วิจักขณ์ พานิช : เคียงบ่าเคียงไหล่
คอลัมน์ ธรรมนัว
"เราพูดกันมานานว่าคนรุ่นใหม่ต้องสนใจปัญหาสังคม นักศึกษาต้องเรียนรู้จากโลกกว้าง คนมีการศึกษาต้องนึกถึงคนส่วนใหญ่ คนรุ่นใหม่ต้องทำเพื่อส่วนรวม คนไทยต้องเอื้ออาทรต่อคนไทย ที่เผชิญปัญหาต่างๆ และปัญญาชนต้องทำเพื่อสังคมมากกว่า หาลูกหาเมียและหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง
นักศึกษากลุ่มดาวดินมีทุกอย่างที่พูดมานี้ นี่คือคนรุ่นใหม่ที่สนใจปัญหาสังคม เรียนรู้จากโลก นึกถึงคนส่วนใหญ่ ทุ่มเททำเพื่อส่วนรวม และเอื้ออาทรต่อประชาชนในชาติเดียวที่ถูกคุกคามจากกลุ่มทุนขนาดใหญ่ ประเทศนี้ต้องการคนแบบนี้ และไม่มีใครในโลกนี้ควรติดคุก เพราะชูป้ายว่าประชาชนในประเทศได้รับความเดือดร้อนอย่างไร? ...ประเทศนี้ต้องการคนแบบดาวดินอีกหลายพันหลายหมื่นคน" อ.ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ กล่าว
บ่ายโมงตรงของวันที่ 24 มิถุนายน 2558 7 นักศึกษานิติศาสตร์ มข. ในนาม "กลุ่มดาวดิน" ปรากฏตัวบริเวณถนนพระราม 4
พวกเขาเดินข้ามถนน เรียงแถวหน้ากระดานมุ่งหน้าสู่ สน.ปทุมวัน ท่ามกลางผู้คนข้างทางที่ปรบมือและยื่นดอกไม้ให้กำลังใจ
ไม่มีใครคิดว่าจะได้เห็นการปรากฏตัวของเหล่าดาวดินในเวลานี้ เพราะตลอดหลายวันที่ผ่านมา มีเสียงฮึ่มๆ จากเผด็จการทหารว่าจะบุกเข้าจับกุมตัวพวกเขาที่ไปอาศัยอยู่ กับชาวบ้านที่บ้านนาหนองบง จ.เลย
วันนี้ดาวดินทั้ง 7 ตั้งใจเดินทางเข้ากรุงเทพฯมาให้กำลังใจ 9 นักศึกษา ที่ถูกออกหมายจับจากการจัดกิจกรรมรำลึก 1 ปีรัฐประหารที่หน้าหอศิลป์
...พวกเขาเดินทางมาให้กำลังใจเพื่อนๆ ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ตกอยู่ในสถานการณ์สุ่มเสี่ยงไม่ต่างกัน
ที่หน้า สน.ปทุมวัน ประชาชนทยอยเดินทางมาให้กำลังใจกลุ่มนักศึกษา การรวมตัวกันในครั้งนี้ไม่ได้มาเพื่อต่อสู้เรียกร้องอะไรเป็นพิเศษ มีเพียงท่าทีของการประสานมือ ร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่ ไปกับกลุ่มนักศึกษาที่กำลังเผชิญหน้ากับการข่มเหงจากอำนาจรัฐ
จำนวนนักศึกษาที่ต้องเข้ามอบตัวตามหมายจับกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในวันนี้มีเพียง 9 คนเท่านั้น แต่เมื่อรวมกับนักศึกษากลุ่มดาวดินอีก 7 คน ซึ่งถูกออกหมายจับด้วยเช่นกัน ก็จะกลายเป็น 16 คน และเมื่อรวมกับประชาชนที่มารวมตัวกันและพร้อมจะโดนจับไปพร้อมๆ กับทั้ง 16 คน จำนวนก็เพิ่มพูนเป็นหลักร้อย
เมื่อนักศึกษาทั้งหมดประกาศไม่ยอมเข้ามอบตัว ไม่ยอมรับอำนาจเถื่อน ไม่ยอมรับกฎหมายเผด็จการ และยืนยันที่จะเคลื่อนไหวต่อต้านอำนาจรัฐประหารโดยสันติวิธี อีกทั้งยังพร้อมเดินเท้าเข้าไปใน สน.ปทุมวัน เพื่อแจ้งความกลับต่อเจ้าหน้าที่รัฐที่ทำร้ายร่างกายพวกเขา ...พี่ป้าน้าอาตรงนั้นก็พร้อมจะร่วมเดินไปกับพวกเขาด้วย
เมื่อถนนทุกสายมุ่งหน้าไปสู่ สน.ปทุมวัน...
การคล้องแขนเดินไปด้วยกัน ก่อกำเนิดเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ของคำว่า "SOLIDARITY" ความรู้สึกเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ประสานมือ เคียงบ่าเคียงไหล่ คือจิตวิญญาณสำคัญของระบอบประชาธิปไตย การที่คนทุกคนมีหนึ่งสิทธิหนึ่งเสียงเท่ากัน ไม่ได้มีความหมายแค่การลงคะแนนเสียงในคูหาเลือกตั้งเท่านั้น แต่คนทุกคนสามารถแสดงออกซึ่งหนึ่งสิทธิและหนึ่งเสียงของตัวเอง ผ่านการประสานมือและเคียงบ่าเคียงไหล่ไปกับคนเล็กคนน้อย ที่ถูกเบียดเบียนบีฑาได้ เราสามารถร่วมรับรู้ปัญหา ร่วมเผชิญปัญหา และร่วมต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมได้ แม้จะไม่ได้ประสบกับปัญหานั้น ด้วยตัวเอง แต่เมื่อรู้สึกร่วมและเห็นความสำคัญของการต่อสู้ เพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพปัญหา เราก็พร้อมจะพาตัวเองลงพื้นที่ เข้าไปในชุมชน ร่วมเดินบนท้องถนน เพื่อประสานมือ และเดินเคียงบ่าเคียงไหล่ไปกับพวกเขาราวกับเป็นพี่เป็นน้อง
สังคมประชาธิปไตยจึงไม่ใช่สังคมที่โดดเดี่ยว แม้จะไม่มีเส้นสาย หรือการเล่นพรรคเล่นพวก แม้จะไม่ได้ปรารถนาอยากเป็นเจ้าคนนายคน หรือพึ่งพาระบบอุปถัมภ์ ปัจเจกบุคคลก็สามารถเลือกใช้ชีวิตของตัวเอง ได้อย่างมีอิสระและมีศักดิ์ศรี ความเป็นตัวของตัวเองไม่จำเป็น ต้องหมายถึงการใช้ชีวิตอย่างเดียวดายหรือต่างคนต่างอยู่ แต่เราสามารถเคารพคนอื่นเท่ากับที่เราเคารพตัวเอง เราจึงสามารถเคารพคนทุกคนเท่ากันในความเป็นมนุษย์ของเขาได้จากใจจริง แม้จะไม่ใช่ญาติกัน แม้อาจไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลยก็ตาม แต่เมื่อใครสักคนกำลังเผชิญหน้ากับความอยุติธรรม เราก็พร้อมจะยืนหยัดอยู่เคียงข้าง เดินไปด้วยกัน ต่อสู้ไปด้วยกัน พร้อมคล้องแขน ประสานมือ ยามเผชิญความไม่เป็นธรรมและถูกกระทำย่ำยี...
ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในที่นี้มีความหมายแตกต่างไปจาก "ความสามัคคี" ที่เราคุ้นเคย หากความสามัคคีหมายถึงการที่คนในชาติ ต้องถูกทำให้เชื่อเหมือนๆ กัน เชื่องเหมือนๆ กัน คิดแบบเดียวกัน ศรัทธาในสิ่งเดียวกัน หรือถูกปลุกให้เกลียด และกลัวสิ่งเดียวกันแล้วล่ะก็ ประเทศชาติคงต้องวนเวียน อยู่กับวงจรอุบาทว์ของการทำรัฐประหารแบบนี้ไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด หาก 83 ปี ยังไม่เพียงพอ คำถามคือแล้วเราจะอยู่กันต่อไปแบบนี้อีกสักกี่ปี? 100 ปี 200 ปี หรืออีกกี่ภพกี่ชาติ...
นักศึกษากลุ่มดาวดินและนักศึกษากลุ่มต่อต้านรัฐประหารรวมกันแล้ว มีจำนวนเพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้น แต่พวกเขากำลังแสดงออก ถึงเจตจำนงอันยิ่งใหญ่ของการต่อสู้เพื่อรักษาหลักการประชาธิปไตย ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของปัจเจกบุคคลผู้มีเจตจำนงเสรี คนหนุ่มสาวผู้มีความฝันอยากเห็นสังคมไทยเติบโต บนรากฐานของความเสมอภาคเท่าเทียม พวกเขากำลังคล้องแขนประสานมือท้าทายอำนาจกระบอกปืน อันไร้ความชอบธรรมอย่างไม่กลัวเกรง ประกาศก้องว่า
ที่ดินเป็นของประชาชน
แม่น้ำเป็นของประชาชน
ภูเขาเป็นของประชาชน
ชีวิตเป็นของประชาชน
...และอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน
ประเทศนี้ต้องการคนแบบพวกเขาอีกหลายพันหลายหมื่นคน สามัญชนที่ใฝ่ฝันอยากเป็นตัวแทนของประชาชน ไม่ใช่ "เจ้าคนนายคน" เยาวชนที่พร้อมจะเรียนรู้ปัญหา และเคียงบ่าเคียงไหล่ไปกับชาวบ้าน และประชาชน ที่พร้อมออกมาเคียงบ่าเคียงไหล่ปกป้องจิตวิญญาณ ประชาธิปไตยอย่างไม่กลัวเกรง/จบ .......................................................................................................
มติชนรายวัน ฉบับวันที่ 28 มิ.ย. 2558 |