อ้อ! ...ผลพวงจากการโทรศัพท์อายัดบัตรเครดิตสองใบ ใบแรกเป็นของธนาคารแห่งหนึ่ง ต้องขอชมเชยที่วางระบบไว้ค่อนข้างดี แม้ฉันจะเพิ่งใช้บริการได้ไม่นาน แต่พนักงานอายัดบัตรให้ได้รวดเร็ว เพียงแค่บอกหมายเลขบัตรประชาชน 13 หลักที่ฉันท่องได้จนขึ้นใจ และใช้เวลาในการอายัดเพียง 3 นาทีเศษเท่านั้น
ส่วนบัตรเครดิตอีกใบเป็นของอีกธนาคารหนึ่งซึ่งฉันถือบัตรมานานกว่าสิบปี แต่ใช้เวลาในการอายัดบัตรด้วยการโทรติดต่อถึง 3 ครั้ง ครั้งแรกพนักงานรับสายจนเต็มจนไม่ว่างที่จะรับสายด่วน ครั้งที่สองสายหลุด ครั้งที่สามเจอพนักงานหญิงสาว ซึ่งฉันขอบอกว่าขาดความรู้ทั่วไปอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแสดงตัวตนของเจ้าของบัตรที่จะต้องให้ฉันสะกดทีละตัวอักษร ถามหลายอย่างจนฉันต้องบอกย้ำว่าโทรทางไกลจากต่างประเทศนะคะ เธอก็ยืนยันว่าทราบแล้วค่ะแล้วก็เงียบหายอีก จนสุดท้ายเธอต้องให้ฉันบอกชื่อประเทศเต็มๆ และสะกดตัวอักษรแต่ละตัวของประเทศเช็ก แต่เธอไม่บอกหรอกนะคะว่าหาชื่อประเทศเช็กไม่เจอเพราะตัวเองสะกดไม่ถูก
...ด้วยเหตุผลที่พนักงานขาดไหวพริบในเรื่องที่เร่งด่วนเช่นนี้ ฉันเลยตัดสินใจไม่ต่อบัตรใหม่ใดๆ จากธนาคารแห่งนี้ เพราะทำให้ฉันต้องจ่ายค่าโทรศัพท์อายัดบัตรกว่าสิบนาที เป็นเงินเกือบสามพันบาทเชียว
เสียดายค่าโทรศัพท์นะ เพราะเงินจำนวนนี้สามารถจ่ายเป็นค่าที่พักได้ถึงสามคืนเลยทีเดียว ทางที่ดีที่สุดคือ เวลาไปเที่ยวต่างแดนแบบนี้ อย่าได้พลั้งเผลอสักวินาที ...ถึงแม้ว่าจะเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อในเรื่องมิจฉาชีพ ถ้าฉันไม่เปิดโอกาสให้ ก็ไม่มีใครมาฉกฉวยของของฉันได้หรอก
หลังจากเสร็จธุระเรื่องการอายัดบัตรแล้ว ที่จะให้ฉันนั่งจับเจ่าเศร้าสร้อยอยู่แต่ในโรงแรมเพราะบัตรเครดิตหายคงเป็นเรื่องที่น่าเศร้ากว่า เที่ยวมาได้ครึ่งทางแล้วนี่คะ เงินสดติดตัวอาจจะมีไม่มากพอที่จะเที่ยวต่อได้จนจบโปรแกรม บัตรเครดิตไม่มีก็อาจทำให้เกิดปัญหาในการใช้จ่าย แต่ยังโชคดีค่ะ เหลือบัตรเอทีเอ็ม PLUS อีกใบสำหรับใช้กดเงินสดได้ .....เมื่อเป็นเช่นนี้ เห็นทีจะต้องไม่ย่อท้อในการเที่ยวต่อล่ะ หลังจากนั่งพักคลายเครียดที่ห้องสักครู่ก็ออกไปเดินเที่ยว เดินแบบไม่มีจุดหมาย ตั้งใจจะเดินเล่นไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พักประมาณนี้ เพื่อให้ผ่อนคลายและเบิกบานใจขึ้นเท่านั้นเองค่ะ
Dancing House
หรืออีกชื่อว่า Drunk House
จากโรงแรม Tivoli เดินไปจนเกือบถึงสะพานข้ามแม่น้ำวัลตาวา ก็เจอเข้ากับสถาปัตยกรรมแปลกๆ เป็นตึกรูปทรงประหลาด มีชื่อว่า Dancing House หรือ Drunk House ชื่อหลังนี่ทำให้มองเห็นภาพคนที่ดื่มแล้วเมาจนตัวเซเลยนะคะ เป็นสถาปัตยกรรมที่สร้างขึ้นโดยสถาปิกชาวแคนาดาร่วมกับสถาปนิกชาวเช็กซึ่งเกิดในโครเอเชีย สร้างบนพื้นที่ว่างของตึกซึ่งเคยถูกบอมบ์ในปี ค.ศ.1945 แต่มาสร้างในปี ค.ศ.1994 แล้วเสร็จในปี ค.ศ.1996 ว่ากันว่าตึกนี้เป็นการสร้างโดยผสมผสานศิลปะแบบ Neo-Baroque ผสม Neo-Gothic และผสานกับ Art Nouveau ตึกนี้เคยเป็นที่โต้เถียงกันมานานว่าเป็นความขัดแย้งทางวัฒนธรรม เนื่องจากขัดกับอาคารโบราณแบบดั้งเดิมที่อยู่ในละแวกนั้น คนเช็กบางคนถึงกับบอกว่าตึกนี้เป็นความน่าอับอายของประเทศเลยด้วยซ้ำไป
เมื่อข้ามถนนไปอีกฝั่งของ Dancing House จะเป็นสะพาน Jirasek Bridge มองเห็นแม่น้ำวัลตาวาไหลเลียบทางเดินฝั่ง Own Town และฝั่งปราสาท ตึกต่างๆ ค่อนข้างสวยงาม แต่จะเห็นสายไฟระโยงระยางระเกะระกะเต็มไปหมด ซึ่งใช้สำหรับเดินรถรางหรือแทรม (Tram) ที่เป็นบริการสาธารณะยอดนิยมในยุโรป
A part of New Town Hall
เบื้องหลัง Legions Bridge คือ Prague Castle
ยอมรับว่ายังแหยงๆ อยู่บ้าง เลยไม่อยากเดินไปจนถึงสะพานชาร์ลส์ซึ่งจะคลาคล่ำไปด้วยผู้คนในยามเย็น เพียงแค่ได้เห็นยอดปราสาทปรากอยู่ข้างหน้าโน่นก็อุ่นใจแล้วค่ะว่าจะได้เที่ยวในวันสองวันนี้ แล้วรู้สึกตัวว่าหิวมากๆ เนื่องจากกลางวันได้รองท้องแค่กาแฟร้อนกับช็อกโกแลตบนรถบัสเท่านั้น พอมาเกิดเหตุวุ่นๆ เลยทำให้ลืมหิวไปพักใหญ่ นี่เริ่มคลายความเครียด สารเคมีในร่างกายเริ่มทำหน้าที่สูบฉีดให้ท้องร้องโครกครากเป็นการใหญ่ ทำให้ต้องเปลี่ยนมามองหามื้อเย็นสำหรับวันอันเหน็ดเหนื่อย
แปลกนะคะ... ละแวกอาคารที่เดินผ่านมา มีร้านอาหารอยู่มากพอสมควร แต่พอผลักประตูเข้าไปกลับปิดซะเป็นส่วนใหญ่ เข้าใจว่าน่าจะเพราะเป็นวันอาทิตย์ นี่ถ้าเป็นบ้านฉันวันอาทิตย์ในแหล่งท่องเที่ยวอย่างนี้ ไม่ปิดกันหรอกค่ะ ลูกค้าเข้าออกตลอดเวลาอยู่แล้ว ....เดินวนไปวนมาอีกแล้ว ในที่สุดก็ผ่านร้านอาหารจีนซึ่งฉันหลีกเลี่ยงมาตลอดทั้งทริป คราวนี้เห็นทีจะต้องยอมเข้าล่ะค่ะ กระเพาะร้องจนแทบจะทนไม่ไหวแล้ว
....เข้าไปในร้านแล้วก็ไม่เจอลูกค้าสักคน ชักจะไม่แน่ใจว่าเปิดรึเปล่า จนต้องถามหญิงสาวที่กำลังทำความสะอาดครัวอยู่ เธอบอกว่าเปิด ฉันจึงสั่งเมนูจานด่วนเป็นบะหมี่ผัดไก่ พร้อมกับถามว่ามีเบียร์ Budweiser รึเปล่า เธอสั่นหน้าว่าไม่มี ฉันมารู้ทีหลังว่าเบียร์ยี่ห้อนี้ต้องเรียกเป็น Budvar ในประเทศเช็ก เนื่องจากเจ้าของต้นตำรับคือบริษัท Budejovicky Budvar แห่งเมือง Ceske Budejovice ประเทศเช็ก เป็นผู้ผลิตเบียร์ยี่ห้อ Budweiser Budvar และต่อมาอเมริกาก็นำไปทำตลาดในนามของ Budweiser ที่ฉันรู้จักกันดี
บะหมี่ผัดที่หน้าตาไม่ชวนชิม
ฉันถามหญิงสาวคนดังกล่าวว่าเป็นคนจีนรึเปล่า เธอบอกว่าเป็นคนเวียตนาม มิน่าล่ะ บะหมี่ผัดที่เสิร์ฟมานี่จึงดูหน้าตาไม่น่ากินเอาเสียเลย บะหมี่ผัดแบบแห้งๆ แทบไม่มีน้ำมันเลย คนจีนจะชอบใส่น้ำมันเยอะๆ (เขาถึงว่าอาหารจีนมักจะมันจนเลี่ยน) ผักก็น้อยมาก ไก่ที่ใส่มานั้นก็เค็มเหลือเกิน แต่ด้วยความหิวฉันก็โซ้ยจนเกลี้ยงจานเหมือนเดิมแหละค่ะ
เสร็จจากอาหารมื้อนี้ก็กลับที่พักเลยค่ะ จากที่วางแผนไว้แต่แรกว่าวันแรกที่มาถึงปรากจะเที่ยว Petrin Tower กับ Vysehrad เลยต้องพับไปก่อน รอพรุ่งนี้เจอพี่แต๋วแล้วค่อยว่ากันใหม่
พูดถึงห้องพัก ฉันชอบระบบไฟฟ้าในส่วนโถงทางเดินของโรงแรมนี้ ที่ใช้ระบบเซ็นเซอร์เป็นตัวจับสัญญาณ เวลาเดินผ่าน ไฟก็จะเปิดให้อัตโนมัติแล้วก็ดับไปเมื่อผ่านพ้น เป็นการประหยัดพลังงานที่ดีมากเลย ห้องน้ำและตัวห้องนอนค่อนข้างกว้างขวางมาก ตู้เสื้อผ้าใหญ่โต มีตู้เซฟนิรภัยให้ด้วย ที่ไม่ชอบก็เห็นจะเป็นกองผ้าเต็มอยู่เยื้องประตูห้องพัก ซึ่งกองอยู่ตั้งแต่เช็คอินเข้ามาแล้ว ไปเดินเล่น 2-3 ชั่วโมง กลับมาแล้วก็ยังอยู่ที่เดิม ...ค่อนข้างรกตาและไม่น่าดูเลยนะคะ แต่ปัญหานี้ก็หมดไปในวันรุ่งขึ้นค่ะ หลังจากที่วางทิปไว้บนหมอนก่อนออกไปเที่ยว
.....เรื่องทิปนี่ ฉันว่าจะพูดถึงหลายครั้งแล้ว เพิ่งจะมีโอกาสก็ครั้งนี้เอง ก่อนหน้านี้เคยไปญี่ปุ่น จีน เกาหลี และไต้หวัน ล้วนวนเวียนอยู่แต่ในเอเชีย แทบจะไม่ต้องนึกถึงหรือกังวลเรื่องทิปเลย เพราะบางประเทศมีคู่มือบอกด้วยซ้ำว่าไม่ต้องให้ทิป แต่ในยุโรปหรือประเทศพัฒนาแล้ว หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ เพราะทิปเป็นเรื่องสำคัญ ฉันจึงไม่อยากถูกมองเป็นคนบ้านป่าเมืองเถื่อน ถือโอกาสศึกษาก่อนไปว่าทั้งออสเตรียและเช็กจะต้องทิป 10% ในบริการต่างๆ เช่น บริกร คนทำความสะอาดห้อง แท๊กซี่ ไกด์ ฯลฯ แต่ก็ไม่ได้ถือเป็นกฎตายตัวว่าจะต้องให้ตรงตัวเลขเป๊ะๆ คำนวณแล้วอาจจะปัดเศษทิ้งไป เช่น ค่าอาหาร 14 ยูโร ก็จ่ายทิปไปเพียงหนึ่งยูโร ดังนั้น ทุกแห่งที่ฉันไปพัก ก่อนออกจากห้องไปเที่ยวในตอนเช้าก็จะวางเงินหนึ่งยูโรไว้ให้คนทำความสะอาดทุกวัน เว้นแต่ที่ครุมลอฟ ซึ่งฉันไม่มีเงินยูโรจึงทิปเป็นหนึ่งดอลล์แทน ซึ่งทำให้ได้รับบริการที่ดียิ่งจากแม่บ้านคนทำความสะอาดตั้งแต่เริ่มทริป ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกันค่ะ เพราะอีกสองวันที่พักต่อมาไม่มีกองผ้าแบบนั้นให้เห็นอีกเลย
ตรงนี้นี่เองที่ทำให้ฉันคิดได้ว่า ในเมืองไทยเวลาไปพักที่ไหน เคยแต่ทิปให้พนักงานยกกระเป๋า ให้บริกรที่ช่วยเสิร์ฟอาหาร แม่บ้านคนทำความสะอาดหลังจากที่ฉันเช็คเอ๊าท์ไปแล้ว ไม่เคยทิปเลยสักครั้ง แม้ว่าจะไม่ทำห้องให้เลอะเทอะและเก็บที่นอนเองให้เรียบร้อยทุกครั้ง แต่ก็รู้สึกผิดขึ้นมาเหมือนกัน เพราะพอมาคิดดูแล้ว ฉันเชื่อว่าแม่บ้านหรือคนทำความสะอาดเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่ได้รับเงินเดือนอันน้อยนิด ตั้งใจไว้ว่า ครั้งต่อไปเวลาไปเที่ยวค้างแรมหรือสัมมนาที่ไหนในบ้านฉัน ก่อนเช็คเอ๊าท์ควรทิปเงินในจำนวนที่พอจะเป็นน้ำใจให้แก่แม่บ้านคนทำความสะอาดบ้าง ให้รู้สึกว่างานที่เขาทำไม่น่าเบื่อและมีแรงใจในการทำงานให้ดีอีกต่อไปด้วย .....นี่ถือเป็นข้อคิดหนึ่งในหลายๆ เรื่องที่ได้จากการเที่ยวครั้งนี้ค่ะ