เปลี่ยน VS ไม่เปลี่ยน โดย ดร. นิเวศน์
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
วันที่ 9 สิงหาคม 2554 03:00

ในการลงทุนของ "เซียน" หรือนักลงทุนที่ "มุ่งมั่น" ดูเหมือนว่า จะมีความคิดเกี่ยวกับอนาคตของกิจการ 2 แนวทาง

กลุ่มของเซียนที่กล้าได้กล้าเสีย อายุน้อยกว่า กระตือรือร้นกว่า และมีสปิริตของ "นักเก็งกำไร" มากกว่า จะชอบการลงทุนในบริษัทที่กำลังมีการ"เปลี่ยนแปลง" ในพื้นฐานที่สำคัญของกิจการ พวกเขาเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลง จะทำให้มูลค่าที่แท้จริงของกิจการเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ และนั่นเป็นโอกาสที่เขาจะทำกำไรได้มหาศาลในเวลาอันรวดเร็ว

นักลงทุนอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งกลุ่มนี้จะมีอายุมากกว่า อนุรักษนิยมกว่า เป็นพวกที่เน้นความปลอดภัยสูง และมีสปิริตของ"นักลงทุน" มากกว่าการเทรดหุ้น พวกเขาชอบการลงทุนในบริษัทที่มีความแน่นอนของผลประกอบการ และชอบกิจการที่ "ไม่เปลี่ยนแปลง" ในพื้นฐานที่สำคัญของกิจการ

พวกเขาเชื่อว่ากิจการที่มีความมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลงไปง่ายๆ จะทำให้เขาประเมินมูลค่าที่แท้จริงได้แม่นยำ ดังนั้นการซื้อหุ้นลงทุน จึงผิดพลาดน้อยกว่ากิจการที่มี หรือเปลี่ยนแปลงสูง คนกลุ่มนี้คิดว่า ผลตอบแทนที่จะได้จากหุ้นมากๆ อยู่ที่การเติบโตของกิจการในอนาคตจากผลิตภัณฑ์เดิมๆ ของบริษัท

พูดง่ายๆ พวกเขาเชื่อว่าราคาหุ้นจะขึ้นไปเรื่อยๆ ตามการเติบโตของยอดขายและกำไรของบริษัท ดังนั้นวิธีทำเงิน ก็คือ ซื้อหุ้นที่มีลักษณะดังกล่าวแล้วถือยาว โดยไม่ต้องทำอะไร ยกเว้นคอยติดตามผลการดำเนินงานของบริษัท การเปลี่ยนแปลงพื้นฐานที่สำคัญของกิจการ จำแนกเป็นหลายๆ กลุ่ม

กลุ่มแรก พบได้มากที่สุด จะเป็น เรื่องของบริษัทขนาดเล็ก โดยเฉพาะบริษัทที่เคยมีปัญหาในการดำเนินงานและกำลัง "ฟื้นฟู" กิจการ โดยผู้ถือหุ้นและผู้บริหารกลุ่มใหม่ การที่เป็นบริษัทขนาดเล็ก ทำให้การเปลี่ยนแปลงแบบ "พลิกหน้ามือเป็นหลังมือ" ทำได้ง่าย

วิธีการ ก็คือ เพิ่มทุนโดยผู้ถือหุ้นกลุ่มใหม่แล้ว ประกาศเปลี่ยนธุรกิจ จากธุรกิจเดิมเป็นธุรกิจที่ "มีโอกาส" ทำกำไรได้รวดเร็ว เพราะผู้ถือหุ้นกลุ่มใหม่เคยทำธุรกิจนั้นอยู่ หรืออาจจะเป็นธุรกิจที่กำลัง "ร้อนแรง" และการเข้าสู่ธุรกิจทำได้ง่าย หรือถ้าเป็นบริษัทด้านบริการ อาจหันไปจับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบันเทิง หรือธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการสื่อสารแบบไร้สายและอินเทอร์เน็ตต่างๆ เป็นต้น

การเปลี่ยนแปลง "พื้นฐาน" ของกิจการ เพราะการเปลี่ยนแปลงธุรกิจ หรือผลิตภัณฑ์อย่างสิ้นเชิง ถ้าว่ากันตามทฤษฎีแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะประสบความสำเร็จ จริงอยู่ ในระยะยาวอาจมีกำไร และทำให้บริษัทที่เคยมีปัญหาฟื้นตัวได้ แต่หากกำไรที่ทำได้ เป็น"กำไรปกติ" ที่เหมาะสมกับ "เงินลงทุน" ที่ใส่เข้าไป ผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอาจเท่ากับ 10% ต่อปีในระยะยาว

ถ้าเป็นแบบนี้ มูลค่าพื้นฐานที่แท้จริงของบริษัท และราคาหุ้นไม่น่าจะเพิ่มขึ้นในระยะยาว ความหมาย คือ ใส่เงินใหม่เข้าไปเท่าไร ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นเท่านั้นในระยะยาว

ในระยะสั้นราคาหุ้นย่อมขึ้นอยู่กับ "ความเชื่อ" ของนักเล่นหุ้น ถ้า"สปอนเซอร์" หรือคนที่เข้ามาเปลี่ยนกิจการ โน้มน้าวให้คนเชื่อว่า บริษัททำกิจการใหม่มีกำไรได้รวดเร็ว และสูงเหมือนกับกิจการอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน คนก็จะเข้ามาซื้อหุ้น และทำให้ราคาขึ้นรวดเร็ว และคนที่เข้าไปเปลี่ยนกิจการ ก็ขายหุ้นทำกำไรได้มากและรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ

กลุ่มที่มีการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานของกิจการที่เป็นบริษัทใหญ่ขึ้นมา และไม่มีปัญหาการดำเนินงาน น่าจะเป็นกิจการที่มีการเปลี่ยนแปลงในวิธี หรือกลยุทธ์สำคัญในการทำธุรกิจ ส่วนหนึ่งอาจมาจากการ เทคโอเวอร์กิจการ ที่เป็นคู่แข่ง และหรือเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเดิมของตน และในกระบวนการนั้น ทำให้เกิดความได้เปรียบ เพราะขนาดหรือทำให้เกิดความแตกต่างของผลิตภัณฑ์ในสายตาของลูกค้า ส่งผลให้ผลประกอบการดีขึ้นชัดเจน เมื่อเทียบกับเงินลงทุนที่จ่ายไป ลักษณะนี้จะทำให้กำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นมั่นคง และราคาหุ้นปรับตัวขึ้นรับกับ "พื้นฐานใหม่" คนที่เข้าไปซื้อหุ้นไว้ก่อนในราคาต่ำได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ

เช่นเดียวกัน ราคาหุ้นอาจขึ้นไปทันที เพราะนักเล่นหุ้นเชื่อว่าสิ่งที่บริษัททำจะเป็นจริง ในระยะยาวแล้ว ผลประกอบการที่ประกาศออกมา จะเป็นตัวกำหนดพื้นฐานที่เปลี่ยนแปลงไป ดีขึ้นหรือเลวลง และราคาหุ้นจะสะท้อนพื้นฐานนั้น

คนที่ "หากิน" กับการเปลี่ยนแปลงของกิจการ บ่อยครั้งก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพื้นฐานระยะยาวจริงๆ พวกเขามองหาการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น และมีผลดีต่อผลการดำเนินงานบริษัท เช่น บริษัทหรือหุ้นที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์ ถ้าราคาสินค้าหรือบริการกำลังปรับตัวขึ้น และเขาคิดว่าด้วยความไม่สมดุลของการผลิต และการบริโภคที่เกิดขึ้น จะทำให้ราคาโภคภัณฑ์ปรับตัวขึ้นไปอีกมาก แบบนี้ การซื้อหุ้นไว้ก่อนก็จะทำให้ได้กำไรมหาศาล คนที่คาดการณ์ได้จริงๆ ก็หาได้ยาก โอกาสผิดพลาดมักจะมีสูง

การเล่นหุ้นที่กำลังมีการ "เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ" จึงเป็นเรื่องน่าเร้าใจ บ่อยครั้งไม่จำเป็นต้องคาดถูก หรือผิดด้วยซ้ำ เพียงแต่คาดถูกต้องว่า "คนอื่นเชื่ออย่างไร" เพราะราคาหุ้นในระยะสั้น อยู่ที่ความเชื่อไม่ใช่ความจริง ผลตอบแทนของการคาดการณ์ถูกต้องนั้นสูงมาก เช่นเดียวกัน ผลตอบแทนจากการคาดผิดก็เลวร้ายได้ไม่แพ้กัน

คนเล่นเกมนี้ ต้องเข้าใจว่า มีบางคนได้เปรียบกว่าคนอื่น อย่างน้อย "สปอนเซอร์" ก็รู้ดีกว่าคนนอก ผู้เล่นรายใหญ่ที่มีพลังการซื้อ และการชี้นำสูงได้เปรียบรายย่อยที่เป็นฝ่ายรับข้อมูลมากกว่า

กลับมาในกลุ่มคนที่หากินกับการ "ไม่เปลี่ยนแปลง" นี่คือ ยุทธศาสตร์การลงทุนที่ "น่าเบื่อ" เพราะตัวธุรกิจที่บริษัททำอยู่ มักเป็นธุรกิจที่ไม่ใคร่มีความคิดสร้างสรรค์ หรือเป็นธุรกิจ "รูทีน" ทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้นมานาน ส่วนใหญ่อาจนับสิบๆ ปี

หุ้นเหล่านี้ส่วนใหญ่เข้าข่ายเป็นกิจการที่ "แข็งแกร่ง" หรือ "ยิ่งใหญ่" ทั้งด้านการตลาดและการเงิน เมื่อเทียบกับคู่แข่งในธุรกิจเดียวกัน ผลประกอบการ มักจะคาดการณ์ได้ แต่เติบโตขึ้นหลายสิบหรือร้อยๆ เปอร์เซ็นต์ในระยะเวลาสั้นๆ ตัวหุ้นเองก็มักจะไม่ปรับตัวขึ้นหรือลงหวือหวา

ดังนั้นถ้าคนชอบมีชีวิตการลงทุนมั่นคง และไม่ต้องการความกังวลใจกับการลงทุน นี่ก็เป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจ และในระยะยาว ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยอาจไม่แพ้การลงทุน ที่เน้นการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจสำหรับนักลงทุนที่มีศักยภาพพอๆ กัน



Create Date : 14 สิงหาคม 2554
Last Update : 14 สิงหาคม 2554 7:30:56 น.
Counter : 447 Pageviews.

0 comments

Depulis
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]



สิงหาคม 2554

 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
15
17
18
19
20
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
All Blog