Indonesia_5 ธค. และ 6 ธค. ออกเดินทางไกล
 

-- วันที่ 5 ธค. และ 6 ธค. ออกเดินทางไกล –

 

                หลังจากที่ทั้งชุนและแอมแยกย้ายไปกินข้าววันพ่อกับครอบครัวแล้วเราก็กลับไปอาบน้ำแล้วไปที่ดอนเมือง สนามบินดอนเมืองไม่ค่อยเหมาะจะไปนั่งรอใครนานๆแล้วนะเพราะไม่ค่อยมีอะไรให้เดินเลย นอกจากจะเดินดูความแตกต่างกับสนามบินสมัยใหม่เป็นความรู้ติดตัวเล็กๆน้อยๆ แอร์เอเชียเริ่มต้นกับเราได้อย่างน่าประทับใจด้วยการเลื่อนไฟลท์ก่อนเดินทางอยู่หลายๆวันออกไป 1 ชม. พร้อมกับไฟลท์ดีเลย์ให้อีก 1 ชม. ทำให้ไปถึงสุราบายาจริงๆราวตีหนึ่ง แผนที่เราวางไว้ว่าจะไปให้ถึงราวห้าทุ่มกลายเป็นตีหนึ่งวันที่ 6 สนามบินสุราบายาก็สภาพคล้ายๆกับดอนเมืองเนี่ยแหละไม่มีอะไรน่าสนใจมากนัก คนขับรถจาก Pink House ชื่อ Hadi (ฮาดี้) ชายวัย 30 รูปร่างอ้วนใหญ่ ผมลอน ใส่แว่น อารมณ์ดี หน้าตาน่าเอ็นดู อยู่ในชุดสบายๆ ก็ยืนรอรับเราอยู่ที่สนามบิน หลังจากนั้นเราก็ออกรถเดินทางข้ามคืนทันที

 v

หลังจากหลับบนรถมาซักพัก เราก็ขึ้นเขามาถึงจุดเปลี่ยนรถเป็นรถจิ๊บ ที่นี่เหมือนกับว่าแบ่งสัมปทานกัน ห้ามรถขึ้นต่อ ต้องใช้บริการรถจิ๊บของชาวบ้านเท่านั้น รถจิ๊บสีแดงสดพาเราขับลุยทะเลดินภูเขาไฟและขึ้นเขา Penanjakan ต่อไปจนถึงตีนจุดชมวิวให้เดินเท้าต่อไปอีกซัก 500 เมตร กว่าจะขึ้นถึง ชมโบรโม่ได้ก็ตีห้า ซึ่งพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว (มีพี่ที่ไปถึงแต่เช้าบอกว่าเช้ากว่านั้นก็ไม่เห็นพระอาทิตย์เพราะหมอกเยอะ) แต่ต้องบอกว่าพระอาทิตย์ขึ้นแล้วสวยกว่าตอนมืดๆเยอะเลย ทริคของจุดนี้คือจุดชมวิวเห็นภาพกว้างแต่มีลูกกรงมากันมากมาย ทำให้ไม่สวยเท่ากับบริเวณหลังห้องน้ำตรงทางขึ้น (ลงรถแล้วถึงเลย ก่อนจะเห็นร้านขายของใดๆ) บริเวณนั้นไม่ค่อยมีคน และไม่มีอะไรกั้น แต่จะเห็นภาพไม่กว้างเท่ากับจุดชมวิว หลังจากได้ดูทั้งสองจุดรู้สึกว่าถ้าอยากถ่ายรูปคนด้วยควรจะใช้เวลาหลังห้องน้ำให้มากจะดีกว่านะ

 

อากาศในตอนเช้านี้ถือว่าดีมากเลย เย็นสบายไม่หนาวเกินไป เสื้อแจ๊กเก๊ตซักตัวก็อยู่แล้ว อ้อ อย่าไปหลงเชื่อชาวเขาที่มาขายอุปกรณ์กันหนาวมากมายตั้งแต่ลงรถจิ๊บนะ เค้าจะบอกว่าหนาวฝุดๆ เพื่อขายของน่ะ

 

โบรโม่คือภูเขาไฟลูกที่มีควันพุ่งออกมา ส่วนลูกสวยๆข้างหน้าชื่อบาต๊อก และสูงที่สุดด้านหลังคือสุเมรุ ซึ่งสูงที่สุดในอินโดนีเซีย

ออกจากจุดชมวิวนี้เราจะไปเดินขึ้นปากปล่องภูเขาไฟโบรโม่กัน รถจิ๊บสีแดงสดพาเราลงเขาไปอีกครั้ง ระหว่างทางมีจุดชมวิวอยู่ประปราย ให้ตาไวๆแล้วบอกคนขับให้จอดได้เลย เช่น จุดชมวิว Love Hill เป็นต้น

 

              

  

 

          

     

จากตีนเขา Penanjakan ไปโบรโม่จะผ่านทะเลดินภูเขาไฟที่ผ่านไปเมื่อเช้า เป็นทุ่งโล่งกว้างๆอยู่ในหุบเขาไม่สูงนัก รถจิ๊บขับบนนี้ได้มันส์มากราวกับถนน off road ดีๆนี่เอง เช่นเดียวกับเมื่อเช้า รถจิ๊บจะต้องจอดหยุด ณ จุดจอดคล้ายๆคาราวานที่มีคนขายอาหารบ้างไรบ้าง ที่ต่อจากนี้ไปจะต้องเดินเท้าอีก 2 กม. หรือเลือกใช้บริการม้าที่มีมาเสนอเป็นหลายสิบตัว ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ห้าแสน ถ้าไม่เอาเดินไปอีกซักสองก้าวอาจจะลดเหลือแสนห้า และเหลือเพียงห้าหมื่นในอีกร้อยสองร้อยเมตร อย่างไรก็ตามต้องบอกว่าห้าหมื่นนี้ได้ถูกมากเนื่องจากเราไปเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มท้ายๆแล้ว ถ้าเช้ากว่านั้นช่วงลูกค้าเยอะๆอาจจะซักแสนนึงก็ถือว่าโอเคล่ะ  

 

  

              การเดินทางเช้านี้แม้ว่าแดดจะแรงแต่ก็อุณหภูมิก็ไม่ร้อนเกินไปนัก เดินสบายๆไปเรื่อยๆราวครึ่งชม.หรือกว่านั้นผ่านหุบทรายขึ้นๆลงๆแต่ก็ค่อนข้างราบเรียบขึ้นไปจนถึงบันไดขึ้นปากปล่องภูเขาไฟ (ถ้านั่งม้ามาก็จะมาหยุดตรงนี้) มองไปรอบๆจะเห็นเป็นคล้ายๆทะเลทรายเลยล่ะ ภูมิประเทศบริเวณนี้จะเป็นดินภูเขาไฟที่ดูน่าจะทับถมกันและถูกลมกัดกร่อนไปทำให้เห็นเป็นคล้ายก้อนหินที่มีลักษณะเป็นชั้นๆ แต่พรุนๆไม่แน่น ดินก็จะหยาบๆ จากจุดนี้ไปจะต้องเดินขึ้นบันไดเพื่อไปปากปล่องภูเขาไฟโบรโม่กันแล้ว แนะนำสำหรับหลายคนที่อาจจะเหนื่อยง่ายเพราะอากาศเบาบาง เช่นพี่แฟงที่ไปถึงบันไดปากปล่องได้แต่ไม่สามารถขึ้นพิชิตปากปล่องได้เพราะใกล้เป็นลม  ถ้ารู้ตัวก่อนก็จ่ายค่าม้าแล้วเก็บแรงขึ้นบันไดปากปล่องจะดีกว่านะครับ

 

                เอาล่ะ เริ่มเดินขึ้นบันไดกันดีกว่า ตรงตีนบันไดจะมีจุดบูชาภูเขาไฟอยู่เป็นคอกแล้วด้านในจะมีดินภูเขาไฟเป็นก้อนๆ บันไดนี้ดูเหมือนไม่สูงแต่ก็ชันและสูงพอตัว จะมีจุดพักเป็นระยะๆ แนะนำให้พักตลอดเดี๋ยวจะช๊อคกลางทางเอา ใกล้ถึงปากปล่องแล้ว สิ่งที่เราจะเห็นก็คือ ควันพวยพุ่งออกมาจากหลุมขนาดใหญ่ราวกับอุกกาบาตพุ่งทะลุเข้าไป บนนี้เค้าจะทำรั้วกั้นให้เราเดินได้อย่างปลอดภัยประมาณหนึ่งร้อยเมตรฝั่งบันได มีนั่งท่องเที่ยวบางคนที่กล้าพอจะเดินเลยออกไปแล้วเดินรอบปากปล่องซึ่งเป็นทางแคบๆตลอด ระยะทางน่าจะเหยียบกิโลได้ ยืนยันว่าอันตรายมากๆเพราะขนาดผมเดินออกไปเล็กน้อยเพื่อถ่ายภาพยังกลัวเลย ฝรั่งที่เดินกลับมาก็ยังบอกว่า Don’t do it! Very dangerous… ที่เคยมีคนบอกว่านักท่องเที่ยวตกลงไปตายอยู่คนนึงก็คงเพราะสาเหตุนี้กระมัง

 

ตอนนี้สายๆราวเก้าโมงเช้าได้ ได้เวลาอำลาภูเขาไฟและหม่ำอาหารเช้ากันแล้วล่ะ ฮาดี้พาเราไปร้านนึงบริเวณนั้นชื่อ TOKO EDY ที่ๆเราค้นพบว่าเครื่องดื่มจำพวกนมๆทั้งหลาย เช่นไมโล กาแฟนม ของอินโดฯไม่คุ้มค่าอ้วนกับการกินมันเลย ไม่ไหวจริงๆ รสชาดราวกับน้ำล้างถ้วย เครื่องดื่มกลุ่มที่อร่อยจะเป็นพวกชามะลิ ซึ่งหอมมะลิมากๆ และน้ำขิง อะไรพวกนี้ เราสั่งอาหารเช้าเป็น ผัดหมี่ (Mie Goreng), ซุปเนื้อ (Rawon), ข้าวผัด (Nasi Pecel), ไก่ทอด (Ayam Goreng) บ่องตงว่าร้านนี้ก็งั้นๆแหละ ถ้าอุ้มท้องไหวลงไปกินร้านอื่นๆข้างล่างคงจะอร่อยกว่าแต่ก็ไม่รู้ต้องไปไกลแค่ไหนนะ อ้อ ส้วมฟรีร้านนี้ไม่มีนะคร๊าบ ต้องไปจ่ายตังอีกที่นึง ร้านนี้มีแค่ที่ล้างมือล้างหน้าแต่น้ำเบามาก

 

ออกจากร้านประมาณซักสิบโมงกว่า เราแวะเข้าห้องน้ำที่ปั๊ม Petermina ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันแห่งชาติเห็นปั๊มอยู่แค่ยี่ห้อเดียว ไม่ได้อาบน้ำตามแผนเพราะไม่สกปรกเท่าไหร่ จากนั้นเราก็หลับยาวเลย ผ่านเส้นทางหุบเขาธรรมชาติบ้าง เมืองบ้าง ตื่นมาอีกทีก็เย็นๆ ได้เวลากินข้าว วันนี้เรากินร้านในเมืองอะไรซักอย่างที่ฮาดี้แนะนะ (ฮาดี้เป็นราวกับสส.รู้จักไปทั่ว) เป็นร้านสะเต๊ะริมถนนเล็กๆบรรยากาศบ้านๆแบบมีซัก 3-4 โต๊ะเท่านั้น เราสั่งสะเต๊ะไก่และแกะและซุปเนื้อกินกับข้าว ร้านนี้ย่างสะเต๊ะด้วยเตาถ่าน สั่งทีจุดไฟทีนึง ไวมาก แต่ก็หอมมาก กินไปหลายจานอยู่ สะเต๊ะไก่น่าจะประมาณจานละยี่สิบกว่าบาท ส่วนแกะจะแพงขึ้น 3 เท่า อย่างไรก็ตาม สนนคนละเจ็ดสิบกว่าบาทเท่านั้น คุณป้าหน้าคล้ายๆป้าแอมยังใจดีแถมมะม่วงมาให้อีกหลายลูกเลยทีเดียว

 

อิ่มหนำกันไปชุนก็หลับยาวอีกแล้ว เท่าที่จำได้เรามุ่งหน้าไปทะเลสาป Sarangan เพื่อเข้าที่พัก ฝนก็ตกเปาะแปะๆไปเรื่อย ตื่นอีกทีก็ถึงที่พักแล้ว ราตรีสวัสดิ์ทันทีเลย




Create Date : 04 มกราคม 2557
Last Update : 5 มกราคม 2557 0:18:05 น.
Counter : 185 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Littleitim
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



มกราคม 2557

 
 
 
1
2
3
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31