Group Blog
 
<<
มกราคม 2556
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
31 มกราคม 2556
 
All Blogs
 
"วิสูตร"ประธานสมาพันธ์หนังไทย


“วิสูตร พูลวรลักษณ์” มองทิศทางหนังไทยกับบทบาท

ประธาน สมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติคนใหม่


คุณวิสูตร พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท GTH ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ คนใหม่ ต่อจาก นายจาฤก กัลย์จาฤก ที่ประกาศลาออกกลางที่ประชุมเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ภายหลังการลาออกของ คุณ ตั้ม จาฤก กัลย์จาฤก พร้อมเสนอชื่อ นาย วิสูตรพูลวรลักษณ์ ให้คณะกรรมการพิจารณา หลังผ่านกระบวนการเลือกตั้งตามกฎของสมาพันธ์ฯโดยได้รับคะแนนเสียงจากคณะกรรมการมากกว่า 20 คน สมาพันธ์ฯจึงมีมติให้ นายวิสูตร พูลวรลักษณ์ ดำรงตำแหน่งประธนสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติคนที่7 โดยมีกำหนดวาระ3 ปี

คุณ วิสูตร พูลวรลักษณ์ เปิดเผยหลังดำรงตำแหน่ง ประธานสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติคนใหม่

“จริงแล้วต้องบอกว่าเหมือนกับเค้ามีการชี้ตัวผมมาหลายปีแล้วนะ เพราะว่าทางพี่ตั้มเอง คุณจาฤกเค้าเองก็เป็นประธานสมาพันธ์มา 2 สมัย แกเองก็พยายามบอกผมว่า คุณวิสูตรคุณต้องมาเป็นต่อจากผมแล้วนะ คือผมเองก็มีความรู้สึกว่า มันยังไม่ถึงเวลาและอีกอย่างคือผมมีความรู้สึกว่าในวงการภาพยนตร์ไทยด้วยกัน ยังมีผู้หลักผู้ใหญ่อีกเยอะผมเองก็ยังเป็นแค่เด็กๆคนนึง คือยังอยากให้โอกาสผู้ใหญ่ท่านอื่นได้เป็นคือยังมีอีกหลายท่านน่ะ

จริงๆแล้วคุณวิสูตร รู้สึกไม่ค่อยอยากจะรับตำแหน่งนี้นัก?

“ใช่ครับคือจริงๆแล้วใจผมไม่ค่อยอยากจะรับเท่าไหร่ เหตุที่ไม่อยากรับตำแหน่งนี่ ไม่ใช่เพราะว่าตัวเองจะรังเกียจหรือไม่อยากทำงาน แต่จริงๆแล้วกลัวว่าตัวเองจะมีความสามารถไม่พอมากกว่าเพราะจริงๆแล้วงานสมาพันธ์ฯเนี่ย มันเกี่ยวเนื่องกับงานในส่วนราชการเยอะแล้วมันต้องดิวกับภาครัฐ มันต้องอะไร อันนี้บอกได้เลยว่า คุณสมบัติผมมันไม่ใช่ผมไม่ใช่ประเภทแบบอ่านกฎหมายเป็น ตีข้อบังคับแตก ไม่ใช่คนประเภทนั้นน่ะผมเป็นแค่คนสร้างหนังคนหนึ่ง ฉะนั้นจะให้ผมไปดิวกับราชการอย่างเนี่ย ก็อาจจะไม่ถนัดแต่ว่าพี่ตั้มเองแกก็บอกว่า อันนี้จริงๆแล้ว ผมเข้าใจผิดจริงๆแล้วคนที่มาเป็นประธานมีหน้าที่หลักคือ 1.วางวิชั่นคือดูภาพรวมคือมองภาพใหญ่ๆ ส่วนเรื่องการทำงานที่เป็นปกติเนี่ยจริงๆเป็นหน้าที่ของเลขาธิการสมาพันธ์ฯ ซึ่งตอนนี้เราโชคดีมากที่ได้ท่าน วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ (อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา)มาเป็นเลขาธิการให้ซึ่งอันนี้ผมก็เลยสบายใจ พอได้ยินชื่อคุณวีระศักดิ์ปุ๊บ ผมก็เลยบอกว่า เออพี่ผมรับก็ได้ เพราะว่าทำให้เราสบายใจไปเปาะแล้วล่ะคือท่านแบบปึ้กมาก แล้วท่านผ่านอะไรมาเยอะถ้าผมเหลือภาพแต่ตรงที่เราจะดันอุตสาหกรรมหนังให้มันโตยังไงเนี่ยถ้าอย่างนี้ผมไม่ห่วงล่ะ”

ดูเหมือนว่าตำแหน่งนี้ไม่ค่อยมีคนอยากเป็นสักเท่าไหร่?

“มันก็เป็นไปได้ครับจริงๆ ต้องบอกว่าตำแหน่งประธานสมาพันธ์ฯ หรือ ในสมัยอดีตที่เราเรียกว่านายกสมาพันธ์ฯเนี่ยเป็นตำแหน่งที่ถือว่ายากลำบากอยู่เหมือนกัน เพราะสมาพันธ์ฯไม่ใช่องค์กรที่มีรายได้เยอะไม่ใช่องค์กรที่จะมีเงินเข้า มาสนับสนุนตลอดเวลา ฉะนั้นไม่ว่าสมาพันธ์ฯจะทำอะไรแต่ละอย่าง บางทีสมาพันธ์ฯต้องออกไปขอออกไปหามา ซึ่งคนที่จะมาเป็น ก็จะมีความรู้สึกว่า แล้วฉันจะต้องมาทำตรงนี้รึเปล่าก็เลยไม่ค่อยมีใครอยากที่จะมาเป็นกัน แต่ผมมองว่าปัจจุบันสมาพันธ์ฯไม่ได้เป็นภาพแบบนี้แล้ว คือทางคุณจาฤกเนี่ยแกปูทางไว้ดีมากแล้วปัจจุบันผมก็คิดว่าสมาพันธ์ฯมีความเฟิร์มอยู่พอสมควรคือยืนอยู่บนลำแข้งของตัวเองได้แล้ว แล้วสมาพันธ์ฯปัจจุบันก็เหมือนกับกำลังจะเดินหน้าไปได้สวย”

ความรู้สึกเมื่อต้องมาดำรงตำแหน่งประธานสมาพันธ์แล้วจริงๆ

“สำหรับตัวผมนะมันมีการพูดคุยเรื่องตำแหน่งนี้มานานหลายปีแล้วเหมือนกันเพียงแต่ว่าผมรู้สึกว่าตัวผมยังไม่พร้อม แต่ถ้าในวันนี้ถ้าผมรู้สึกว่าผมพร้อมแล้วผมยอมมายืนอยู่หน้าสปอร์ตไลท์อย่างนี้ให้แล้วเนี่ย ผมก็มีความรู้สึกว่าไม่ว่าใครมองผมว่ายังไง หรือตัวผมจะรู้สึกยังไง ผมว่ามันไม่ใช่ประเด็นอ่ะประเด็นมันอยู่ที่ว่า งานที่ผมจะทำต่อจากนี้ มันจะเกิดผลหรือเปล่าต่างหากซึ่งมันก็หลายส่วนที่ผมต้องหวังพึ่งบุคคลที่เค้ามีความรู้มากกว่าผม อย่างกรณีเรื่องราชการ หรือกฏข้อบังคับต่างๆซึ่ง ผมก็พูดอยู่เสมอ ว่าผมไม่ค่อยรู้นะคือจะให้ผมมานั่งอ่านกฎหมายหรืออ่านข้อบังคับเนี่ย ผมแปลไม่ค่อยถูก แปลผิดแปลถูก แต่ถ้าคุณมาพูดเรื่องภาษาหนังกับผมน่ะผมเข้าใจ”

การที่ได้คุณวีระศักดิ์เข้ามาเป็นเลขาธิการเนี่ยมันจะทำให้ดูเอิงการเมืองมากมั้ย?

“ไม่นะครับ เพราะถ้าเราพลิกย้อนกับสิ่งที่แกทำไว้ให้กับสมาพันธ์ฯเนี่ยแกเป็นบุคคลแรกๆเลยนะครับที่มาร่วมเขียนตัวกฎข้อบังคับร่วมกับเราเลยแล้วแกเข้าใจอุตสาหกรรมภาพยนตร์ดีมาก เรียกว่าไปนั่งคุยกับแก ไม่น่าเชื่อว่าแกจะเข้าใจอุตสาหกรรมภาพยนตร์มากขนาดนั้นพูดกับแกแล้วแกต่อติดง่ายมาก ฉะนั้นผมไม่คิดว่าแกจะเป็นภาพของสังกัดที่ไหนหรือพรรคการเมืองอะไร เพราะว่าแกก็บอกแล้วว่าแกมาก็อยากจะทำให้วงการจริงๆไม่ได้มาในนามของใคร”

แล้วบทบาทระหว่างคุณวิสูตรกับคุณวีระศักดิ์แบ่งอย่างไร จะมีภาพที่ขัดแย้งกันมั้ย?

“ไม่ครับของผมคือจะให้ข่าวของภาพรวมแต่ถ้าเป็นงานที่เกี่ยวกับกิจกรรมหรืองานอะไรจริงๆ ต้องเป็นของท่าน วีระศักดิ์เป็นผู้ให้ข่าว เพราะจริงๆแล้วต้องถือว่าแกเป็นผู้บริหาร”


เข้ามารับงานสมาพันธ์ฯเต็มตัวแบบนี้จะกระทบกับงานของGTHมั้ยครับ?

“ไม่ครับจริงๆอย่างที่บอกครับว่า ถือว่าผมโชคดีที่ น้องๆที่ GTHเวลานี้เค้าเก่งขึ้นกันทุกคน คือมันเหมือนกับว่า งาน GTh กับงานสมาพันธ์นี่เหมือนกันเลย ใน GTH เนี่ยผมอยู่ในตำแหน่งCEO ก็คือเป็นผู้มองวิชั่น มองภาพรวมให้ แต่ว่านแง่ฃานลูทีนจริงๆแล้วผมไม่ได้ทำ มันก็เหมือนงานสมาพันธ์ฯก็เหมือนกับเราไปดูภาพรวม ไปดูวิชั่น ไปดูภาพใหญ่ ว่าอยากให้อุตสาหกรรมไปในภาพไหน ฉะนั้นตัวงานรูทีนของสมาพันธ์เองผมก็ไม่ได้ทำมันก็เป็นเรื่องของเลขาธิการ เจ้าหน้าที่สมาพันธ์ฯที่เป็นฝ่ายผลักดันตรงนั้นเพราะฉะนั้นเวลานี้เนี่ย ผมก็ไม่ได้ลงมาตะลุมบอนหรือจับงานยิบย่อยเลยถือว่ายังทำได้ครับ”

ถึงตอนนี้สิ่งที่สมาพันธ์ฯจะเดินต่อไปในยุคคุณวิสูตร คือเรื่องไหนบ้าง

“คือตอนนี้เอาเป็นว่างานของสมาพันธ์ฯที่หลังจากผมเข้ามารับตำแหน่งแล้ว ผมคิดว่าต้องทำทันทีดีกว่านะครับมันจะมีงานอยู่ 3 อย่าง ที่ผมมองว่าจะต้องทำบางส่วนมันจะเป็นงานที่ต่อเนื่องจากประธานคนก่อน แต่ก็มีงานบางส่วนที่ผมเหมือนนึกไว้ในใจว่าถ้าผมมีโอกาสได้เป็น ก็จะลองทำดู ส่วนแรกคือการจัดตั้ง องค์การมหาชนอันนี้คือส่วนที่ยังทำค้างอยู่ ผมคิดว่ามันก็ใกล้แล้วล่ะที่จะสำเร็จลุล่วงฉะนั้นแล้วตัวนี้เนี่ย ถ้ามันเป็นรุปธรรมจริง แล้วมันจัดตั้งได้จริงเมื่อไหร่เนี่ยผมคิดว่าอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของเรามันจะแข็งแรงมาก เหมือนเวลานี้สมาพันธ์ฯ มันเป็นแค่เอกชนมารวมกันแต่ว่ามันไม่ได้รับการรองรับ หรือการสนับสนุน จากภาครัฐ อะไรเลย สมมุติว่าเราจะจัดงานสุพรรณหงส์ครั้งนึงเราก็ต้องไปของบ แต่ถ้าเราเป็นองค์การมหาชน ก็เหมือน เราเป็น ฟิซิคอล อันหนึ่งของรัฐบาล มันก็เหมือนกับเป็นหน่วยงานหนึ่งของรัฐบาล มันก็จะมีงบ มีอะไรก็แล้วแต่ หรือแม้กระทั่งว่าการเขียนแผนการวางเป้าหมายอะไรก็แล้วแต่ มันก็ต้องมีการวางแผนกันเป็นปีต่อปี ยาวไปเลย แล้วก็มันก็จะมีภาพที่ใหญ่กว่ากับการจะดิวกับต่างประเทศ หรือการจะดิวกับหน่วยงานอะไรก็แล้วแต่ ความเป็นองค์การมหาชนมันจะชัดกว่า กว่าภาพของสมาพันธ์เยอะถ้ามันเป็นอันนี้ขึ้นมาได้จริงๆ ตัวสมาพันธ์ฯเองก็เหมือนเราได้บอดี้ที่ใหญ่ ในการที่จะขับเคลื่อน

ความคืบหน้าตอนนี้ในการเป็นองค์การมหาชนเป็นอย่างไรบ้าง

“มันคืบหน้าไปเยอะแล้วครับตอนนี้มันเหมือนกับรอที่จะส่งแผนยุทธศาสตร์ ที่ล่าสุดที่เขียนเสร็จเรียบร้อยมีการวางงบประมาณมีการเขียนเป็นภาพที่ชัดเจน ว่าคนที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมนี้มีใครบ้างทำอะไรกันอยู่ และรายได้ต่อปีที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมนี้มีอยู่จำนวนเท่าไหร่อันนี้เขียนเสร็จหมดแล้ว รอที่จะยื่น ถ้าเกิดว่าผ่านจากขั้นตอนนี้เรื่องก็อาจจะไปถึงรัฐมนตรี แล้วก็ต่อไปที่ครม.ได้แล้ว เท่าที่คุยกับคนที่เค้าเดินเรื่องอยู่นะครับ ที่เขารู้อยู่เขาบอกอาจจะประมาณซักปีนึง ซึ่งผมก็คิดว่าเร็ว ถ้าปีหนึ่งนะ เพราะว่าเราก็ดำเนินงานนี้มาหลายปีแล้วมันหลายปีเพราะว่าขั้นตอนมันหลายขั้นตอนมาก ขนาดผมไม่ได้ตามเลย แล้วมานั่งฟังคนที่เค้าตามมาตลอดอธิบายให้ผมฟัง 1ชั่วโมง ยังไม่เข้าใจเลยว่าขั้นตอนมันคืออะไรบ้างคือ มันซับซ้อนมากเหมือนกัน”

เรื่องการเมืองที่ไม่นิ่งจะส่งผลแค่ไหนกับความล่าช้าในการเป็นองค์การมหาชน

“ก็ขึ้นอยู่กับเราว่าโชคดีที่สามารถทำเรื่องให้ผ่านครม. ได้ก่อนหรือเปล่า คือถ้ามันผ่านแล้ว เซ็นอนุมัติแล้วจากนั้นมันจะเปลี่ยนก็คงไม่เป็นไร แต่ปัญหาคือตอนนี้มันยังคาอยู่ ”

อยากให้อธิบายถึงความแตกต่างขององค์การมหาชน ต่างจาก รัฐวิสาหกิจ อย่างไร?

“คือมันมีสามส่วนครับมี ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์การมหาชน องค์การมหาชนมันเป็นประเภทที่สามที่รัฐบาลเหมือนดูแลมันไม่ใหญ่เท่ารัฐวิสาหกิจ มันจะเป็นอีกองคาพยพหนึ่งที่รัฐบาลมาดูแลให้ แล้วก็ต้องมีผู้อำนวยการสถาบัน มีอะไรอย่างเนี่ย

นอกจากการผลักดันการเป็นองค์การมหาชนเรื่องอื่นที่คิดจะทำ

“เรื่องที่สองคืออย่างที่ทราบกันดีนะครับว่าในปี 2015 เราจะมีการประกาศการใช้ AEC(ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน) อย่างเป็นทางการ คนก็จะพูดว่าเราจะไม่ค้ากับคน60 ล้านคนแล้ว เราจะค้ากับคน 600 ล้านคน คือมันกลายเป็นทุกคนเห็นภาพนี้กันไปหมด แล้วเมื่อเร็วๆนี้เองทางมาเลเซียก็ประกาศตัวออกมาว่าขอเป็น Hub ของการสร้างภาพยนตร์ของอาเชียน ซึ่งการที่มาเลเซียประกาศอย่างนั้นได้เพราะว่าจริงๆแล้วรัฐบาลเค้าสนับสนุนด้วยเงิน 4,000 ล้าน แต่ถามว่า เอาความพร้อม เอาคุณสมบัติจริงๆน่ะประเทศไทยมีพร้อมกว่าเยอะไม่ว่าจะเป็นในแง่บุคลากร ในแง่ทรัพยากร หรือแม้แต่โลเกชั่น ของเราแทบจะเรียกว่าดีกว่าในทุกๆด้านรวมทั้ง อีควิปเม้นต่างๆ

ฉะนั้นผมว่าถ้าประเทศไทยจะประกาศ ผมว่ามีความพร้อมและมีความเหมาะสมกว่าด้วยประการทั้งปวง ผมก็อยากจะผลักดันตัวนี้ ให้ภาพประเทศไทยให้มันเป็นฮับของอาเซียนจริงๆคือแบบเป็นตัวจริงอ่ะ เป็นภาพที่เห็นชัดเจนขึ้นมา เพื่อให้ทุกคนอยากที่จะเข้ามาลงทุนที่เราไม่ใช่แต่ในด้านการสร้างภาพยนตร์อย่างเดียว รวมไปถึงในด้านของโพสต์โปรดักชั่นด้วย ซึ่งตอนนี้เราก็เป็นอยู่แล้วทุกคนก็มาใช้เครื่องไม้เครื่องมือที่เราอยู่แล้ว ถ้าบทบาทองค์กรมหาชนมันไปได้จริง เราสามารถผลักดันไทยเป็นฮัพของอาซียนได้จริงๆ ผมว่าทั้งอุตสาหกรรมมันโตกันตามระบบหมดเลย ทุกคนพร้อมที่แข่งขัน ทุกคนพร้อมที่จะทำอะไรอย่างที่ไม่เคยทำถึงแม้ใน AECเองจะไม่ได้มีนโยบายสนับสนุนในภาคส่วนของเอนเตอร์เทนเมนต์อย่างชัดเจนก็ตามแต่ผมก็คิดว่าเราเองก็น่าจะทำตัวเราเองให้มีบทบาทได้”

การที่มาเลเป็นทัพของอาเซียนก่อนมันจะมีผลกระทบกับไทยแค่ไหนถ้าประกาศตามหลัง

“ก็จริงๆมันขึ้นอยู่กับว่าเค้าประกาศเพื่อใคร ถ้าเค้าประกาศเพื่อต้องการเงินจากต่างประเทศมันก็อยู่ที่ว่าต่างประเทศมองเค้ายังไง คือมาเลฯถ้าเทียบกันเป็นหน่วยต่อหน่วย ผมว่าของเราดีกว่าของเรามีศักยภาพมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโลเกชั่น ในเรื่องบุคลากรหรือแม้แต่เรื่องของคุณภาพในการผลิตภาพยนตร์ ของเราก็ผลิตภาพยนตร์มายาวนานกว่าเค้าแล้วก็มีคุณภาพมากกว่า อย่างเวลาที่เราไปคุยกับคนต่างชาติเค้าก็มองว่าประเทศไทยพร้อมกว่าเยอะทำไมประเทศไทย ทำไมยูไม่เป็น แต่อย่างที่บอก มาเลฯเค้าโชคดีที่รัฐบาลเค้าเห็นคุณค่าแล้วเค้าสนับสนุนรัฐบาลเค้าประกาศช่วยอย่างจริงจัง แต่ของเรายังไปไม่ถึงจุดนั้น ตอนนี้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับฟิซิคอลว่า เรามีบอดี้เมื่อไหร่ถ้าเรามีองค์การมหาชนเมื่อไหร่ ผมว่าวันนั้นเหมือนทุกอย่างมันเดินเครื่องได้ตอนนี้มันยังเดินเครื่องไม่ได้ เพราะว่าเราไม่รู้ว่าเราจะเอางบประมาณมาจากไหน”

เรื่องที่3 ที่ต้องการทำนอกจากเรื่อง องค์การมหาชน เรื่องการเป็นฮับของอาเซ๊ยน

“งานในส่วนที่สามที่ผมอยากทำ ส่วนตัวนิดนึง คือผมคล้ายๆอยากปรับภาพลักษณ์ของสมาพันธ์ฯให้มันชัดเจนขึ้นคือ ที่ผ่านมาเหมือนกับว่า คนอาจจะยังไม่ค่อยรู้ว่าสมาพันธ์คืออะไร บางท่านอาจจะยังไม่ทราบว่าสมาพันธ์ฯเนี่ยมี 20 สมาคมอยู่ภายใต้ร่มคันเดียวกัน หรืออะไรอย่างเนี่ย สมาพันธ์ฯมีบทบาทอะไรบ้างสมาพันธ์ทำอะไรบ้าง บางคนเข้าใจว่าสมาพันธ์ฯมีหน้าที่จัดงานสุพรรณหงส์อย่างเดียว ซึ่งจริงๆไม่ใช่ครับสมาพันธ์ฯทำได้เยอะกว่านั้นมาก จริงๆก็อยากจะทำภาพตัวสมาพันธ์ฯให้เคลียร์และชัดเจนกว่าที่เป็นอยู่

ทำไมถึงมองเรื่องภาพลักษณ์ของสมาพันธ์ฯที่ต้องแก้ไข

“คือผมอยากจะรีแบรนด์ให้ผู้คนทั้งในวงการและนอกวงการเข้าใจมากขึ้น คือบางคนยังเข้าใจว่าสมาพันธ์ฯเป็นเรื่องของเฉพาะคนในสมาชิกเท่านั้นคือเหมือนกับช่วยเหลือกันเองภายในอุตสาหกรรม คือคนอื่นไม่เกี่ยวซึ่งจริงๆแล้วสมาพันธ์ฯมันกว้างกว่านั้นเยอะ มันสามารถทำอะไรได้มากกว่านั้นเยอะ ยกตัวอย่างง่ายๆอันหนึ่ง เว็ปไซต์ของสมาพันธ์ฯเนี่ยเท่าที่ผมเคยศึกษาดูเนี่ย ก็ไม่ค่อยได้เปลี่ยนแปลง หรือไม่ค่อยได้แอ็คทีฟอะไรฉะนั้นจริงๆแล้วในยุคโซเชียลมีเดียเนี่ย จะเป็นเว็ปไซต์ก็ดี เฟชบุ๊คก็ดีมันควรจะทำให้คนเข้าถึงตัวสมาพันธ์ฯได้ง่ายขึ้น”

มองจากภายนอกสมาพันธ์ฯยังดูมีแตกแยกอยู่?

“ไม่ครับผมไม่ได้มองแบบนั้น เราอยากจะบอกว่าสมาพันธ์ฯเราอาจจะบอกว่าเราไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการค้าด้วยซ้ำคือกรณีพิพาทของบรรดาสมาชิก อันเกี่ยวเนื่องกับผลประโยชน์ จริงๆทางสมาพันธ์ฯไม่ได้เข้าไปไกล่เกลี่ยหรือยุ่งตรงนั้นนะครับสมาพันธ์ฯมีหน้าที่เหมือนเป็นศูนย์รวมของสมาชิกที่อยากจะมาพึ่งพาหรือใช้บริการแต่ถ้ามันเกิดกรณีของการพิพาทกันหรืออะไรกัน มันก็เป็นเรื่องของการแข่งขันที่จะต้องไปตกลงกัน ซึ่งอันนี้ผมไม่ได้มองว่าเรามาอยู่ตรงนี้แล้วเราจะเป็นใครคือถ้าทุกคนมองว่าประธานคนนี้มันเป็น GTH แล้วต่อไปมันจะมีปัญหากับหนังค่ายอื่นหรือเปล่าคือถ้ามองแบบนั้น มันก็มีแน่ละ แต่จริงๆภาพที่ผมจะทำต่อจากนี้ไม่ใช่แบบนั้น ผมไม่ได้มองว่า เพราะผมเป็นประธาน GTH แล้วผมจึงมารับตำแหน่งตรงนี้ เปล่าเลย ผมไม่ได้คาดหวังตรงนั้น แล้วผมไม่มีเงินแม้แต่บาทเดียวจากการเป็นประธานสมาพันธ์ฯฉะนั้นถ้าผมทำ ผมทำด้วยใจจริงๆ เป็นการรับใช้วงการ เหมือนคืนให้กับวงการมากกว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ใดๆทั้งสิ้น”

การที่สมาพันธ์ไม่มีเงินงบประมาณ จะมีปัญหาการดำเนินงานแค่ไหน

“มันก็มีบ้างแหละครับแต่อย่างที่บอกคือ สมาพันธ์ฯมันก็ 20 กว่าปีแล้วการทำอะไรมันก็ทำด้วยความรู้สึกที่แบบว่า ผ่านความไว้เนื้อเชื่อใจจากคนที่เค้าสนับสนุนเรามาค่อนข้างยาวนานฉะนั้นเวลานี้สมาพันธ์ฯพูดอะไรภาพมันก็ดีกว่าแต่ก่อนเยอะครับ”

กิจกรรมหลักๆที่มีแผนจะทำแน่ๆแล้ว

“คือถ้าเป็นกิจกรรมก็มีสุพรรณหงส์ ที่จะจัดในวันที่ 3 มีนาคม อันนี้คิดว่าเราจะจัดที่โรงละครแห่งชาติแล้วก็ในเดือนกรกฎา ปีหน้าจะมีหัวหินฟิล์มครั้งที่ 2ซึ่งอันนี้ก็จะทำให้เรียบร้อยและชัดเจนกว่าเดิม เนื่องจากคราวที่แล้วก็มีหลายเสียงบ่นว่าเหมือนไม่ใช่เทศกาลหนัง แต่เที่ยวนี้จะทำให้ดูเป็นเทศกาลหนังมากขึ้น แล้วอาจมีอีกสัก 2-3 เทศกาลที่กำลังคุยกันอยู่”


พูดถึงแผนยุทธศาสตร์ที่ส่งให้รัฐบาลเพื่อเปลี่ยนสมาพันธ์ให้เป็นองค์การมหาชน

“คืออย่างนี้ครับแผนยุทธศาสตร์ที่เราเขียนให้รัฐบาลเนี่ย เวลานี้เนี่ยมันเป็นภาพที่ใหญ่มากของอุตสาหกรรม 20 อุตสาหกรรมที่อยู่ภายใต้ชายคาสมาพันธ์ตอนนี้ครับ มีบุคคลที่เกี่ยวข้อง หมายถึงว่าเป็น Empoyee ที่เกี่ยวข้องกันอยู่ 190,000 คน รายได้ต่อปี 77,000,000,000 ล้าน มีผู้ประกอบการ 53,000 ราย ฉะนั้นเวลานี้สมาพันธ์ไม่ใช่ขี้หมาแล้ว คือองค์การมหาชนนี่มันใหญ่ค่ามัน สองแสนล้าน ถ้ามันขนาดนี้ รัฐบาลก็ต้องเริ่มเล็งเห็นแล้วว่า มันใหญ่นะที่ผมพูดว่า 77,000,000,000 นี่คือรายได้ส่วนใหญ่ๆเลยมันหายไปกับผีหายไปกับการละเมิดลิขสิทธ์ หลายๆคนวิเคราะห์ว่ามันน่าจะหายไป 3 เท่า ถ้า 3เท่าจริงๆแล้วอุตสาหกรรมนี้มันอาจจะ สองแสนล้านก็ได้ ทีนี้ก็ต้องคิดแล้วว่าถ้าสองแสนล้านเนี่ยมันจะทำอะไรให้ได้กับประเทศนี้บ้าง บุคคลมันอาจจะไม่ใช่ 190,000คนc]h; มันอาจกลายเป็น สองสามแสนคนถ้าเกิดมันสามารถผลักดันรายรับขององค์กรนี้ให้ได้ สองแสนล้านจริง มันใหญ่มากครับ”

แล้วคนในวงการภาพยนตร์ต้องปรับเปลี่ยนเตรียมตัวยังไงในการรองรับส่วนแบ่ง 2 แสนล้าน

“ก็ต้องไปทีละส่วนครับอย่างตอนแรกเนี่ยเราจะไปบอกว่าให้ทุกคนปรับเป็นอย่างนั้น ให้ทุกคนปรับเป็นอย่างนี้มันเป็นไปไม่ได้หรอก แล้วทุกคนก็จะถามกลับว่า เธอมีอะไรให้ฉันที่ต้องปรับอะไรเนี่ยอย่างที่บอกตอนนี้เหมือนเรารอการประกอบร่าง คือถ้าองค์การมหาชนมันเกิดขึ้นเมื่อไหร่เนี่ยทุกอย่างมันจะรันตามแผน มันจะเขียนแผนของทุกๆส่วนของทุกๆสมาคมที่อยู่ในนั้นที่มีส่วนเกี่ยวข้อง มันจะมีงบประมาณออกมาสำหรับให้ทุกสมาคมหรือทุกๆส่วนที่เกี่ยวข้องได้ เอาไปพัฒนากิจการของตัวเองรวมทั้งตัวหนังไทยนี้ด้วยซึ่งในเวลานี้นั้นผมอยากจะบอกว่าภาพของสมาพันธ์ต่อไปเนี่ยอาจจะไม่ได้เป็นภาพของหนังไทยอย่างเดียวแล้วมันอาจจะเป็นภาพของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ใหญ่ๆอย่างนึง ที่มีทั้ง วีดิทัศน์ มีทั้ง อนิเมชั่นมีทั้งเกมส์ ทั้งคาราโอเกะเข้าไปเกี่ยวข้องทั้งหมด ก็จะเป็นภาพขององค์กรที่ใหญ่ ที่ไม่ใช่แค่หนังไทยล้วนๆแล้ว”

หากพูดถึงในวงการภาพยนตร์ในปีนี้2555 เป็นอย่างไรบ้าง

“ปีนี้พ.ศ. 2555 ถือว่าดร็อปกว่าปีที่แล้วประมาณนึงเนื่องจากว่า ปีที่แล้ว 2554 เรามีหนัง ตำนานสมเด็จพระนเรศวร สองภาคซึ่งก็ทำรายได้ไปร้อยกว่าล้านทั้งคู่ แต่ปีนี้พอไม่มีนเรศวรออกฉายเลย รายได้ส่วนหนึ่งก็ลดลงไปปีนี้หนังไทยที่ทำรายได้ผ่านหลักร้อยล้านมีเรื่องเดียว คือเรื่อง เอทีเอ็ม เออรักเออเร่อ หลังจากนั้นเนี่ย มันก็อยู่ในระดับ 60-70ที่มากกว่านั้นคือค่าเฉลี่ยอยู่แค่ สิบกว่าล้าน ทำให้ค่าเฉลี่ยของปีนี้มันดร็อปลงแต่ในแง่จำนวนของการผลิตเนี่ยใกล้เคียงเดิม อาจจะมากว่าเดิมนิดหนึ่งด้วยซ้ำ”

สาเหตุที่ทำให้วงการหนังไทยยังเหมือนคับแคบอยู่ในวงจำกัดแบบนี้

“อันนี้ผมไม่พูดในส่วนที่ผมเป็นประธานแล้วนะพูดในฐานนะที่ผมเป็นคนสร้างหนังคนหนึ่ง มันเหมือนกับว่าตอนนี้มันเป็นปัญหาไก่กับไข่ อะไรเกิดก่อนกัน คนสร้างก็มีความรู้สึกว่า ฉันจะลงทุนเยอะไปเพื่ออะไรในเมื่อตอนนี้ตลาดของคนดูมันหดตัวลง แต่ในขณะที่คนดูก็มองกลับว่าในเมื่อคุณลดทุนสร้างลง หนังคุณภาพก็ด้อยลง แล้วฉันจะไปดูหนังคุณเพื่ออะไรพอคนเห็นรายได้หนังเรื่องหนึ่ง แค่สิบกว่าล้าน ก็บอกลงทุนเยอะไม่ได้หรอกต่อไปสร้างหนังทุนไม่เกินสิบล้านแล้วกัน มันก็เลยกลายเป็นว่า พอเพดานมีนถูกบีบลงคุณภาพมันก็ลดลงตามด้วย มันก็เป็นอันนึงที่ผมพูดอยู่เสมอว่าที่จีทีเอซเราไม่ได้คิดแบบนี้ เราคิดว่าเรายังรักษาคุณภาพของการทำงานเรายังลงทุนหนังเรื่องนึงอยู่ที่ประมาณ 20 – 30 ล้านอยู่เพราะเราเชื่อว่าการลงทุนด้วยเงินที่น้อย มันจะไม่สามารถได้งานที่มีคุณภาพได้

อีกส่วนหนึ่งปัจจุบันต้องยอมรับว่าค่าตั๋วหนังสูงมาก ฉะนั้นคนที่ซื้อก็ต้องคิดว่ามันคุ้มค่าหรือเปล่ามันก็เลยเกิดเป็นประเด็นนี้ขึ้นมา กับประเด็นที่สามคือว่า ต้องยอมรับว่าคอนเซ็ปต์ของหนังไทยมันไม่ค่อยแตกต่างกันเยอะหนังที่ประสบความสำเร็จไปแล้ว ก็มักจะทำให้หนังเรื่องอื่นๆถูกคิดกันในทิศทางตามๆกันมาสังเกตว่าปีนี้หนังรักเยอะมากเลย จนเริ่มคิดว่า คนเริ่มเบื่อหนังรักแล้วรึเปล่าเหมือนในช่วงสองสามปีก่อนที่คนบอกว่า ทำไมหนังตลกเยอะจังเลยคนเริ่มเบื่อหนังตลกแล้วรึเปล่า อย่างปีนี้ ปี 55 จะเห็นได้เลยว่าอัตราค่าเฉลี่ยมันลดลง เพราะคนจะเริ่มไม่ดูหนังบางเรื่องแล้ว คนจะเริ่มรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ชั้นไม่ดู

แล้วมันสวนทางอีกอันหนึ่งก็คือว่าเวลาถ้าเราเทียบกับหนังเทศเนี่ย เวลานี้เค้าอัพเกรดทุนสร้าง มันเพิ่มขึ้นๆ ทุกปีจากที่เคยลงทุนเรื่องละ 100ล้าน 150 ล้าน 200 ล้าน เวลานี้มันไปถึง สามร้อยล้านแล้วก็มี หนังฝรั่งลงทุน300 ล้าน 200 ล้านเค้าถือเป็นเรื่องปกติแล้ว เพราะหนังเทศเค้ามีความรู้สึกว่าตลาดหนังโลกมันใหญ่มาก ใหญ่กว่าตลาดในอเมริกาเยอะ ฉะนั้นเค้าพร้อมจะลงทุนอย่างเต็มที่เพื่อรองรับตลาดโลก โดยเฉพาะที่จีนที่เดียวเนี่ย เค้าก็รู้สึกว่าไม่รู้มันจะคุ้มค่ายังไงแล้ว”

กับหนังไทยแล้วเราจะคิดอย่างที่หนังต่างประเทศคิดได้ไหม

“ไม่ได้เราไม่สามารถไปชนเค้าในแง่งบประมาณการสร้างได้ยิ่งหนังฝรั่งปรับต้นทุนการสร้างขึ้นเพดานมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งตามตรงนั้นไม่ไหวเพราะตั้งแต่ปีแรกถึงปัจจุบัน ผมก็พูดเสมอว่า เราไม่เคยคิดว่าจะแข่งกับฝรั่งในเรื่องของทุนสร้างอยู่แล้วคือเราสู้ด้วยไอเดีย เราสู้ด้วยรสนิยม เราสู้ด้วยคอนเซ็ปต์เราสู้ด้วยเราเป็นหนังไทย เราทำหนังให้คนไทยดูเราต้องคิดว่าเราจับรสนิยมคนไทยได้มากกว่า ผมสู้ด้วยความรู้สึกนั้น”

เมื่อไม่ทำหนังตลาดก็จะเป็นการเสี่ยงเมื่อไปทำหนังแนวอื่น มีวิธีแก้ไขไหม

“อันนี้ผมจะใช้วิธีอย่างนี้ครับ เนื่องจากเรารู้ดีว่า ถ้าเราทำแต่หนังตลาดๆ ทำแต่หนังตอบรสนิยมคนดูอยู่ตลอดตลาดหนังจะไม่โต มันก็จะวนเวียนกันอยู่อย่างนี้ ถ้าเราไม่เดินไปข้างหน้าตนดูเค้าก็จะไม่ตาม เขาก็จะดูแต่หนังที่เค้าคิดว่า อันนี้สนุก อันนี้บันเทิงแต่ถ้าเราอยากจะเดินหน้า แต่เราเดินไกลเกินไป เราเดินจนเค้าตามเราไม่ทัน เราก็ไปเจ็บตัวอยู่ตรงนั้นสมมุติถ้าผมอยากทำหนังดีๆ แล้วเราก็ทำหนังดีเลย ไม่สนใจแล้วว่าคนดูจะคิดยังไง แล้วเราไปเลยคนดูก็อ้าว ดูแล้วไม่เข้าใจเลย เค้าก็ไม่ตามเรา เราก็เหนื่อย

ฉะนั้นวิธีการของผมคือผมจะค่อยๆหยอด ผมจะค่อยๆเติมๆไปทีละนิด อย่างปีก่อนวัยรุ่นพันล้านถ้าคุณสังเกตให้ดีๆมี ดราม่า เราจะค่อยๆแทรก ดูหน้าหนังเป็นหนังวัยรุ่นก็จริงแต่เราจะมีเรื่องรสชาติของความดราม่าเข้าไป ให้คนดูแล้วรู้สึกว่า ดูแล้วมันเป็นหนังที่ให้อะไรกับคนดูนะหรืออย่างปีนี้ รักเจ็ดปี ก็เป็นหนังที่มีกลิ่นของดราม่าค่อนข้างเยอะ เราก็พยายามเจือเข้าไปดึงคนดูให้เข้ามาอยากดูหนังเราทีละนิด ซึ่งอันนี้แหละครับที่ผมคิดว่าเราเดินไปสองก้าว ให้คนดูตามเรามาสักก้าวหนึ่งแล้ว เราขยับอีกหน่อยแล้วให้คนดูขยับตามเราอีกนิดนึง ดีกว่าเราจะขยับทีเดียวไปไกลเลย แล้วคนดูไม่ตามเลยผมไม่อยากให้เป็นแบบนั้น

ฉะนั้นผมคิดว่าเวลานี้หนังฝรั่งไปไกลในทุกๆด้านถ้าเราวนเวียนจะทำแต่หนังตลก หนังรัก เน้นความบันเทิงอย่างเดียวแล้วเราไม่ใส่ตัวเนื้อหาหรือสิ่งที่ดีๆเข้าไปเลยเนี่ย คนดูวันหนึ่งเค้าก็จะเอียนแล้วก็จะบอกว่าหนังเรามีแต่หนังซ้ำๆซากๆ เราเองเราก็จะตายไปด้วยฉะนั้นเราเองเราก็ต้องเริ่มขยับ ถึงแม้วันนี้คนดูอาจจะยังไม่ค่อยคุ้นลิ้น ยังรู้สึกว่าไม่สนุกเท่าไหร่เลยแต่วันหน้าเค้าจะรู้สึกว่า หนังไทยนี่มันก็ดีเหมือนกันนะ มันจะค่อยๆกระเถิบทีละนิด”




Create Date : 31 มกราคม 2556
Last Update : 31 มกราคม 2556 3:03:02 น. 0 comments
Counter : 1304 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

takeoffjack
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add takeoffjack's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.