ชีวิตคืองาน งานคือชีวิต.....
Group Blog
 
 
กันยายน 2553
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
24 กันยายน 2553
 
All Blogs
 
มรรค 8.....หลวงพ่อชา....

มรรค 8
พวกเราทั้งหลายครอบครองทรัพย์สมบัติภายนอกตัวมามากแล้ว จงเข้ามาเปลี่ยนเป็น ทรัพย์ภายใน อันนี้จะพ้นจากอุทกภัย วาตภัย โจรภัย อะไรต่างๆ ทรัพย์อันนี้จะพ้นจากข้าศึกแล้ว น้ำท่วม ลมพัด ไฟไหม้ อันตรายต่างๆ ทั้งหลายเหล่านี้ เข้าไม่ถึงแล้ว เพราะว่าเข้าถึงจุดมัน คือที่ความสบายใจหรือความดีใจที่ฝั่งไว้ในวิญญาณอันนี้ ดังนั้นพระพุทธเจ้าของเราท่านจึงได้ว่า บุญไม่อยู่ภายนอก แต่เข้ามาข้างในเสียแล้ว ท่านจึงจัดเป็น อริยทรัพย์ หรือทรัพย์ภายในซึ่งน้ำท่วมไม่ได้ ไฟไหม้ไม่ได้ โจรลักไปไม่ได้ ส่วนนี้โยมจะสบาย ส่วนที่บริจาคไปวันนี้เก็บบัญชีไว้ดีๆ แล้วพ้นอันตรายสบายใจๆ อันนี้ไม่มีโทษอะไร ฉะนั้นการบริจาคนี้เป็นการปราบกิเลสส่วนหนึ่ง ซึ่งเรียกว่าตัว โลภะ ทำใจเราให้มัวหมอง เมื่อจิตมัวหมองแล้วท่านจะได้ทุกข์ไปตามอันนั้น การกระทำวันนี้ของญาติโยมทั้งหลายเป็นไปในทำนองอันนี้

แต่อย่างไรก็ตาม ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราท่านสอนว่าการ ให้ทาน การักษา ศีล การเจริญเมตตา ภาวนา นั้น รวมเข้าไปหาจุดอันเดียว ๆ คืออันใดอยู่ที่ ไหน จุดอันเดียวเพื่อจะให้ถึงความสงบ เมื่อสงบแล้วเรียกว่ามันจบ ก่อนจะสงบนั้นนะเราจะรู้เรื่องว่า เราจะทำอย่างไรใจเราจึงสงบ อย่างนี้เป็นต้น เมื่อจิตเราไม่สงบเราจะทำอย่างไรมันถึงจะสงบ ถ้าเมื่อจิตสงบแล้วก็ถึงจุดของพระผู้มีพระภาคของเรานั้นนะที่ท่านต้องการที่สุด

เรื่องที่จิตของเราที่ไม่สงบนั้น เพราะว่าจิตของเรานั้นน่ะไม่เข้าถึงธรรมะอันแท้จริง ไม่ถึงจุดธรรมะอันแท้จริง จิตเรายังโง่อยู่ ยังไม่ฉลาด ไม่มีปัญญารู้เท่าตามความเป็นจริงในสภาวธรรมทั้งหลาย นั้นเรียกว่าปฏิบัติธรรม อะไรมันเป็นธรรมะทุกอย่าง สิ่งที่ไม่เป็นธรรมะไม่มี คือของทุกสิ่งทุกอย่างนั้นแหละ ท่านเรียกว่าธรรมะ จะเป็นรูปที่เรามองเห็นด้วยตาก็ตามจะเป็นนามสิ่งที่เรามองเห็นด้วยตาไม่ได้ก็ตาม เป็นธรรมกันทั้งหมดเลยทีเดียว นี่เรียกว่า ธรรมะ เรียกว่าสภาวะ คือความเป็นอยู่อย่างนั้น มันเป็นเองของมันอยู่อย่างนั้น แม้พระพุทธเจ้าจะบังเกิดขึ้นก็ตาม ไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม สภาวธรรมเป็นอยู่อย่างนั้นเอง ไม่แปรเป็นไปอย่างอื่น

ทีนี้ความไม่สงบของเราทั้งหลายนั้น คือยังไม่ได้ประพฤติธรรม ยังไม่ได้ปฏิบัติธรรม เช่นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราท่านว่าให้เห็นอย่างถูกต้องเรียกว่า สัมมาทิฏฐิ ตลอดไปจนถึง สัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว สัมมาวายาโม สัมมาสติ สัมมาสมาธิ องค์ของมรรคมี 8 อย่าง แต่มรรคมีอันเดียว คือ เอ
กายนมรรคเป็นมรรคอันเดียว และเป็นของบุคคลที่จะสัญจรไปคนเดียว ไปแต่ผู้เดียว แต่ว่ามีองค์ 8 ประการ

เมื่อเรามาเห็นชอบ ดำริมันก็ชอบ วาจามันก็ชอบ การงานก็ชอบ เลี้ยงชีวิตมันก็ชอบ พยายามก็ชอบ ตั้งสติมันก็ชอบ ตั้งใจก็ชอบ มันชอบที่ตรงไหน มันชอบอยู่ที่ใจของเรานี้แหละ จะไปตรงไหนก็ช่างมัน มันออกจากจิตดวงนี้ เห็นชอบออกจากจิต ดำริชอบมันออกจากจิต เมื่อจิตมันตั้งไว้ชอบแล้ว มันจะชอบกันไปหมดนั้น และไม่มีอะไรที่จะไม่ชอบมรรคทั้งหลายเหล่านี้มันสามัคคีกันขึ้นที่จิตใจของเราเป็นอันเดียว คือ ความสงบ จุดนี้เป็นทางที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราท่านตรัสว่าให้เดินมรรคอันนี้เป็น สัมมามรรค

ถ้าเราคิดให้จิตใจสงบ เช่นว่าเราถูกอารมณ์อันใดเกิดขึ้นมา ถ้าเราเป็นสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นชอบแล้ว ทุกอย่างมันชอบทั้งนั้นแหละ ไม่มีผิด เพราะธรรมะสั่งสอนในการปล่อยวาง ไม่มีอะไร เมื่อมีควมสุขเกิดขึ้นมา อันความสุขนี้ท่านก็สอนว่าสักแต่ว่าเป็นสุข ทุกข์เกิดขึ้นมานี้ พระพุทธเจ้าก็สอนว่า อันนี้ก็สักแต่ว่าเป็นทุกข์ ไม่มีใครสุข และไม่มีใครทุกข์ เป็นแต่ความรู้สึกเกิดขึ้นมาเฉยๆ ท่านจึงว่า สักแต่ว่าเป็นสุข สักแต่ว่าเป็นทุกข์ ความสุขทุกข์อันนี้มันก็เกิดขึ้นมามีอยู่ แต่ว่าเราทั้งหลายมาประพฤติปฏิบัติธรรมแล้ว อาการของสุขนี้มันก็เกิดขึ้นมา แต่ว่าหาเจ้าของสุขนั้นไม่มี ไม่มีใครเป็นเจ้าของ บางทีทุกข์ก็เกิดขึ้นมามีอยู่ แต่ว่าทุกข์นั้นมันเป็นมาตามเรื่องของมัน เกิดมาตามกิริยาของมัน มันก็เป็นอยู่อย่างนั้น ท่านจึงบอกว่า ถ้ามีความสุขแล้ว ก็ให้รู้ตามความเป็นจริงมันเสียว่า สุขนี้ก็สักแต่ว่าสุข ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา ถ้าทุกข์เกิดขึ้นมาแล้วท่านก็ให้รับรู้ พิจารณามันว่า ทุกข์นี้ก็สักว่าแต่ทุกข์ ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา

การที่เราคิดเช่นนี้แหละเป็นสัมมาทิฏฐิ เราก็ไม่ได้เป็นเจ้าของสุขนั้นและทุกข์นั้น สุขทุกข์อันนั้นเป็นของที่ไม่มีเจ้าของ ถ้าใครเข้าไปยึดมั่นถือมั่นมัน ก็เข้าไปเป็นเจ้าของสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น เมื่อเข้าไปเป็นเจ้าของสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นมันก็ไม่เพียงแต่เป็นทุกข์ มันไหลไปเรื่อยๆ ไป บางทีมันก็หายไป บางทีมันก็ไม่ได้มา แล้วก็ดีอกดีใจ แล้วก็เสียใจ ตามสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น เพราะว่าตัวมิจฉาทิฏฐิมันเข้ามาแทรกให้มีความเห็นผิดเช่นนั้น เห็นผิดอะไร เราเข้าไปเป็นเจ้าของความสุข เราเข้าไปเป็นเจ้าของความทุกข์ เข้าไปแบกสุขทุกข์อันนั้นอยู่ มันก็หนัก อันนี้มันเป็นมิจฉาทิฏฐิ ในทำนองอย่างนี้ ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิแล้ว เวทนานี้ก็สักแต่เวทนา ลงสักว่าอย่างนี้ เวทนานั้นเป็นความ
เสวยสุขหรือทุกข์ 2 ประการนั้นแหละ เวทนานี้ถ้ามันเกิดขึ้นมา สุขก็จัดเป็นสุขเวทนา ทุกข์ก็จัดเป็นทุกข์เวทนา ดังนั้นเกิดแล้วมันดับไป เจ้าของสุขทุกข์นั้นไม่มี พระพุทธเจ้าท่านให้พิจารณาอย่างนี้

เมื่อเราพิจารณาเข้าไปเช่นนี้บ่อยๆ เรียกจิตว่าเข้ามาดูซิว่า อันนี้คืออะไร สุขนี้คืออะไร ทุกข์นี้มันคืออะไร มันเป็นของแน่นอนไหม มันเที่ยงไหม หรือมันเป็นอย่างไร พิจารณาตามมันเถอะ เราพอมองเห็นไหมว่าสภาวะที่เป็นอยู่นั้นนะ เราเคยเป็นสุขมาไหม “เคย” แล้วมันหายไปมีไหม หายไปมันก็มีแล้วทุกข์เคยมีไหม เคยมีทุกข์ทุกคน แต่ว่ามันทุกข์ไปตลอดไหมบางทีมันก็หายไป เราจะไปเอาเรื่องเอาราวอะไรกับสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ นี้แหละเป็นอารมณ์อย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างนี้

เมื่อเรารู้สิ่งทั้ง 2 ประการนี้ จิตเราก็สงบ ทำไมถึงสงบ เพราะเราไม่เข้าไปเป็นเจ้าของอะไรทั้งนั้นแต่ว่าเราใช้สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ได้สบาย ถ้วยโถโอชาม จะมีในบ้านของเราโต๊ะเก้าอี้อะไรที่มันมีอยู่นั้นก็ไม่ใช่ของเราๆ ใช้ไปเพื่อไม่ใช่ของเรา แต่เราใช้มันตามสบายใจ โดยที่ไม่ต้องทุกข์ ใช้โดยผู้มีปัญญารอบคอบ ให้อยู่เหนือสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ให้รู้เหนือสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ถ้าไม่อยู่เหนือสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น เราก็แบกมันโดยอุปาทานว่า อันนี้ของเรา อันนั้นของเรา เรื่อยไปอันนี้แหละที่มันเป็น มิจฉาทิฏฐิ เป็นความเห็นที่ผิดขึ้นมาเพราะทำให้เราเป็นทุกข์ เป็นทุกข์เพราะอะไร ผิดหวัง อันนั้นเธอจงเป็นอย่างนั้น อันนี้แกจงเป็นอย่างนี้ ไม่ได้ตามปรารถนาของเรา

พระพุทธเจ้าท่านสอน พุทธบริษัทเราทั้งหลายเพื่อให้พ้นจากวัฏฏสงสารทุกๆ คน แต่ว่าเราสัตว์ผู้ที่กิเลสหนาปัญญาหยาบนั้นก็คิดไปอย่างหนึ่ง ที่ฟังธรรมะแล้ว อะไรก็ไม่ใช่ของตนทั้งนั้น กลัวจะไม่ได้ก็ไม่สบายใจ ความเป็นจริงนั้น ที่ว่าตน ที่เป็นของตนนั้น เป็นได้ แต่ว่านั้น เป็นของสมมติ มันไม่เป็นวิมุติ เราต้องเรียนรู้มันลืมทุกอย่างนั้นแหละ มันเป็นของสมมติ เช่นตัวของเรานี้ ชื่อเรานี้ มันมีชื่อมาแต่วันเราเกิดนะ เกิดมาแล้วมาตั้งชื่อใหม่ ชื่อเก่านั้นไม่มีเพราะมันไม่มี ทำไมมันถึงไม่มี มันว่างอยู่ตรงนั้นแหละ ตรงที่ไหนมันว่าง ก็เอาอะไรไปวางตรงที่นั้นก็ได้ เอาไปวางตรงที่มันว่างๆ เพราะว่าสัตว์เกิดมามันว่างไม่มีชื่อ เราก็ตั้งชื่อให้มันเสีย ชื่อใหม่นี้เอาไปใส่ใหม่ เป็นสมมติขึ้นมา เป็นนาย ก. นาย ข. นาย ค. ชื่อใหม่สมมติที่ตรงนั้น ทำไมต้องสมมติมัน เพราะตรงนั้นมันไม่มีอะไร จึงสมมติว่าให้มันเป็นนาย ก. นาย ข. เสีย นาย ก. นาย ข. จึงถูกสมมติขึ้นมา ไม่ใช่นาย ก จริง นาย ข จริง แต่เป็นนาย ก นาย ข สมมติ มันไม่ใช่วิมุต ถ้าไปถามถึงแล้ว จริงๆมันจะไม่มีอะไร เป็นสภาวธรรมเท่านั้น เกิดมาแล้วต้องดับไป ดับไปแล้วเกิดขึ้นมา เกิดๆ ดับๆ อยู่เช่นนั้นสภาวะทั้งหลายเหล่านี้ เมื่อเรานำเอาอันนี้ไปพิจารณาแล้วจะได้รู้แจ้งเห็นจริงแก่ตัวเอง




Create Date : 24 กันยายน 2553
Last Update : 24 กันยายน 2553 8:19:55 น. 0 comments
Counter : 471 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คนอุบล
Location :
อุบลราชธานี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




เกิดอุบล.เรียนจบแค่ ปริญญาตรีที่ มข...
ทำงานส่วนตัวเป็นนักธุรกิจที่อุบล....
ที่คิดว่าโลกของตนเอง..คือธรรมะ..
และชอบศึกษา..ชอบอ่าน..ชอบท่องโลก....
คิดว่าจนเองโชคดีที่ได้เกิดที่เมืองไทย..ที่อีสาน..และที่อุบลราชธานี..
"ดินแดนแห่งธรรมะ..และน้ำใจไมตรี..."

free web counter stat counters
New Comments
Friends' blogs
[Add คนอุบล's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.