Group Blog
 
 
สิงหาคม 2550
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
1 สิงหาคม 2550
 
All Blogs
 
K-1

Q:
ดิฉันมาแต่งงานที่อเมริกาด้วยวีซ่า K-1 ตอนนี้ยังไม่ได้กรีนการ์ดเลยค่ะ แต่เหมือนตกนรกทั้งเป็น สามีไม่ยอมให้ไปไหน ไม่ให้เงินใช้ จะกินอะไร ก็ต้องให้เค้าเห็นชอบก่อน ไม่งั้นก็ไม่ยอมซื้อให้ อีเมล์หาเพื่อนเป็นภาษาไทย ก็ไม่ได้ เวลาเพื่อนโทรมา ขนาดฟังภาษาไทยไม่รู้เรื่องยังมานั่งเฝ้า เงี่ยหูฟัง
พูดคุยกับเพื่อนบ้านก็ไม่ได้ ขอไปทำงานก็ไม่ยอมให้ไป ไม่ทราบจะทำยังไงค่ะ จะต้องทนอย่างนี้ไปตลอดหรือคะ มีทางออกบ้างมั้ย


A:

คราวนี้ขอขยายความเรื่องปัญหาของคนที่เข้าอเมริกาด้วยวีซ่า K-1 นะคะ

ตามระเบียบแล้ว ผู้ที่ถือวีซ่า K-1 จะต้องจดทะเบียนสมรส ภายใน 90 วัน นับจากวันที่เดินทางมาถึง ถ้าไม่ได้จดทะเบียนสมรส ภายในกำหนดนี้ ถือว่าวีซ่าขาด ต้องกลับบ้านอย่างเดียว ถ้าจดทะเบียนสมรสภายใน 90 วัน แต่ยังไม่ได้ยื่นเรื่องปรับสถานะ ถึงเลย 90 วันไปแล้วก็ไม่เป็นไร เพราะสถานภาพทางกฏหมายถือว่า เป็นคู่สมรสของอเมริกันซิติเซ่น หลายๆคนเริ่มประสบปัญหากับสามีตั้งแต่ตอนช่วง 90 วันนี่ เพราะผู้ชายบางคน เล่นเกมโยก อ้างว่าเอาไว้ใกล้ๆ ค่อยจดบ้างละ.. หรือจดทะเบียนแล้วแต่ไม่ยอมยื่นปรับสถานะให้ภรรยา ใช้กรีนการ์ดเป็นเครื่องมือ บังคับให้ทำทุกอย่างตามที่ตัวเองต้องการ

ทีนี้มาว่ากันทีละขั้น.. ถ้าแฟนจดทะเบียนให้ดีๆ ก็ผ่านไปเปลาะหนึ่ง ถ้าเกิดว่าไม่มีการจดทะเบียน จะทำอย่างไร มีนะคะ…… ที่เคยเจอคือ พอมาถึงเรื่องจดทะเบียน ผู้ชายเกิดเปลี่ยนใจ อ้างว่ายังรักแฟนคนเก่า ต้องการกลับไปคืนดี บ้างก็ว่า.. ลูกสาวไม่เห็นด้วย ลูกสาวที่ว่านี่ คือลูกที่เกิดกับภรรยาเก่า และยังแชร์สิทธิ์การดูแลบุตรร่วมกัน.. ฟังแล้ว เอ๊ะ… มันแหม่งๆ ตรงที่ว่า ลูกสาวไม่ยอม หรือแม่เด็กไม่ยอม หรือตัวฝ่ายชายเอง ลังเลกันแน่ หรือบางราย มีคู่ขามาสิงสถิตย์อยู่ที่บ้านด้วย นอนเตียงเดียวกันอีกต่างหาก ไม่แคร์ว่าคู่หมั้นจะคิดยังไง เรื่องจริงค่ะ….

พอถึงตรงนี้ ฝ่ายคู่หมั้นกระเจิดกระเจิงไปทุกราย เพราะไม่รู้ว่าจะทำยังไง ส่วนมาก ถ้าไม่บินกลับเมืองไทย ก็จะหันไปหางานทำ ในร้านอาหารไทย หรือร้านนวดแผนโบราณ โดนเค้ากดค่าแรง โดนด่าเป็นหมูเป็นหมาก็ต้องทน เพราะตอนนี้ก็เท่ากับว่ากลายเป็นโรบินฮู้ดไปแล้ว

ในเคสอย่างนี้ แนะนำว่า ให้รวบรวมหลักฐานเก็บไว้ แล้วกลับเมืองไทยไปก่อน ที่บอกว่าให้กลับไปก่อนเพราะ…

หนึ่ง…ถ้าอยู่ วีซ่าขาด ก็จะกลายเป็นว่าติดแบลคลิสต์ overstay โทษคือห้ามเข้าอเมริกา 3-10 ปี ขึ้นอยู่กับว่า overstay นานแค่ไหน เช่น ถ้าไม่เกิน 180 วัน ก็โดน 3 ปี เป็นต้น

สอง… ถ้าอยู่ เกิดไปเจอคนใหม่เข้า ปิ๊งถึงขั้นจะแต่งงาน ทีนี้ละยากเลยค่ะ เพราะ INS มีเงื่อนไขว่า คนที่เข้าอเมริกาด้วยวีซ่า K-1 ถ้าไม่ได้แต่งงาน กับคนที่ขอวีซ่าให้ จะขอปรับสถานะ โดยการไปแต่งงาน กับผู้ชายอีกคนหนึ่งไม่ได้ ต้องกลับไปก่อน แล้วให้ฝ่ายชายขอวีซ่า K-1 หรือ K-3 ให้ ทีนี้มันก็มายากมากๆ ตรงที่ว่า เคยมีประวัติ overstay มาก่อน….

ทีนี้ถามว่า ถ้ากลับไทยไปก่อน แล้วจะได้มาอีกหรือ… ได้ค่ะ

ทำยังไง… ก็ทำตามขั้นตอนปกติของการขอวีซ่าคู่หมั้น แต่พอถึงเวลาสัมภาษณ์ ก็ให้บอกทางสถานทูตไปตรงๆ ว่า ที่ไปคราวก่อน เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงไม่ได้จดทะเบียนแต่งงาน ที่ดิฉันบอกไว้ข้างต้นว่าให้ เก็บหลักฐานก่อนกลับ ก็จะได้งัดเอามาใช้ตอนนี้ละค่ะ

หลักฐานที่ว่านี่คือ…

หนึ่ง… บันทึกตำรวจ ให้โทรแจ้งความว่าแฟนคุณหลอกลวง มีผู้หญิงอื่นอยู่ที่บ้าน ผิดวาจา คุณเป็นคู่หมั้น.. อุตส่าห์ลาออกจากงาน ทิ้งทุกอย่างมา ฯลฯ การแจ้งความนี้ ไม่ใช่เพื่อดำเนินคดีแฟนคุณ แต่ต้องการให้มีการบันทึกไว้ เป็นหลักฐาน คุณสามารถขอให้ตำรวจส่งสำเนาบันทึกฉบับนี้ มาให้คุณทางไปรษณีย์ได้ค่ะ โดยอาจให้ส่งที่บ้านเพื่อนคุณ คนใดคนหนึ่ง แล้วให้เพื่อนส่งต่อมาให้

สอง… สเตทเมนท์ของพยาน อย่างน้อย 3 คน อาจเป็นเพื่อน หรือสมาชิกในครอบครัวทั้งของเค้าและของคุณ ให้การแค่ว่า ได้รับทราบข้อมูลจากคุณว่าไปถึงโน่นแล้ว เกิดอะไรขึ้น ฯลฯ

ถ้าทำได้อย่างที่ว่ามานี่ ขอวีซ่าใหม่รับรองว่าผ่านค่ะ…. เพราะหลักการพิจารณาของทางสถานทูต คือเค้าจะมองว่า คุณไม่ได้คิดแค่จะเข้าอเมริกาเท่านั้น แต่ตั้งใจจะไปใช้ชีวิตคู่จริงๆ ถ้าคุณโดดวีซ่า เค้าจะมองไปว่า คุณไม่ได้จริงจังอะไร กับการแต่งงาน แค่ใช้ผู้ชายอเมริกันเป็นใบเบิกทางเท่านั้น ทีนี้เผื่อจะไปแต่งงานกับคนอื่น.. ไม่ง่ายแล้วค่ะ

มีหลายคนถามดิฉันว่า บินไปแต่งงานที่โน่นเลยได้ไหม เพราะมีวีซ่าท่องเที่ยว 10 ปีอยู่แล้ว คือขี้เกียจรอ ว่างั้นเถอะ…. ตอบว่า จดทะเบียนแต่งงานได้ แต่ไม่แน่ว่าจะยื่นขอปรับสถานะได้หรือเปล่า เพราะการขอวีซ่า K-1 หรือ K-3 เท่ากับว่า ทางการสกรีนให้ชั้นหนึ่งแล้ว ว่าทั้งฝ่ายอเมริกันซิติเซ่น และฝ่ายคุณ มีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่ INS ระบุ

ดิฉันเคยเจอหลายราย ที่บินมาจดทะเบียนสมรสที่อเมริกา ด้วยวีซ่าท่องเที่ยว หรือมาด้วยวีซ่านักเรียน พอถึงตาจะยื่นขอปรับสถานะถึงได้รู้ว่า แฟนมีคุณสมบัติไม่ครบถ้วนตามที่ INS กำหนด ที่เจอมาก็มี…

1. มีประวัติทำร้ายร่างกายคู่สมรส (Domestic Violence) หรือมีประวัติอาชญากรรมอื่นๆ หรือทั้งสองข้อ เพราะฉนั้น ถ้าฝ่ายชายเคยโดนหมายศาล Restraining Order มาก่อน หมดสิทธิ์ค่ะ

2. ไม่ได้เสียภาษีในระยะ 3 ปีที่ผ่านมา หรือเสียภาษี แต่รายได้ไม่ถึงกำหนดตามที่ INS ระบุ คือ 125% ของรายได้ขั้นต่ำ เรื่องเสียภาษีนี่พอทำเนา คือไปจ่ายซะ ก็จบกัน แต่เรื่องรายได้ไม่ถึงเกณฑ์นี่ยากหน่อย ทางออกเดียวคือ การหาสปอนเซ่อร์ร่วม คืออาจจะเป็นพ่อแม่ฝ่ายชายก็ได้ เรื่องสปอนเซ่อร์ร่วมนี่มีข้อเสียเหมือนกัน เพราะที่เคยเจอมาหลายราย แม่ของฝ่ายชายรับรองให้ แต่ไปๆ มาๆ แม่กลายเป็นคนบงการทุกอย่างในชีวิต ลูกชายพูดไม่ออก.. ไม่กล้าพูด ลูกสะใภ้ก็น้ำตาตก ทำอะไรไม่ได้

ส่วนเรื่องการปรับสถานะหากสามีไม่ยอมยื่นเรื่องให้… ตามอ่านต่อนะคะ

แต่งงานแล้ว.. จดทะเบียนแล้ว.. แต่สามีใช้เงื่อนไขเรื่องกรีนการ์ดมาบีบบังคับ.. ทำยังไงดี

การยื่นเรื่องขอปรับสถานะไม่มีกำหนดว่าต้องทำภายในกี่วัน ฉนั้น หลังจากจดทะเบียนแล้ว ยื่นเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ที่ควรยื่นเนิ่นๆ ก็เพราะใช้เวลานาน ถึงนานมาก… ระหว่างปรับสถานะ ก็จะมีสิทธิ์ขอเวิร์คเพอร์มิทได้ การมีเวิร์คเพอร์มิท จะทำให้สามารถขอเลขโซเชี่ยลได้
ทำใบขับขี่ได้ และทำ photo ID ได้ ซึ่งทั้งหมดนี้จะทำให้สามารถเปิดบัญชีธนาคารได้ สามารถทำงานได้โดยที่ยังไม่มีกรีนการ์ด

สรุปว่า ระหว่างที่ยังไม่ได้กรีนการ์ดนี่ คุณสามารถหางานทำ ฯลฯ ได้เหมือนคนที่มีกรีนการ์ด ทุกประการ ยกเว้นการเดินทางออกกนอกประเทศ ถ้าคุณยังไม่มีกรีนการ์ด คุณต้องยื่นเรื่องขอ Advance Perole ซึ่งเป็นเหมือนเอกสารประกอบหนังสือเดินทางเข้า-ออก อเมริกา
และคุณต้องรอให้ได้รับอนุมัติก่อน ถึงจะเดินทางได้

ระหว่างนี้หากเริ่มมองเห็นปัญหา เริ่มรู้สึกกดดัน ทะเลาะกันบ่อยๆ สิ่งที่ควรทำคือ พยายามนิ่งไว้ และเก็บรวบรวมหลักฐานต่างๆ โดยไม่ให้สามีรู้ ยิ่งมากยิ่งดี ทำแบบสำนวนจีนว่า *ใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว* ถึงจะโกรธแค้นยังไงก็ต้องทน และที่ห้ามเด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คู่ที่มีลูกด้วยกัน คือ **ห้ามท้าหย่า** เพราะตามกฏหมาย ถ้าฝ่ายหญิง ไม่ได้ทำงาน และมีลูกด้วยกัน มีสิทธิ์ได้รับเงินค่าเลี้ยงดูบุตรไปจนเด็กอายุ 18 ผู้หญิงอเมริกันเองโดนสามีบันดาลโทสะ ทำร้ายร่างกาย พลาดไปจนถึงตาย ปีละเป็นพันๆคน ที่ตั้งใจฆ่าเพื่อที่จะได้ไม่ต้องแบ่งสินสมรสก็มาก ผู้หญิงไทยเอง ก็มีไม่น้อยที่โดนฆ่าหมกป่าเพราะไปท้าหย่า ท้าแบ่งสมบัตินี่แหละค่ะ

ถ้าที่บ้านมีสแกนเนอร์ ให้สแกนแล้วส่งเป็น attachment ถึงตัวเองที่อีเมล์แอดเดรสที่ใช้เฉพาะกิจ เพื่อที่ว่าเวลาเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมา จะได้มีสำเนา ไม่งั้นออกมาตัวเปล่า หลักฐานอะไรไม่มีสักชิ้น สรุปว่าทำยังไงก็ได้ ให้มีสำเนาเอกสารเหล่านี้เก็บไว้ใช้ เอกสารที่ว่านี่คือ…

1. หลักฐานของตัวคุณเอง พาสปอร์ต สูติบัตรของตัว.. +ของลูก (ถ้ามีลูกด้วยกัน หรือมีลูกติดมา จากการแต่งงานครั้งก่อน) I-94 หนังสือรับรองว่าไม่มีประวัติอาชญากรรม ใบรับรองแพทย์ สำเนาเอกสารทั้งหมดที่ยื่น INS และ Notice of Receipt ถ้ามี ฯลฯ

2. หลักฐานเกี่ยวกับตัวสามี เช่นเลขโซเชี่ยล ใบขับขี่ บัตรเครดิต ทะเบียนรถ สเตทเมนท์ ธนาคาร ฯลฯ ที่ต้องมีเพราะ ถ้าระยะเวลา การแต่งงานสั้น มันไม่ค่อยน่าเชื่อถือถ้าคุณไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับตัวสามี คุณเลย บางรายแต่งงานกันแค่ 6 เดือนเท่านั้นค่ะ โดนซ้อมจนทนไม่ไหว มีหลายรายค่ะ

3. หลักฐานที่แสดงว่า แต่งงานและอยู่ด้วยกันจริง เช่น ใบเสร็จต่างๆ ที่มีชื่อร่วมกัน รูปถ่าย ที่ถ่ายด้วยกันที่บ้าน หรือตอนไปเที่ยว รูปถ่ายงานแต่งงาน จดหมาย สิ่งตีพิมพ์ที่ส่งถึงฝ่ายหญิง

4. หลักฐานพิสูจน์ว่านอกใจ หรือ abuse เรื่องนอกใจนี่ก็สำเนาอีเมล์ จดหมาย หรือใบจองตั๋วเครื่องบิน ถ้ารู้ว่าเค้าบินไปหากัน หรือใบเสร็จ ถ้ารู้ว่าเค้าซื้อของขวัญราคาแพงๆ ให้กัน หรือแอบอัดเทปการสนทนา ทางโทรศัพท์ ส่วนเรื่อง abuse ถ้าไม่ใช่ การทำร้ายร่างกาย หลักฐาน ก็มักจะเป็นคำให้การของพยานเสียเป็นส่วนมาก

5. หลักฐานอื่นๆ ตรงนี้สำคัญค่ะ อย่างการโทรไปปรึกษาศูนย์ Hotline หรือ Women Shelter ของท้องถิ่น เล่าเรื่องให้เค้าฟังก่อน ถามว่าคุณควรจะทำอย่างไร การให้ที่พัก ทางศูนย์เหล่านี้ จะจัดให้คุณก็ต่อเมื่อเห็นว่า ขืนปล่อยให้คุณอยู่ตามลำพัง อาจเป็นอันตรายถึงขั้นเลือดตกยางออก หรือพลาดพลั้งถึงตายได้ ยิ่งในกรณีที่สามีเป็นคนโมโหร้าย ให้คุณจดบันทึกไว้ว่า โทรไปที่เบอร์อะไร วันที่ เวลา หน่วยงานนั้นชื่ออะไร คนที่คุณพูดด้วยชื่ออะไร เวลาคุณเขียนสเตทเมนท์ส่ง INS ให้ใส่ข้อมูลนี้ลงไปด้วย เพราะหน่วยงานพวกนี้ เค้าจะมีการอัดเทปโทรศัพท์ที่คนโทรเข้ามาปรึกษา เหมือนกับ 911 ทาง INS สามารถสุ่มเช็คได้ว่าคุณโทรไปจริงหรือไม่ ถ้าจริง….. ก็จะเป็นประโยชน์ กับรูปคดี

การโทรแจ้ง 911 หรือโทรแจ้งตำรวจที่เบอร์ทั่วไป ก็เหมือนกัน ถ้าไม่ใช่เรื่องฉุกเฉินอย่าโทร 911 ถ้าต้องการแค่ให้ลงบันทึกประจำวัน ให้บอกไปว่าคุณต้องการให้ลงบันทึกประจำวัน ถ้าสื่อสารไม่ชัดเจน ตำรวจมักเหมาเอาว่าคุณต้องการให้จับคู่กรณีและดำเนินคดี ซึ่งบางทีมันเป็นเรื่องเกืนกว่าเหตุ เค้าจะไม่ทำให้ เพราะฉนั้นถ้าตำรวจบอกว่าทำอะไรไม่ได้ อย่างเรื่องของสามีภรรยา ให้บอกไปให้ชัดเขนว่า ต้องการแค่ให้บันทึกไว้เป็นหลักฐาน

ในกรณีที่มีการทำร้ายร่างกาย หรือมีอาวุธปืนเข้ามาเกี่ยวข้อง ให้โทร 911 ทันที ถ้าบาดเจ็บถึงกับต้องไปโรงพยาบาล ให้เก็บสำเนาใบรับรองแพทย์ไว้ให้ดี เอาไว้แนบเรื่อง เป็นประโยชน์มากค่ะ

6. คำให้การของพยาน คำว่าพยานในที่นี้คือผู้ที่รู้เห็นเหตุการณ์ว่า relationship ของคุณกับสามีลุ่มๆ ดอนๆ อย่างไร… สามีปฏิบัติต่อคุณซึ่งเป็นภรรยาอย่างไร… คุณมีความคับข้องใจ อันเนื่องมาจากพฤติกรรมของสามีอย่างไร

สิ่งที่ต้องรู้ + ต้องทำ…

ข้อแรก… ต้องรู้ว่าตัวเองมาด้วยวีซ่าอะไร เคยเจอคนจบปริญญาตรีเมืองไทย ทำงานมาก็หลายปีไม่ทราบอะไรเลย ถามดูได้ความแค่ว่าวีซ่าเค…. 1 หรือ 3 ไม่รู้ รู้แต่ว่าพอมาถึง ตม ดึงเอกสารไปใบนึงไม่รู้ว่าเอกสารอะไร สรุปว่าถามอะไรไม่ได้คำตอบเลย.. แล้วหนีสามีออกจากบ้านมา ก็ไม่ได้เอาเอกสารอะไรติดตัวมาด้วยเลยนอกจากพาสปอร์ต ฉนั้น ศึกษาด้วยตนเองบ้างในเรื่องพวกนี้ เพราะเวลาไปปรึกษาทนาย หรือโทรไปปรึกษา INS เค้าจะต้องรู้ข้อมูลพวกนี้ก่อน ถึงจะให้คำตอบได้

ข้อสอง.. เอกสารประจำตัวทุกอย่างเก็บไว้ให้ดี สำเนาทุกอย่างเก็บไว้… จำเป็นมากค่ะ อันนี้รวมทุกอย่างตั้งแต่พาสปอร์ต ทะเบียนสมรส สูติบัตร สำเนาทุกอย่างที่ส่งไปกับฟอร์ม I-485, I-765 ฯลฯ

ข้อสาม.. ให้เขียนไดอารี่ คือเจอเรื่องก็ให้บันทึกไว้ทันที อย่าปล่อยไว้ เพราะนานไปมักจะลืมรายละเอียดปลีกย่อยซึ่งบางทีเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี เวลาเขียนสเตทเมนท์ยื่น INS จะทำให้ง่ายเข้า

ข้อสี่.. พยายามสร้างพยาน สร้างหลักฐาน การเล่าเรื่องคับข้องใจ ให้คนอื่นฟัง พยายามให้มีหลักฐานเช่นส่งเป็นอีเมล์ หรือส่งเป็นจดหมาย เพราะเวลา INS เช็คเรื่องกลับ พยานก็สามารถยืนยันได้ว่า มีหลักฐาน ว่ารับรู้เหตุการณ์จริง ยิ่งในกรณีที่สามี Abuse ในหลายๆ เรื่องยกเว้นไม่เคยทำร้ายร้างกาย พยานบุคคลจะมีบทบาทสำคัญมาก ในเคสแบบนี้ และจะเป็นผลดีมากๆ ถ้าพยานเป็นเพื่อน หรือ คนในครอบครัว ของฝ่ายชาย อดีตภรรยา หรือคนรู้จักที่เป็นอเมริกันซิติเซ่นมาเป็นพยานให้ จะมีน้ำหนักดีมากๆ ทั้งนี้ พยานจะต้องเป็นคนที่มีปูมหลังน่าเชื่อถือด้วยนะคะ เช่น ไม่มีประวัติอาชญากรรม ยาเสพติด ฯลฯ

***สิ่งสำคัญที่ควรทราบเกี่ยวกับขั้นตอนการปรับสถานะในกรณีแบบนี้คือ***

1.ถ้าเกิดเหตุขึ้นหลังจากจดทะเบียน แต่ยังไม่ได้ยื่นปรับสถานะ อาจจะเพราะสามีเล่นเกม หรือใช้เงื่อนไขนี้เป็นเครื่องต่อรอง ในการบงการ ชีวิตคุณ สรุปว่าถ้าเค้าไม่ยื่นเรื่องให้ ไม่เตรียมหลักฐานการเป็นสปอนเซ่อร์
ให้ ฯลฯ คุณเก็บรวบรวมหลักฐานตามที่ว่ามาข้างบนแล้วก็ยื่นเรื่อง ด้วยตัวเองเลยค่ะ

ให้ยื่นฟอร์ม I-360 พร้อมกับ I-485 แบบฟอร์ม I-360 ใช้สำหรับกรณีที่เป็นเคส domestic abuseโดยต้องส่งไปที่เวอร์มอนท์ ส่วน I-485 นั้น ยื่นคนละที่กัน ให้ดูรายละเอียดจากคำแนะนำในฟอร์มว่า
รัฐไหนให้ส่งไปที่ไหน

2. ถ้ายื่น I-485 ไปแล้ว แต่ยังไม่ได้รับการอนุมัติ ยังไม่ได้รับ Notice of Receipt หรือได้รับแล้ว หรือโดนนัดไปพิมพ์ลายนิ้วมือแล้ว อะไรก็แล้วแต่ ให้ยื่นฟอร์ม I-360 อย่างเดียว พอได้รับการอนุมัติ I-360
ก็ให้ส่งสำเนาเอกสารฉบับนี้ไปที่สำนักงาน INS ที่คุณยื่น I-485 ไว้

ผลการพิจารณาเคสในหมวด I-360 จะเร็วมาก ถ้าหลักฐานครบถ้วน จะใช้เวลาไม่ถึง 6 เดือน ระหว่างนี้คุณมีสิทธิ์ขอเวิร์คเพอร์มิท ขอเลขโซเชี่ยล ทำใบขับขี่ ฯลฯ ได้ เพราะฉนั้น ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีสถานะทางกฏหมาย ถึงขั้นตอนนี้จะใช้เวลา แต่ถ้าหลักฐานพร้อม ไม่ค่อยพลาดค่ะ

ส่วน I-485 จะใช้เวลาประมาณ 10-12 เดือนหลังจากทราบผล I-360 แต่ถ้าเป็นเคส physical abuse จะเร็วกว่านี้มากค่ะ

***สำหรับคนที่ยื่นขอกรีนการ์ดโดยวิธีนี้ ระหว่างยื่น แยกทางกันแล้ว ยังไม่จำเป็นต้องหย่าก็ได้ แต่ว่าระหว่างดำเนินเรื่องไปจนจบ คือจนโดนเรียก สัมภาษณ์กรีนการ์ด คุณต้องหย่าเรียบร้อยแล้วเมื่อถึงตอนนั้น สรุปง่ายๆ ว่า เวลาสัมภาษณ์กรีนการ์ด คุณต้องหย่าแล้ว และต้องมีงานทำเลี้ยงตัวได้
และมีระเบียบอีกข้อนึงว่า……..

*** ระหว่างที่เรื่องยังไม่จบนี่ *ห้ามแต่งงานใหม่*ค่ะ หลังจากได้กรีนการ์ด เรียบร้อยแล้ว ไม่เป็นไรค่ะ…..***



© 2007 Lawanwadee.



Create Date : 01 สิงหาคม 2550
Last Update : 1 สิงหาคม 2550 14:09:49 น. 0 comments
Counter : 3285 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Lawanwadee
Location :
California United States

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 48 คน [?]




ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมและติดต่อดิฉันได้ที่ http://lawanwadee.com/

หากคุณกำลังประสบปัญหาเรื่อง domestic violence เช่น สามีทำร้ายร่างกาย สามีเอาข้าวของๆ คุณออกมาโยนไว้หน้าบ้าน ไล่คุณออกจากบ้าน เปลี่ยนกุญแจ หรือสามีบังคับให้คุณขายบริการทางเพศ บังคับให้เข้าร่วมกลุ่มสวิงกิ้ง หรือทำการใดๆ ที่เป็นการบังคับขู่เข็ญ คุณสามารถติดต่อดิฉันได้ ทางฟอร์มข้างล่างนี้ กรุณาเล่ารายละเอียดทั้งหมด ตั้งแต่คุณมาด้วยวีซ่าอะไร เมื่อไหร่ แต่งงานมานานเท่าไหร่ เกิดอะไรขึ้น ฯลฯ และระบุชื่อเมือง รัฐ และ zip code มาด้วย ถ้าเป็นกรณีเร่งด่วน กรุณาให้เบอร์โทรศัพท์ของคุณมาด้วยค่ะ
Friends' blogs
[Add Lawanwadee's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.