✎ ผลไม้..ยาจากธรรมชาติ วิตามินและแร่ธาตุที่ร่างกายเราได้รับจากการกินผลไม้เข้าไปทุกวัน เปรียบเหมือนสารหล่อลื่นที่ทำให้เครื่องยนต์ หรือกระบวนการต่าง ๆ ของร่างกายสามารถทำงานได้ตามปกติ 1. มะเฟือง ( Starfruit ) นอกเหนือจากความสวยงามแปลกตาในเรื่องรูปทรงแล้ว ในด้านคุณค่าทางโภชนาการ มะ-เฟื่องสุก ยังอุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินเอ ฟอสฟอรัส และแคลเซี่ยม ช่วยรักษาอาการ เลือดออกตามไรฟัน เป็นยาระบายแก้ท้องผูก ช่วยขับเสมหะได้ 2. ส้มโอ ( Pomelo ) ในส้มโอมีสารเพกทิน ( Pectin ) สูง จึงมีคุณสมบัติช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด อีกทั้งยังมีสารโมโนเทอร์ปีนที่ช่วยในการกวดจับสารก่อมะเร็ง นอกจากนั้น ส้มโอยังมีคุณสมบัติพิเศษ อีกประการหนึ่ง คือ ช่วยขับลมในกระเพาะอาหารและลำไส้ ช่วยให้เจริญอาหารอีกด้วย 3. มะยม ( Star Gooseberry ) เป็นผลไม้พื้นบ้านที่ให้รสเปรี้ยวอมฝาด ในผลมีแคลเซี่ยม ฟอสฟอรัส วิตามินเอ และวิตามินซีสูง จึงมีฤทธิ์ในการ ช่วยสมานแผล และ ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ แก้อาการหลอดลมอักเสบ ในยอดอ่อนมีฟอสฟอรัส ช่วยในการขับเหงื่อ และกระตุ้นการเจริญอาหาร รากของมะยมมีสารแทนนิน ( Tannin ) อยู่ค่อนข้างสูง ใช้แก้ไข้ แก้อาการหอบหืด และปวดศีรษะ นอกจากนั้นส่วนต่างๆ ของมะยมยังสามารถใช้รักษาอาการต่างๆ ได้ดังต่อไปนี้ การรักษา 1.แก้อาการคัน 2.ยาอดบุหรี่ 3.แก้ปวดศีรษะ ส่วนที่ใช้ 1.รากมะยม 2.แก่นมะยม 3.ใบ วิธีใช้ 1.ต้มรากมะยมประมาณ 1 กิโลกรัมกับน้ำ 10 ลิตร ให้เดือด ทิ้งไว้ให้อุ่น นำมาอาบ หรือ ใช้รากมะยมฝน กับน้ำซาวข้าวทาวันละ 2 - 3 ครั้ง อาการจะดีขึ้น 2.นำแก่นมะยมมาฝานให้ได้ขนาดชิ้นเท่าฝ่ามือ 3 ชิ้น ต้มกับน้ำ 1 แก้ว นาน 5 นาที ดื่มให้หมดแก้ว กินติดต่อกัน 1 อาทิตย์ จะช่วยให้เลิกบุหรี่ได้ 3.ต้มใบแก่พร้อมก้าน 1 กำมือ กับน้ำตาลกรวดให้เดือด นาน 5 - 10 นาที แล้วดื่ม จะช่วยลดอาการปวดศีรษะ เนื่องจากความดันโลหิตสูงได้ ข้อควรระวัง รากของมะยมมีพิษ ใช้เป็นยาเบื่อสัตว์ใหญ่ โดยใช้ผสมกับอาหาร กินแล้วจะเกิดอาการเมา และอาเจียน 4. มังคุด ( Mangosteen ) เป็นผลไม้ที่เนื้อในของผลมีรสเปรี้ยวอมหวาน กลมกล่อมและได้รับการยกย่องให้เป็นราชินีของผลไม้ทั้งปวง เนื่องจากมีกลีบรองดอกติดอยู่ที่ขั้วคล้ายมงกุฏราชินี ทั้งในเปลือก มังคุดยังมี สารแทนนิน และมี สารแมงโกสติน ( Mangostin ) ซึ่งมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ที่ทำให้เกิดหนอง อยู่มากถึง 7 - 14 เปอร์เซ็นต์ ในแง่สมุนไพร เปลือกมังคุดจึงมีสรรพคุณในการใช้รักษาโรคผิวหนัง และนิยมนำไป สกัดทำเป็นสบู่ ครีมพอกหน้า และยารักษาสิวฝ้าได้อีกด้วย อีกทั้งส่วนต่างๆ ของมังคุดยังสามารถ ใช้เป็นยารักษาโรคได้ ดังนี้ การรักษา 1.แก้แผลพุพอง เป็นหนอง กลากเกลื้อน 2.รักษาแผลในปาก 3.รักษาแผลน้ำกัดเท้า 4.แก้ท้องเสีย ท้องร่วงเรื้อรัง บิด ถ่ายเป็นมูกเลือด ส่วนที่ใช้ 1.เปลือกมังคุดแห้ง 2.เปลือกมังคุด 3.เปลือกมังคุดแห้ง 4.เปลือกแห้งของ ผลแก่ วิธีใช้ 1.ใช้เปลือกมังคุดแห้งของผลแก่ฝนกับน้ำปูนใส ให้ได้ตัวยาข้นๆ ทาบริเวณที่เป็นแผลวันละ 2 -3 ครั้งอาการจะดีขึ้น หรือ ใช้เปลือกมังคุดแห้ง 1 - 2 ผล ต้มกับน้ำ 1 ลิตร ล้างแผลวันละ 3 - 4 ครั้ง ก็ได้เช่นเดียวกัน 2.นำไปต้ม ใช้เป็นยากลั้วคอ มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อ แบคทีเรีย และต้านเชื้อราในปาก 3.นำเปลือกมังคุดที่ตากแดดจนแห้งไปฝนกับน้ำให้ได้ ความเข้มข้น ทาบริเวณที่เป็นวันละ 3 - 4 ครั้ง จะช่วยให้แผลแห้งเร็วขึ้น 4.ใช้เปลือกมังคุดแห้ง 1 ผล ต้มกับน้ำให้เดือด 5 - 10 นาที รับประทานครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ ทุกๆ 4 ชั่วโมง หรือใช้เปลือกมังคุดแห้งครึ่งผลย่างไฟ ให้เกรียม บดเป็นผงละลายในน้ำครึ่งแก้วรับประทานทุก 2 ชั่วโมง อาการจะทุเลา 5. มะขาม (Tamarind ) นับได้ว่าเป็นผลไม้พื้นบ้านที่คนไทยรู้จักมาช้านาน อีกทั้งเราสามารถนำส่วนต่างๆ ของมะขามมาใช้ประโยชน์ในการรักษาได้แทบทั้งสิ้น เช่น ในเนื้อมะขามมี สารแอนทราควิโนน (Anthraquinone ) ซึ่งจะช่วยให้เป็นจำเดือนมาเป็นปกติ นอกจากนั้น ยังมีกรดอินทรีย์ ( Oragnic acid ) อยู่หลายชนิด เช่น กรดทาร์ทาริก ( Tartaric acid ) และกรดซิตริก ( Citric acid ) ทำให้มีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ เพิ่มกากใยอาหารและช่วยหล่อลื่นให้ขับถ่ายสะดวก แก้สารพัดโรคจากมะขาม การรักษา 1.ทาแก้แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก 2.รักษาฝีและแผลเรื้อรัง 3.แก้แมลงสัตว์กัดต่อย 4.แก้ไอ ขับเสมหะ ส่วนที่ใช้ 1.เปลือกของเมล็ด 2.เมล็ดมะขาม 3.เมล็ดมะขาม 4.เนื้อมะขาม วิธีใช้ 1.นำเมล็ดมะขามสุกไปคั่วให้สุก กะเทาะเอาแต่เปลือกไปบดให้ละเอียด แล้วคลุกกับน้ำมันละหุง หรือ น้ำมันมะพร้าว พอกแผลวันละ 2 - 3 ครั้ง 2.คั่วเมล็ดมะขามให้สุก กะเทาะเปลือกทิ้ง นำไปแช่น้ำจนนิ่ม ตำพอกแผล 3.ผ่าเมล็ดตามแนวขวาง นำส่วนที่ถูกผ่าไปฝนกับน้ำ มะนาว ใช้ปิดรอยแมลงกัด เมล็ดมะขามจะช่วยดูดพิษ ออกมาได้ 4.นึ่งเนื้อมะขามให้สุกๆ คั้นกับน้ำให้ข้นๆ เติมเกลือลงไป เล็กน้อย ใช้จิบบ่อยๆ 6. ทับทิม ( Pomegranate ) ในภัมภีร์อายุรเวทของอินเดีย ยกย่องให้ทับทิมเป็นคลังยา เพราะ ส่วนต่างๆ ของทับทิม สามารถนำมาใช้รักษาโรคได้แทบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ผล ซึงมีรสหวานอมเปรี้ยวออกฤทธิ์เป็น ยาบำรุงกำลัง แก้เจ็บคอ แก้โลหิตจาง ห้ามเลือด รักษาแผล แก้อาการปวดกระเพาะอาหาร ขับพยาธิในลำไส้ แก้ท้องร่วง เป็นต้น นอกจากนั้น ในเปลือกผลแก่ ของทับทิมยังมีกรด Gallotannic ซึ่งมีฤทธิ์ในการ ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรค แก้อาการท้องเดินได้ ซึงกองวิจัยทางการแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์ การแพทย์ได้วิเคราะห์ไว้แล้วว่าไม่มีพิษเฉียบพลัน ทั้งยังสามารถใช้รักษาโรคบิดที่เกิดจากแบคทีเรีย และอะมีบา ได้ผลดีอีกด้วย เรามาดูกันดีกว่าว่า ส่วนต่างๆ ของทับทิมใช้รักษาโรคอะไรได้บ้าง การรักษา 1.แก้ท้องอืด 2.แก้น้ำกัดเท้า 3.แก้ท้องเสียและ บิด ส่วนที่ใช้ 1.น้ำทับทิม 2.เปลือกทับทิม 3.เปลือกผล 4.เปลือกผล วิธีใช้ 1.นำทับทิม 1 ลูก ไปคั้นน้ำ ดื่มตอนเช้าครั้งละ 1 แก้ว จะลดอาการคลื่นไส้ ( สูตรนี้เหมาะสำหรับหญิงตั้งครรภ์) ในกรณีของคนที่ดื่มแก้ท้องอืดและบำรุงสายตา ให้ผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ดื่มหลังอาหาร จะช่วยให้ ลำไส้ดูดซึมได้ดีขึ้น 2.นำเปลือกทับทิมตากแห้งไปฝนกับน้ำปูนใสให้ขึ้น ทาทุกครั้งที่มีอาการ 3.ใช้เปลือกผลแก่ที่แห้งขนาด 1/4 ของผลทับทิม ต้มกับน้ำปูนใส ดื่มครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะทุกๆ 4 ชั่วโมง อาการจะดีขึ้น 4.ต้มเปลือกผลแก่สดครึ่งลูกกับน้ำ 1 แก้ว อมกลั้วคอ ทุกเช้าและก่อนนอน 7. มะขามป้อม ( Emblic ) เป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่อุดมไปด้วยสรรพคุณทางยาที่เราสามารถ หาได้ใกล้ๆ ตัว นอกเหนือจากจะมีวิตามินซีสูงกว่าส้มถึง 20 เท่า ในปริมาณที่เท่ากันแล้ว มะขามป้อมยังมีฤทธิ์เป็นยาเย็น ใช้เป็นยาลดไข้ ยาฟอกเลือด ยาระบาย บำรุงหัวใจใช้ขับปัสสาวะ และแก้ริดสีดวงได้อีกด้วย ตามตำราแพทย์แผนไทยได้อธิบายถึงการนำส่วนต่างๆ ของ มะขามป้อมมาใช้ เป็นยาดังนี้ การรักษา 1.ห้ามเลือดในแผลสด 2.แก้ตะขาบกัด 3.แก้อาการอ่อนเพลีย 4.บรรเทาโรคกระเพาะอาหารอักเสบ ส่วนที่ใช้ 1.เปลือกต้น 2.ราก 3.ลูกมะขามป้อม 4.ผลแห้ง วิธีใช้ 1.นำไปตากให้แห้ง บดเป็นผง โรยบริเวณบาดแผล 2.ตำรากต้นมะขามป้อมสดพอแหลกพอกแผล รากมะขามป้อมจะช่วยดูดพิษออกมา 3.ต้มลูกมะขามป้อม 50 - 70 ลูกให้สุก แล้วแกะเอา เมล็ดออก ตำให้ละเอียด แล้วนำไปตากแดดให้แห้ง จากนั้น นำมาผสมกับน้ำผึ้ง ปั้นเป็นยาลูกกลอน กินวันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 3 เม็ด จะทำให้ร่างกาย แข็งแรงขึ้น 4.นำผลมะขามป้อมที่ตากจนแห้ง 2 - 3 ผล แกะเอา เมล็ดออกผสมนมสด 1 แก้ว ปั่นให้เป็นครีม ดื่มวันละ 3 ครั้ง ติดกัน 7 วัน อาการจะดีขึ้น ขอบคุณข้อมมูลดี ๆ จาก สำนักงานเลขานุการกรม ค่ะ หรือถ้าใจสนใจ อยากหาข้อมูลเพิ่มเติม ลองแวะเข้าไปดูตามลิ้งที่ให้ไว้นะคะ โดย: มหาสำลี วันที่: 27 กรกฎาคม 2551 เวลา:21:20:28 น.
ช่วงนี้ผลไม้เยอะค่ะ ทุกอย่างก็อร่อย แต่บางชนิดกินเยอะก็ไม่ดี อย่างเช่นลิ้นจี่ เพราะร้อนใน(เราเป็นอยู่)
โดย: sailamon วันที่: 27 กรกฎาคม 2551 เวลา:22:02:51 น.
คุณนาห์..1 สวัสดีตอนมืด ๆค่ะ คุณนาห์สบายดีนะคะ ปล.ไม่ได้นัดกันค๊า บังเอิญว่าใจเราตรงกัน คุณnathanon..2 ผลไม้เมืองไทยมีมากมายให้เลือก และมีตลอดทั้งปี ทานพอประมาณ ก็มีประโยชน์ค่ะ ทานทากก็มีโทษ ที่เห็นชัดก็คือ น้ำหนักขึ้นโดยไม่รู้ตัว คุณมหา..3 เป็นอะไรหรือเปล่าค่ะ มาถึงก็เอาหน้าฟุบ ลงกับโต๊ะเฉยเลย แทนที่จะคุยกัน เพราะนาน ๆได้เจอกันซะที คุณsailamon..4 ช่วงนี้ผลไม้บ้านเราออกเยอะมาก ทานอะไรต้องระวัง(อ้วน) โดยเฉพาะทุเรียนทานมากไม่ดี ส่วนลิ้นจี่ไม่เคยทานจนร้อนในเลยค่ะ เพราะถูกแย่งหมดก่อนทุกที โดย: ไลเดเลีย วันที่: 28 กรกฎาคม 2551 เวลา:20:25:42 น.
|
ไลเดเลีย
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?] ร้อยรส...กลอนกานท์ จากบล็อกพี่ สดายุ ค่ะ All Blog
|
|||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |
มาเก็บเกี่ยวความรู้ที่นำมาฝากค่ะ
ปล.อัพบล็อกนัดกับคุณปลิวหรือเปล่านี่