เมือง Karlovy Vary ภาพจากวิกีพีเดีย
เช้าวันใหม่หลังจากที่เมื่อวานเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทางและเรื่องวุ่นๆ ที่ถูกล้วงกระเป๋าบัตรเครดิต ฉันก็ได้นอนพักเต็มอิ่ม ก่อนที่จะไปสำรวจอาหารมื้อเช้าของโรงแรมทิโวลีในห้องอาหารบริเวณล็อบบี้ อาหารเช้าที่นี่ถือว่าน้อยกว่าที่อื่น อาจเรียกว่ากระจอกที่สุดในทริ ทั้งที่ราคาห้องพักสูงสุดในทริปคือคืนละ 69 ยูโร ที่บอกว่าน้อยก็บุฟเฟต์อาหารเช้าของที่นี่มีเพียงแค่ซีเรียลสองชนิด เครื่องปิ้งขนมปังที่กดแล้วไฟไม่ทำงาน มีชีสเพียงชนิดเดียว แฮมสองอย่าง โยเกิร์ต/ผลไม้หนึ่งตะกร้าเล็ก และกาแฟจากเครื่องชงอัตโนมัติ หากใครไม่ดื่มกาแฟแต่ต้องการชาแทน ก็มีให้บริการในราคากาละ 5 ยูโรค่ะ
ทานอาหารบริเวณโถงล็อบบี้ Hotel Tivoli
พอจัดการมื้อเช้าเสร็จ ฉันก็เตรียมเป้ใบเล็กลงมานั่งรอพี่แต๋วที่ล็อบบี้โรงแรม เมื่อวานนัดกันไว้ว่าจะมารับฉันตอนเก้าโมงถึงเก้าโมงครึ่ง ...พอนั่งรอจนถึงสิบโมงเช้ายังไม่เห็นใครมา เลยชักจะกังวลและตำหนิตัวเองว่าไม่น่าจะไปรบกวนคนอื่นเลย เพราะพี่เขาอาจจะไม่สะดวก ฉันลังเลว่าจะโทรศัพท์หาพี่เค้าดีหรือไม่อยู่พักใหญ่ ราว 10.20 น. พี่แต๋วก็เดินเข้ามาพร้อมกับพี่ตุ่มน้องสาว และลาญ่าหนุ่มเชสกี้ หลังจากเราแนะนำตัวและคุยกันสักครู่ ก็ตกลงกันว่า วันนี้พี่แต๋วจะพานั่งรถไปเที่ยว Karlovy Vary ก่อน พรุ่งนี้จึงค่อยไปเที่ยวปราสาทปรากกัน
การได้ไปเที่ยว Karlovy Vary ในวันนี้จึงเป็นโปรแกรมที่นอกเหนือจากแผนที่ฉันวางไว้แต่แรก
Karlovy Vary : A world Famous Spa
Karlovy Vary เป็นเมืองที่อยู่ทางทิศตะวันตกของประเทศเช็ก มีชื่อเสียงในเรื่องบ่อน้ำแร่ การทำสปา และการทำเครื่องแก้ว ชื่อเสียงเหล่านี้ทำให้ Karlovy Vary เป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีจุดขายเพื่อเยี่ยมชมน้ำพุร้อนและสปาเป็นหลัก ว่ากันว่าปี ค.ศ.1350 สมัยพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 4 ทรงเป็นผู้ค้นพบบ่อน้ำแร่ของเมืองนี้จากการไปตามล่ากวางในป่า กวางตัวนั้นบาดเจ็บและตกลงไปในบ่ำน้ำแร่แห่งหนึ่ง เมื่อตามไปดูกลับเห็นกวางวิ่งหนีออกไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ จึงคาดว่าน้ำแร่นั้นคงมีคุณสมบัติพิเศษที่ทำให้กวางหนีไปได้ และจากจำนวนบ่อน้ำแร่น้ำพุร้อนที่มีเกือบร้อยบ่อ มีเพียง 12 บ่อที่ใช้ดื่มกิน ที่เหลือใช้ในธุรกิจสปา เพื่อการบำบัดรักษาโรคต่างๆ และเพื่อความงาม นี่จึงเป็นที่มาของน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์แห่งเมืองนี้
ถ่ายรูปคู่กับหุ่นนายพลทหารผู้พิการ
ระหว่างเดินทางมีทิวทัศน์สองข้างทางให้ดูเพลินตา รูปทรงแบบบ้านค่อนข้างจะแตกต่างจากในเมือง ส่วนมากจะมองเห็นท้องทุ่งสีเขียว พร้อมกันนั้นเราก็ได้คุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในเรื่องการทำงาน เรื่องทั่วๆ ไป และประสบการณ์ต่างๆ รู้สึกว่าฉันได้เจอ "คนคอเดียวกัน" เข้าแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทัศนคติ ค่านิยมในการทำงานต่างๆ มีหลายเรื่องที่ฟังแล้วก็ให้รู้สึกเห็นใจคนที่ต้องไปทำงานในต่างแดนว่าไม่ได้เลิศหรูหรือสวยงามน่าพิสมัยอย่างที่คิดไว้เลย
ใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง ฉันก็ไปถึง Karlovy Vary ตอนเที่ยงพอดี ลงความเห็นกันว่าจะทานอาหารกลางวันกันก่อนแล้วค่อยไปเดินชมเมือง ร้านอาหารที่พี่แต๋วพาไป เป็นร้านที่มีคนเข้าไปใช้บริการกันเยอะ ทางเข้าร้านจะมีหุ่นตุ๊กตาตัวโตเป็นรูปนายพลทหารผู้พิการนั่งบนรถเข็น ผู้ซึ่งออกไปรบแล้วกลับพิการจึงเลยมาเปิดร้านอาหารแห่งนี้ (ไม่ทันได้สังเกตชื่อร้านค่ะ)บริเวณที่ตั้งหุ่นนายพลมีนักท่องเที่ยวกำลังรายล้อมถ่ายรูปอยู่ หัวหน้าทัวร์ก็กำลังอธิบายความเป็นมาของหุ่นตัวนี้
...ฉันยังคงความเป็นนักท่องเที่ยวที่ดี โดยเลือกเมนูท้องถิ่นอาหารเชสกี้เหมือนเช่นเคย พี่แต๋วสั่งปลา พี่ตุ่มสั่งสเต๊กเนื้อ ส่วนลาญ่าสั่งขาหมู พอบริกรมาเสิร์ฟเท่านั้นแหละ ดิฉันหัวเราะเอิ๊กอ๊ากเลยค่ะ เพราะยกมาทั้งขาเหมือนที่ฉันสั่งเมื่อคราวเที่ยวครุมลอฟ (Cesky Krumlov ไข่มุกงามแห่งโบฮีเมีย) เพียงแต่ของที่นี่ขาเล็กกว่าหน่อยนึง นี่ขนาดลาญ่าเป็นเจ้าถิ่นและเป็นผู้ชายแถมขายังเล็กกว่าของฉันอีก เขายังกินไปได้แค่ครึ่งขาเท่านั้นเองค่ะ
จานนี้สีสันอาจจะไม่น่าสนใจ แต่รสชาติดีทีเดียว
หลังจากอิ่มกันแล้ว ฉันเดินย่อยอาหารด้วยการเดินชมเมือง แห่งแรกที่พี่แต๋วพาไปคือ บ่อน้ำพุร้อนหรือบ่อน้ำแร่ซึ่งสามารถดื่มได้ฟรีอย่างไม่จำกัด มีอยู่ประมาณ 5 บ่อ ซึ่งแต่ละบ่อจะมีชื่อและอุณหภูมิบอกไว้ บ่อที่อุณหภูมิสูงสุดคือ 72 องศาเซลเซียส
ไหนๆ ก็มาแล้ว ..ก่อนอื่นเลยฉันต้องไปซื้อถ้วยซึ่งมีหลายแบบหลายขนาดจากร้านขายของที่ระลึก ควรเลือกแบบที่มีกรวย แล้วไปรองที่บ่อน้ำพุร้อน ให้ดื่มจากแก้วด้านที่เป็นกรวยปากเล็กๆ เพื่อที่จะทำให้ไม่ได้กลิ่นกำมะถันในขณะที่ดื่ม ..ฉันเลือกถ้วยขนาดเล็ก เพราะไม่อยากให้ลำบากในการขนย้ายนั่นเอง
...อืม!! รสชาติของน้ำแร่นี่ออกจะเค็มๆ นะคะ สงสัยอยู่ว่าน้ำแร่ที่ฉันดื่มเข้าไปนั้น แน่ใจได้ยังไงว่าปลอดกำมะถัน เพราะเมื่อเหลียวมองไปที่ก้นบ่อน้ำแร่ ก็เห็นตะกอนสีสนิมเต็มไปหมดเลย
Thermal Spring บ่อน้ำพุร้อน
ตั้งใจฟังคำอธิบายอย่างขะมักเขม้น
ลองดื่มดูบ้าง
รสชาติคงพอไหว จึงยังยิ้มสู้อยู่ได้
จากนั้น เราก็เดินชมเมืองโดยรอบกัน พี่แต๋วเล่าให้ฟังว่าที่นี่มีแหล่งสปาใหญ่ถึงสามแห่ง ถือว่ามากทีเดียวเมื่อเทียบกับเมืองเล็กๆ แห่งนี้
....บ้านเรือนที่นี่สวยงามนะคะ สีสันออกแนวหวานนุ่มเหมือนบ้านลูกกวาด แตกต่างจากที่ Cesky Krumlov ซึ่งบ้านเรือนจะมีสีสันฉูดฉาดกว่า
เบื้องหลังเป็นบ้านสีหวานถูกใจ
ลำน้ำผ่ากลางเมือง
ถ่ายรูปคู่กับผู้มีอุปการะ
วันแรกที่มีตากล้องสับเปลี่ยนกันถ่ายให้ตลอดวัน
วิวสวยๆ ของเมือง Karlovy Vary
ได้เวลานั่งรถม้า 30 นาที หนึ่งพันคราวน์
บ้านเรือนบนเนินเขา
St.Mary Magdalene Church โบสถ์แบบบาโรก
ท้าทายความหนาวกับไอศครีมโคน หน้าโรงแรม Grandhotel Pupp ซึ่งใหญ่ที่สุดในเมือง
ต้นอะไรไม่รู้ แปลกๆ แต่ชอบจัง
สำหรับคนชอบช็อปปิ้ง ที่นี่เหมาะกับการหาซื้อเครื่องแก้วเป็นของฝากค่ะ รวมทั้งพวกคริสตัลต่างๆ ด้วย พี่แต๋วให้ข้อมูลว่าบางแบรนด์ผลิตส่งให้กับแบรนด์สวารอฟสกี้ (Swarovski Crystal) ราคาของที่นี่จึงค่อนข้างถูกกว่าในคุณภาพเดียวกัน แต่ฉันกลับมือเปล่าเพราะเหตุผลเดียวคือไม่อยากเป็นภาระในการขนย้าย
พอเห็นว่าท้องฟ้าเริ่มจะมีเมฆครึ้มมา พี่แต๋วก็เลยชวนกลับปรากเพื่อจะได้ไม่ต้องเจอฝน ขากลับฉันขอแวะที่สถานีรถไฟก่อน เพื่อซื้อตั๋วสำหรับเดินทางไปเวียนนาในอีกสองวันข้างหน้า ลาญ่าจึงขับพาไปที่สถานี Hlavni Nadrazi (Main Train Station) ลักษณะอาคารเหมือนกับหัวลำโพงบ้านฉัน แต่มีสภาพเก่าและทรุดโทรมมาก ลาญ่าบอกว่าอีกประมาณครึ่งปี จะมีการปรับปรุงใหม่และจะมีห้างสรรพสินค้าอยู่บริเวณนี้ด้วยเลย
ฉันรอคิวซื้อตั๋วอยู่ค่อนข้างนานนะ เพราะมีกลุ่มผู้ชายวัยรุ่น 4-5 คน ออกันอยู่ตรงหน้าต่างขายตั๋วช่อง International Ticket เข้าใจว่าหนุ่มๆ เหล่านี้น่าจะไม่ได้เตรียมข้อมูลมาก่อนจึงต้องใช้เวลานานในการตัดสินใจซื้อตั๋วรถไฟ ...พอถึงคิวฉันก็จัดการซื้อตั๋วตามตารางเวลาที่เช็คมาก่อนแล้ว ราคาตั๋วจากปรากไปเวียนนา 1,029 คราวน์ (33.7ยูโร) บวกค่าจองที่นั่งอีก 179 คราวน์ (7 ยูโร)
ที่นี่ฉันแสดงความเป๋อของตัวเองอีกแล้ว เพราะพอเห็นว่ามีป้ายให้ใช้ Visa Electron ได้ จึงคิดจะจ่ายค่าตั๋วด้วยบัตรเอทีเอ็ม PLUS ที่มีอยู่แทนบัตรเครดิตที่ถูกขโมยไป ปรากฏว่าถึงตอนใส่ PIN code ฉันก็ใส่รหัสเอทีเอ็มเข้าไป ปรากฏว่าถูกปฏิเสธรายการใช้จ่ายถึงสองครั้ง จึงไม่กล้าลองเป็นครั้งที่ 3 เพราะหากถูกเครื่องอายัดเพราะกดรหัสผิด ฉันก็คงแย่เพราะไม่มีบัตรใบอื่นเหลืออีกแล้ว
หลังจากจ่ายเงินสดซื้อตั๋วไปแล้วก็เกิดวิตกจริตขึ้นมา ด้วยความที่ไม่เคยรูดบัตรใบนี้ผ่านเครื่องเลย นอกจากกดเอทีเอ็มถอน-โอนเงิน ฉันเลยบอกกับพี่แต๋วว่าจะขอแวะไปกดเอทีเอ็มเบิกเงินสดดูว่าบัตรยังใช้ได้ไหม ปรากฏว่าไม่มีปัญหา ถึงได้รู้ว่าฉันเข้าใจผิดเองนึกว่า PIN code ของบัตรเหมือนกับรหัสเอทีเอ็ม เซ่อซ่าจริงๆ เชียว
เย็นนั้น พี่แต๋วพาไปทานข้าวที่ Arzenal ร้านอาหารไทยที่มีชาวเช็กเป็นเจ้าของร้าน แต่พนักงานเสิร์ฟและแม่ครัวล้วนเป็นคนไทย ที่นี่นอกจากจะเป็นร้านอาหารแล้ว ยังเป็นร้านขายเครื่องแก้วประเภทดีไซน์ด้วยค่ะ ดังนั้น จานชามที่ใช้เสิร์ฟอาหารให้ลูกค้า จึงล้วนแต่มีดีไซน์แปลกๆ จานแต่ละใบไม่เหมือนกันเลย ใบหนึ่งอาจจะแหว่งซ้าย ใบหนึ่งอาจจะแหว่งขวา พี่แต๋วบอกว่าเจ้าของร้านสนุกกับการสร้างสรรค์แบบ เสียดายที่ฉันไม่ได้ถ่ายรูปมาด้วยสักรูปนึง
....พูดถึงรสชาติอาหารของร้านนี้ก็พอใช้ได้ ทั้งลาบ ส้มตำ ข้าวผัด เต้าหู้ทอด (อร่อยมาก) แต่ทอดมันปลาไม่เหมือนบ้านฉัน ค่อนข้างแข็งกระด้าง เข้าใจว่าน่าจะเป็นเพราะเนื้อปลาที่ใช้ส่วนมากเป็นปลาเทราต์ จึงทำให้ไม่อร่อย
เบื้องหลังคือ Prague Castle
ออกจากร้านอาหารพี่แต๋วก็พาไปเดินชมวิวริมน้ำให้เห็นสะพานชาร์ลส์และปราสาทปรากเป็นการเรียกน้ำย่อย และจบวันด้วยการที่พี่แต๋วพามาส่งที่โรงแรม นัดกันไว้ว่าวันพรุ่งนี้จะให้พี่ตุ่มมารับตอน 9 โมงเช้าเพื่อพาไปเที่ยวปราสาทปราก ฉันจึงถือโอกาสบอกพี่แต๋วว่าพรุ่งนี้เย็นขออนุญาตเลี้ยงอาหารสักมื้อ แต่พี่แต๋วบอกกับฉันว่าอย่าซีเรียสเรื่องนี้เลย
แฮ่ะ! แฮ่ะ!... พี่แต๋วคงสงสารและเห็นว่าเงินสดฉันเหลือน้อย บัตรเครดิตก็หาย ยังจะมาทำซ่าขอเลี้ยงคนอื่นอีก เดี๋ยวอาจจะลำบากมารบกวนอีกมั้ง ไว้ค่อยดูละกันค่ะว่าวันรุ่งขึ้นพี่แต๋วจะยอมให้ฉันเลี้ยงสักมื้อนึงไหม...