โอ้โฮ..เธอคือ VI ตังจริง

  

เธอ พูด ถูก เเล้วครับ สำหรับเธอ เป็น มือ โปร จริงๆ
ตอนนี้ เธอ ได้ ปันผลประมาณ 1 บาท ต่อ ปี จาก ทุน 2 บาท คิด เป็น div ประมาณ 50 % ( เยอะมาก )
แต่คนที่ ซื้อ cfp ราคา 25 บาท ( ดอย ) 555 ตอนนี้ได้ Div ประมาณ 4 % ดู ยังห่างไกล กับทุน 2 บาท มากครับ
เวลาคิด ต้องคิด จากทุนของตัวเองไม่ใช่ราคาตลาด ครับ
ราคาตลาด จะใช่ได้ เฉพาะ คนที่กำลังจะ เข้าซื้อ เท่านั้น
แต่หุ้นที่ ฆ่าสัตว์ อาจเป็นบาป กรรม ติดตัวก็ได้น่าครับ
เพราะมองว่าซื้อหุ้นอะไร ก็ เป็นเจ้าของกิจการนั้น

  

ผมว่าคิดจากต้นทุนเราถูกแล้วนะ

คิดจากราคาตลาดมันก็เปลี่ยนทุกวันสิ

  

ผมยินดีมากที่มีผู้เข้ามาออกความคิดความเห็นครับ

แต่ผมขอยกตัวอย่างวิธีคิดของผมหน่อยแล้วกัน

สมมุติ (อันนี้ผมสมมุติตัวเลขขึ้นมาเองนะครับ) ว่าใช้เงินจำนวน 100,160.50 บาท ซื้อหุ้น CPF ที่ 2.50 บาท ได้ 40,000 หุ้น ต่อมาราคาหุ้นวิ่งขึ้นไป เป็น 22.50 บาท มูลค่าหุ้นที่ถืออยู่ก็จะได้ 898,470 บาท เมื่อหักค่าคอมมิชชั่นและภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว และ ได้ปันผล หุ้นละ 1 บาท (ผมว่าปีนี้ผู้ถือหุ้นน่าจะได้นะหุ้นละ 1 บาท) รวมเป็นเงินอีก 40,000 บาท

แต่ถ้าเธอขายหุ้น CPF ออกทั้งหมด แล้วไปซื้อ SIRI แทน (อันนี้ไม่ได้พิจารณาเรื่องการเติบโตของรายได้และกำไรนะครับ) ซี่ง SIRI ราคาหุ้นละ 5.40 บาท จะได้หุ้น จำนวน 898,470/5.40 ประมาณ 162,400 หุ้น และ ถ้า SIRI จ่ายปันผลเท่ากับปีที่แล้วที่ 0.52 บาท เธอก็จะได้รับเงินปันผล เท่ากับ 84,448 บาท

จากตัวอย่างผมเลยคิดว่า ถ้าคิดจากต้นทุน CPF ได้เงินปันผลประมาณ 50 % แต่ถ้าคิดจากมูลค่าหุ้นก็ประมาณ 4.5 % แต่ SIRI จ่ายปันผลประมาณ 9.6 % ครับ

ดังนั้นผมจึงคิดว่า การคิดอัตราปันผลจึงน่าจะคิดจากมูลค่าปัจจุบันมากกว่าเงินลงทุนเริ่มต้นครับ

  

คุณจิ้งจกเขียวครับ

1. วิธีคิดของคุณจิ้งจกเขียวนี้จะมีประโยชน์กับกรณีขายแล้วซื้อตัวใหม่เท่านั้นหรือไม่ครับ แล้วถ้าไม่ขาย จะใช้วิธีคิดแบบเพื่อนของคุณจิ้งจกเขียวจะมีผลเสียอย่างไรบ้างครับ?

2. เวลาเราคิดกำไรจาก Capital Gain เราคิดโดยใช้ราคาต้นทุนที่เราซื้อมาเป็นฐาน แต่เวลาเราคิดกำไรจากเงินปันผล เรากลับคิดโดยใช้ราคาปัจจุบันเป็นฐาน แบบนี้จะมีปัญหา 2 มาตรฐานหรือไม่ครับ?

  

ขอบคุณที่ให้แง่คิดเปรียบเทียบหลาย ๆ มุมค่ะ