เมษายน 2555

4
6
7
8
12
13
14
15
16
19
22
28
 
 
All Blog
คนไทยอ่วม !!!!!!!!! ไฟเขียวขึ้น ค่ารถ-ค่าไฟฟ้า


(25 เม.ย.) คณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลางพิจารณารายละเอียดการปรับขึ้นค่าโดยสารรถพร้อมกันทุกหมวด ตั้งแต่หมวด 1 คือ รถที่วิ่งในกรุงเทพมหานคร จนถึงรถหมวด 4 โดยพิจารณาจากต้นทุนเชื้อเพลิงทั้งน้ำมันดีเซล และก๊าซ ซึ่งมีราคาแพงขึ้นและมีราคาแตกต่างกัน

สำหรับอัตราค่าโดยสารใหม่ ที่มีการลงมติให้ปรับขึ้น ประกอบด้วย
รถสองแถว ปรับจาก 5.50 บาท เป็น 7 บาท
รถมินิบัส ปรับจาก 6.50 บาท เป็น 8 บาท
รถ บขส.และ รถร่วม บขส. ปรับขึ้นสูงสุด กม.ละ 4 สตางค์
รถ ขสมก. และ รถร่วม ขสมก. สามารถปรับขึ้นอีก 1 บาทได้ก็ต่อเมื่อจ่ายค่าก๊าซ NGV ที่ราคา 9.50 บาท/กก.

นอกจากนี้ ทางด้าน คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ได้พิจารณาค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติหรือ เอฟทีงวดใหม่ ที่จะเรียกเก็บในบิลค่าไฟประชาชนรอบเดือน พฤษภาคม ถึง สิงหาคม ซึ่งที่ประชุมมีมติเรียกเก็บค่าเอฟทีงวดเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2555 เพิ่มขึ้นอีก 30 สตางค์ต่อหน่วย เนื่องจากสภาพอากาศร้อนและราคาเชื้อเพลิงเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ค่าเอฟทีปรับเพิ่มขึ้นรวม 57.45 สตางค์ต่อหน่วย

โดยแบ่งเป็นต้นทุนค่าผลิตไฟฟ้า 38.40 สตางค์ต่อหน่วย ค่าเชื้อเพลิงและค่ารับซื้อไฟฟ้าเดิมที่ กฟผ.รับภาระอยู่ 19.05 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่ง กกพ.ได้ขอให้ กฟผ.แบกรับค่าเชื้อเพลิงและค่ารับซื้อไฟฟ้าออกไปอีก 1 งวด คิดเป็นระยะเวลา 4 เดือนนับจากนี้



*** รายละเอียดเรื่องการเพิ่มค่าไฟฟ้า


25 เม.ย. - กกพ.เคาะค่าไฟฟ้าเอฟทีงวดใหม่เพิ่มขึ้น 30 สตางค์ต่อหน่วย จากต้นทุนจริง 57.45 สตางค์ต่อหน่วย โดยให้ กฟผ.รับภาระต่ออีก 19 สตางค์เศษ อาจจะเกลี่ยคืนงวดหน้ายาว 1 ปี ส่งผลให้เอฟทีงวดต่อไปยังปรับเพิ่มสูงขึ้นอย่างน้อย 5 สตางค์ต่อหน่วย และยังปรับขึ้นตามต้นทุนน้ำมันที่เพิ่มขึ้นด้วย

นายดิเรก ลาวัณย์ศิริ ประธานกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า ที่ประชุม กกพ. วันนี้มีมติเห็นชอบปรับขึ้นค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (เอฟที) งวดใหม่เดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 30 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลทำให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยของประเทศไทย เมื่อรวมกับค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.23 บาทต่อหน่วยแล้ว ทำให้ค่าไฟฟ้างวดใหม่เฉลี่ยของประเทศไทยอยู่ที่ 3.53 บาทต่อหน่วย นับเป็นอัตราค่าไฟฟ้าสูงสุดของประเทศตั้งแต่เคยใช้ไฟฟ้ามา

"ค่าเอฟทีที่ปรับเพิ่มขึ้นจะส่งผลต่อค่าไฟฟ้า ทำให้เพิ่มขึ้นร้อยละ 7-8 ดังนั้น ถ้าค่าไฟบ้านเฉลี่ย 100 บาทต่อเดือน ก็จะเพิ่ม 7-8 บาทต่อเดือน ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นนอกจากมาจากราคาก๊าซธรรมชาติที่ก้าวกระโดดตามราคาน้ำมัน และยิ่งประชาชนเปิดแอร์มากในช่วงหน้าร้อนค่าใช้จ่ายก็จะเพิ่มขึ้นด้วย" นายดิเรก กล่าว

ทั้งนี้ ต้นทุนค่าเอฟทีที่เพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากราคาก๊าซธรรมชาติสูงขึ้นตามราคาน้ำมัน ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 70 ของเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า ปรับเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมัน โดยงวดนี้เพิ่มขึ้น 8.63 บาทต่อล้านบีทียู เป็น 301.28 บาทต่อล้านบีทียู หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.95 ขณะที่คาดว่าความต้องการใช้ไฟฟ้างวดใหม่จะปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 4 จากงวดที่ผ่านมาที่มีการใช้ไฟฟ้า 51,955 ล้านหน่วย และอัตราแลกเปลี่ยนแข็งค่าขึ้นมาอยู่ที่ 30.92 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

อย่างไรก็ตาม ค่าเอฟทีงวดใหม่ที่ปรับขึ้นเพียง 30 สตางค์ต่อหน่วย เป็นการปรับขึ้นต่ำกว่าอัตราที่แท้จริง ที่ต้นทุนอยู่ที่ 57.45 สตางค์ต่อหน่วย โดยแบ่งออกเป็นต้นทุนค่าผลิตไฟฟ้างวดนี้ 38.40 สตางค์ต่อหน่วย และค่ารับซื้อไฟฟ้าเดิมที่ กฟผ. รับภาระงวดที่แล้ว (ม.ค.-เม.ย.) 19.05 สตางค์ต่อหน่วย โดย กกพ.มีมติให้ กฟผ. ยังคงรับภาระ 19.05 สตางค์ต่อหน่วยต่อไปอีกในงวดนี้ และเมื่อหักลบกับต้นทุนการใช้เชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าที่ต่ำกว่าประมาณการณ์ใน ช่วงก๊าซพม่าหยุดส่งวันที่ 8-18 เมษายน ทำให้เอฟทีลดลงได้อีก 2.64 สตางค์ต่อหน่วย ในขณะที่ กกพ.ได้มีการนำเงินจากการลงทุนที่ต่ำกว่าแผนของ 3 การไฟฟ้า ระหว่างปี 2551-2553 จำนวน 3,100 ล้านบาท หรือประมาณเกือบ 6 สตางค์ต่อหน่วย มาหักออกจากต้นทุนเอฟที ทำให้เอฟทีงวดใหม่ปรับขึ้นเพียง 30 สตางค์ต่อหน่วยเท่านั้น

ประธาน กกพ. กล่าวว่า ค่าเอฟทีงวดต่อไป หรืองวดเดือนกันยายน-ธันวาคม มีแนวโน้มจะปรับขึ้นอีกแต่มีลักษณะเป็นขั้นบันได ไม่ก้าวกระโดดแบบงวดนี้ เนื่องจากราคาน้ำมันเริ่มชะลอการปรับขึ้น นอกจากนี้ มีความเป็นไปได้ที่ กกพ.จะมีการเกลี่ยค่าไฟฟ้าที่ กฟผ.รับภาระ 19.05 สตางค์ต่อหน่วย หรือประมาณ 10,200 ล้านบาท ไปคืนในเอฟที 4 งวดข้างหน้า หรือตั้งแต่กันยายน 2555 ถึงธันวาคม 2556 ซึ่งเท่ากับประชาชนจะมีค่าเอฟทีส่วนเพิ่มอีกเฉลี่ย 5 สตางค์ต่องวด

ประธาน กกพ. กล่าวด้วยว่า ค่าไฟฟ้าเอฟทีงวดใหม่ที่ปรับเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งเกิดจากการใช้ไฟฟ้าในงวดที่ผ่านมาสูงเกินแผน ซึ่งเดิมประมาณการณ์ว่าปริมาณการใช้ไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 1.69 แต่ตัวเลขที่แท้จริงกลับเพิ่มสูงถึงร้อยละ 11.32 หรือ 51,955 ล้านหน่วย ซึ่งเป็นผลมาจากอากาศร้อน การใช้ไฟฟ้าของภาคครัวเรือนปรับเพิ่มขึ้นมากถึงร้อยละ 14 ในขณะที่การฟื้นตัวของโรงงานอุตสาหกรรม ก็มีผลต่อการใช้ไฟ แต่เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 4 เท่านั้น ซึ่งหากประชาชนร่วมมือกันประหยัดไฟฟ้า เช่น ปิดไฟ 1 ดวงเมื่อไม่ใช้ หรือปิดแอร์ในห้องที่ไม่จำเป็น รวมทั้งบำรุงรักษาเครื่องใช้ไฟฟ้า จะประหยัดพลังงานร้อยละ 10-15 และเลือกใช้อุปกรณ์ประหยัดพลังงาน จะประหยัดได้ร้อยละ 10-90 เพราะหากยิ่งใช้ไฟฟ้าน้อยลง การใช้เชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าก็จะลดลง ต้นทุนค่าเอฟทีจะไม่พุ่งสูงขึ้นด้วย - สำนักข่าวไทย

ตามติดข่าว ข่าววันนี้ ข่าวบันเทิง ก่อนใครผ่านทาง //news.sanook.com




Create Date : 25 เมษายน 2555
Last Update : 25 เมษายน 2555 21:10:41 น.
Counter : 617 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

replay
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





free website hit counter
New Comments
  •  Bloggang.com