"ส.ค.ส.สวีทตี้" หนังไทยกับความหมายของ "สภาวะทิ้งตัว"
สคส.สวีทตี้ หนังไทยในเทศกาลปีใหม่ ยอร์ช ฤกษ์ชัย ส่งความสุขกับหนังใน สภาวะทิ้งตัว
สำหรับผู้ชายคนนี้ ยอร์ช-ฤกษ์ชัย พวงเพ็ชร์ กลายเป็นผู้กำกับที่หลายๆคนอิจฉา เพราะทำหนังข้าทาง ถูกตลาด จนหนังประสบความสำเร็จทำรายได้เกินร้อยล้านติดๆกันมาหลายๆเรื่อง โดยเฉพาะงานในช่วงปีหลังๆอย่าง 32 ธันวา(เข้าฉาย 30 ธค.52 ทำรายได้ประมาณ 101 ล้านบาท) และ สุดเขต เสลดเป็ด(เข้าฉาย 30 ธค.53 ทำรายได้ประมาณ 125 ล้านบาท) ซึ่งเป็นผลงานที่ทำกับทาง M๓๙ ทั้งคู่ มาถึงตอนนี้ผลงานล่าสุดของ ยอร์ช-ฤกษ์ชัย จะมาพร้อมกันทีเดียว 2 เรื่องกับกทม.สวีทตี้ ที่ประกอบไปด้วยเรื่อง ส.ค.ส สวีทตี้ (เข้าฉาย 29 ธค.54) และ วาเลนไทน์ สวีทตี้ (เข้าฉาย 14 กพ.55)
ทว่าการเข้าฉายครั้งนี้รายล้อมไปด้วยหนังฟอร์มใหญ่จากฮอลลีวู้ด ที่หลายๆเรื่องเขยิบโปรแกรมหลังจากเจอสภาวะน้ำท่วมในไทย หลายๆเรื่องไปอัดแน่นในช่วงเทศกาลปีใหม่ นี่รวมทั้งหนังใหญ่ๆก่อนหน้าที่เข้าฉายในสัปดาห์ก่อนหน้า ทั้ง Mission Impossible ที่เข้าฉายเมื่อ 15 ธค. แล้วบังมี Sherlock Holms ที่เข้าเมื่อ 22 ธค. แล้วสัปดาห์นี้ยังมี Real Steel อีกเรื่อง
สำหรับ "ส.ค.ส.สวีทตี้" ยอร์ช ฤกษ์ชัย ชักชวนดาราคุ้นเคยมาร่วมงานกันอีกครั้ง ประกอบด้วย แดน -วรเวช, โก๊ะตี๋ , เป้-อารักษ์ ,ว่าน- ธนกฤต, บีม-กวี,โทนี่ รากแก่น, สายป่าน, ยิบโซ,ยิปซี ,แพตตี้, จ๋า ณัฐฐาวีรานุช
มาฟังคำบอกเล่าจาก ยอร์ช-ฤกษ์ชัย พวงเพ็ชร์ในฐานะผู้กำกับที่จะมาบอกเล่าว่าทำไมคราวนี้ถึงมาทำคราวเดียวกัน 2 เรื่อง คือ "ส.ค.ส.สวีทตี้" และ "วาเลนไทน์ สวีทตี้" มันเกิดขึ้นพร้อมๆกัน คือคิดวาง คู่รัก อย่างที่ตัวเองชอบ คิดความลงตัว ความขัดแย้ง ในอย่างที่ตัวเองชอบก่อนโดยที่ไม่ตีก่อนว่าเป็นเท่าไหร่ จนเขียนออกมาหนามาก จนรู้สึกว่าจริงๆแล้วไม่จำเป็นต้องเรื่องเดียว เหมือนกราฟมันมี 2 จังหวะ ก็รู้สึกว่ามันเหมาะสมกับแบบนี้มากกว่า คือไม่ได้คิดก่อนว่าจะทำ 2 ภาค คือทำไม่เป็นอยู่แล้วหนัง 2 ภาค คือทำยาวๆอันเดียวอย่างที่ตัวเองอยากได้ พอเสร็จปุ๊บก็รู้สึกว่านี่คือหนัง 2 เรื่อง ไม่ใช่ว่าหนังยาวเกินไป เพราะถ้ายาวเกินไปเราตัดทอนเอาได้
เรื่องราวของ ส.ค.ส.สวีทตี้ และ วาเลนไทน์ สวีทตี้ มันคืออะไร
มันเป็นเรื่องของ สภาวะทิ้งตัว มันหมายถึงว่าในช่วงที่ชีวิตเรามีความสุขมากๆ มีความทุกข์มากๆเราอยากทิ้งตัวใส่ใครสักคน ใครซักคนที่เราสามารถทิ้งทั้งตัวและหัวใจไว้กับเค้าได้ คือคนรักที่เราวางใจที่สุด เห็นหน้าเขาแล้วเราสบายใจที่สุด ปลอดภัยที่สุด แล้วก็บางทีสมมุติเราโดนรถชนเราอยากโทร.หาคนนี้ก่อนโทร.หาประกันด้วยซ้ำ อะไรประมาณนี้ แล้วคนเหล่านี้ก็ตามหาคนรักของเขา
ใช้ดาราเยอะมากในเรื่องนี้ มีทั้งหมด 6 คู่ คือผมมีเรื่องเยอะ แต่ละคนมีเรื่องราวขัดแย้งประมาณนี้ แล้วชีวิตมันเป็นวงกลม หมายถึงว่า ชีวิตของใครบางคนแอบไปขับเคลื่อนชีวิตของคนคู่อื่นๆด้วย เรื่องนี้จะเป็นคู่ๆสลับกันไปในหนังเรื่องเดียว อย่างคนนี้รู้จักคนนี้บ้าง รู้จักคนนั้นบ้าง บังเอิญมาเจอกันอะไรบ้าง เมื่อต้องเป็นหนัง 2 ภาคยากไหมในการทำงาน ที่ดูว่าน่าจะหนักกว่าเดิม ตอนที่ถ่ายทำผมปฏิญาณว่าผมทำเรื่องเดียว เหมือนกับว่าผมทำเรื่องเดียว ไม่ได้ทำหนังภาคต่อ แต่เป็นเรื่องเดียวที่พอกราฟมันสุดจะจบที่ภาคหนึ่งพอดี ภาคที่ 2 ก็จะเป็นกราฟอีกอันหนึ่งขึ้นไป คือชีวิตคนเราพอรักปุ๊บ มันเหมือนจบแล้วแต่จริงๆมันเพิ่งเริ่มต้น อย่างแกกับฉันรักกันแล้วมันจบสำหรับหนังบางเรื่อง แต่ความจริงมันเพิ่งเริ่มต้นที่จะรักกันเท่านั้นเอง สำหรับตัวเนื้อกับบทไม่ค่อยยาก เพราะนักแสดงมาประชุมกันก่อน แล้วเขาเอา อินเนอร์เขามาร่วมด้วย แล้วก็ดีไซน์อะไรของเขาอยู่แล้ว แต่เรื่องคิวกับเรื่องฟ้าฝน บางคนไม่อยู่ในเมืองไทยด้วยซ้ำในบางจังหวะ ทำให้ต้องระดมทุกอย่างเพื่อให้พร้อมให้มาก จำนวนกล้องที่เพิ่มขึ้นเพราะว่ามันต้องเร่งรัดอะไรบางอย่าง มีอะไรที่ซ่อนไว้บ้างไหม นอกเหนือความตลก สนุกสนานที่คุ้นเคยกันกับงานของ "ยอร์ช" เรื่องนี้ไม่ได้สอนใคร แต่คนดูจะเข้าใจว่าชีวิตคนเราก็แบบนี้แหล่ะ เราชอบในความสุขแต่คนเราต้องยอมรับในความทุกข์ที่ติดมากับความรักบ้าง ด้วยแนวทางการทำงานที่เน้นกับหนังตลกมาตลอด และกับเรื่องหลังๆที่มีสไตล์ที่คนชื่นชอบเรื่องนี้จะเป็นไปในทางเดิมไหม หนังผมก็คล้ายๆกันทุกเรื่อง คือเป็นหนังรักที่แอบมีความเลอะเทอะอยู่ด้วย อย่างซีรี่ส์ก่อนเราทำ ศิษย์ส่ายหน้า ก็จะบันเทิงในแบบเป็นความสนุกสนานในหัวใจมากกว่า แต่พอเอาความรักมาเป็นตัวล้อมมันเนี่ยก็จะเป็นซีรี่ส์แบบละมุนละไม และขำๆ มีความเสอะเทอะอยู่ ก็ยังเป็นคอมมาดี้อยู่ คอมมาดี้เป็นแกนนำอยู่แล้ว เป็นหนังเข้าใจง่าย เป็นหนังพูดตรงๆอยู่แล้ว อย่างฉันเศร้าฉันก็บอก มันไม่ได้ซ่อนความเศร้าไว้จนคนดูเข้าใจไม่ได้ คำคมแบบตั้งใจไม่มี แต่เป็นคำที่ผมเชื่อว่าจะแตะต้องความเป็นเรา ผมเชื่อว่าคนดูเข้าไปดูแล้วจะเข้าใจว่ามันเป็นมวลเดียวกัน แล้วทั้ง 6 คู่นี่จะอยู่ทั้งภาค 1 ภาค 2 แล้วจะเฉลี่ยเท่ากันหมด เพราะทุกคนช่วยกันเล่น อย่างดูบางเรื่องเราจะรู้สึกว่าคนนี้เป็นพระเอก คนนี้เป็นนางเอก แต่เรื่องนี้ทุกคนเท่ากัน คาดหวังกับหนังล่าสุดไว้อย่างไรบ้าง ผมอยากให้คนชอบ บทของมัน ผมรู้สึกว่าใครไปดูหนังเรื่องนี้ จะมีความคิดเป็นเชิงบวกมากขึ้น บางที่เรามองโลกในแง่เวลาทุกข์ เราเศร้าจนท้อถอยจนไม่อยากทำอะไรแล้ว แต่ในหนังเรื่องนี้มีแง่คิดอะไรบางอย่างที่เราสามารถ ก้าวผ่านอะไรบางอย่างไปได้ ด้วยความคิดอะไรบางอย่างที่ข้ามเส้นไปได้ ด้วยความสำเร็จของหนัง 32 ธันวา และ สุดเขตสเลดเป็ด ทำให้คราวนี้ดูจะเป็นหนังความหวังของบริษัทที่จะทำเงินเกิน 100 ล้านได้อีก ผมเชื่อว่าทุกคนคาดหวังกับหนังทุกเรื่อง แต่ด้วยจังหวะ การเข้าโรงตอนนั้นของใครจะเป็นยังไงตรงนั้นมากกว่า ผมว่า การลงทุนของแต่ละค่ายเขาหวังทุกเรื่องนะ ผมเชื่ออย่างนั้น คือตัวเองก็ค้าขายด้วย ก็ทำให้เรียนรู้ว่า ทุกๆสิ่งที่เราทำมาขาย เราหวังทุกอันนะ ไม่ได้หวังแค่ของใครคนใด ก็เลยไม่รู้สึกอะไร แล้วก็เอาใจช่วยหนังทุกเรื่อง ผมว่าเป็นเรื่องโชคมากกว่า จังหวะที่เขาคิดเรื่องแบบนี้ออก คนดูอยากดูหนังแบบนี้หรือเปล่า เราไปกำหนดกระแสไม่ได้ ผมไม่ได้เก่งขนาดกำหนดกระแสได้ แต่ถ้ากระแสของคนต้องการหนังแบบนี้ แล้วเราคิดเรื่องแบบนี้อยู่พอดี มันก็มีความมีโชคอยู่ด้วย ถ้าคนไม่อยากดูหนังตลกแล้วในช่วงนี้ ผมไปคิดเรื่องอย่างอื่นตามที่คนอยากได้ ผมก็ทำไม่เป็น สิ่งที่อยากบอกถึงคนดูกับความน่าสนใจของ กทม.สวีทตี้ สิ่งที่อยากให้แจ้งให้คนดูทราบว่าเรื่องนี้น่าดูแบบไหน เนื้อเรื่องครับ เนื้อของมัน เนื้อของความรักของมันในหนังเรื่องนี้ คือความคอมมาดี้ของมันมีเป็นหลักให้เกาะอยู่แล้วอยากให้ไปดูเนื้อหาของมัน
Create Date : 31 ธันวาคม 2554 |
Last Update : 31 ธันวาคม 2554 1:10:13 น. |
|
5 comments
|
Counter : 3515 Pageviews. |
|
|
มีความสุขมากๆ ขอให้สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง มีตังค์ใช้ตลอดปีตลอดไปนะคะ