว่าเอาไว้เป็นตัวช่วย” ฉันนึกน้ำเสียงอาจารย์ “แกคงเจาะจงคณะเราล่ะพี่ พูดแล้วเหลือบมองกลุ่มเราทั้งยวง คลาสนี้มันไม่ได้มีเฉพาะพวกเรา มันห้องประชุมใหญ่เบ้อเร้อเรียนรวมเด็กมนุษย์ด้วย ตัดเคิร์ฟสูงแน่เลยพี่”
“ห๊า! ตายห่า!”

ฉันเห็นสีหน้าตกใจแล้วแทบไม่กล้าบอกข่าวต่อมาให้รับรู้

“อาจารย์บอกแนวข้อสอบแล้วนะพี่เต็ม” ฉันกลืนน้ำลายเอื้อก “มีสิบหัวข้อให้เลือกทำห้าข้อ เขียนบรรยายทั้งหมด ไม่มีกอขอให้เลือกเลย”
สีหน้าพี่เต็มบ่งบอกอาการช็อค ส่งเสียงครางออกจากลำคอ

“เอางี้...ต่อไปพี่เข้าเรียนทุกครั้งมันก็ยังพอเก็บคะแนนตุนไว้ได้บ้าง” ฉันพยายามหาตัวช่วย “แล้วก่อนสอบ ก็นัดติวกัน เดี๋ยวธารเก็งข้อสอบไว้ให้ มันก็ไม่พ้นเรื่องที่เรียนมา เขียนได้บ้าง...คง...คงพอผ่านล่ะพี่”

พี่เต็มได้แต่โคลงหัวอย่างมึนงง เดินหนีไปอย่างคนไร้วิญญาณ


“เฮ้ย! ธาร”
พี่เต็มทำท่าชั่งใจบางอย่าง ก่อนกวักมือเรียกให้เข้าไปหา
“ไม่รู้จะพูดดีหรือเปล่าว้า” เสียงอึกอักในลำคอบ่งบอกความลำบากใจ “เตือนเพื่อนเราได้ก็เตือนนะ”
คงเพราะฉันทำหน้างุนงงให้เห็น พี่เต็มก็เลยรีบขยายความ
“ก็ไอ้มินเพื่อนเราน่ะ บอกมันด้วย ใช่ว่าผู้หญิงทุกคนจะแตะได้นะเฟ้ย ไปยุ่มย่ามกับเขามาก เดี๋ยวเจ้าของเขาจะดักตีหัวเอา จะจีบใครก็ดูด้วย ทะเล่อทะร่าไม่ดูตาม้าตาเรือจะเจ็บตัวแบบไม่รู้ตัว”

พี่เต็มพูดรัวเป็นรถด่วนแล้วโบกมือหันหลังเดินดุ่มเข้าหอสมุดไป
ทิ้งให้ฉันยืนย่อยคำพูดนั้นอีกพักใหญ่ แล้วถึงได้รู้สึกว่า เรื่องคราวนี้ของมินถ้าจะเป็นเรื่องใหญ่ ไม่งั้นพี่เต็มคงไม่ได้ข่าวจนต้องออกปากเตือนแบบนี้






อากาศหนาวจัดทำหน้าที่อย่างดีไม่มีอู้งาน
หลังจากงานผ่านการตรวจจากพี่พาดเรียบร้อย ที่เหลือก็แค่ลงพิมพ์จริงอีกครั้ง ฉันรีบบึ่งรถจักรยานยนต์มาตึกFB
เพื่อนๆแม้กระทั่งนิ่มรุมกันอยู่กับโครงใหญ่เบ้งตรงหน้า
นิ่มเรียนเมเจอร์ศิลปะไทย จะลงตัวศิลปะพื้นฐานตัวนี้ในปีหน้า เลอะสีขาวของปูนไปจนทั่วตัวไม่เว้นแม้แต่ใบหน้า หันมากวักมือเรียกฉัน
เสียงของพลอยบ่นเรื่องขนาดชิ้นงานของมินให้ได้ยินลอยตามลมมา
ครามนั่งผสมปูนอยู่ไม่ไกล
ส่วนเจ้าของผลงานต่อเก้าอี้ขึ้นไปเทปูนส่วนหัวงาน ยิ้มแฉ่งส่งมา

พวกเราแทบไม่มีใครพูดอะไร ส่งคำถามกันสั้นๆ เร่งงานกันสู้กับเวลา


“เรียบร้อยแล้วโว้ย”
หลังจากยืนมองเช็คอยู่ครู่ มินก็ตะโกนออกมาอย่างโล่งใจ
“เรียบร้อยบ้าอะไร เหลือของชั้นอีกชิ้น” พลอยสวนเสียงห้วน
“พักหน่อยเหอะ...ขอหายใจนิด” มินเท้าสะเอว ส่งเสียงยั่วลอยหน้าลอยตาจนพลอยดิ่งเข้าหาอย่างอดใจไม่ไหว

ครามออกมาห้ามทัพกับสงครามที่กำลังตั้งเค้า
“ทำต่อให้เสร็จทีเดียวเลย ปูนยังเหลืออยู่ เดี๋ยวแห้งจะเสียทิ้งไปเปล่าๆ” แล้วหันมาพยักหน้าเรียก “ธารไปตักน้ำมาอีกถัง เดี๋ยวชั้นจะไปยกปูนออกมาอีกถุง ของพลอยชิ้นเล็กน่าจะพอ”


ฉันเดินหิ้วถังน้ำกลับมา เจอกับครามกลางทาง ครามเอื้อมมือคว้าถังใบนั้นไปถือแทน
“ปูนหมดเกลี้ยงเลย”
“อ้าว...แล้วทำไง” ฉันล้าจนบ่นออกมา “นี่ต้องกลับมาทำอีกวันเหรอวะเนี่ย”
ครามไม่พูดอะไร โยกหัวฉันไปมาแทนคำปลอบใจแล้วก้าวยาวๆนำออกไป

เมื่อเดินมาถึง ฉันยืนมองครามกำลังปรึกษากับมินอยู่ไม่ไกล

“แกสองคนอยู่ที่นี่ล่ะ” ครามเจาะจงตรงมินและพลอย “ขืนให้ออกไปก็หายหัวไปกันอีก งานเงินไม่เสร็จกันพอดี”
ครามหันมาพยักหน้าบอก
“ไปธาร...ออกไปซื้อปูนกัน”
“เฮ้ย! ดึกป่านนี้ร้านเค้าปิดหมดแล้ว” มินทำหน้าตายุ่งขัดไปตามประสา
“เดี๋ยวไปเคาะประตูเรียกลุงแกเอา แกไม่ว่าหรอก ซื้อของจนจำหน้ากันได้แล้ว” ครามย้ำอย่างมั่นใจ


สายลมกระชากตัวลงมา ฉันห่อตัวร้องคราง
ครามหันมอง ถอดเสื้อแจ็คเก็ตตัวหนายื่นส่งให้

“ไม่ต้อง แกเป็นคนขี่หนาวกว่า”
“หรือต้องให้ใส่ให้” ครามพูดนิ่งๆ คว้าเสื้ออ้อมพาดหลังลงมา “ใส่ให้ก็ได้”
ฉันรีบเบี่ยงตัวหลบ ยิ้มแหยส่งให้ ยกมือแทนการยอมแพ้ เสื้อตัวใหญ่หนาห่มตัวจนแทบคลุมได้รอบ
ครามมองตรงมา ยิ้มแล้วหันตัวขึ้นอาน
“เหมือนลูกหมูเลยว่ะ”

‘จากลูกหมามาเป็นลูกหมู’ ฉันนึกด้วยความอ่อนใจ



หลังจากยืนฟังลุงเจ้าของร้านบ่นจนหูชากับการไม่รู้จักเวล่ำเวลาบวกไม่รู้จักเกรงอกเกรงใจผู้สูงอายุ เราก็ได้แต่ยิ้มจืดจ๋อยอย่างสำนึกผิดกว่าจะขอตัวกลับออกมาได้พร้อมปูนขาวห้ากิโล
เมื่อเข้ามาในมอจนถึงหอนาฬิกา ฉันสะกิดบอกให้ครามจอดรถ
คำเตือนจากพี่เต็มถูกถ่ายทอดให้ครามฟัง

“แล้วแกจะไปเตือนมินมันงั้นเหรอ”
ฉันส่ายหัวบอกเชิงไม่แน่ใจ
“มันเป็นเรื่องส่วนตัว จะดูเหมือนเราเข้าไปก้าวก่ายชีวิตของมันมากไปหรือเปล่า แล้วอีกอย่าง....” ฉันสะดุดบางอย่าง
ครามกอดอกรอรับฟัง
“มินน่ะมันดื้อผิดท่าทางของมันจะตายไป เห็นมันเอาแต่ยิ้มใช่ว่ามันยอมซะเมื่อไร” ฉันพูดต่อเบาๆ “ชั้นเตือนไปก็เท่านั้น มันไม่ฟังหรอก”
“งั้นก็หาคนที่เตือนแล้วมันฟังสิ”
คำตอบแบบง่ายๆของครามทำเอาฉันเหลือบตาจ้องด้วยความแปลกใจ
“แก...ก็รู้” ฉันกระอึกกระอัก
“มันปิดไม่มิดซะขนาดนั้น ตาไม่บอดก็มองออกล่ะ” ครามพยักหน้า “ก็เอาอย่างงี้ละกัน บอกพลอย ให้พลอยเป็นคนเตือนหรือสั่งมันก็เอา แค่นี้มันก็หยุดแล้ว”
“มินมันจะโกรธไหมวะ เอาเรื่องของมันไปพูดกับพลอยแบบนี้”
“ก็ปล่อยให้มันโกรธไป ดีกว่าต้องหามมันเข้าโรงบาล” ครามพูดเชิงตัดบทยุติข้อโต้แย้ง

ท่าทางจังก้าไม่ยอมขยับตัวของครามทำเอาฉันหยุดถามด้วยสายตา

“รู้สึกธารจะรู้จักมินมันดีนะ”
“ห๊า!”
“อ่านคนเก่ง” น้ำเสียงครามเรียบกริบชวนตงิดใจ “เอางี้...ถ้ามินมันเป็นคนดื้อ แล้วในสายตาแก อ่านว่าชั้นเป็นยังไง” ตาเฉียงหรี่ลง เน้นเสียงหนักย้ำ “ตอนนี้ชั้นรู้สึกยังไง”

คำถามดูง่ายแต่ทำเอาฉันรู้สึกเหมือนถูกต้อนถอยเข้าใกล้หลุมพรางที่ถ้าเผลอตกลงไปมีหวังเกิดแผลเหวอะหวะประมาณหมอไม่รับเย็บแน่นอน แต่ท่าทางไม่ยอมแพ้ต้องการคำตอบจากคราม ทำเอาฉันรู้ตัวดีว่าจะเฉไฉเอาตัวรอดไปไม่ได้ง่ายๆ

“แกเหรอ...” ฉันรู้สึกปากแห้งเสียจนต้องแลบลิ้นเลียให้ชุ่มขึ้น ก่อนตัดใจเลือกคำถามแรกบอกตรงไปตรงมา “แกก็...เป็นคนไม่แยแสใคร แบบว่าเห็นคนตายตรงหน้า แกคงไม่รู้สึกรู้สาอะไรถ้าแกไม่มีเยื่อใยกับเขา”
ตาคมกริบของครามฉายแสงแวบขึ้นมาเหมือนเห็นฟ้าแลบแค่แว้บในคืนฟ้ากระจ่างตา
ฉันเฉมองไปอีกทาง บอกเตือนสิ่งที่เป็นห่วงในใจ
“แกก็เพลาๆลงบ้างเถอะวะ ไอ้ท่าทางกวนตีนแบบนี้ มันก่อให้เรื่องมันเกิดได้ง่ายมากเลยนะ ไม่ชอบไม่พอใจอะไรก็รู้จักถอยออกมาบ้าง ไม่ใช่ไปยืนค้ำแล้วส่งสายตาดูถูกเหยียดหยามให้เขารู้สึก” ฉันหันมาสบตาย้ำชัด “อย่าบอกว่าไม่จงใจ แกจงใจอย่างโจ่งแจ้งเลยล่ะ ปล่อยทางหนีไว้บ้าง ทั้งคนอื่นและตัวแกเอง”

มุมปากข้างหนึ่งของครามหยักลึกลง ฉันจนปัญญาจะเข้าใจ

“ก็ได้...ครั้งนี้ชั้นเปิดทางให้แกเดินหนี ทิ้งคำถามอีกข้อไว้” ครามก้าวเดินมาหยุดใกล้แค่คืบ โน้มตัวกระซิบข้างหู “สักวัน ชั้นจะต้อนจนแกจนมุม”


เข็มนาฬิกาสั้นและยาวเดินทางมาบรรจบกัน ดึกจนสงัด มีเพียงแสงวิบวับจากบางห้องของหอพักนักศึกษาโดยรอบส่งแสงเหมือนหยอกเย้าทักทาย




จากคืนนั้น
อีกไม่กี่วันต่อมา หลังจากปล่อยให้เรื่องราวตกอยู่ในการจัดการของพลอย แม้พลอยจะไม่ได้บอกรายละเอียดอะไร แต่สภาพเมาแอ๋ของมิน บวกภาพพลอยดึงมันออกมาจากวงเหล้า นั่งเช็ดกองอ้วกโดยไม่บ่นอะไรออกมาแม้สักคำและห้ามไม่ให้ใครเข้าไปยุ่มย่าม คอยเช็ดหน้าเช็ดตาดูแลจนสว่าง คือคำตอบโดยตัวมันเองว่า พลอยจัดการยุติเรื่องราวความรักของมินครั้งนี้ลงเรียบร้อยแล้ว
ย้ำให้ชัดด้วย คำต่อว่าเชิงเหน็บมากับรอยอมยิ้มลูกใหญ่ในแววตาของมินยามเราสองคนเจอกันลำพัง

“เพื่อนทรยศ”

ฉันทำเป็นก้มหน้าก้มตาวุ่นอยู่กับงานแกะพิมพ์ยางในมือ ก่อนเงยหน้าฉีกยิ้ม
“ใครว่าแกอยากกินเหล้าถึงได้อกหัก” ฉันลดเสียงเบาลงเน้นน้ำหนักเสียงให้ชัด “ฉันรู้ ไม่ใช่แค่คิดด้วย...ฉันรู้ว่าแกกินเหล้าเพราะอยากให้ใครบางคนคอยดูแลต่างหาก” ฉันถอยออกมาหาระยะห่างที่ปลอดภัย “ลูกไม้เด็กๆแบบนี้ คนจับไม่ได้มีแค่คนเดียวที่แกอยากให้เขาจับได้ที่สุดนั่นล่ะ”

อาการของมินเหมือนโดนหมัดฮุกใต้เข็มขัด รอยหยักบุ๋มตรงแก้มลงลึกกว่าเคยด้วยแรงอารมณ์ ชี้หน้าฉันอย่างหมายมาด
ฉันยกมือตะเบ๊ะก่อนเดินหนีจากมา






รถราวิ่งขวักไขว่ผ่านหน้าประตูมอชอ แสงไฟสาดเป็นทางยาวกระทบพื้นถนนสวนสลับไปมาไม่ขาดสาย
พวกเราห้าคนสวมเสื้อยืดสีขาวสกรีนอักษรภาษาอังกฤษอ่านรวมกันได้คำว่า “QUINTUPLET” คล้องสายยึดจากกางเกงลายสก็อต กางเกงแต่ละตัวคล้องเหล็กกลมมีล็อคโยงพวกเราห้าคนเข้าไว้ด้วยกัน
พวกเรายกมือพาดไหล่นับก้าวเดินให้ตรงจังหวะขณะพยายามข้ามถนนให้เร็วที่สุดเพื่อไปยังโรงแรมฝั่งตรงกันข้ามที่ไว้จัดงานไนท์คืนนี้
รถที่สวนมาต่างชะลอเมื่อเห็นอาการพวกเรา ทั้งชี้ชวนและชะเง้อมองออกนอกกระจกอย่างแปลกใจพร้อมเสียงหัวเราะก็ได้ยินตามมา มินอยู่หัวแถวสุดหันยิ้มโบกมือทักทายจนแทบทำให้กระบวนเสีย เซจนต้องหยุดปรับทิศทางกันใหม่ เสียงเชียร์ปนแซวเล็ดลอดออกมา กระตุ้นให้พวกเรารีบเอาตัวให้หลุดพ้นจากการทำจราจรติดขัดให้เร็วที่สุด

จ้ำเดินมาจนถึงทางเดินไปยังห้องจัดงาน โปสเตอร์แผ่นใหญ่ที่ฉันออกแบบไว้ ติดเรียงรายประกาศทิศทาง
สามส่วนสี่ของโปสเตอร์ทางยาวเป็นภาพลายพิมพ์นูนต่ำ แบ่งตรงกึ่งกลางทางกว้างเป็นโครงสี่เหลี่ยมเล็กใหญ่สลับทับซ้อนกันเป็นรูปโครงร่างคนสองคนหันหลังชนด้วยท่าทางไม่ผิดเพี้ยนกัน ต่างแค่สีสันที่ลงรายละเอียด เลียนแบบผลงานของปิกัซโซ่
ส่วนด้านริมซ้ายขวา นูนต่ำกว่าเป็นรูปผู้ชายฝั่งซ้าย รูปผู้หญิงฝั่งขวาในรูปแบบของงานเขียนจิตรกรรมฝาผนังล้านนา หน้าตาและทำท่าทางเหมือนกันต่างแค่เสื้อผ้าและทรงผม ใช้เพียงสีขาวกับดำเพื่อขับภาพตรงกลางให้เด่นขึ้นมา
ต่อลงมาด้านล่าง ตัวพิมพ์ใหญ่เล่นหางตวัดสีแดงชาดซึ่งเป็นสีประจำคณะ

“TWIN NIGHT”

ปิดด้วยรายละเอียดของสถานที่และวันเวลา


ครามยื่นมือผ่านพลอยจากด้านหลังตบบอกเบาๆเชิงชมเชย
มินร้องเสียงดัง
“เจ๋งว่ะ! ดูกี่ครั้งก็ยังเจ๋ง” พร้อมยกนิ้วให้

ฉันได้แต่ยืนยิ้มหน้าบาน ในใจนึกย้อนไปถึงคำชมเชยเมื่อส่งบัตรเชิญถึงมือพี่เต็ม
หลังจากพี่เต็มจ้องมองอยู่พักใหญ่ แกเงยหน้าขึ้นมาบอก
“งานแต่งงานพี่ จะให้เราเป็นคนออกแบบบัตรเชิญนะ...จองตัวไว้ก่อนล่วงหน้าเลย”

...เป็นคำชมเกินกว่าคำชม มันคือการยอมรับจากรุ่นพี่ฝีมือเยี่ยมที่สุดคนหนึ่งของคณะ ที่ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนตัวจะลอยได้


งานไนท์ครั้งนี้ เด็กปีหนึ่งอย่างพวกเราลงทุนจัดที่โรงแรม ออกแบบทุกอย่างให้เข้าคอนเซ็บ อาหารและเครื่องดื่มยกเว้นมึนเมา(ถ้าเอามาส่วนตัว...ก็ตามแต่ใครต้องการ)จัดเตรียมอย่างดี
รุ่นพี่ต่างแต่งตัวเข้าคอนเซ็บ เดินทักทายอย่างสนุกสนาน ไม่มีใครเดินเพียงลำพัง มีแม้กระทั่งกลุ่มใหญ่เกินสิบคน เรียกเสียงฮือฮาเป็นระยะ


งานโชว์แต่ละทีมเริ่มทยอยกันขึ้นเวที
วงดนตรีของพี่เฮงขึ้นเปิด และมาตามคำร้องขอตลอดทั้งงาน
พวกเราทุกชั้นปี เดินทักทาย หัวเราะแนะนำตัวกันอย่างสนุกสนานไปทั่วทั้งงาน

ใกล้เวลาโชว์ของทีมฉันจะเริ่มขึ้น
ฉันเดินไปสะกิดพี่เต็มซึ่งกำลังกรึ่มได้เต็มที่ยิ่งกว่าชื่อของตัวเอง กระซิบบอกให้รอดู
พี่เต็มชี้ลงไปที่รองเท้าผ้าใบผ่านการซักจนใหม่เอี่ยม ชี้หน้าคาดโทษไว้อย่างหมายมาด


ไฟปิดจนมืดสนิท หยุดทุกสรรพเสียงให้รอฟัง
ดนตรีจังหวะกระตุ้นเร้าดังขึ้น จังหวะที่คุ้นหูเรียกเสียงเฮฮาพร้อมปรบมือตามมาสนั่น
แสงไฟสาดลงมายังพวกเราห้าคนที่ยืนโพสต์ท่าอยู่นิ่ง
พวกเราผู้หญิงสามคนยืนเป็นฉากด้านหลัง
ด้านหน้าสองคนคือมินและคราม
พวกเราห้าคนใส่เกราะมัดกล้ามหล่อด้วยยางพาราสวมทับชุดราตรีระยิบระยับเปลือยไหล่ แต่ละคนใส่วิกไนล่อนห้าสีตามชื่อยอดมนุษย์ของพวกเราแต่ละคน ดำ แดง เขียว เหลือง และชมพู
ชุดราตรีของครามและมินแหวกด้านข้างสูงจนถึงเอว มองเห็นกางเกงขาสั้นแนบเนื้อสีดำไว้กันอุจาดตามคำมินว่าไว้ ผ้าคลุมขนนกพาดไหล่ยาวจรดพื้นสีม่วงตะแบกตัดกับสีเหลืองจ้าของพวกเราผู้หญิงด้านหลัง
“I Will Survive” ดังประกอบท่าทางของสองหนุ่ม พวกผู้หญิงเป็นเพียงหางเครื่องด้านหลัง เรียกเสียงเป่าปากฟิ้วฟ้าวแซวดังจนทั่ว
มินลูบไล้ต้นขาส่งลีลาเป็นแม่ยั่วเมืองอย่างไม่ยอมแพ้ ครามหันหลังส่ายสะโพกรับเสียงปรบมือดังลั่น
ฉันกัดปากจนห้อเลือดไม่กล้ายิ้มเมื่อเห็นปากเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรงของครามฉายชัดอารมณ์ภายใน ครามส่งสายตาอาฆาตมอบให้ก่อนสะบัดตัวกลับไป

เพลงจบ อารมณ์ทั่วฮอล์แทบระเบิด เสียงปรบมือดังกึกก้อง
ฉันยื่นหน้ามองตรงไปยังพี่เต็ม แล้วก็ได้อย่างหวัง มือสองข้างยกชูชมเชยส่งมา



งานเลี้ยงใกล้ถึงเวลาสิ้นสุดของตัวมันเอง
รุ่นพี่แต่ละคนต่างทยอยกลับ
ฉันออกมาตรงระเบียงทางเดินด้านนอกติดกับลานกว้าง แหงนมอง เห็นจันทร์กระจ่างฟ้ากลมนวลจับตา เสียงจากถนนด้านนอกเริ่มเงียบลงแล้ว เสียงสายลมแผ่วๆลอยมาแทนที่

“เจ๋งมากเลยนะเราน่ะ”
ฉันสะดุ้งสุดตัวหันไปตามเสียง
พี่เฮงยืนยิ้มมองอยู่ สายกีต้าร์ยังพาดขวางบนตัว
“บ้ามากกว่าเจ๋งหรือเปล่าล่ะคะ” ฉันแยกเขี้ยวยิ้มกว้าง
“อ้อ...อันนั้นก็ประมาณนั้นล่ะ” พี่เฮงส่ายหัว “พี่หมายถึงโปสเตอร์นั่นต่างหาก” พี่เต็มมองตรงไปยังผนังที่ติดโปสเตอร์ไว้
“อ๋อ~”
“Design by Tan”
“อันนั้นพี่เยนทร์เป็นคนลงให้ค่ะ” ฉันหมายถึงพี่ชเยนทร์ ลุงรหัส ซึ่งเป็นคนพิมพ์โปสเตอร์ให้ เพราะเด็กปีหนึ่งอย่างเรายังไม่มีความสามารถทำงานพิมพ์ระดับสูงขนาดนั้นได้
“บัตรเชิญเราเป็นคนแกะเองใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ..เป็นงานวู้ดคัทธรรมดา แต่ลงรายละเอียดเยอะ” ฉันถึงกับส่ายหัวเมื่อนึกย้อนถึงตอนลงมือแกะ “เลยต้องใจเย็น ค่อยๆทำ”
“เห็นละ...งานละเอียดยิบ” พี่เฮงย้ำสั้นๆแล้วเตือน “เก็บดีๆนะ ทั้งบัตรทั้งโปสเตอร์อย่าลืมเก็บเป็นพอร์ตโฟลิโอ”

คำแนะนำนี้แสดงถึงการยอมรับในฝีมือจากรุ่นพี่ทำให้ฉันเริ่มขัดเขินจนทำอะไรไม่ถูก
และคิดว่าพี่เฮงคงมองออก เลยเปลี่ยนเรื่องช่วย
“ไม่เป็นแฝดห้าแล้วเหรอเรา”
ฉันได้แต่ยิ้มแล้วส่ายหน้า
“ไม่ไหวค่ะ เดินทีหัวทิ่มที ยิ่งตอนนี้หนึ่งคนกำลังกรึ่มขนาดนั้น” ฉันพยักเพยิดไปยังกลุ่มในห้อง มินนั่งหน้าแดงในวงเพื่อนๆ
“ลงทุนกันเยอะนะกลุ่มเราน่ะ”
“ก็พอกับกลุ่มอื่นๆล่ะค่ะ ก็อยากได้รางวัลที่เอามาล่อใจ...แต่ก็ปิ๋ว สู้กลุ่มหนอนแฝดสิบไม่ได้” ฉันนึกถึงกลุ่มของพี่เจ๋งพี่รหัสปีสอง ที่รวมกลุ่มทำตัวเป็นก้อนหนอนกระดื้บอย่างพร้อมเพียงตลอดทั้งงาน “พวกพี่เขาอดทนกันมากเลยค่ะ ประมาณสามัคคีชุมนุม...ไม่ได้ก็ใจร้ายไปแล้ว”
พี่เฮงหัวเราะเสียงดังลั่น พยักหน้าเห็นด้วย
“แล้ว I Will Survive ใครเป็นคนต้นคิดล่ะ”

‘คืนนี้พี่เฮงพูดเยอะกว่าปกติ...สงสัยกรึ่มได้ที่เหมือนกันล่ะ’ ฉันยืนนึกอย่างแปลกใจปนขำ



“พลอยมันคิด” ฉันนึกย้อนกลับไปยิ่งขำจนอดยิ้มออกมาไม่ได้ “มันกะแกล้งครามคราวนี้ กว่าจะดึงให้ครามยอมทำตามได้ พลอยมันทั้งท้าทั้งหยาม ถึงได้สำเร็จ”
“ไอ้ชุดกล้ามนั่นก็...” พี่เฮงสะดุดเสียงหัวเราะพูดไม่จบประโยค
ฉันผงกหัวยิกรับ
“มินมันลงทุนให้พ่อมันส่งยางมาจากบ้านเลยค่ะ นั่งหล่อแบบกันตาเหลือกกว่าจะครบคน แล้วเอามายัดนุ่นด้านหลังให้มันนูนตามไบเซ็บไทรเซ็บอีก...จะลงทุนไปไหน” ฉันเหน็บตัวเอง “พี่เฮงเห็นใช่เปล่าคะว่ามันเหมือนจริงแค่ไหน นั่นครามลงทุนแอร์บลัชอย่างละเอียดยิบเลยค่ะ ขนาดไม่เห็นด้วยนะเนี่ย” ฉันหัวเราะไม่หยุด “ท่าเต้นก็ซุ่มซ้อมกันปานจะไปประกวดอคาซ่า”
เสียงหัวเราะประสานกันดังลั่น กว่าจะหยุดตัวเองได้ก็แทบขาดใจ
“เอาจริงกันยิ่งกว่าส่งงานประกวดศิลปะแห่งชาติอีกมั้ง” พี่เฮงเย้ากลับมา
ฉันได้แต่พยักหน้าเห็นด้วย รู้สึกตัวเองยิ้มจนปวดแก้ม
“สปิริตแรงกล้าดี เด็กปีหนึ่งปีนี้” พี่เฮงพูดขึ้น สายตาส่งมองเลยไป

ฉันหันมองตาม
ครามยืนกอดอกอยู่ไม่ไกล

“ไปก่อนนะ” พี่เฮงตบบ่าหนึ่งที เดินเฉียดไปก่อนบอก “เดี๋ยวพี่จะขึ้นเล่นปิดท้าย อย่าลืมตามไปฟัง”

สองหนุ่มมองหน้ากัน พี่เฮงพยักรับคำทักทายก่อนเดินสวนไป แล้วครามก็ก้าวเดินตรงมา

ใบหน้าขาวจัดปรากฏไรหนวดเขียวจางๆให้เห็นก้มต่ำลงจนมองเห็นแต่แพขนตายาวจนน่าอิจฉา รองเท้าผ้าใบสีดำบดขยี้ฝุ่นผงไปมาไม่ยอมหยุด

“ถ้าขุดทะลุไปเมืองจีน ชั้นไม่ช่วยฉุดดึงกลับมานะ” ฉันรอ...ให้ครามเงยหน้ามามอง
รองเท้าคู่นั้นกลับมายืนหยัดนิ่งไม่ไหวติง
เพียงแต่…ใบหน้าหันมองไกลออกไป ปล่อยส่วนท้ายทอยกลมกลิ้งมาทักทาย เห็นเศษไนล่อนสีดำติดอยู่บริเวณต้นคอ ฉันเอื้อมมือหยิบดึงออกมา ยกโชว์ให้ดูเมื่อครามหันกลับมามองจนได้
ตาดำขลับดิ่งลึกจนจับความรู้สึกใดไม่ได้
ฉันเป่าเศษด้ายนั้นลอยไป ครามมองตามทิศทางตามแรงลมส่ง จนมันอ้อยอิ่งทิ้งตัวลงแตะพื้น
ฉันตัดสินใจ...

“วันนี้พี่ฟ้าสวยมากเลยนะ” ฉันรู้สึกว่าตัวเองงี่เง่าไร้ชั้นเชิงสิ้นดี
แถมยังไม่อาจง้างปากหนุ่มขี้โมโหตรงหน้าให้ส่งเสียงอะไรออกมาได้
“วันนี้พี่เขาแต่งคู่มากับพี่เฮง...รู้ไหม” ฉันรู้สึกตัวเองงี่เง่ายกกำลังสอง
ขนตายาวกระพริบถี่ๆให้เห็นต่อหน้า รอยยิ้มจางๆค่อยจับดวงตาคมให้อ่อนแสงลง
ฉันไม่รู้ว่าตัวเองควรรู้สึกอะไรอีกต่อไปแล้ว

“หิว” ครามยิ้มกว้างแทนการง้องอน “ออกไปกินปาท่องโก๋กันเถอะ”
ฉันถึงกับหลุดหัวเราะอย่างอ่อนใจ
“ตอนนี้นี่นะ”
“อืม...เจ้าตรงใกล้ทางแยกรินคำที่ขายอาหารอิสลามไง” ครามคว้าตัวดึงตามจนแทบเซ “ไปเหอะ...อาหารที่นี่ไม่ถูกปากสักอย่าง”

เสียงกีต้าร์กับเมโลดี้คุ้นหูดังขึ้น ตามด้วยเสียงแหบต่ำคลอล้อ

~Blue moon
You saw me standing alone
Without a dream in my heart
Without a love of my own~



ฉันชะงัก เหมือนถูกเสียงร้องดึงให้หมุนตัวกลับไปยืนฟังตรงประตู
พี่เฮงยืนโซโล่กลางเวที เสียงแทบถอดมาจากอีริค แครปตัน

“Blue Moon” ฉันเงยบอกครามที่ตามมายืนไม่ห่าง “ชั้นนึกมาตั้งนานแล้วว่าเสียงพี่เฮงเหมือนใคร ที่แท้ยังกับลุงอีริคมาเอง”
“คืนนี้มีจันทร์ลอยให้เห็น” เสียงเข้มห้วนจัดจนฉันสะดุ้ง
ฉันพลาดครั้งใหญ่แล้ว ใบหน้านั้นนิ่งตึงราวกับผ้าที่ขึงไว้ กรามกดจนเห็นเป็นรอยสันบ่งชัดถึงรอยอารมณ์
“เขาจำที่แกขอไว้ได้” พูดยังไม่ทันขาดคำ ครามถอยหนี ขายาวก้าวเดินเหมือนแค่กระพริบตาก็หายลับจากไป


เสียงเพลงยังลอยทักทายไปทั่ว
แต่ฉันกลับไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยแม้แต่เสียงหัวใจตัวเอง ได้แต่ยืนนิ่งเหมือนถูกทิ้งให้คลุมด้วยความมืดรอบกาย แม้จะมีแสงไฟประดับจนทั่วแต่ฉันกลับมองไม่เห็นอะไรเลยแม้แต่แสงจันทร์






Create Date : 17 มีนาคม 2552
Last Update : 17 มีนาคม 2552 12:13:57 น. 32 comments
Counter : 1419 Pageviews.

 


โดย: ขุนพลน้อยโค่วจง วันที่: 23 มีนาคม 2552 เวลา:13:08:27 น.  

 
อ่านกำลังเพลินเลย หมดหน้าอีกแล้ว


โดย: ยายกุ๊กไ่ก่ วันที่: 24 มีนาคม 2552 เวลา:0:52:57 น.  

 
Photobucket

แวะมาทักทายก่อนค่ะ เดี๊ยวจะมาอ่านตอนที่ว่างกว่านี้ ดีใจจังที่อัพบล็อกแล้ว

คราวหน้าลองใช้โค้ดที่บล็อกบ้างก็ยินดีค่ะ บีจีที่แจก ตามสบายนะคะ


โดย: fleuri วันที่: 24 มีนาคม 2552 เวลา:3:03:37 น.  

 
Have A Good Day Pictures, Images and Photos

มาอ่านแล้วจ้ะ

และให้กำลังใจเจ้าของบล็อกด้วยค่ะ


โดย: fleuri วันที่: 1 เมษายน 2552 เวลา:6:33:13 น.  

 
สุขสันต์วันสงกรานต์นะค่ะ


โดย: ยายกุ๊กไ่ก่ วันที่: 11 เมษายน 2552 เวลา:21:58:35 น.  

 
HAPPY SONGKRAN DAY 6 Pictures, Images and Photos

สวัสดีปีใหม่ไทยค่ะ

มาขอรดน้ำหนึ่งขัน แบบบรรจง

ขอให้มีความสุขกาย สุขใจ

สุขภาพแข็งแรงค่ะ

ปอลอ เจ้าของบล็อกหายไปนานเลยเน๊อะ

สบายดีนะคะ


โดย: fleuri วันที่: 13 เมษายน 2552 เวลา:3:51:23 น.  

 

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

ไม่ได้อ่าน แต่แวะมาทักทายค่ะ
สวัสดีปีใหม่ไทยนะค่ะ


โดย: ดอกหญ้าเมืองเลย วันที่: 13 เมษายน 2552 เวลา:4:26:20 น.  

 



ตามมาคุยด้วยค่ะ จากที่คอมเม้นต์ไว้ที่บล็อก
ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นค่ะ

"โลกไม่ง่ายเพราะเราทำให้มันยาก
หรือว่ามันยากเพราะเราไม่เท่าทันมันกันแน่"

คิดว่าโลกจะยากหรือจะง่าย ขึ้นอยู่กับปัจจัยภายในคือใจของเราเอง รู้จักที่จะปล่อยวาง รู้จักที่จะทำใจ อะไรที่ว่ายากนั้น จะกลายเป็ฯง่ายไป

เราอ่านวิถีของเต๋าบทนี้ ทำให้นึกถึง

I have learned silence from the talkative, toleration from the intolerant, and kindness from the unkind; yet, strange, I am ungrateful to those teachers.

Kahlil Gibran

แรงบันดาลใจที่อัพบล็อกวิถีแห่งเต๋าบทนี้ เพราะเหตุการณ์ในประเทศไทยที่เพิ่งผ่านมา ติดตามจนถึงเช้าเลยค่ะ

ได้หยุดอีกสองวัน มองในด้านดีตอนนี้ ปีใหม่ไทยปีนี้หยุดหลายวัน ดีจังเลย


โดย: fleuri วันที่: 15 เมษายน 2552 เวลา:2:23:53 น.  

 
สวัสดีตอนบ่ายค่ะ

ชอบดูบีจี ตอนนี้มีมาใหม่อีกละ


โดย: fleuri วันที่: 16 เมษายน 2552 เวลา:3:03:36 น.  

 
Photobucket

คุณเจ้าของบล็อกอารมณ์น่ารัก

ชอบเขียนหนังสือ

และเขียนได้ดีด้วยค่ะ

ให้กำลังใจนะคะ


โดย: fleuri วันที่: 17 เมษายน 2552 เวลา:13:09:19 น.  

 
Photobucket

สวัสดีค่ะ

มาเยี่ยมกันค่ะ


โดย: fleuri วันที่: 22 เมษายน 2552 เวลา:7:17:06 น.  

 
สวัสดีจร้า ตอนนี้ก็จัดบ้านเข้าทีเข้าทางเรียบร้อย
แล้วค่ะ พอมีเวลาก็มาเยี่ยม จขบ สบายดีนะ่ค่ะ


โดย: ยายกุ๊กไ่ก่ วันที่: 22 เมษายน 2552 เวลา:23:06:48 น.  

 
เอิ๊ก ๆ ขำคุณเจ้าของบล็อก

ที่ไปเม้นต์ที่บล็อกค่ะ

บล็อกของเหมี่ยวเปรียบเหมือนร้านชำในหมู่บ้านจ้ะ

มีสินค้ามาสนองความต้องการของคนในหมู่บ้าน

เอิ๊ก ๆ นึกภาพออกไหม

Have a good one ! ค่ะ


โดย: fleuri วันที่: 23 เมษายน 2552 เวลา:5:24:47 น.  

 
คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...


โดย: สติแตก วันที่: 24 เมษายน 2552 เวลา:17:54:31 น.  

 
คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...


โดย: สติแตก วันที่: 25 เมษายน 2552 เวลา:7:31:35 น.  

 
Photobucket

สวัสดีวันเสาร์จ้ะ

คิดไว้แล้วเชียวว่าต้องชอบ

เพราะว่าเหมี่ยวสังเกตุบล็อกนี้อ่ะ

คือฝ่ายการตลาดของเรา
ได้ศึกษาและวิจัยความต้องการ
ของลูกค้า ร้านชำของเหมี่ยวจึง
จัดหาสิ่งที่ลูกค้าต้องการค่ะ
กิ๊ก ๆๆๆ

วันหยุดไปเที่ยวไหนจ๊ะ


โดย: fleuri วันที่: 25 เมษายน 2552 เวลา:14:12:38 น.  

 
Photobucket

มาส่งเทียบเชิญค่ะ

แท่ก แท่ก มาแว้ว


โดย: fleuri วันที่: 3 พฤษภาคม 2552 เวลา:22:59:53 น.  

 
เป็นนักเขียนเหรอคะ

ปูเองก็อยากเป็นเหมือนกัน

แต่ฝีมือไม่เก่งกล้าพอ

ปล ขอบคุณที่แวะไปหานะคร๊าาาาาาาา


โดย: beautiespoo วันที่: 23 พฤษภาคม 2552 เวลา:11:54:23 น.  

 


สวัสดีค่ะ

ดีใจจังเลย เหมือนทุกครั้งที่เห็นคุณจขบ
แสดงความคิดเห็นที่บล็อก เข้าใจว่าไม่ค่อยว่างอ่ะค่ะ

เล่าให้คุณแม่ฟังหรือยังคะเรื่องญาติของปลาดุกที่ตัวใหญ่มาก ๆ ท่านฟังแล้ว คงอยากจะผัดเผ็ดปลาดุกตัวใหญ่ให้ลูกสาวกินทันทีล่ะมังนะคะ อิอิ

แม่เราก็ชอบผัดเผ็ดปลาดุกให้ลูก ๆ กินค่ะ แม่ทำอร่อย ในความรู้สึกของเราเสมอ แม้ว่าคนอื่นทำอร่อยกว่า แต่เราก็ไม่เคยบอกแม่เราสักครั้ง เอิ๊ก ๆๆ

มีความสุขในวันพุธสีเขียวนะค๊า


โดย: fleuri วันที่: 3 มิถุนายน 2552 เวลา:6:09:27 น.  

 
มาตอบคำถามจ้ะ

ทำได้หลายวิธีเชียวค่ะ

1. copy บีจี และเซฟลงเครื่อง แก้ไขภาพที่เครื่องแล้ว และเซฟ และนำไปเก็บที่ photobucket หรืออื่น

2. https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=violette&month=24-05-2009&group=21&gblog=69

ทำกรอบสีโปร่งแสงตรงกลาง โค้ดสุดท้ายง่ายสุดค่ะ เราหามาจากเวปญี่ปุ่น วิธีคือ ใส่โค้ดบีจีภาพที่เราชอบ แล้วตามด้วยโค้ดกรอบนี้ค่ะ

รอบรองว่าตัวหนังสือเด่นชัดอ่านง่ายแน่นอน

3. สามารถแทรกรูปภาพในย่อหน้าได้นะคะ แนะนำใช้โค้ด float image จะคล้ายกับ word โปรแกรมที่ล้อมรูปภาพด้วยตัวหนังสือ แต่โค้ดนี้ศักยภาพไม่เท่าเวิร์ด ได้ด้านข้างและล่างเท่านั้น โค้ดนี้มีข้อดีอยู่มาก ประหยัดพื้นที่ รูปภาพและตัวหนังสืออยู่ในพื้นที่เดียวกันค่ะ

https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=violette&month=27-02-2009&group=16&gblog=23

ด้วยความยินดีนะคะ ถ้าไม่เข้าใจอะไร ยกมือถามได้อีกค่ะ ช่วยกันสวย เพื่อโลกงามค่ะ


โดย: fleuri วันที่: 8 มิถุนายน 2552 เวลา:9:30:35 น.  

 
Good morning Pictures, Images and Photos

สวัสดีค่ะ

เรามาเชิญไปรับแท่กจร๊า

ขอบคุณค่ะ

https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=violette&month=07-06-2009&group=2&gblog=43


โดย: fleuri วันที่: 9 มิถุนายน 2552 เวลา:8:58:37 น.  

 
Good Morning Pictures, Images and Photos

สวัสดีตอนดึกก่อนจะเข้านอนจ้า

ขอบคุณที่ไปอ่านแท่กจ้า และจะทำแท่กส่งด้วย
ปลื้มใจ คืนนี้นอนหลับฝันดีแน่ ๆ เลย และยิ่งมาเล่าว่าคุณแม่ถามถึงบล็อก ยิ่งปลื้มยิ่งขึ้น ฝากขอบคุณคุณแม่ด้วยค่ะ

เรื่องแท่กนั้น ไม่ต้องรีบร้อนหรอกจ้า ค่อยเป็นค่อยไปนะคะ เล่นกันสนุก ๆ ในหมู่เพื่อน ไม่ใช่สอบไฟนอล อิอิ

ดีใจด้วยกับหลานนะคะ ที่ได้รับหนังสือชุดบ้านเล็กเป็นรางวัล เป็นหนังสือที่น่าอ่านมาก อ่านกันตั้งแต่รุ่นน้า รุ่นพี่ ลูกหลาน กันเลยนะคะ คุยกับคนแคนาดา เขาก็อ่านกันค่ะ


โดย: fleuri วันที่: 14 มิถุนายน 2552 เวลา:13:56:16 น.  

 


สวัสดีค่ะ ...จูนก็ตาม Link ที่พี่เหมียวให้มาค่ะ ... ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ ...


เป็นนักเขียนด้วยเหรอคะ ... เก่งจังเลยนะค่ะ

แล้วจูนจะค่อยๆ แวะเข้ามาอ่านให้ครบทุกตอน ..

Have a nice day ค่ะ


โดย: June4 วันที่: 18 มิถุนายน 2552 เวลา:7:18:11 น.  

 
เดี๋ยวตามอ่านให้ครบเลย อ่านเพลินดีค่ะ


โดย: coji วันที่: 18 มิถุนายน 2552 เวลา:7:36:39 น.  

 
สวัสดีค่ะ

วันนี้มีเรื่องแปลกของผู้ยิ่งใหญ่ภาคต่อค่ะ
ลองไปอ่านดูนะคะ


โดย: raya-a วันที่: 18 มิถุนายน 2552 เวลา:14:30:37 น.  

 
สวัสดีคะ ไม่ค่อยได้อ่านนิยายออนไลน์เท่าไหร่ สายตาไม่ค่อยดี แต่ถ้าคืนไหนว่างๆ จะอ่านให้ครบคะ ชอบอ่านนิยายเล่มๆ คะ เป็นแฟนโสภาค สุวรรณ คะ ท่านอื่นๆ ด้วย


โดย: dolores วันที่: 22 มิถุนายน 2552 เวลา:19:44:18 น.  

 
สวัสดีค่ะ

เรื่องของท่านเข้าใจยากในบางบทค่ะ
แต่พอตีโจทย์แตกแล้ว
เราจะได้ประโยชน์น่ะค่ะ

เดี๋ยวมีตอนใหม่จะมาบอกนะคะ
เหลืออีก 5 ตอนแน่ะค่ะ

มีความสุขนะคะ


โดย: raya-a วันที่: 29 มิถุนายน 2552 เวลา:9:33:35 น.  

 
หวัดดีจ๊ะ ขอบคุณน๊าไปเยี่ยมที่บล๊อก ตะเองเขียนนิยายด้วย เขียนยาวด้วย ต้องอ่านตอนว่างๆ คืนนี้กลับดึก ดีใจที่ชอบอ่านธรรมมะ เป็นเรื่องที่ดีที่เราได้ฝึกฝน


โดย: dolores วันที่: 29 มิถุนายน 2552 เวลา:22:08:35 น.  

 

สวัสดีคะ แวะมาทักทายในวันที่อากาศดีๆ มีความสุขในการทำงานนะคะ



โดย: หน่อยอิง วันที่: 30 มิถุนายน 2552 เวลา:8:25:42 น.  

 
Photobucket

สวัสดีจ้ะ

ช่วงนี้งานยุ่งใช่ม๊า

รักษาสุขภาพนะคะ

คิดถึงเสมอค่ะ


โดย: fleuri วันที่: 10 กรกฎาคม 2552 เวลา:4:03:24 น.  

 
ขอบคุณที่แวะไปทักทายกันที่บ้าน ว่างๆ บีจะเข้ามาอ่านนะคะ


โดย: บี (beebeetoon ) วันที่: 13 กรกฎาคม 2552 เวลา:13:28:41 น.  

 
Photobucket

สวัสดีจ้ะ

คิดถึงเจ้าของบล็อกนี้เสมอนะคะ
และขอบคุณที่ไปเยี่ยมเยียนกันน๊า
วันนี้มีภาพวาดมาอวดจร๊า


โดย: fleuri วันที่: 15 กรกฎาคม 2552 เวลา:11:06:20 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Quaver
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 77 คน [?]




เป็นคนหัวแข็งที่มาพร้อมรอยยิ้มอ่อนๆ
เป็นคนหัวอ่อนที่มาพร้อมท่าทางแข็งๆ




Friends' blogs
[Add Quaver's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.