บทความเกี่ยวกับบ้าน อาหาร โรงแรม แต่งงาน กีฬา ท่องเที่ยว เสื้อผ้า แฟชั่น ที่พัก เครื่องสำอาง ซื้อขาย สัตว์ เลี้ยง สุขภาพ
Group Blog
 
 
มิถุนายน 2552
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
16 มิถุนายน 2552
 
All Blogs
 
ปิล๊อก ในสายหมอกตลอดปี

บทความ ท่องเที่ยว แนะนำ สถานที่ท่องเที่ยว วันนี้ เราขอแนะนำให้รู้จักกับ
สถานที่ท่องเที่ยว ของ จ.กาญจนบุรี นั่นคือ ปิล๊อก
ดินแดนแห่งตำนานเล่าขานทางประวัติศาสตร์ในสมัย สงครามโลกครั้งที่ 2
ขอบอกว่าน่าสนใจและน่าเที่ยวมากๆ ว่าแล้วเราไปอ่าน บทความ ท่องเที่ยว แนะนำ
สถานที่ท่องเที่ยว เรื่อง ปิล๊อก ในสายหมอกตลอดปี กันดีกว่า...



น้ำตกจ๊อกกระดิ่น







จากดินแดนแห่งตำนานเล่าขานทางประวัติศาสตร์ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
กับสะพานข้ามแม่น้ำแคว การสังเวยชีวิตของเชลยศึกนับพันๆ คน ให้กับทางรถไฟสายมรณะ



เป็นภาพที่ติดตราตรึงในความทรงจำของคนทั่วไปที่มีต่อจังหวัดกาญจนบุรี
แม้ว่าปัจจุบันสถานที่ในประวัติศาสตร์เหล่านี้
จะเปลี่ยนสถานภาพตัวเองจากภาพรอยจารึกความโหดร้ายและความน่าเศร้าสลดใจ
มาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเพื่อรำลึกถึงอดีต แต่ก็ยังเป็นความงดงามที่เจือความขมขื่น


แต่ในอีกมุมหนึ่งของจังหวัดกาญจนบุรี
กลับให้ภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยว ที่ให้ความรู้สึกนุ่มนวล
ไม่มีเรื่องเศร้าหรือร่องรอยสงครามมาหลอกหลอน ด้วยอากาศเย็นบนยอดดอย
ทิวทัศน์สีเขียวของพรรณไม้บนแนวเทือกเขาตะนาวศรีที่ทอดยาวตั้งแต่ด่าน
เจดีย์สามองค์จรด จ.ระนอง แลเห็นชายแดนไทยพม่า ที่มีธงชาติของบ้านพี่เมืองน้อง
(ไทย-สหภาพพม่า) โบกสะบัดอยู่ลิบๆ แสงดาวที่ส่องสกาวสุกสดใสนับหมื่นดวง
ต่างเปล่งแสงท้าทายสายตาให้จ้องมองจนเวลาล่วงเป็นวันใหม่ กับหนทาง 399 โค้ง
สิ่งเหล่านี้ล้วนสถิตอยู่ที่ "ต.ปิล๊อก"
ตำบลเล็กๆ ใน อ.ทองผาภูมิ ของจังหวัดที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแห่งสงครามมาก่อน


ที่มาที่ไปของคำว่า
"ปิล๊อก" มีหลายทาง
แต่ไกด์ที่รับหน้าที่พาชมตำนานเหมืองแร่เก่าเฉลยว่า
ด้วยบริเวณดังกล่าวมีการล้มตายจากการเข่นฆ่า และไข้ป่าอย่างมาลาเรีย
ทำให้หลายคนหวาดกลัวและบ่งชี้ว่าสถานที่นี้มี
"ผีหลอก"
แต่ด้วยสำเนียงที่ผิดเพี้ยนของชาวพม่าที่พูดคำว่าผีหลอกไม่ชัด
(เหมือนโฆษณาครีมถนอมผิวที่เด็กชาวเขาร้องว่าผีหลอกๆ ที่แท้ผิวลอก) จึงกลายเป็น
"ปิล๊อก" ไปในที่สุด

ในอดีตเมื่อราวๆ
เกือบ 50 ปีก่อน "ปิล๊อก"
เป็นสถานที่ทำเหมืองแร่ดีบุกและแร่วุลแฟรมที่รุ่งเรืองมาก
จนกลายเป็นแหล่งการค้าและการขายแรงงานขนาดย่อม แต่เมื่อมีรุ่งก็ต้องมีดับ ราว
พ.ศ.2527 ความไม่คุ้มทุนในการทำธุรกิจเริ่มก่อเกิด
และหากดันทุรังทำต่อไปก็มีแต่จะสูญเปล่า เหมืองแห่งนี้จึงต้องปิดตัวลงในปี 2529
และกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติอันงดงามตระการตา ที่อยู่ในเขต อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ แทน โดยในปีหน้า 2551
จะมีการทำพิพิธภัณฑ์เหมืองแร่ปิล๊อกที่บริเวณเนินช้างศึกอันเป็นที่ตั้ง เหมืองเก่า
และยังคงมีร่องรอยของการขุดเหมือง และอุโมงค์เหมืองแร่ให้เห็นถึงทุกวันนี้


สิ่งที่น่าสนใจสำหรับปิล๊อกก็คือ
การพักแรมค้างคืนที่เนินกูดดอยและเนินช้างเผือก มีทั้งแบบบ้านพัก และกางเต็นท์นอน
แต่อย่างหลังจะให้ความรู้สึกผ่อนหลายและสัมผัสธรรมชาติได้มากกว่า
เพราะเมื่อตกดึกการหุงหาอาหารจะให้บรรยากาศคล้ายๆ
กับการพักแรมเมื่อครั้งเข้าค่ายลูกเสือตอนวัยเยาว์ การหุงหาอาหารต้องทำเอง
บางกลุ่มก็ทำกับข้าว บางกลุ่มก็ย่างบาร์บีคิวกินอย่างเอร็ดอร่อย

พอตกดึกได้ที่แสงสว่างจ้าของดวงอาทิตย์ลับตา
ดาวดวงน้อยนับหมื่นนับล้านดวงก็ค่อยๆ ทยอยขึ้นสู่ฟากฟ้าที่ทาทับด้วยสีดำสนิท
มีเพียงแสงจากดาว พระจันทร์ และสายลมกระโชกแรงหนาวถึงขั้วหัวใจเท่านั้น
ที่สร้างบรรยากาศให้ค่ำคืนกลายเป็นคืนแห่งความสุข แม้จะไร้แสงไฟจากชุมเมือง



อีกสิ่งที่ปิล๊อกทำให้จิตใจผ่อนคลายจากความเมื่อยล้าได้เป็นอย่างดีก็คือ
การเดินเท้าขึ้นดอยกว่า 100 เมตร ไปชมพระอาทิตย์ตกลับขอบฟ้าที่ดอยต่องปะแล
โดยระยะทางห่างจากที่พักประมาณ 300 เมตร ระยะเพียง 100 เมตรที่ว่า
บางคนอาจมองเป็นเรื่องขี้ปะติ๋ว
แต่สำหรับคนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายก็ทำให้หอบและเสียเหงื่อได้เช่นกัน
แต่เมื่อถึงยอดเขาภาพที่ปรากฏแก่สายตาก็ทำให้ความเหนื่อยหายเป็นปลิดทิ้ง
เวิ้งภูเขาที่ปกคลุมด้วยหมอกบางตา สลับด้วยทิวเขาไล่สี จากสีเขียวอ่อน เขียวเข้ม
น้ำเงิน จนลับขอบฟ้าเป็นน้ำเงินผสมหมอกขาว
ตัดกับสีแสดของแสงพระอาทิตย์ที่ทอแสงประกายสุดท้ายก่อนจะลับหาย
จิตใจสงบนิ่งเพื่อซึมซาบความงามที่เห็นให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้


ถ้ามาปิล๊อกแล้วไม่พูดถึง น้ำตกจ๊อกกระดิ่น ที่อยู่ห่างจากอุทยานฯ เพียง 5
ก.ม. ก็คงเสียเที่ยว "จ๊อกกระดิ่น"
เป็นภาษาถิ่นที่แปลได้ว่า น้ำไหลจากหน้าผาสู่ลานหิน (ความสูงประมาณ 30 เมตร)
ความสวยงามของสายธารเล็กๆ นี้ อยู่ที่สีของน้ำที่มีทั้งครามและเขียวอ่อน
พร้อมด้วยเนินทรายสีนวล
เสมือนสระน้ำอันวิจิตรในป่าหิมพานต์ให้ผู้ที่ใช้ความอุตสาหะก้าวย่างมาถึง
ได้สัมผัสกับสายน้ำเย็นและทัศนียภาพของป่าที่โอบอุ้ม

การเดินทางในทริปนี้สิ้นสุดลงที่บ้านอีต่อง
หมู่บ้านสุดท้ายสุดชายแดนไทย แต่ไม่ได้กันดารอย่างที่คิด
ความเจริญเริ่มรุดเข้ามาทำให้วิถีชีวิตอันสงบเงียบต้องแปรเปลี่ยนไป
ที่แวะพักชมวิวของบ้านอีต่องคือ เนินเสาธง
ที่มีธงไตรรงค์ของไทยและผืนธงของพม่าสะบัดล้อลมเคียงคู่กันที่จุดประสาน
สัมพันธ์ไมตรีนิจนิรันดร์
ถ้าวันไหนอากาศปลอดโปร่งจะสามารถเห็นเวิ้งทะเลอันดามันในฝั่งพม่าที่อยู่เลยไปเพียง
50 กม. เท่านั้น


เทศกาลหยุดยาวอย่างช่วงปีใหม่ ใครยังไม่มีที่ไป
เหมืองปิล๊อกเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของคนที่อยากสัมผัสลมหนาวให้หนำใจ
แต่อย่าลืมพกเครื่องอุปกรณ์กันหนาวไปด้วย เพราะกลางคืนอุณหภูมิอยู่ที่ 10 องศากว่าๆ
เท่านั้น!



ข้อมูลจาก //hilight.kapook.com/view/18965



ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต



+บริการด้านการท่องเที่ยวทั้งหมด...คลิกที่นี่







Free TextEditor


Create Date : 16 มิถุนายน 2552
Last Update : 16 มิถุนายน 2552 13:46:36 น. 1 comments
Counter : 481 Pageviews.

 
อ่านแล้วอยากเห็นพระอาทิตย์ตกที่นั่นจังเลยค่ะ


โดย: คุณแม่น้องปอ (So Confuse ) วันที่: 18 มิถุนายน 2552 เวลา:11:25:15 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tottui
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add tottui's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.