น่านนะสิ :: ตอนที่ 4 กระซิบรัก ณ น่าน
น่านนะสิ
30 มกราคม 2561 เช้าวันที่ 3 ของการเดินทางสู่ จ.น่าน วันนี้เราตื่นเช้าสักหน่อยเพราะต้องเดินทางกลับบ้านที่เชียงรายแล้ว ช่วงเช้านี้ก็แวะไหว้พระในตัวเมืองน่านเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตกันก่อนค่ะ
เมื่อคืนเราพักที่เฮือนข่วงน่าน ไม่มีอาหารเช้าเราก็แวะไปทานเกาเหลาเลือดหมูในตลาด จากนั้นก็ได้เวลาท่องเที่ยวกันแล้ว สถานที่แรกที่แวะไปวันนี้
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน
เดิมเป็นที่ประทับของพระเจ้าสุริยพงษ์ผลิตเดชฯ พระเจ้าน่าน ทรงสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2446 เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน 2 ชั้น มีมุขด้านหน้า หลังคามุงด้วยไม้แป้นเกล็ด บนเนื้อที่ 14 ไร่ 2 งาน 32 ตารางวา ครั้นเมื่อเจ้ามหาพรหมสุรธาดา เจ้าผู้ครองนครน่านองค์สุดท้ายถึงพิราลัย เจ้านายบุตรหลานของเจ้าผู้ครองนครน่านจึงได้มอบหอคำหลังนี้พร้อมที่ดินให้แก่รัฐบาล เพื่อใช้เป็นอาคารศาลากลางจังหวัดน่าน ต่อมาเมื่อกระทรวงมหาดไทยได้ก่อสร้างอาคารศาลากลางจังหวัดหลังใหม่ขึ้น กรมศิลปากรจึงได้ขอรับมอบอาคารเพื่อใช้เป็นสถานที่จัดตั้งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน ขึ้นในปี พ.ศ. 2517 และประกาศจัดตั้งอย่างเป็นทางการขึ้นในปี พ.ศ. 2528 โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานประกอบพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2530
ภายในอาคารจะมีโบราณวัตถุที่สำคัญ
1. งาช้างดำ มีลักษณะเป็นงาปลียาว 97 เซนติเมตร วัดโดยรอบตรงส่วนใหญ่ที่สุด 47 เซนติเมตร โพรงตอนโคนลึก 14 เซนติเมตร สีออกน้ำตาลเข้มไม่ดำสนิท มีจารึกอักษรล้านนาว่า "กิ่งนี้หนักหนึ่งหมื่นห้าพัน" หรือประมาณ 18 กิโลกรัม สันนิษฐานว่าเป็นงาข้างซ้ายเพราะมีรอยเสียดสีกับงาชัดเจน ชาวจังหวัดน่านถือว่า งาช้างดำเป็นวัตถุมงคลคู่บ้านคู่เมืองน่านและถือเป็นเอกลักษณ์หนึ่งของจังหวัดน่าน เป็นวัตถุโบราณที่หายากและมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์เป็นอย่างมาก ปัจจุบันงาช้างดำเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน
ในส่วนของ ครุฑ ที่แบกรับงาช้างดำไว้นั้น แกะสลักจากไม้สักทั้งท่อนโดยช่างสกุลน่าน สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2469 เนื่องจากช่วงนั้นมีข่าวว่าเจ้าเมืองฝ่ายเหนือบางเมืองคิดแข็งข้อก่อการกบฏต่อราชวงค์จักรี เจ้าผู้ครองนครน่านจึงสั่งให้ทำพระครุฑพ่าห์ขึ้นมาแบกรับงาช้างดำวัตถุคู่บ้านคู่เมืองไว้ เพื่อเป็นการแสดงสัญลักษณ์ให้เห็นว่า "นครน่านในยุคนั้นยังคงจงรักภักดีต่อราชวงศ์จักรีแห่งกรุงรัตนโกสินทร์อยู่ไม่เสื่อมคลาย..."
2. หีบพระธรรมไม้แกะสลัก ฝีมือช่างสกุลน่าน
3. สมุดข่อยอาณาจักรหลักคำกฎหมายเมืองน่าน
4. ครุฑยุคนาค ฝีมือช่างล้านนา
5. ศิลาจารึกหลักที่ 64 อักษรสุโขทัย กล่าวถึงการกระทำสัตย์สาบานช่วยเหลือซึ่งกันและกันเมื่อเกิดศึกสงครามระหว่างเจ้าพระยาผากอง เจ้าผู้ครองนครน่าน และพระมหาธรรมราชาที่ 2 กษัตริย์แห่งสุโขทัย
6. ศิลาจารึกหลักที่ 74 อักษรธรรมล้านนา กล่าวถึงพญาพลเทพกุรไชย เจ้าเมืองน่าน ได้ทำการบูรณะพระมหาวิหารให้วัดหลวงกลางเวียง (วัดช้างค้ำ)
(ประวัติคัดมาบางส่วนจาก วิกิพีเดีย)
พิพิธภัณฑสถานเปิดเข้าชมวันพุธ - อาทิตย์ แต่วันที่เรามาคือวันอังคาร อดเข้าชมสิคะ
ไม่เป็นไร ไหน ๆ ก็แวะมาแล้วเดินไปถ่ายรูปรอบ ๆ ด้านนอกก็ได้ค่ะ
ภายในพิพิธภัณฑ์ เป็นที่ตั้งของวัดน้อย วัดที่ได้ชื่อว่าเป็นวัดที่เล็กที่สุดในประเทศไทย จากคำบอกเล่าที่สืบทอดต่อกันมาเชื่อว่า พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ เจ้าผู้ครองนครน่านองค์ที่ 63 เป็นผู้สร้างขึ้น โดยสาเหตุมาจากครั้งหนึ่งที่พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าและกราบบังคมทูลถึงจำนวนวัด ทั้งหมดในเมืองน่านแก่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 แต่ปรากฏว่าในกราบบังคมทูล คราวนั้นพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯได้นับ จำนวนวัด เกินไปหนึ่งวัด จึงได้หาทางทำการสร้างวัดน้อย แห่งนี้ขึ้นมา เพื่อให้ครบตามจำนวนที่กราบบังคมทูลไป ซึ่งการเข้าเฝ้ารัชกาลที่ 5 นั้นจากหลักฐานปรากฏว่า มีเพียงครั้งเดียวคือ ในพ.ศ.2416 จึงสันนิษฐานกันว่าวัดน้อยแห่งนี้คงได้ทำการสร้างหลังจากนั้น รูปทรงของวัดเป็นวิหารก่ออิฐ ถือปูน ขนาดกว้าง 1.98 เมตร ยาว 2.34 เมตร สูง 3.35 เมตร แบบศิลปะล้านนา สกุลช่างน่านมีพระพุทธรูปและแผงพระพิมพ์ไม้ประดิษฐานอยู่ภายใน วัดน้อยแห่งนี้
(ข้อมูลจาก ไปด้วยกัน.คอม)
เดินมาด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ มีซุ้มต้นลีลาวดีที่สวยงามมากค่ะ ใครมาที่นี่ก็ไม่พลาดจะแวะถ่ายรูปสวย ๆ กัน
มองเห็นพระธาตุช้างค้ำ อยู่ฝั่งตรงข้ามถนน
เก็บภาพเรียบร้อย เราก็ข้ามมาอีกฝั่งเพื่อไปที่วัดภูมินทร์
แต่ก่อนเข้าไปในวัด ขอแวะตรงข้ามวัดก่อนนะคะ พอดีคอแห้งอยากทานกาแฟ
เห็นป้าย Cafe' Amazon ตอนที่เราเคยมาเมื่อ 5 ปีก่อนตรงนี้ก็เคยเป็นร้านกาแฟแต่ไม่ใช่ของ Amazon นะคะ
กาแฟมาแล้ว ชื่นใจหายร้อนเลย เสียดายมาน่านครั้งนี้อากาศร้อนมาก ขนเสื้อกันหนาวมาจากบ้านหลายตัวแทบไม่ได้ใส่เลยค่ะ
ยืนถ่ายรูปนี้จากร้านกาแฟ วัดภูมินทร์ก็อยู่ตรงข้ามนี่เอง
หายเหนื่อย หายร้อนแล้วก็ทำจิตใจให้สงบเดินเข้าวัดกันได้แล้วค่ะ
วัดภูมินทร์
เดิมชื่อวัด พรหมมินทร์ สร้างขึ้นโดยพระเจตบุตรพรหมมินทร์ เจ้าครองเมืองน่าน โดยมีโบสถ์ และ วิหารรวมเป็นอาคารหลังเดียวกัน ประตูไม้ทั้งสี่ทิศแกะสลักลวดลายอย่างสวยงาม ภายในวัดมีสถาปัตยกรรมพระเจตบุตรพรหมมินทร์ โดยมีพระอุโบสถ เป็นทรงจตุรมุข และ พระประธานจตุรพักตร์ มีนาคสะดุ้งขนาดใหญ่ตั้งสง่าอยู่ทั้งสองฟากทางเข้าพระอุโบสถ สันนิษฐานว่าเป็นพระอุโบสถจตุรมุขหลังแรกของประเทศ พระอุโบสถเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปขนาดใหญ่ 4 องค์ ซึ่งหันพระพักตร์ออกด้านประตูทั้งสี่ทิศ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย และยังมีจิตรกรรมฝาผนังในวิหารหลวงเขียนขึ้นในช่วงสมัยเจ้าอนันตวรฤทธิเดช ปลายรัชกาลที่ 4 เป็นภาพจิตรกรรม หรือฮูบแต้ม ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับวิถีชีวิตของคนในสมัยนั้น และ ภาพที่มีชื่อเสียงภาพหนึ่งคือ ภาพ ปู่ม่าน ย่าม่าน ซึ่งถือว่ามีความงดงามและประณีตเป็นอย่างมาก
วัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร
อยู่ตรงข้ามพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน เดิมชื่อ วัดหลวงกลางเวียง เจ้าผู้ครองนครน่าน พญาภูเข่ง เป็นผู้สร้างขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 1949 พระวิหารหลวงวัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร เป็นวิหารขนาดใหญ่ รูปทรง สร้างตามสถาปัตยกรรม ทางภาคเหนือ
ภายในวัดประดิษฐาน เจดีย์ช้างค้ำ ซึ่งเป็นศิลปสมัยสุโขทัย อายุประมาณพุทธศตวรรษที่ 20 รอบเจดีย์ มีรูปปั้นช้างปูนปั้น เพียงครึ่งตัวประดับอยู่โดยรอบ นอกจากนี้ยังมีพระพุทธรูปทองคำปางลีลา คือ พระพุทธนันทบุรีศรีศากยมุนี ซึ่งเป็นทองคำ 65 % สูง 145 เซนติเมตร ยอดพระโมฬีทำเสริมเมื่อ พ.ศ. 2442 หนัก 69 บาท เจ้างั่วฬารผาสุม เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 14 แห่งราชวงค์ภูคา เป็นผู้สร้าง เมื่อวันพุธ เดือน 6 เหนือ พ.ศ. 1969 เป็นศิลปะสุโขทัย ประดิษฐานอยู่ที่หอพระไตรปิฎก ใหญ่ที่สุดในประเทศ
(ข้อมูลบางส่วนจาก วิกิพีเดีย)
ฝั่งตรงข้ามวัดก็เป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน
วัดพระธาตุเขาน้อย
ตำบลดู่ใต้ อ.เมืองน่าน จ.น่าน เป็นวัดราษฎร์ องค์พระธาตุตั้งอยู่บนยอดดอยเขาน้อย ซึ่งอยู่ด้านตะวันตกของตัวเมืองน่าน สร้างในสมัยเจ้าปู่แข็ง เมื่อปี พ.ศ. 2030 องค์พระธาตุเป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูนทั้งองค์ เป็นศิลปะพม่าผสมล้านนา ภายในบรรจุพระเกศาธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ในสมัยพระเจ้าสุริยพงศ์ผริตเดชฯ ระหว่างปี พ.ศ. 2449-2454 โดยช่างชาวพม่า และวิหารสร้างในสมัยนี้เช่นกัน จากวัดพระธาตุเขาน้อย สามารถมองเห็นทิวทัศน์โดยรอบของตัวเมืองน่าน ปัจจุบันบริเวณลานชมทิวทัศน์ ประดิษฐานพระพุทธมหาอุดมมงคลนันทบุรีศรีน่าน ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางประทานพร บนฐานดอกบัวสูง 9 เมตร บนยอดพระเกศาทำจากทองคำหนัก 27 บาท สร้างขึ้นเนื่องในมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ฯ ทรงเจริญพระชนมพรรษา 6 รอบ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2542
(ข้อมูลจาก วิกิพีเดีย)
วัดสุดท้ายก่อนกลับค่ะ
วัดศรีพันต้น โบสถ์สีทองสวยงาม ตั้งอยู่กลางเมืองน่าน
ขับรถออกจากเมืองน่านมาประมาณ 35 กม. เจอจุดชมทะเลหมอกวิวสุดอันซีนแห่งใหม่ของเมืองน่าน แต่เรามาก็บ่ายแก่ ๆ แล้วไม่มีหมอกให้เห็น ที่นี่จะมีร้านกาแฟ และขายอาหารด้วยนะคะ
ดอยตีดู้ว์ ภาษาม้ง แปลว่า ใกล้ขอบฟ้า
ตั้งอยู่บนเส้นทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1091 (น่าน-พะเยา) ตำบลสะเนียน อำเภอเมือง จังหวัดน่าน
คลิ๊กที่นี่ ===> ตอนที่ 1 เดินทางจากเชียงรายไปน่าน
คลิ๊กที่นี่ ===> ตอนที่ 2 กินข้าวที่ฟาร์มเห็ด ไปดูด่านพรมแดนห้วยโก๋น นอนพักที่ปัว
ได้เวลากลับเชียงรายแล้วค่ะ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามมาจนถึงตอนจบนะคะ
Create Date : 11 กุมภาพันธ์ 2561 |
Last Update : 11 กุมภาพันธ์ 2561 19:40:40 น. |
|
9 comments
|
Counter : 4707 Pageviews. |
|
|
ไปอีกรอบนะคะ เข้าพิพิธภัณฑ์ฯ พี่ก็เพิ่งได้เข้ารอบหลังเหมือนกันค่ะ