สอนลูกให้ฉลาด เป็นเด็กดี มีความสุข ต้องสอนให้รู้จักคิด
สมองของคนเรานั้นก็เหมือนกับอวัยวะส่วนอื่นคือยิ่งได้ใช้ ได้คิด มากเท่าไหร่ก็จะยิ่งพัฒนาไปได้มากขึ้นเท่านั้น
ส่วนตัวยอมรับว่าระบบการศึกษาของเราไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้เด็กได้ใช้ความคิดมากสักเท่าไหร่ อย่างไรก็ตามการพูดถึงสิ่งที่เราเปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไรไม่ได้ในตอนนี้นั้นย่อมมีประโยชน์น้อยกว่าการพูดถึงสิ่งที่ "ใครๆก็ทำได้" เป็นแน่

ถ้าคุณอยากให้ลูกมีความคิดสร้างสรรค์ มีวิสัยทัศน์ ได้ฝึกใช้สมองและความคิดอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงเติบโตมาอย่างมีคุณภาพเป็นคนที่มีความสุขและมีความมั่นคงทางอารมณ์ ปีใหม่นี้เจนมีอะไรเล็กๆน้อยๆมานำเสนอ



== เลิกถามคำถามแบบปลายปิด ==

คำถามแบบปลายปิดคือคำถามปะเภท ใช่หรือไม่ ดีหรือเลว ถูกหรือผิด การถามคำถามแบบนี้ไม่ได้ช่วยให้เด็กพัฒนาสมองมากสักเท่าไหร่ เช่น ถามว่า คนที่โมโหแล้วทำร้ายคนอื่นเป็นคนดีหรือไม่ แน่นอนเด็กตอบได้ว่าไม่ดี แล้วสมองของเด็กก็จะหยุดคิดแค่นั้น หรือถ้าคิดต่อก็มักจะเป็นการด่าทอ ประนาม สาบแช่ง ซึ่งมักจะสร้างความขุ่นเคืองทางอารมณ์มากกว่าจะช่วยพัฒนาสมอง

คำถามที่ควรจะถามเด็กควรเป็นคำถามแบบปลายเปิดให้เด็กเติมต่อท้ายเอง ถ้าเด็กยังเล็กๆอาจเริ่มจากคำถามง่ายๆ เช่น จากตัวอย่าง คนที่โมโหแล้วทำร้ายคนอื่นเป็นคน......

เด็กอาจตอบว่า ไม่ดี ,อารมณ์ร้าย,ไม่น่าคบ,อันธพาล การถามคำถามปลายเปิดแบบนี้นั้นจะช่วยให้เด็กได้ใช้สมองมากขึ้น และเมื่อเด็กโตขึ้นหรือมีความรู้มากขึ้น เราก็เพิ่มความซับซ้อนของคำถามมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น จากตัวอย่าง คนที่โดนรังแกจนทนไม่ไหวเมื่อความอดทนหมดแล้วโมโหทำร้ายคนที่มารังแกเป็นคน..... คำตอบของเด็กอาจจะเหมือนเดิมหรืออาจเปลี่ยนเป็น กล้า,รักความยุติธรรม,มีความเป็นลูกผู้ชาย ก็เป็นได้ซึ่งถ้าคำตอบของเด็กเปลี่ยนไปเราก็ต้องอธิบายเพิ่มว่าความคิดของเขานั้นเป็นอย่างไร และถ้าเรื่องนั้นเป็นสิ่งสำคัญหรือสิ่งที่น่าสนใจเราอาจถามเจาะลึกลงไปเรื่อยๆ เช่น ถ้าหนูเป็นคนที่ถูกรังแกหนูจะทำแบบนี้ไหม ถ้าไม่แล้วจะทำอย่างไร,การถูกกระทำด้วยความรุนแรงในวัยเด็กมีส่วนทำให้เขาเลือกตอบโต้ด้วยวิธีนี้หรือเปล่า เป็นต้น

การถามคำถามแบบปลายเปิดนี้ไม่ใช่เพียงแค่ช่วยให้เด็กได้ใช้สมองมากยิ่งขึ้นแต่ยังช่วยให้เด็กเข้าใจโลก รู้จักคิด และไม่ยึดติดว่าสิ่งใดๆนั้นต้องถูกหรือผิด โง่หรือฉลาดเสมอไป เพราะอย่างที่ทราบกันว่าหลายสิ่งในโลกนี้นั้นเป็นสีเทาที่ยากจะชี้ชัด และหลายอย่างเป็นเรื่องความชอบหรือรสนิยมไม่ใช่โง่หรือฉลาด


== เลิกให้คำตอบสำเร็จรูปกับเด็ก ==

ถ้าเด็กยังเล็กหรือไม่มีความรู้ใดๆในเรื่องนั้นเลย แน่นอนว่าเราจำเป็นที่จะต้องสอนต้องให้ความรู้กับเด็กก่อน แต่เมื่อเด็กพอมีความรู้บ้างแล้ว เมื่อเด็กถามเราควรพยายามให้เด็กนำความรู้ที่มีอยู่มาต่อยอดไม่ใช่เอาแต่ให้แต่คำตอบสำเร็จรูปกับเด็กเสมอไป เช่น เด็กรู้ว่าพื้นที่หนึ่งตารางเมตรคือพื้นที่ขนาดกว้างหนึ่งเมตรยาวหนึ่งเมตร เมื่อเด็กเห็นโฆษณาขายบ้าน 50ตร.ว. แล้วเด็กถามว่า 50ตร.วเท่ากับกี่ ตร.ม. แทนที่คุณจะบอกลูกไปเลย คุณควรบอกว่า หนึ่งวาเท่ากับสองเมตรแล้วให้ลูกไปลองคิดคำนวนหาเอาเองว่าคำตอบคือเท่าไหร่

หรืออย่างลูกชอบดูฟุตบอล ดูโปรแกรมการแข่งขันในเวบบอกว่าคู่แรกจะเริ่มเตะเวลา15.00ตามเวลาในสหราชอาณาจักรแล้วลูกถามว่าตรงกับเวลาเมืองไทยกี่โมงถ้าคุณบอกไปว่าสี่ทุ่มพอคู่ถัดไปเตะเวลา 17.30 ลูกก็อาจต้องมาถามใหม่ คุณควรสอนลูกว่าเวลาที่สหราชอาณาจักรเท่ากับเวลาสากลเชิงพิกัด (UTC) ส่วนที่ประเทศไทยจะต้องบวกไปอีกเจ็ดชั่วโมง(UTC+7)แล้วให้ลูกไปลองคิดหาเอาเองและเมื่อเขาจำได้แล้วนั้นไม่ว่าฟุตบอลจะเลื่อนเวลาแข่งขันไปเป็นเวลาใดเขาก็จะสามารถเทียบได้ไม่ต้องมาคอยถามคุณหรือวิ่งไปดูในหนังสือพิมพ์อีกต่อไป


== อย่าบอกแค่สิ่งที่ผิด แต่ต้องบอกสิ่งที่ถูกด้วย ==

ตั้งแต่ทำงานดูแลเด็กมายอมรับว่าเด็กจำนวนไม่น้อยทำผิดแบบที่เรียกว่า "ฉันรู้ว่ามันผิดแต่ฉันก็ยังทำ" แต่ก็ไม่ใช่กับเด็กทุกคนโดยเฉพาะกับเด็กเล็กๆ

ถ้าเด็กเล็กๆเล่นกับน้องหมาโดยการดึงหาง การบอกเด็กว่าหนูดึงหางน้องหมาแบบนั้นไม่ได้นะลูกเป็นสิ่งที่ถูก แต่ถ้าคุณบอกแค่นั้นเด็กก็จะรู้แค่ว่าเขาเล่นกับน้องหมาโดยการดึงหางไม่ได้ แล้วถ้าถามต่อว่าเด็กรู้ไหมว่าถ้าเขาอยากเล่นกับน้องหมาเขาต้องเล่นกับมันยังไง คำตอบของคำถามนี้คือถ้าเจนให้พวงกุญแจที่มีกุญแจสิบลูกให้คุณไปไขประตูแล้วบอกคุณว่าไม่ใช่กุญแจดอกที่สาม คุณก็จะรู้แค่ไม่ใช่กุญแจดอกที่สามแต่จะเป็นกุญแจดอกที่ 1,2 หรือ 4-10 คุณก็ไม่รู้อยู่ดีก็ต้องเสี่ยงเดาเอาซึ่งอาจจะถูกหรือผิดก็เป็นได้ เด็กเล็กๆก็เหมือนกัน ถ้าเขาอยากเล่นกับน้องหมาอีกแล้วจำได้ว่าแม่ไม่ให้ดึงหางมัน เที่ยวหน้าเขาอาจจะกระโดดขี่มัน จับขามันลาก หรือกัดหูมันอย่างที่เขาทำกับตุ๊กตาก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นคุณต้องไม่ใช่แค่บอกว่าดึงหางมันไม่ได้ แต่ต้องบอกว่า ถ้าหนูอยากเล่นกับน้องหมา หนูต้องเกาคาง เกาพุง หรือลูบหัวหรืออะไรก็ว่าไป

แม้กระทั่งเด็กโตบางทีก็เช่นกัน มีปีนึงลูกๆที่โรงเรียนที่พึ่งเข้ามาใหม่ เจนเห็นพวกเขากินขนมในห้องเรียนก็เลยบอกว่ากินในห้องไม่ได้เพราะนี่เป็นห้องเรียน เดินกลับมาอีกทีเด็กก็มายืนกินตรงระเบียง เจนก็บอกอีกว่าที่นี่ก็กินไม่ได้เพราะใครมองขึ้นมาแล้วมันดูไม่ดี พอเดินขึ้นไปอีกชั้นแล้วเดินกลับลงมาอีกทีก็เจอเจ้าหนูสามตัวเดิมยืนกินที่บันได ตอนแรกก็คิดในใจว่าจะชวนพวกเธอไปแทะขนมกันต่อที่ห้องของเจน แต่พอถามเด็กๆบอกว่าพอเจนบอกว่าในห้องเรียนกินไม่ได้เด็กก็เข้าใจว่าเพราะเป็นห้องเรียนจึงกินไม่ได้เลยมากินที่ระเบียง พอบอกระเบียงก็ไม่ได้เพราะคนอื่นเห็นแล้วดูไม่ดี ก็เลยคิดว่ากินที่บันไดคงได้เพราะใครมองมาไม่เห็นก็คงไม่เป็นไรแล้วๆเด็กก็ไม่รู้จริงๆว่าควรจะไปกินที่ไหน เจนก็นึกได้ว่าก็จริงก็เลยบอกเด็กไปว่าให้ไปกินที่โรงอาหารหรือบริเวณที่จัดไว้ให้ในสวนหย่อม และตั้งแต่นั้นถ้ามีเหตุการณ์คล้ายๆแบบนี้อีกเจนก็จะบอกเด็กเสมอว่าหนูทำแบบนี้ไม่ได้และต้องทำแบบไหนไม่ใช่แค่บอกว่าทำแบบนี้ไม่ได้แต่เพียงอย่างเดียว


== ไม่มีทางเลือกที่โง่ มีแต่ทางเลือกที่ฉลาด ฉลาดกว่า และเหมาะสมในสถานการณ์นั้นที่สุด ==

"โง่" คำเดียวสั้นๆที่ออกจากปากผู้ใหญ่นั้นทำลายความมั่นใจและความภาคภูมิใจในตัวเองของเด็กได้เป็นอย่างดี

เด็กหรือแม้กระทั่งผู้ใหญ่หลายคนเลือกที่จะเงียบหรือไม่แสดงความคิดเห็นอะไรเพราะกลัวว่าถ้าตอบแล้วผิดหรือไม่ถูกใจแล้วจะถูกอีกฝ่ายหาว่าโง่

ประเด็นเรื่องนี้คือ ไม่ว่าเด็กจะเสนอความคิดอะไรคุณต้องไม่บอกว่า ความคิดของพวกเขาโง่ ไม่มีสมอง หรือ ใช้อะไรคิด

ถ้าความคิดของพวกเขานั้นไม่ถูกไม่ควรให้อธิบายว่าถ้าทำตามที่พวกเขาว่าแล้วผลลัพธ์ที่ออกมามันจะไม่พึงประสงค์มากแค่ไหน

ถ้าความคิดของเด็กเป็นทางเลือกที่ดีแต่ไม่ใช่ดีที่สุดหรือเหมาะกับสถานการณ์ที่สุด คุณต้องชมและเห็นด้วยกับเด็กก่อนๆจะอธิบายว่าทางที่เขาเสนอนะดีแต่จะดีกว่าไหมถ้าใช้ทางเลือกนี้แทนหรืออธิบายว่าสถานกาณ์เปลี่ยนไปทำให้มีทางเลือกใหม่ที่เหมาะสมกว่าขึ้นมาแทนแต่ไม่ใช่ว่าทางเลือกที่เด็กเสนอไม่ดีหรือโง่หรือแย้งสิ่งที่เด็กเสนอตั้งแต่ต้น

อย่างวันเกิดน้องอิ๊กที่ผ่านมา เจนพาลูกไปเลือกเค้กที่จะเอาไปตัดกินกันในงานวันเกิด ตอนแรกลูกก็เลือกปอนด์ที่ใหญ่ที่สุด เจนก็บอกลูกว่า ปอนด์ใหญ่ขนาดนี้ก็ดีนะจะได้กินกันพอทุกคน แต่ เอ ครั้งนี้เราไปเลี้ยงกันในร้านอาหารแบบบุฟเฟท์ที่ทุกคนชื่นชอบ ซึ่งทุกครั้งที่ไปทุกคนก็อิ่มจนพุงกาง พอเจนพูดแค่นี้ลูกก็บอกว่าใช่ๆ หนูลืมเรื่องนี้ไปเลยแล้วก็เปลี่ยนไปเลือกเอาปอนด์ที่เล็กสุดแล้วบอกเองว่าเอาแค่ไปกินเป็นพิธีก็พอโดยที่เจนไม่ต้องบอกอะไรต่อ

แน่นอนว่าถ้าเจนบอกลูกว่า "โง่หรือไง กินบุฟเฟท์ก็อิ่มจะตายอยู่แล้ว ใครเขาจะไปสนใจเค้กเธอ เอาอันที่เล็กที่สุดก็พอ" ความรู้สึกของลูกตอนออกจากร้านเค้กคงไม่เหมือนกันเป็นแน่

หรือตอนที่พาคุณตาคุณยายไปทานข้าวช่วงที่กรุงเทพน้ำท่วมพอคุณตาถามว่าร้านที่จะไปจะต้องขับรถไปทางไหนลูกก็บอกว่าต้องตรงไปพอถึงแยกเลี้ยวซ้ายแล้วไปเข้าซอยลัดอันนี้ไปทะลุออกซอยนี้อย่าวิ่งออกถนนใหญ่เพราะรถจะติด เจนเลยบอกลูกว่าหนูฉลาดจังเลยที่จำทางนั้นได้ไปทางนั้นนะดีเลยรถจะได้ไม่ติด แต่พอดีช่วงนี้ทางด่วนเปิดให้ขึ้นฟรีและทางนั้นมันใกล้กับแม่น้ำมากจะดีกว่าไหมถ้าเราจะเลือกใช้ทางด่วนแทน



สุดท้ายนี้ขอสวัดดีปีใหม่ ขอให้ทุกท่านมีความสุขพบเจอแต่สิ่งดี ๆ คนดีๆ คิดทำสิ่งใดขอให้สมดั่งใจปรารถนาทุกประการ




เจน



Create Date : 12 มกราคม 2555
Last Update : 12 มกราคม 2555 20:10:12 น.
Counter : 1965 Pageviews.

8 comments
  
ขอบคุณครับ ที่แวะทักทาย
โดย: taiyokun วันที่: 5 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:14:50:50 น.
  
สวัสดีค่ะครูเจน
สุขสันต์วันเกิดน้องอี๊กย้อนหลังด้วยค่ะ ได้หม่ำเค้กอร่อยๆด้วย

ขอบคุณสำหรับข้อคิดดีๆของครูเจนค่ะ จะคอยติดตามอยู่เรื่อยๆค่ะ
โดย: แอล (aal990 ) วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:11:28:02 น.
  
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆ ค่ะ
โดย: อิมาอิซัง วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:20:35:37 น.
  
ชอบมาก
โดย: jar IP: 101.108.71.188 วันที่: 13 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:10:04:03 น.
  
แวะมาอ่านค่ะ ขอบคุณค่ะ
โดย: Dublina วันที่: 17 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:6:12:08 น.
  
ขอบคุณค่ะ อ่านจากกระทู้รอบนึงแล้ววว
โดย: Always & Forever วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:12:51:07 น.
  
วิธีการสอนลูกของคุณเจน น่าสนใจมากเลยครับ

โดย: กะว่าก๋า วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:22:59:12 น.
  
เข้ามาเยี่ยมชมครับ ^^
โดย: Sahassa วันที่: 18 มีนาคม 2555 เวลา:6:24:41 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

JanE & IK
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 44 คน [?]



Group Blog
มกราคม 2555

1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
All Blog