<<
กรกฏาคม 2558
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
3 กรกฏาคม 2558
 

กรณี"อุปสรรคการปรองดอง"กับการจับกุม14 นักศึกษา/จาตุรนต์

  คิดว่าขณะนี้มีคนไทยจำนวนไม่น้อยเป็นห่วง
น้องๆนักศึกษา 14 คนที่ถูกจับ
เรารู้ว่าหากรัฐบาลจะช่วยเหลือและไม่เอาความ
เพราะจริงๆแล้วนักษาเหล่านี้มิได้ทำผิดอะไร
ก็เป็นเรื่องกล้วยๆ แต่ก็ทำให้มันยากเข้าเหมือน
เขียนเสือให้วัวกลัว และปรามไม่ให้ออกกันมาอีก
วันนี้อ่านบทความท่าน จาตุรนต์ ฉายแสง
เผยแพร่ทางมติชนรายวัน ฉบับ 3 กรกฎาคม 2558
ขออนุญาตนำมาเก็บรวบรวมไว้ศึกษาต่อไป ดังนี้ 


"จาตุรนต์" จัดเต็ม! เขียนบทความกรณี "

อุปสรรคการปรองดอง" กับการจับกุม 

"14 นักศึกษา"


นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีต รมว.ศึกษาธิการ 
ได้เขียนบทความสองตอนในเพจเฟซบุ๊ก Chaturon Chaisang
มีเนื้อหา ดังต่อไปนี้
′ความคืบหน้าการปรองดอง กับกรณี 14 นักศึกษา′
ตอน ๑ 

จากที่เคยเล่าสู่กันฟังไปบ้างแล้วว่า ในการประชุมเกี่ยวกับการปรองดอง
ที่จัดโดยศูนย์ปรองดองครั้งที่ 2 ผมได้เสนอความเห็นเกี่ยวกับการปรองดอง
ในที่ประชุมและเสนาธิการทหารบกซึ่งเป็นประธานที่ประชุมได้
ขอให้ผมช่วยร่างโครงการเสวนาเพื่อสร้างความปรองดองเสนอต่อท่าน

ผมได้หารือร่วมกับผู้เข้าร่วมประชุมปรองดองด้วยกันบางท่าน
กับผู้มีความรู้ประสบการณ์เกี่ยวกับกระบวนการปรองดอง
อีกบางท่านช่วยกันร่างโครงการเสวนาเพื่อสำรวจองค์ความรู้เกี่ยวกับ
กระบวนการปรองดองที่เกิดขึ้นในเมืองไทยในรอบ 10 ปีมานี้
และได้ส่งให้เสนาธิการทหารบกไป

ต่อมารองผอ.ศูนย์ปรองดองได้เชิญบุคคลหลายคนไปหารือ
กับคณะนายทหารหลายนายโดยเป็นการหารือกับบุคคลที่ถูกเชิญไปทีละคน 
ในการประชุมหารือนั้น นายทหารคนหนึ่งได้แจ้งผมว่า 
เสนาธิการทหารบกได้รับเอกสารข้อเสนอจากผมแล้ว
และขอให้ผมช่วยเสนอรายชื่อบุคคล 30 คนที่สมควรร่วมหารือ
ตามโครงการที่ผมเสนอ

เดิมที ผมเตรียมจะหารือผู้เกี่ยวข้องในสัปดาห์ที่แล้วเพื่อพิจารณา
เรื่องเสนอรายชื่อบุคคลกับองค์กรที่คิดว่า น่าจะเป็นผู้ดำเนินการเสวนา
และช่วยเชิญคนมาร่วมเสวนา แต่บังเอิญเกิดเหตุการณ์การจับกุมนักศึกษา 14 
ขึ้นมา ผู้ที่จะหารือกับผมบางคนต้องไปดูแลนักศึกษา 
บางคนทำหน้าที่เกี่ยวกับการปรองดองอยู่ กลัวเหตุการณ์จะบานปลาย
จึงขอตัวไปติดตามเหตุการณ์ ไม่สามารถหารือกับผมได้ 
ต้องเลื่อนมาหารือกันในสัปดาห์นี้แทน คิดว่าต้นสัปดาห์หน้า
ก็คงสามารถส่งข้อเสนอเพิ่มเติมไปยังเสนาธิการทหารบกได้

ข้อเสนอเกี่ยวกับบุคคลและองค์กรที่จะช่วยจัดเสวนา
และเชิญคนมาร่วมเสวนาจะเป็นอย่างไร คงต้องขึ้นกับการหารือ
ที่จะเกิดขึ้นในวันสองวันนี้ แต่ในฐานะที่จะต้องเกี่ยวข้อง
และรับผิดชอบต่อการเสนอความเห็นเกี่ยวกับการปรองดองอยู่ด้วยคนหนึ่ง 
อยากจะเสนอความเห็นส่วนตัวในบางประเด็นที่เห็นว่า 
เป็นปัญหาเร่งด่วนเฉพาะหน้าไปยังผู้รับผิดชอบตลอดจน
ผู้สนใจการแก้ปัญหาความขัดแย้ง
และกระบวนการปรองดองไว้ในโอกาสนี้ดังนี้

ผมคิดว่าหากจะทำให้เกิดกระบวนการปรองดองขึ้นได้มีความจำเป็น
ที่ผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายจะต้องทำความเข้าใจความหมายของ
คำว่า ‘ปรองดอง’ และ ‘กระบวนการปรองดอง’ 
ให้ตรงกันหรือใกล้เคียงกันเสียก่อน 
ที่ผ่านมามักมีการอธิบายจากภาครัฐแบบง่ายๆว่า ‘ปรองดอง’ 
คือทำยังไงก็ได้ให้คนที่ทะเลาะกันเลิกทะเลาะกัน 
ส่วน ‘กระบวนการปรองดอง’ ก็มักมีการยกตัวอย่างว่า
คือการจัดประชุมหารือ แข่งกีฬาและจัดกิจกรรมบันเทิงรวมกัน
สัก 4,000-5,000 ครั้งแล้ว ในขณะที่ผู้ทำงานปรองดองที่ไม่ใช่ภาครัฐ
กลับเห็นต่างอย่างมากคือเห็นว่า ยังไม่ตรงประเด็น 
จึงจำเป็นที่ต้องทำความเข้าใจเรื่องนี้อีกมาก

ที่ผ่านมาผู้ที่รับผิดชอบในศูนย์ปรองดองอาจมีความตั้งใจทำงาน 
แต่ยังขาดการรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างหลากหลาย 
เรื่องนี้การจัดเสวนาอย่างที่กำลังเสนออยู่น่าจะช่วยได้บ้าง 
แต่หากจะให้กระบวนการปรองดองเริ่มได้จริง 
อีกปัญหาหนึ่งที่เกี่ยวเนื่องกันและจะต้องรีบแก้ คือ 
การที่ศูนย์ปรองดองและผู้รับผิดชอบบางคนถูกใช้
ให้ไปหาทางทำให้ผู้ที่มักแสดงความเห็นต่างกับ
ภาครัฐแสดงความเห็นให้น้อยลง

ซึ่งขัดแย้งต่อหน้าที่ในการปรองดองที่ต้องประสานหลายๆฝ่าย
ให้มาพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์และความคิดเห็นกัน
อย่างตรงไปตรงมาด้วยความไว้วางใจและอย่างเท่าเทียมกัน
เพื่อหาทางแก้ปัญหาความขัดแย้งและสร้างความปรองดอง 
การใช้คนและองค์กรอย่างผิดฝาผิดตัวเช่นนี้นี้
จะทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจเป็นอุปสรรคต่อกระบวนการปรองดอง

ทางที่ดีแล้ว มาถึงขั้นนี้ไม่ควรใช้มาตรการใดๆไปจำกัด
การแสดงความเห็นแตกต่าง แต่ควรส่งเสริมให้มีการแสดงความเห็น
มากขึ้นด้วยซ้ำ

อีกประการหนึ่ง ผมคิดว่า หากต้องการให้เกิดการปรองดองขึ้น
ในสังคมไทยจริง จำเป็นต้องทำงานแข่งกับเวลา 
รีบทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อทำความเข้าใจ
ถึงต้นเหตุของความขัดแย้งก่อนการรัฐประหาร ศึกษาว่า 
สิ่งที่เกิดขึ้นนับแต่มีการรัฐประหารเป็นต้นมา 
ช่วยแก้ปัญหาความขัดแย้งได้จริงหรือไม่ รวมทั้งศึกษาว่า 
สิ่งที่แม่น้ำ 5 สายกำลังทำกันอยู่นี้ 
จะนำประเทศชาติไปสู่สภาวะอย่างไรแน่ 
จะสามารถป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาต่างๆ 
อย่างที่เคยเกิดขึ้นก่อนการรัฐประหารได้หรือไม่

ถ้าไม่มีการศึกษาทำความเข้าใจปัญหาทั้งในอดีตและปัจจุบันให้ดี 
ในอนาคตเราอาจจะต้องประสบปัญหาอย่างเดิมหรือหนักกว่าเดิมก็ได้

เรื่องที่อาจยกเป็นกรณีตัวอย่างได้ดีเรื่องหนึ่งก็
คือเรื่องการจับกุมคุมขังนักศึกษา 14 คน
ซึ่งกำลังเป็นที่สนใจอยู่ในขณะนี้

ตอน ๒ กรณีนักศึกษา 14 คน

ในฐานะผู้ที่ทำงานด้านการศึกษามาบ้างคิดว่า 
เยาวชนในโลกปัจจุบันควรได้รับการส่งเสริมให้รู้จักคิดวิเคราะห์ 
กล้าแสดงออกและสนใจทำประโยชน์เพื่อสังคม 
ส่วนมหาวิทยาลัยก็ควรมีเสรีภาพทางวิชาการ
จึงจะสามารถผลิตความรู้และคนที่มีคุณภาพได้ นักศึกษา 14 คน
เป็นตัวอย่างของการกล้าคิดกล้าแสดงออกในสิ่งที่เห็นว่า 
เป็นประโยชน์ต่อสังคม นอกจากนี้ยังได้แสดงถึงความยึดมั่น
ในหลักการประชาธิปไตยซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับประเทศไทย 
แต่เมื่อสิ่งที่นักศึกษาเหล่านี้ได้รับกลับกลายเป็นการถูกจับกุมคุมขัง 
ตั้งข้อหาร้ายแรงที่มีบทลงโทษสูงถึงขนาดจำคุกรวมกันถึง 10 ปี 
ทั้งยังต้องถูกดำเนินคดีในศาลทหารเช่นนี้ ก็เท่ากับเป็นการส่งสัญญาณ
ที่ขัดกันกับทิศทางที่ควรจะเป็นสำหรับการศึกษาของเยาวชน

ในฐานะที่เป็นผู้ที่ถูกดำเนินคดีในศาลทหารด้วยข้อหาร้ายแรง
เพียงเพราะการพูดเสนอให้มีการเรียกร้องประชาธิปไตยโดยสันติวิธี 
ผมเข้าใจดีว่านักศึกษาที่ถูกคุมขังรวมทั้งญาติมิตร
และประชาชนผู้สนใจจะรู้สึกว่า 
นักศึกษาเหล่านี้กำลังได้รับความไม่เป็นธรรมอย่างไร 
ยิ่งถ้ามีการบีบคั้นกลั่นแกล้งในเรือนจำ 
ความรู้สึกถึงความไม่เป็นธรรมก็จะยิ่งมีมากขึ้น

ในฐานะที่เคยเป็นนักศึกษาที่เรียกร้องต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมาก่อน 
แม้จะนานมากมาแล้วก็ตาม ผมคิดว่า 
สิ่งหนึ่งที่น่าจะกระทบความรู้สึกของนักศึกษา
และผู้ที่เข้าใจนักศึกษามากเป็นพิเศษ ก็คือ 
การถูกกล่าวหาว่ามีนักการเมืองหรือพรรคการเมืองหนุนหลัง
หรือบงการอยู่ จากประสบการณ์ของผม การที่นักศึกษา
ที่มีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว
ถึงขั้นยอมลำบากตามอุดมการณ์เพื่อบ้านเมืองจะถูกจูงจมูก
จากใครเป็นเรื่องที่ไม่ใช่จะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ เลย 
แต่นั่นก็เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของผม เรื่องจริงเป็นอย่างไร
ควรจะมีการตรวจสอบและพิสูจน์กันให้ชัดเจนต่อไป 
ไม่ใช่กล่าวหากันลอยๆ เพราะหากมีแต่การกล่าวหากันลอยๆ 
ก็จะกลายเป็นการพูดที่ทำให้เกิดความเกลียดชังเสียเปล่าๆ

ที่อยากจะให้ความเห็นในอีกสถานะหนึ่งก็คือ 
การที่ผมเป็นผู้ที่ได้รับการขอให้เสนอความเห็นเกี่ยวกับการปรองดอง
และกำลังจัดทำข้อเสนอเพิ่มเติมอยู่ กรณีนักศึกษา 14 คน
กำลังจะมีผลกระทบต่อการแก้ปัญหาความขัดแย้ง
และกระบวนการปรองดองไม่น้อยทีเดียว

มีการศึกษาจำนวนมากพบว่า 
การที่ความขัดแย้งในสังคมทับถมมากขึ้นเรื่อยๆ
จนต้องมาหาทางปรองดองกันอยู่นี้ 
มีสาเหตุที่สำคัญอย่างหนึ่ง คือ 
การใช้กฎหมายโดยไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรม

ขณะนี้ทางการเสนอว่า ‘กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย’ 
ขณะเดียวกันก็มีการปฏิเสธว่า 
การใช้มาตรา 44 นิรโทษนักศึกษา 14 คน 
ไม่สามารถทำได้ ทั้งๆที่นักศึกษาและผู้สนับสนุนทั้งหลาย
ก็ไม่ได้เสนอให้มีการนิรโทษแต่อย่างใด 
ควรจะมีการพิจารณาว่า อย่างไรเป็นไปตามหลักนิติธรรม 
และอย่างไรไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรม

คำว่า ‘กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย’ นั้นฟังดู ก็ไม่น่าจะมีอะไรผิด 
แต่ ‘กฎหมาย’ ที่ว่านั้น จะต้องเป็นกฎหมายที่เป็นธรรม 
คือ มีที่มาที่ชอบธรรมและมีเนื้อหาที่เป็นธรรมด้วย 
ต้องไม่ลืมว่า ในระบบปัจจุบัน คสช.และบุคคล 
คือกฎหมาย จะสั่งอะไรก็เป็นกฎหมายไปหมด 
การที่เยาวชนนักศึกษาต้องขึ้นศาลทหารจะบอกว่า 
เป็นไปตามกฎหมายก็ได้ แต่ไม่ใช่กฎหมายปรกติ 
หากเกิดจากคำสั่งคสช. 
ดังนั้นคำว่า ‘กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย’ 
จึงไม่แน่เสมอไปว่า จะสอดคล้องกับหลักนิติธรรม 
นอกจากนั้นการตั้งข้อหาร้ายแรงเกินกว่าเหตุ 
ก็ไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรมด้วย

สำหรับการเสนอให้ใช้มาตรา 44 นิรโทษนักศึกษา
ซึ่งทางการก็ได้ปฏิเสธไปแล้วนั้น 
ผมเข้าใจว่า ไม่ใช่ความประสงค์ของนักศึกษา
หรือผู้สนับสนุนนักศึกษาแต่อย่างใดเลย 
หากทำไปก็จะเกิดการตีความที่สับสนวุ่นวายเสียเปล่าๆ

ความจริงการจะปล่อยตัวนักศึกษา 14 คนไม่ใช่เรื่องยาก 
เพียงแต่ทำ ‘กฎหมายให้เป็นกฎหมาย’ ที่สอดคล้องกับหลักนิติธรรม 
คำสั่งอะไรที่ไม่ชอบธรรมก็แก้เสีย ไม่ตั้งข้อหาที่ร้ายแรงเกินกว่าเหตุ 
ไม่ใช้เวลาสอบสวนให้นานเกินความจำเป็น 
ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องขอฝากขังให้ยืดเยื้อต่อไป 
ทั้งหมดนี้ ไม่จำเป็นจะต้องนิรโทษใครแต่อย่างใดเลย

การใช้กฎหมายอย่างสอดคล้องกับหลักนิติธรรม
จะช่วยลดความขัดแย้งและไม่เป็นอุปสรรคต่อการปรองดอง/จบ
........................................................................................................



Create Date : 03 กรกฎาคม 2558
Last Update : 19 กันยายน 2558 6:38:37 น. 0 comments
Counter : 1212 Pageviews.  
 
Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

justice0009
 
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




[Add justice0009's blog to your web]

MY VIP Friend

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com