ธารธรรมใสเย็นยิ่ง สุขได้
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2553
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
26 มีนาคม 2553
 
All Blogs
 
ธรรมะ กับธรรมชาติ

ก่อนที่จะได้อ่านข้อความต่อไปนี้ ข้าพเจ้าจักขอชี้แจงว่า ข้อความต่อไปนี้ทั้งหมดเป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล อันเกิดจากการสนทนาธรรมกับญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง มิได้มีธรรมะ ใดๆมารองรับ และอ้างอิง ว่าตรงและถูกตามธรรม  จึงโปรดให้ใช้วิจารณญาณในการอ่านและทำความเข้าใจ ทั้งนี้ หากผิดพลาดหรือคลาดเคลื่อน ทั้งไม่สมควร ไม่ว่ากรณีใด ขออภัยมา ณ.ที่นี้
ด้วยมุ่งหวังให้เกิดความสงบในธรรม และความสุขสวัสดีบังเกิดมีในใจผู้อ่านเท่านั้น จึงได้ชี้แจงแสดง นำมา

____________________________________________________

เป็นเวลามาช้านานแล้ว ที่ธรรมชาติ  ดิน น้ำ ลม ไฟ และอากาศ ธาตุแห่งความเป็นใหญ่ในโลกมนุษย์นี้ได้ถือครอบครอง โอบอ้อมทุกชีวิตและสรรพสิ่ง และไม่ว่าสิ่งใดๆก็ตาม ที่เกิดมาบนโลกเล็กๆใบนี้ ก็ล้วนแต่ต้องพึ่งพิงอาศัย ธรรมชาติต่างๆเหล่านี้ด้วยกันทั้งหมด ทั้งสิ้น
ธรรมชาตินี้จึงเป็นใหญ่ มนุษย์และสัตว์เป็นเพียงผู้มาศัยในบ้านของธรรมชาติ เท่านั้น

ธรรมะเองก็เช่นกัน ก็มีความเป็นใหญ่ในความเป็นสัจจะ เป็นความจริง ทุกๆสรพพสิ่งที่ล้วนเกิดมาในโลกนี้ รวมไปถึงภพอื่นๆก็ย่อมไม่พ้นไปจากธรรมของพระพุทธเจ้านี้เลย สัตว์ทั้งหลายก็เปรียบดั่งตัวละคร ที่ตนเองเป็นนักแสดง มีฉากเป็นภพ มีชาติ ชรา มรณะ สุข ทุกข์ เป็นบท มีไตรลักษณ์เป็นผู้กำกับ มีกิเลส มีปัญญา ให้สุขทุกข์ คละเคล้ากันไป

อุปมาดังนี้ก็จะเห็นว่า ธรรมชาติก็เป็นใหญ่ ธรรมก็เป็นใหญ่ เรานี่เองแท้จริง ก็เป็นเพียงฝุ่นทรายก้อนกรวดเล็กๆเท่านั้น
เมื่อมาอาศัยผู้ที่เป็นใหญ่ คือธรรมะกับธรรมชาติ ก็ควรที่จะปรับปรุงกายและจิตใจนี้ ให้เข้ากับธรรม ให้เข้ากับธรรมชาติ จึงจะมีความสุขและเกิดความสมดุล ทั้งทางโลกและทางธรรม ในส่วนของทางธรรมก็พอจะเข้าใจกันดีอยู่แล้ว จึงจะขอยกอิงว่า จะทำอย่างไรให้ธรรมชาติเข้ากับธรรมในจิตของเรา



ปัจจุบัน เราห่างไกลจากธรรมชาติมาก ห่างในที่นี้คือหมายถึงห่างจากความเป็นจริงของธรรมชาติ(ที่เป็นอยู่จริงๆ) เราร้อน เราเปิดเครื่องให้ความเย็น เปิดพัดลม เรามืดเราก็เปิดไฟ นีออน มีเครื่องรับชมทางโทรทัศน์บ้าง วิทยุบ้าง ก็ให้ความรู้สึก ให้การตอบสนองแก่ตนได้ตามสมควร
...แต่ใครจะรู้ว่าความรู้สึกดังกล่าว มันเกิดมาจากการปรุงแต่งภายนอกอยู่ก่อนแล้ว เมื่อจิตเข้าไปรู้สิ่งที่ปรุงแต่งมาจากสิ่งที่มีอยู่จริง ก็สุขอยู่ที่ปรุงแต่ง ที่ลอกเลียนแบบ ที่ดัดแปลง  เมื่อจิตเสพคุ้นบ่อยก็มีแต่งสิ่งที่หลอกลวงปรุงแต่งจิต นานจนจิตอาจลืมสิ่งที่มีอยู่จริง จนกลายเป็นจิตที่หลงอยู่กับนั้น
กระแสการเจริญเติบโตของโลกพัฒนาไปอย่างมาก คนในยุครุ่นต่อไป จะรู้และจะเข้าใจอยู่แต่กับสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นมามากขึ้นเรื่อยๆ

ท่านลองมองไปที่นอกบ้านถ้าเวลานี้แสงของธรรมชาติยังคงส่องสว่างไสวอยู่ จิตของท่านก็เห็นความเป็นธรรมชาติของแสง ไม่ต้องปรุงแต่ง ว่าแสงสวย แสงร้อน ก็สักแต่ว่าเป็นแสง ไม่มีใครไปทำให้ติด ไม่มีใครไปทำให้ดับ แสงของธรรมชาติก็เป็นไปก็ดำเนินไป ไร้กาลปรุงแต่งใดๆจากจิตที่มีกิเลสของใครๆ  ลองเปิดใจ มองทอดสายตาให้ใจเข้าไปรับรู้ถึงวิถีความเป็นธรรมชาติของแสง ไม่ต้องปรุงแต่ง จะเห็นได้ว่าจิตสัมผัสเข้าถึงได้อย่างง่ายดายและชัดเจน

หันกลับมาที่ห้องในเวลานี้แสงสว่างของหลอดไฟที่ส่องอยู่ ซึ่งไม่ใช่แสงจากธรรมชาติ เป็นแสงที่ปรุงแต่งขึ้นมาให้มีแสง ให้ส่องสว่างได้เช่นกัน แต่หากท่านลองพยายามเปิดใจ ให้เข้าถึงแสงสว่างจากหลอดไฟนี้ จิตกลับถูกเหมือนปฏิเสธ ไม่รู้สึกอบอุ่น ไม่รู้สึกผูกพัน เข้าถึงรับและสัมผัสได้ยาก ซึ่งแตกต่างจากแสงภายนอกอย่างมากมาย
แม้สายลมจากเครื่องพัดลม กับสายลมจากธรรมชาติก็ช่างแตกต่างกัน โดยนัยเดียวกัน มองไปที่ใบไม้ ใบหญ้าที่พริ้วไหวไปตามแรงลม ก็พริ้วก็ไหวไปตามธรรมชาติ มิได้มีใครไปทำให้ลมพัด มิได้มีใครไปทำให้ใบไหว เป็นธรรมดาที่เกิดขึ้นเองไปตามเหตุ ตามปัจจัย ไม่ได้เกิดจากการปรุงแต่งจากจิตของมนุษย์ที่มีกิเลสสรรสร้างขึ้น

เราเข้าถึงธรรมชาติด้วยจิตที่เป็นธรรมะได้ เราเข้าถึงธรรมะได้ด้วยจิตที่เป็นธรรมชาติได้เช่นกัน เห็นโดยความเป็นธรรมดา ไม่ได้ปรุงแต่ง เข้าสัมผัสถึงสัจจะความจริง ที่มีอยู่จริง
ใจก็รู้ ก็ปรุงแต่งจิต ให้เป็นจิตที่เป็นธรรมชาติที่เคยใสสะอาด เคยรู้เคยปรุงแต่งมา ก็ย่อมสามารถเปิดใจเห็นปัญญาในธรรมชาติในจิตของตน เมื่อรู้และเข้าใจจิตของตนได้ ก็ย่อมจะสามารถหาทางปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ตนได้ต่อไป

แม้พระพุทธเจ้าเองก็ทรงมีตรัสแก่ภิกษุ ว่าให้มีความยินดีในป่า  ให้ปฏิบัติธรรม ในเรือนร้าน ใต้โคนไม้ เรือนร้างว่างเปล่า ให้กำหนดจิตหมายว่าเป็นป่า อยู่เสมอๆดังนี้
จิตอยู่กับธรรมชาติ ใบไม้ ต้นไม้ สายลม แสงแดด ธารน้ำ ภูเขา ดิน เสียงสัตว์เล็กน้อยใหญ่ อันมีนกเป็นต้น เหล่านี้เป็นธรรมชาติ ทั้งสิ้น
จิตอยู่ใกล้กับธรรมชาติก็ไม่ต้องมีตัณหา ทะยานอยาก ค่ำคืนมืดมิดแสงสว่างจากเทียนก็พออยู่ได้ ไม่จำเป็นต้องให้สว่างทั้งบ้าน ไม่จำเป็นต้องให้สลวย ใช้ของดีราคาแพง ลมธรรมชาติไม่พัดก็ไม่ต้องมีจิต คิดด่าเหมือนตอนที่แอร์เสีย เพราะตั้งความปราถนาให้มันเย็น เพราะไม่พอใจที่กายเป็นทุกข์ เพราะหวังว่าจะแก้ไข ซ่อมแซมทำได้ตามใจกิเลสของตนปราถนา


กล่าวยกมาก็หวังอยากให้เราท่านทั้งหลายหันมาเข้าใกล้กับธรรมชาติสักนิด จะอยู่ในเมืองหรือนอกเมืองก็ย่อมทำได้ทั้งนั้น มิใช่ให้ว่าต้องเลิกใช้สิ่งที่มีอยู่ ให้ละทิ้งเสียทั้งหมด อย่างนี้ไม่ใช่

แต่อยากจะให้จิตนี้ได้พักผ่อน ได้ปรุงแต่งมีความสุขจากธรรมชาติเดิมของจิตนี้บ้าง หากกาลเวลา และสถานที่อำนวย
ลองปิดไฟในห้องสักห้านาที ก็จะเห็นแสงของธรรมชาติในห้องของเรา ลองนั่งนอกบ้านหรือห้องที่สบายๆสักห้านาทีแล้วเปิดใจให้กว้าง ให้จิตรับรู้ถึงธรรมชาติที่มีอยู่ แสงสว่างก็สว่างอย่างนั้นจริงๆ ลมที่พัดถูกต้องสัมผัสกาย ก็เป็นธรรมชาติจริงๆ เสียงที่ได้ยินจากนกก็เป็นธรรมชาติจริงๆ สิ่งที่มองเห็นก็เป็นธรรมชาติไม่ได้มาจากละคร หรือภาพยนต์สรรสร้างขึ้น สูดอากาศที่โอบล้อมกายของตน อากาศนี้ก็เป็นธรรมชาติ เขาสร้างให้ เขามอบชีวิตให้เราได้หายใจ
ให้กายและจิตนี้เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ไม่ปรุงแต่ง เข้าใจ และเข้าถึง
จิตก็อาจจะเกิดความสงบสุข เหมาะแก่การเจริญสติ สมาธิ ปัญญาต่อไป

ในยามค่ำคืนความมืด ดวงจันทร์ ดวงดาวมากำหนดหมายได้ว่า ดวงจันทร์ ดวงดาวนี้หนอ ก็เป็นดวงจันทร์ดวงดาว เดียวกันกับที่ส่องแสงให้ยามค่ำคืนแก่พระพุทธเจ้า เวลานี้ก็ยังคงส่องแสง ยังคงความสวยงามบนฟากฟ้า ราวกับว่ายังคงเห็นและยังให้ความช่วยเหลือส่องทางสว่างแก่ผู้ที่ต้องการพ้นไปจากทุกข์อยู่เสมอมา

จิตที่สัมผัสธรรมชาตินี้หนา ก็ให้สุขอยู่บ้างแก่จิต
เป็นความสุขที่ไม่ต้องหาซื้อและแสวงหาอย่างยากลำบาก
เป็นสุขทั้งภายนอก สุขทั้งภายใน จนจิตสงบเห็นเป็นธรรมะได้ ไม่ยากเลย

ขออนุโมทนาสาธุ





Free TextEditor


Create Date : 26 มีนาคม 2553
Last Update : 26 มีนาคม 2553 15:18:43 น. 0 comments
Counter : 1048 Pageviews.

ใจพรานธรรม
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




มีหลายเรื่องที่ควรสงสัย แต่เราไม่สงสัยในสิ่งต่างๆนั้นแล้ว
เราศรัทธาแต่ในพระรัตนตรัย

..แม้เทวดา มารหรือพรหม จะมีหรือไม่มีอยู่จริง
เราก็มีธรรม มีปัญญารู้ในสิ่งต่างๆนั้นด้วยตนเองแล้ว
ทั้งปัญญา ทั้งศรัทธา เป็นสิ่งที่ท่านต้องสร้างให้เกิดขึ้นเอง
ใครสร้างท่านไม่ได้

พระพุทธเจ้า พระองค์ดุจผู้บอกทางให้เท่านั้น
จะเดินหรือไม่ เรามิได้กล่าวโทษตำหนิท่านแต่อย่างใดเลย
ท่านเชื่อ ท่านก็เดิน ท่านไม่เชื่อก็ควรแล้ว ที่ท่านจะสงสัยควรแล้วที่ท่านจะปฏิบัติ เพื่อคลายความสงสัยนั้น
S! Radio
Express 4
เพลง ทานตะวัน ---ฟอร์ด
ศิลปิน รวมศิลปิน : Express
อัลบั้ม Express 4
ดูเนื้อเพลงคัดลอกโค้ดเพลงนี้
ขอบคุณ code และ ภาพ จากคุณ aggie_nan ตามลิงค์ที่อยู่ ด้านล่างครับ
Friends' blogs
[Add ใจพรานธรรม's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.