Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2551
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
9 กรกฏาคม 2551
 
All Blogs
 
เมื่อ...ผีเสื้อขยับปีก บทเรียนที่ 3 สายน้ำ





หลังวันพรีเซนต์น้องใหม่ พวกเราเด็กปีหนึ่งก็แทบไม่มีเวลาหายใจ แค่วิชาเรียนที่ดูแปลกแตกต่างก็ทำให้พวกเราหัวหมุนกันแทบแย่แล้ว การรับน้องที่ยังดำเนินต่อไปทุกเย็นยิ่งทวีความเคร่งเครียดให้พวกเราทุกคน

นอกจากการที่ต้องวิ่งรอบมหาวิทยาลัยเพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมที่จะเดินขึ้นดอย ทั้งบทเห่ที่แสนยาก การฝึกนั่งให้มีสมาธิและนิ่งที่สุดเพิ่อพิธีไหว้พระธาตุที่ดูยิ่งทวีความยากลำบากเมื่อกองทัพยุงออกรบในเวลาย่ำค่ำเข้าโจมตี การขยับแม้เพียงกระพริบตาก็จะเป็นเหตุให้รุ่นพี่พร้อมที่ตะโกนว๊ากอย่างไม่พอใจ

ครามถูกเลือกให้เป็นพ่อเพลง นำลีดในการทำพิธีไหว้สาพระธาตุ ซึ่งครามแสดงออกถึงความไม่พอใจที่ได้รับเลือกด้วยใบหน้าที่ไม่มีรอยยิ้มสักครั้งเวลาออกมายืนนำด้านหน้า แต่มันกลับตรงกับความต้องการของรุ่นพี่ที่พ่อเพลงต้องเคร่งขรึมและเอาจริงเอาจัง ทำให้ครามไม่สามารถหลีกเลี่ยงหน้าที่นี้ไปได้อย่างหวัง

เมื่อมีพ่อเพลงก็ต้องมีแม่เพลง คนสวยประจำรุ่นอย่างพลอยเตรียมตัวรับหน้าที่นี้เต็มที่ แต่ความผิดหวังก็สาดเข้ามาเต็มหน้า ฉันกับนิ่มถึงกับพร้อมใจดึงมือพลอยไว้คนละด้านแบบกลัวใจมัน กลัวว่าพลอยจะกระโจนตะกุยเมื่อพี่กรเลือกเนียงสาวใต้ตาคมผิวสีน้ำผึ้งทำหน้าที่แม่เพลงแทนที่จะเป็นมัน

พลอยมาบอกทีหลังว่า พอฉันกับนิ่มกระตุกแขนมันไว้ทันทีที่พี่กรประกาศชื่อเนียงออกมา มันแทบจะปล่อยก๊าก อารมณ์กรุ่นกลายหายเกลี้ยงกลับเป็นขำเราสองคนแทน

“ชั้นปลื้มพวกแกมากเลยว่ะ ทั้งรู้ใจทั้งเป็นห่วง ว่าแต่ว่า...แกสองคนห่วงใครกันแน่” พลอยพยักหน้าถามอย่างกวนแบบนักเลงขัดกับหน้าตา

“ห่วงชั้น หรือว่า...ห่วงพี่กรกลัวโดนชั้นทึ้ง”
“ชั้นห่วงพี่กร ตัวพี่เขาบอบบางซะขนาดนั้น รับมือแกไม่ไหวหรอก” ฉันตอบกลับไปแบบหน้าตาเฉย ส่วน
นิ่มก็อึกอักไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าพลอยด้วยซ้ำ

“เก๊งงงงง ระฆังหมดยก” มินแกล้งเข้าแทรกแยกทัพ ก่อนหันไปหาพลอย ยิ้มชวนมีเลศนัย
“ชั้นว่าแค่แกคิดว่าแกมีหวังได้เป็นแม่เพลง มันก็แปลกแล้วนะ”
“แก! ไอ้มิน แกหยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ”
พลอยแทบกระโจนใส่มินที่หลบผลุงไปอยู่ข้างหลังครามอย่างขอเป็นที่พึ่ง

“เราไปคาราโอเกะกันดีกว่า แล้วพวกแกจะรู้” มินส่งสียงแจ้วๆมาจากด้านหลัง
“เล่าไปเลย แน่จริงแกเล่าไปเลย” พลอยชี้หน้า ส่งเสียงแหวอย่างเหลืออด ก่อนสะบัดหน้าเดินไปอีกทาง

มินค่อยๆโผล่หน้าออกมา
“พวกแกก็รู้ ชั้นน่ะนั่งรถไฟมาตู้เดียวกับมัน แล้วทีนี้พี่ๆเขาก็มีให้ออกไปร้องเพลงไง ทีนี้เขาก็เลือกสาวสวยออกมาเป็นคนแรก โห...แกเอ๊ย.....”
มินหัวเราะหุ หุ ทิ้งช่วงเวลาเพื่อเรียกความสนใจ พวกเรานิ่งรอฟังแม้กระทั่งตัวเอกของเรื่องอย่างพลอยก็ยังอดไม่ได้

“ทั้งโหยหวน ทั้งเพี้ยน หาจังหวะไม่เจอแบบที่ชั้นไม่เคยได้ยินมาก่อนในชีวิต ทำเอาพี่กร เอาเป็นว่าทั้งตู้ นั่งตะลึงเงียบชวนสยองเลยแกเอ๊ย แถมเหมือนมันไม่รู้ตัวด้วยนะ ร้องไปเรื่อยอย่างมั่น จนพี่กรเขาทนไม่ไหวถึงกับต้องไปจับไหล่บอกให้หยุดนั่นล่ะ”

“เสียงนั่นยังติดหูชั้นอยู่เลย” มินถึงกับเป่าปาก “ชั้นน่ะไม่สงสัยเลยสักกะติ๊ดว่าพี่กรจะไม่เลือกมัน รับรองพี่เขาก็ยังสยองเสียงมันมาจนถึงวันนี้”

“แล้วนี่ยังทำเป็นมีความหวังจะเป็นแม่เพลง ต้นเสียงนำเห่ได้ไง ช่าง....” มินทำเสียงกึกกักอยู่ในลำคอ ฉัน นิ่มและครามต่างกัดริมฝีปากไว้แน่น เราต่างมองเห็นแล้วว่าพลอยพยายามสะกดอารมณ์แค่ไหนกับชุดใหญ่ของมิน

สาวสวยที่มีข้อบกพร่องหน้าแดงกร่ำ ทำอะไรไม่ถูกก่อนสูดลมหายใจเฮือกใหญ่สะกดอารมณ์
“แล้วไง ก็ชั้นสวย” พลอยสะบัดเสียงเชิดหน้าอย่างทะนง แววตาวิบไหวประกายอารมณ์ ให้พวกเราต้องรีบพยักหงึกหงักเห็นด้วยอีกตามเคย


แล้วหลังจากนั้นอีกหลายต่อหลายครั้งตลอดห้าปีที่เราต้องทนกับการพิสูจน์ข้อกล่าวหาที่มินมีต่อพลอย พวกเราสามคนที่เหลือต่างได้รับประสบการณ์แบบเดียวกับที่มินได้รับ จากระดับสยองชวนตะลึงในครั้งแรกที่พากันไปร้องคาราโอเกะค่อยๆลดระดับ กลายเป็นชาชินเป็นเรื่องปกติ


นอกจากการฝึกอย่างหนักในตอนเย็นจันทร์ถึงศุกร์แล้ว ธรรมเนียมของคณะที่เด็กปีหนึ่งต้องแต่งเพลงรุ่นและการทำธงประจำรุ่นหรือที่เรียกตามชาวล้านนาคือ ตุงรุ่น ทำให้พวกเราต้องมารวมตัวกันแม้ในวันหยุด ถือเป็นวิธีการอย่างแนบเนียนที่ทำให้คนแปลกหน้าต่างที่ต่างถิ่นรวมกลุ่มกันได้อย่างรวดเร็ว

ทำให้ฉันได้รู้ว่าเพื่อนหลายคนมีความสามารถทางดนตรีอย่างน่าทึ่ง การเขียนเพลงรุ่นเสร็จอย่างรวดเร็วทั้งคำร้องและทำนอง แล้วพวกเราก็ได้เพลงประจำรุ่นมาหัดร้อง

แต่สิ่งที่มาก่อปัญหาความขัดแย้งให้กับพวกเราก็คือ ตุงรุ่น โดยเริ่มจากกลุ่มผู้ชายที่มาจากกรุงเทพฯ ที่ยังไม่เคยขึ้นดอยสุเทพเลยสักครั้ง ต่างต้องการจะสร้างตุงให้มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อแสดงศักยภาพของรุ่นที่มีเด็กปีหนึ่งมากสุดตั้งแต่ตั้งคณะมา

ส่วนอีกฝ่ายที่ส่วนมากเป็นเด็กเหนือ ต่างก็รู้ซึ้งถึงความหฤโหดของเส้นทางการเดินขึ้นดอย แจงให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าแค่เดินขึ้นดอยมันก็เหนื่อยแทบขาดใจแล้ว แต่การต้องแบกตุงขึ้นไปพร้อมกันด้วยมันจะเพิ่มความสาหัสสากรรจ์โดยเฉพาะช่วงเส้นทางสุดท้ายก่อนถึงพระธาตุทางจะยิ่งชัน ความเหนื่อยที่สะสมมาตลอดทางอาจทำให้ไม่สามารถประคองตุงไม่ให้แตะพื้นได้

แต่เมื่อซาวเสียงกันแล้ว ความฮึกเหิมก็เป็นฝ่ายชนะ การออกแบบตุงรุ่นจึงเริ่มต้นแล้วเราจึงได้รู้ถึงความสามารถการเขียนลายไทของนิ่ม การตวัดลายเส้นได้อ่อนช้อยราวกับพริ้วไหวได้ สมกับเป็นเด็กที่มาจากอยุธยาเมืองเก่า นิ่มและเพื่อนๆที่เก่งศิลปะไทยรวมตัวกันออกแบบให้สอดคล้องกับเพลงรุ่นให้มากที่สุด เนื่องจากตุงเป็นทางยาว ลายที่ออกแบบมาจึงออกลวดลายพุ่งไปสุดฟ้า ลายกนกเกี่ยวหวัดร้อยรัดรวมกันจนสุดสายปลายตุงดั่งพวกเราทุกคนที่มาจากหลากที่หลายสายแต่กลับมาอยู่รวมกันเป็นหนึ่ง ณ คณะเดียวกันที่พวกเราจะได้ถูกหล่อหลอมความเป็นคนศิลปะสร้างสรรค์ผลงานที่คู่ควรกับการเป็นเด็กวิจิตร

หลังจากเย็บผ้าทำตุงเสร็จ การลอกลายเริ่มต้น หลังจากนั้นคือการเขียนทองซึ่งเป็นงานที่ต้องอาศัยฝีมือ สมาธิและเวลา การขยายเวลาหลังจากการรับน้องจึงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนพวกที่อยู่หอในมอต้องปีนกลับเข้าหอทุกคืนเพราะเลยเวลาปิดหอ แต่วันที่ตุงรุ่นสำเร็จ และถูกแขวนโชว์ที่กลางโดม มันคือความภาคภูมิใจของพวกเราเด็กปีหนึ่ง ความเหนื่อยทั้งกายและใจตลอดเวลาที่ผ่านมาก็สลายหายไปอย่างปลิดทิ้ง ที่เหลือคือผลงานที่จะคงทิ้งให้เป็นหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของคณะวิจิตรศิลป์กับน้องรุ่นต่อไป


เหมือนรุ่นพี่จะรับรู้ถึงความฮึกเหิมของพวกเรา การว๊ากจึงเริ่มต้นดุเดือด ทำลายความมั่นใจ พี่นวยสั่งให้ชาติ ผู้ชายตัวใหญ่ที่สุดของรุ่นเดินแบกตุงไปรอบคณะ ชาติเดินกลับมาด้วยสีหน้าแดงกร่ำ หอบจนเห็นได้ชัด

“พวกคุณไม่ประมาณตัวเอง เดินแค่นี้คุณก็แทบแบกตุงไม่ไหว ตุงใหญ่ขนาดนี้คุณจะแบกขึ้นดอยยังไงไม่ให้แตะพื้นสักครั้ง พอเดินขึ้นไปบนนั้นไม่ใช่แค่ระยะทางที่ยาวไกล ความชันที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แล้วยังแรงลมที่จะต้านสวนตลอดเส้นทาง ตุงขนาดใหญ่ของพวกคุณก็จะยิ่งเพิ่มน้ำหนัก คนหนึ่งคนจะแบกตุงได้ยังไง สับเปลี่ยนกันยังไง หรือคุณจะเป็นรุ่นแรกตั้งแต่ตั้งคณะมาที่จะปล่อยตุงรุ่นแตะพื้นก่อนถึงพระธาตุ” พี่นวยตวาดด้วยความโมโห รุ่นพี่ทุกคนหน้าเคร่งยืนล้อมวงมองพวกเราที่นั่งพับเพียบอยู่กลางลานกดบรรยากาศแทบหายใจไม่ออก

“พรุ่งนี้พวกคุณต้องมาบอกว่าจะจัดการยังไงกับตุงของพวกคุณ ไปคิดมาว่าจะใช้วิธีไหนที่จะสามารถแบกตุงใหญ่ขนาดนี้ได้”


จบการรับน้องพวกเรามานั่งซึมกัน แต่ละคนได้แต่มองหน้ากันไปมา พลอยหันมากระซิบที่ข้างหูฉัน
“ทีงี้ทำเป็นเงียบ ไอ้พวกชอบโชว์พาว บื้อกินไปเลยเห็นไหม ดูซิมันจะรับผิดชอบยังไง”

ซึ่งฉันก็รู้ว่ามันคือความในใจของเพื่อนอีกหลายๆคน แต่พวกเราต่างเงียบเอาไว้ไม่พูดออกมาเพื่อรักษาน้ำใจกันแม้แต่พลอยที่ปกติจะโผงผาง ถึงจะอดเก็บความในใจไม่ได้แต่ก็ไม่โวยวายออกมาให้เพื่อนเสียน้ำใจ

ความเงียบเข้าปกคลุมกดบรรยากาศสร้างความอึดอัดจนครามก้าวออกมาสางปมปัญหา

“ถ้าเราต่อไม้ขวางออกมาเป็นที่ถือตุง แล้วตรงกลางต่อเข็มขัดผูกตรงเอวให้คนถือตรงกลาง ส่วนเพื่อนอีกสองคนเป็นคนช่วยจับทั้งสองข้างไง ถือสามคนก็น่าจะไหว แล้วคอยสลับสับเปลี่ยนตลอดทาง เวลาทางที่ชันมากๆหรือลมแรงๆ พวกเราช่วยกันดันก็น่าจะได้นะ”

“เยี่ยม!!!” มินลุกตะโกนขึ้นมาทันทีที่ครามพูดจบ

“ไอ้บ้า!!!” พลอยตะโกนสวนขึ้นมาหน้าตาเฉย


เรียกเสียงหัวเราะทะลวงบรรยากาศความเคร่งเครียดจางหาย น้ำหนักความรับผิดชอบที่รุ่นพี่กระแทกลงมาที่บ่าคลายกลายเป็นแค่ปุยนุ่น ก่อความรู้สึกเบาและบางในอารมณ์จนนำพาเสียงเพลงคลอล้อรับความอุ่นจนอ้าวของสายลมฤดูร้อน

ครามทรุดตัวนั่งข้างๆ เสียงลอบถอนหายใจของครามทำเอาฉันต้องหันมองสบตา ปากขมุบขมิบบ่งบอกความรู้สึก ทำฉันอดไม่ได้ที่ต้องตบบ่าปลอบใจ แม้ครามไม่ได้พูดออกมาแต่ฉันคิดว่าฉันเข้าใจ ด้วยอายุพวกเราก็เป็นแค่เด็กที่เพิ่งจบชั้นมัธยมปลาย ถึงแม้จะอยู่ในรุ่นเดียวกันแต่ก็มีอีกหลายคนที่ด้วยวัยวุฒิมากกว่าพวกเราหลายปีทีเดียว มันมีศักดิ์ศรีบางอย่างราวกับเส้นที่ก้าวข้ามไม่ได้ขวางอยู่ ระยะเวลาที่เพิ่งทำความรู้จักกันมันยังไม่เพียงพอที่จะสลายความเป็นคนแปลกหน้า ความเป็นเด็กกว่าแต่ต้องก้าวออกมาเป็นผู้นำก่อความอึดอัดและก่อกำแพงการประเมินแบบไร้เสียงจากคนรอบข้างยิ่งทั้งกดทั้งดันให้ครามระวังตัวที่จะไม่ทำอะไรข้ามหน้าข้ามตาจนเกิดข้อเขม่นกันขึ้นมา

หลังจากถึงเวลาต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับหอ มินหันมาชวนแกมบังคับให้ไปต่อกันที่ร้านกระต๊อบริมคลองชลประทานที่เปิดแทบตลอดคืนต้อนรับลูกช้างที่ชอบกลายร่างเป็นนกฮูก

“แกอย่าไปคิดมากเลยว้า” ยังไม่ทันทรุดตัวลงนั่งมินก็หันไปพูดกับคราม “ทำหน้ายังกะแบกหิน ไม่มีใครเขาว่าอะไรสักหน่อย”

“อะไรวะ” พลอยหลุดปากออกมาอย่างงงๆ ในขณะที่นิ่มหันมองไปมาอย่างไม่เข้าใจ

มินพูดต่ออย่างไม่สนใจ “พวกพี่ศักดิ์เขาไม่ได้ว่าอะไรนะเว้ย แกอย่าไปคิดว่าแกทำอะไรข้ามหน้าข้ามตาเขาสิวะ”

“จะเอาสิทธิ์ที่ไหนมาว่าวะ ก็พวกเขานั่นล่ะที่ก่อปัญหาแล้วดันหาทางแก้ไม่ได้เองนี่หว่า” พลอยสวนขัดขึ้นมาทันทีที่สมองทำความเข้าใจเรื่องราว

มินหันขวับมองตรงที่พลอยก่อนพูดด้วยเสียงนิ่งเรียบ “ก็ชั้นบอกอยู่นี่ไงว่าพี่เขาไม่ได้ว่าอะไร” แล้วหันไปพูดต่อกับคราม “นี่พี่ศักดิ์เขาก็ให้ชั้นมาขอบใจแทน เขาเห็นแกเงียบๆไปก็กลัวว่าแกจะคิดมาก พี่เขาขอบใจจริงๆนะโว้ย ไม่งั้นยุ่งตาย_”

ครามพยักหน้ายิ้มรับอย่างโล่งใจ สะท้อนผ่านแววตากระจ่างใส ทำเอามินแกล้งโผเข้ากอด ส่งเสียงครางชวนหมั่นไส้

“แกอย่ายิ้มแบบนี้..... เดี๋ยวชั้นก็เบี่ยงเส้นทาง แล้วแกจะรับผิดชอบชีวิตชั้นไหม”

“เฮ้ยยยย !!!” พวกเราที่เหลือส่งเสียงออกมาพร้อมกับที่ครามยกเท้าถีบเก้าอี้ที่มินนั่งกระเด็น มินลุกขึ้นมาช้าๆทำเป็นปัดฝุ่นที่ขากางเกงก่อนยกเก้าอี้มานั่งต่อหน้าตาเฉยพร้อมเสียงหัวเราะที่ดังประสานก้อง


“พี่ศักดิ์เขาเป็นรุ่นพี่ที่ช่างศิลป์ใช่ไหม เขาอายุเท่าไรแล้ว” หลังจากเหตุการณ์สงบฉันหันไปถามมิน

“พี่เขาอยู่ปีสามตอนชั้นเพิ่งเข้า ก็น่าจะราวๆ21-22แล้วมั้ง พี่เขาไทร์จากศิลปากรมาแกรู้ไหม”

“21-22 เองเหรอ เห็นหน้าแล้วชั้นนึกว่าสัก 30 ตอนเจอกันที่หัวลำโพงชั้นยังเข้าใจว่าเป็นรุ่นพี่คณะ ตอนนั้นพี่ศักดิ์แกยังไว้ผมยาวถึงกลางหลังอยู่เลย พอตัดผมค่อยดูเป็นเด็กใหม่ขึ้นมานิด..นิดเดียวนะ” พลอยประชดแกมขำ

“พี่ศักดิ์แกตัดสินใจเอ็นท์ใหม่ที่เชียงใหม่เพราะแกว่าถ้ายังอยู่ที่เดิมแกคงไม่จบ มัวแต่เที่ยว กินเหล้าไม่ยอมเรียน แกมาถึงที่นี่จะได้ไม่ต้องเจอเพื่อนเก่าจะได้เรียนรอด แกอยากให้แม่ได้เห็นแกรับใบปริญญาจากในหลวง แต่ชั้นสงสัยว่าถ้าจะยากว่ะ” มินถอนหายใจ “ก็...ทั้งเพื่อนทั้งรุ่นน้องที่ซี้ๆกันที่ช่างศิลป์ดันติดมาเป็นกลุ่มพร้อมกันแบบนี้ ชั้นว่าแกคงกลุ้ม ไม่รู้จะว่าเห็นอนาคตหรือไม่เห็นอนาคตดี”

มินพูดไม่เว้นช่อง“แต่แกเป็นคนดีนะโว้ย ดีโคตรโคตรเลยถึงหน้าตาเป็นผู้ร้ายหนังไทยขนาดนั้น แกฝากมาบอกว่าไม่ต้องเกรงใจว่าพวกแกอายุมากกว่า ไหนไหนก็ติดมารุ่นเดียวกันแล้วเพื่อนก็คือเพื่อน ไม่ต้องดูที่อายุ แกบอกว่าแกเคยเป็นไอ้ว๊ากเกอร์นี่มาก่อน รู้ดีเลยว่ามันต้องไปไหนแบบไหน แกถึงไม่อยากเข้ามายุ่งมาก พอรู้ทันแล้วแกเลยไม่ค่อยซีเรียส แต่แกกลุ้มมากเรื่องตุงนั่นล่ะ ถ้าหาทางแก้ปัญหาไม่ได้ แกคงโทษตัวเองจนต้องยอมแบกตุงจนตัวตาย” มินพูดติดตลก “ยังดีที่ครามแกช่วยไว้นะโว้ย พี่เขาซาบซึ้งมากกก”

จากนั้นหันไปพูดกับนิ่มต่ออย่างติดพัน “รับน้องก็อย่างงี้ล่ะนิ่ม ไม่ว่าทำอะไร จะทำดีแค่ไหนหรือไม่ได้ทำอะไรเลยรุ่นพี่เขาก็หาข้อตำหนิจนได้ มันก็เป็นของมันแบบนี้ นิ่มก็อย่าน้ำตาร่วงเลย พี่ศักดิ์เขาเป็นห่วงน่ะเลยฝากชั้นมาบอก”

นิ่มทำเสียงอึกอักในลำคอทำนองปฏิเศษว่าไม่ได้ร้องอะไรซะหน่อย เลยโดนพลอยแกล้งจับหัวโยกไปมาพร้อมกับเสียงจิ๊จ๊ะปลอบใจ คราวนี้นิ่มเลยยิ่งทั้งอึกอักทั้งหน้าแดงกร่ำ บรรยากาศรอบข้างผ่อนคลายรับสายลมอุ่นพัดกลิ่นน้ำจางๆ มันคือกลิ่นของบรรยากาศที่ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม ยามที่ได้กลิ่นน้ำเฉกเช่นนี้โชยมา มันจะนำภาพคืนวันนี้กลับมาพร้อมกับมันด้วยเสมอ

นี่สินะเหตุผลในตัวมันเองสำหรับการรับน้องที่ฉันปฏิเศษจะมองเห็น ตั้งแต่แรกที่ฉันต่อต้านอยู่ลึกๆ ฉันเฝ้าคิดแต่ว่าเมื่อก้าวเข้ามาสู่โลกที่อิสระทางความคิดและการกระทำมีเสรีในตัวมันเอง ฉันกลับมาเจอการตีกรอบและการบังคับที่ไม่คิดว่าจะมี เมื่อครั้งที่ฉันหยุดไปคณะเพื่อการรับน้อง ฉันกลับต้องเจอพี่รหัสมาเคาะประตูห้องที่หอพักพาไปตรวจที่โรงพยาบาลสวนดอก เพียงเพราะเพื่อนช่วยกันอ้างว่าฉันป่วยมาไม่ไหว แล้วในที่สุดวันนั้นทุกคนก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะฝึกซ้อมทุกอย่างเพื่อที่จะรอให้ฉันหายป่วยมาซ้อมพร้อมกัน จากนั้นแม้ฉันไม่เต็มใจแต่ก็ไม่เคยขาดเพราะรับรู้แล้วว่าผลจากการกระทำของคนเพียงคนเดียวจะไปขัดขวางงานของส่วนรวม ทุกอย่างคือความรับผิดชอบร่วมกัน

จนมาถึงวันนี้ฉันเริ่มรับรู้ขึ้นมาทีละนิด เด็กที่จากบ้านมาไกลห่างความคุ้นชินเดิม เจอกับโลกใบใหม่ที่มากสีสันสร้างความตื่นตาตื่นใจ ปนเปความหวาดหวั่น มันไม่ยากเลยที่จะเดินเป๋ตกเส้นทางที่คิดหวังเอาไว้ การเดินทางเพียงลำพังมันก่อความเหงาจนเกินไป การมีมือที่ต่างคอยประคับประคองร่วมทางช่วยสร้างความอุ่นใจ เรื่องราวในเวลาการรับน้องเพิ่มการกดดันให้ต่างคนต่างต้องทำความรู้จักกันโดยเร็ว เรียนรู้นิสัยใจคอและเริ่มสร้างสายใยความผูกพัน ไม่อย่างนั้นพวกเราคงต่างคนต่างไป ใช้เวลาอีกยาวนานที่จะสร้างความเป็นเพื่อน ฉันเองอาจไม่สนใจแม้จะใช้เวลาทำความรู้จักกับพี่ศักดิ์ด้วยถูกฉากหน้ากั้นกลางไว้ เราสองคนอาจพูดคุยแค่ในห้องเรียน สุดท้ายอาจเป็นได้เพียงแค่เพื่อนร่วมรุ่น ปัญหาที่โถมมาให้แก้ไขทำให้พวกเราเห็นตัวตนแต่ละคนชัดเจนทีละนิดจนสนิทกันได้เร็วขึ้น รู้จักนิสัยใจคอกันมากขึ้น และยอมรับข้อเสียของกันและกันได้ง่ายขึ้น


ตอนปีสามเมื่อฉันได้กลายเป็นว๊ากเกอร์ ฉันมองย้อนมองกลับมาด้วยความตลกตัวเอง เหตุผลมากมายที่ตีกันในใจฉันตอนนี้ ส่งผลมากมายให้ฉันในเวลาต่อมา ฉันจัดการกับรุ่นน้องบางคนด้วยความเข้าใจอย่างที่ตัวเองเคยรู้สึก ฉันไม่ได้อ่อนข้อ คาดหวังเพียงว่าเด็กใหม่จะตกผลึกทางความคิดได้ด้วยตัวเองเฉกเช่นเด็กวิจิตรทุกคนได้ผ่านพบมา


ใกล้วันลูกช้างขึ้นดอย การซ้อมก็ยิ่งทวีความเข้มงวดควบคู่กับความสนิทสนมที่มากตามมา การพูดจาแซวเล่นจนแซวแรงมีมาให้ได้ยินเยอะขึ้นตามวันเวลา ความอึดอัดใจในบางคราก็ผ่อนคลาย นิสัยใจคอใครเป็นอย่างไรก็เริ่มเปิดให้เห็นจนแทบไม่มีใครเก็บกั๊กตัวตนเอาไว้มีแต่ช่วงชิงเวลาปล่อยโชว์อย่างบ้าบอ

มาถึงวันที่รุ่นพี่แจกเสื้อรุ่นที่ไว้ใช้ใส่ขึ้นดอยพร้อมผ้าพาดไหล่สีแดงเขียนลายรุ่นที่ตรงชาย จนเริ่มมีการแลกเสื้อกันไปมาเพื่อหาขนาดให้พอดีตัว เสื้อผ้าฝ้ายสีขาวพิมพ์ลายรุ่นสีแดงที่หัวไหล่ขวา เสื้อคอจีนแขนกว้างต่อแขนยาวก่อบางปัญหาโดยเฉพาะกับมินที่โวยวายขึ้นมาว่าแขนเสื้อสั้นเต่อจนน่าเกลียดเกินกว่าจะยอมใส่ทำเอาพลอยยอมตัดปัญหาเอาเสื้อตัวเองมาแลก ซึ่งก็น่าแปลกที่ต่างฝ่ายต่างก็แลกได้ขนาดพอดีตัว

วันซ้อมใหญ่ที่พวกเราต้องสวมเสื้อรุ่นครบชุด เสื้อผ้าฝ้ายสีขาวตัดด้วยผ้าพาดสีแดงที่ไหล่ซ้ายกลับให้เราทุกคนกลายเป็นชาวล้านนา ทุกอย่างช่างดูขลังและศักดิ์สิทธิ์จนทุกขั้นตอนผ่านไปอย่างงดงามไม่มีข้อผิดพลาด และนี่เป็นครั้งแรกที่ได้รับคำชมจากพี่กรคนพูดน้อย ทำให้หลายคนต้องแอบอมยิ้มด้วยความดีใจ


เมื่อถึงวันลูกช้างขึ้นดอย พวกเรารวมตัวกันที่หน้าคณะ รุ่นพี่ต่างมาช่วยกันจัดระเบียบดูความเรียบร้อยพร้อมสวมสร้อยรุ่นให้พวกเราทีละคน แล้วต้อนพวกเราเดินเป็นแถวพร้อมคำสั่งที่เป็นเด็ดขาดว่าห้ามพูดห้ามคุยห้ามหันไปมา และห้ามทักทายแม้เพื่อนนอกคณะจะส่งเสียงเรียกก็ตาม
เมื่อมาหยุดยืนที่ศาลาธรรม ขณะรอพิธีกรรมให้ดำเนินจนถึงการเว้นระยะปล่อยนักศึกษาแต่ละคณะ รุ่นพี่จะยืนขนาบเด็กปีหนึ่ง กันเสียงแซวจากเพื่อนร่วมมหาลัย แต่ดูราวจะไม่จำเป็นแค่หน้าตานิ่งเฉยของรุ่นพี่แต่ละคนก็เป็นเกราะอย่างดีไม่มีใครหน้าไหนกล้าเสี่ยง การยืนนิ่งเงียบที่พวกเราถูกกำชับมาตลอดระยะเวลาการฝึกซ้อมท่ามกลางเสียงพูดคุยของเด็กคณะอื่นทำให้เราลดความตื่นเต้น สร้างสมาธิจดจ่อกับตัวเองและรู้สึกถึงความขลังของพิธีนี้มากยิ่งขึ้น

มาถึงเวลาปล่อยเดินมาพอเป็นพิธีไม่ไกลนักเพียงแค่บริเวณศาลครูบาศรีวิชัยที่ตีนดอย พวกเราถูกต้อนไปนั่งบริเวณน้ำตกเพื่อหยุดพักกินข้าวก่อนนั่งดูเด็กคณะวิศวะและคณะเกษตรแข่งกันเพื่อขึ้นถึงพระธาตุเป็นคณะแรก รุ่นพี่ก็ลดความแข็งขันจนทำตัวสบายๆ พูดอย่างสนุกว่าคณะเราไม่แข่งกับใครเราแข่งแค่ตัวเราเอง

รุ่นพี่คณะพยาบาลเข้ามาทักทายพร้อมแจกก้อนสำลีผสมแอมโมเนียเรียกเสียงแซวอย่างสนุกสนาน ทำเอาพี่ๆหลายคนตามเก็บค้อนที่หล่นเกลื่อนกลาดจากสายตาว่าที่พยาบาลคนสวย


ตุงรุ่นที่ครามต้องเป็นคนถือเป็นคนแรกในฐานะพ่อเพลงถูกยกขึ้นพร้อมกับมินและพี่ศักดิ์เป็นสัญญาณการเริ่มเดินขึ้นดอยอย่างจริงจัง และก็เป็นจริงดังคำที่รุ่นพี่เตือนเอาไว้ ยิ่งสูงขึ้นไปเท่าไร น้ำหนักตุงก็ยิ่งกดทับ ลมที่ต้านมาเป็นระยะทำเอาพวกเราต้องต่างช่วยกันดัน ระยะการผลัดเปลี่ยนคนถือตุงก็สั้นลงเรื่อยๆ แม้คนที่ไม่ได้ถือตุงก็ถูกระยะทางของการขึ้นดอยทอนกำลังไปอย่างรวดเร็ว การขาดช่วงของแต่ละกลุ่มที่ขอหยุดพักจนเริ่มรวมกลุ่มกับเพื่อนต่างคณะมีมาให้เห็นตามรายทาง

เมื่อมาถึงจุดพักชมวิวระหว่างทาง นิ่มขาสั่นเสียจนทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดแรง ทำเอาฉันต้องรีบฉุดตัวให้ยืนขึ้นเพราะรู้ซึ้งว่าถ้าปล่อยให้นั่งลงไปแล้วต่อไปจะก้าวขาไม่ขึ้น นิ่มส่งเสียงประท้วงเบาๆทำเอาครามที่ไม่ต้องรับหน้าที่ถือตุงอีกแล้วก้าวเข้ามาฉุดแขนอีกข้าง

“ไหวไหมนิ่ม ถ้าไม่ไหวก็รอขึ้นรถก็ได้ พี่เอื้อยบอกไว้ว่าจะตามขึ้นมาเก็บทีละคนที่เดินไม่ไหวแล้ว” นิ่มส่ายหน้าปฏิเศษบ่งบอกอาการคนที่เหนื่อยจนพูดไม่ออก

“เราไปด้วยกัน” ฉันพยักหน้าเรียกแรงจากใจให้มันมาทดแทนแรงจากกายที่กำลังค่อยๆหมดลง

พวกเราต่างคนต่างผลัดกันช่วยไปจนถึงเส้นทางสุดท้ายก่อนถึงพระธาตุ เมื่อเดินมาหยุดตรงสายน้ำที่ตกไหลรินข้างทาง กวักทั้งดื่มทั้งล้างหน้าเรียกพลังเฮือกสุดท้าย ทางที่เห็นแค่เอื้อมกลับชันเสียจนต้องแหงนหน้ามองถอนหายใจด้วยความพรั่นพรึง รับรู้ว่าเหลือแค่เฮือกสุดท้ายจะก้าวถึงเส้นชัย ทุกอย่างที่อดทนพยายามมาจะผลิดอกออกผลตอบแทน

ฉันยืนมองย้อนเส้นทางยาวลดเลี้ยวสุดสายตาจากจุดนั้นแล้วแทบไม่อยากเชื่อพลังของตัวเองที่สามารถเดินเท้าขึ้นมาจนถึงจุดนี้ เมื่อหันกลับมาครามก็มีอาการไม่ต่างกัน เราสองคนรับรู้ถึงความรู้สึกผ่านรอยยิ้ม ขาสั่นระริกก้าวทีละก้าว ตัวก้มโน้มราวคำนับถึงความพยายามของชนรุ่นหลังที่ใช้ความศรัทธาแพ้วถางทางอันสุดหฤโหดของดอยสุเทพเพื่อสร้างสถานสักการะพระธาตุอันกลายมาเป็นศูนย์รวมจิตใจชาวล้านนาทุกยุคทุกสมัย

ส่วนเพื่อนที่ต้องแบกตุงเป็นระยะสุดท้ายก็ต้องอาศัยเพื่อนอีกหลายชีวิตช่วยกันทั้งดันและดึงให้ขึ้นไปจนถึง กลายเป็นประสบการณ์เรียกเสียงหัวเราะ กระเซ้าเย้าแหย่ได้ทุกครั้งที่ย้อนกลับมา


จนถึงเวลาคณะวิจิตรศิลป์ขึ้นแสดงที่ตีนบันไดพระธาตุ พวกเราเดินเรียงแถวอย่างที่ฝึกซ้อมมาโดยตลอด บรรยากาศรอบข้างสงบเคร่งขรึม เหล่ารุ่นพี่ยืนถือตุงรุ่นที่บันไดขั้นบนสุด ตุงสีแดงตั้งตะหง่านท้าทายฟ้ากว้างสีครามจัดอย่างทะนง ลายกระหนกทองดั่งระลอกน้ำแต่ละสายกวัดเกี่ยวร้อยรัดจากหลากเส้นสายรวมเป็นธารน้ำหัวใจเดียวน้อมรับการก้าวสู่ความเป็นลูกช้างด้วยความถ่อมตน

ครามในฐานะพ่อเพลงใส่เสื้อผ้าฝ้ายสีแดงออกไปยืนด้านหน้า พวกเราเด็กปีหนึ่งนั่งเรียงบริเวณขั้นบันไดหกแถวเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มือกุมไว้ที่หัวเข่า มองตรงรอสัญญาณที่พ่อเพลงส่งมาเริ่มเพลงเห่ การเฝ้าฝึกซ้อมมาตลอดส่งผลนำทุกอย่างไร้ข้อผิดพลาด เสียงใสกังวานราวระฆังแก้วเนื้อดีจากเนียงแม่เพลงดังนำเสียงเด็กปีหนึ่งคณะวิจิตรศิลป์ดังก้องสะท้อนทั่วดอย

เฮ้...เฮ เฮ้...เฮ เฮ เห่ เฮ เฮ.....

เห่ เห่ เฮ้...เฮ เฮ เห่ เฮ เฮ.....

ผองเรา...ชะ เลือดแดงชาด...ชะ

ข้นทุกหยาด มุ่งมาดไป...ฮ่า ไฮ้

หนทางยากเพียงใด เราก้าวไปไม่หวั่นเกรง

เฮ้...เฮ เฮ้...เฮ เฮ เห่ เฮ เฮ.....

เห่ เห่ เฮ้...เฮ เฮ เห่ เฮ เฮ.....

ด้วยศรัทธา...ชะ อันกล้าแกร่ง...ชะ

เราร่วมแรงฝ่าฟันไป...ฮ้า ไฮ้

วิจิตรศิลป์ล้านนาไทย จุดประกายให้โลกงาม

เฮ้...เฮ เฮ้...เฮ เฮ เห่ เฮ เฮ.....

เห่ เห่ เฮ้...เฮ เฮ เห่ เฮ เฮ.....



ทุกสรรพเสียงนิ่งเงียบ ครามยืนราวรูปสลักทิ้งทอดระยะเวลาชั่วขณะก่อนส่งสัญญาณครั้งสุดท้าย รุ่นสายน้ำประกาศตัวตนขอฝากตัวเป็นลูกช้างด้วยเพลงประจำรุ่นที่ดังขึ้น

ละลอยล่องลำน้ำแห่งสายใย ผูกดวงใจร้อยพันรวมเป็นหนึ่ง

ดั่งสายน้ำเยือกเย็นเห็นคำนึง ร่วมเป็นหนึ่งแม้หลายสายไหลหลั่งรวม


ทุกครั้งที่ฉันมองย้อนกลับผ่านภาพถ่าย ภาพที่ลอยให้เห็นผ่านสายลมของกาลเวลา ไม่ใช่แค่ความภาคภูมิใจปนทะนงในตนเองของเด็กรุ่นสายน้ำในขณะนั้น แต่รวมถึงภาพพี่นาวิน พี่กร พี่นวย พี่สุกรีที่คอยเป็นหลักเคี่ยวกรำเด็กหัวดื้ออย่างพวกเรามาโดยตลอดต่างเกร็งกำหมัดแน่นยืนเคียงข้างพร้อมรุ่นพี่ทุกๆคน ลุ้นแทบทุกวินาทีของการแสดง มันสะท้อนให้เห็นเด่นชัดผ่านสีหน้า ท่าทาง จนถึงวินาทีไฮไลต์หลังสิ้นเสียงเพลงที่พวกเราค่อยๆคลี่กลีบพัดผ้าสีแดงขนาดใหญ่เรียงทีละคน ลดหลั่นทีละแถวจนจบเป็นรูปสามเหลี่ยมที่แถวบนสุด ณ ช่วงวินาทีนั้นมีหยดน้ำตาแห่งความภาคภูมิใจซ่อนอยู่จากใบหน้าก้มต่ำของพี่นาวิน หัวหน้าว๊ากเกอร์ที่ทั้งเข้มงวด ทั้งหน้าตายไม่แสดงอารมณ์ให้ใครรู้โดยง่าย มันคือหยดน้ำตาหยดเล็กๆแต่เต็มเปี่ยมไปด้วยความยิ่งใหญ่ทางอารมณ์ที่ไม่ต้องมีคำอธิบายใด

หยดน้ำตาหยดนั้นนำพาภาระแห่งเกียรติยศวางไว้ที่ไหล่ของพวกเรา รอเวลาส่งผ่านยังน้องรุ่นต่อมาให้พบแนวทางก้าวสืบสานเส้นทางแห่งความทรงจำสายแรกของการเป็นเด็กวิจิตร เพื่อให้พวกเขาได้จรดฝีแปรงแรกวาดภาพอันงดงามทางอารมณ์ คงจารและจำในหัวใจเฉกเช่นเด็กวิจิตรศิลป์ทุกรุ่น





Create Date : 09 กรกฎาคม 2551
Last Update : 5 ธันวาคม 2551 11:03:20 น. 1 comments
Counter : 574 Pageviews.

 

ใจเย็นๆ ค่อยคิดค่อยทำ ประโยคนี้บอกตัวเองประจำเหมือนกันค่ะ


โดย: ดอกหญ้าเมืองเลย วันที่: 1 กันยายน 2551 เวลา:3:56:59 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Quaver
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 77 คน [?]




เป็นคนหัวแข็งที่มาพร้อมรอยยิ้มอ่อนๆ
เป็นคนหัวอ่อนที่มาพร้อมท่าทางแข็งๆ




Friends' blogs
[Add Quaver's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.