มิถุนายน 2558
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
27 มิถุนายน 2558
 

สันติวิธีของมนุษย์ดาวดิน/จันจิรา สมบัติพูนศิริ

  ขออนุญาติเจ้าของบทความและมติชนออนไลน์
นำบทความดีๆเรื่องนี้ไว้เป็นกรณีศึกษา
และขอให้ฝ่ายความมั่นคงของรัฐบาลนายกตู่
ได้ใช้ดุลยพินิจกับการแสดงออกทางการเมืองของนักศึกษากลุ่มนี้ด้วย
เพราะพวกเขายังเป็นเยาวชนที่่ต้องเรียนหนังสือต่อไป
ที่สำคัญเขาเหล่านั้นได้แสดงออกกิจกรรมต่างๆอย่างสันติวิธี

สันติวิธีของมนุษย์ดาวดิน : จันจิรา สมบัติพูนศิริ

สันติวิธีของมนุษย์ดาวดิน

โดย จันจิรา สมบัติพูนศิริ คณะรัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์

//www.matichon.co.th/online/2015/06/14353150261435316392l.jpg
(ภาพ : เริงฤทธิ์ คงเมือง)

"สันติวิธีช่วยยกระดับความเป็นมนุษย์ของทั้งชาวบ้าน
และเจ้าหน้าที่รัฐ เวลา (ประท้วง) โดนหัว 
แล้วเราตีเขากลับมันง่าย 
แต่มันมีนัยทางการเมืองกว่าเวลาที่เรานั่งเฉยๆ เวลาโดนตีหัว"

ประโยคข้างต้นไม่ได้มาจากนักสันติวิธีสำนักไหน 
แต่เป็นบทสรุปจากกลุ่มนักศึกษาที่เคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อ
ความเป็นธรรมด้านทรัพยากรธรรมชาติ 
พวกเขาคือ "ดาวดิน"นักศึกษาจากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 
ซึ่งเริ่มทำกิจกรรมกับชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบจากเหมืองทองในจังหวัดเลย
ตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา

จากจุดนี้เอง สันติวิธีของดาวดินได้ถูกทดลองใช้ 
โดยปรากฏเป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณชนช่วงกลางปี 2556 
เมื่อตำรวจเข้าสลายกลุ่มชาวบ้านจากตำบลนาโป่ง จังหวัดเลย 
ขณะจัดเวทีสาธารณะอภิปรายเกี่ยวกับเหมืองทอง 
นักศึกษาใช้ตนเองเป็นโล่มนุษย์กั้นระหว่างชาวบ้าน
และเจ้าหน้าที่ตำรวจ พวกเขาเกี่ยวแขนกันและนั่งลง
ขอเจ้าหน้าที่มิให้ทำร้ายชาวบ้านท่ามกลางสายฝน

สื่อบางสำนักถึงกับชี้ว่ากลุ่มดาวดินเป็นพลังของคนรุ่นใหม่ที่
"ยืนเคียงข้างชุมชน"
ขณะเดียวกันความเห็นในห้องสนทนาแห่งโลกออนไลน์
อย่าง Pantip ถึงกับลงข่าวนี้ซ้ำ 
ทั้งยังชื่นชมกิจกรรมของนักศึกษาว่าหาญกล้าต่อสู้กับ 
"ทุนใหญ่อันทรงอิทธิพล" (//pantip.com/topic/30967340)

ในปลายปี 2556 กลุ่มดาวดินได้รับรางวัล "เยาวชนต้นแบบ"
จากรายการคนค้นคน ทางช่อง 9 โมเดิร์นไนน์ทีวี 
คอมเมนต์ส่วนใหญ่ในหน้าเฟซบุ๊กของรายการเห็นตรงกันว่าดาวดิน
คือ "ฮีโร่" ของคนรุ่นใหม่

ดาวดินเริ่มฝึกปฏิบัติการสันติวิธีแบบมวยวัด 
คืออาศัยดูภาพยนตร์เรื่องคานธี (1982) 
จากนั้นได้รับการฝึกฝนอย่างจริงจังจากนักปฏิบัติการและครูสันติวิธี

จนเข้าใจพลังของปฏิบัติการในฐานะเครื่องมือต่อรอง
กับอำนาจกลุ่มทุนและเจ้าหน้าที่รัฐ 
ตลอดจนสื่อสารปัญหาของชาวบ้านกับสาธารณชน

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือดาวดินเป็นขบวนการต่อสู้ด้านสิ่งแวดล้อม 
คล้ายกับขบวนการชุมชนที่ต่อสู้เพื่อสิทธิตนในหลากหลายพื้นที่ของประเทศ 
ตั้งแต่
สุราษฎร์ธานีถึงฉะเชิงเทรา 
ร้อยเอ็ดถึงตรัง ชัยภูมิถึงชุมพร 
น่านถึงบุรีรัมย์ กาฬสินธุ์ถึงลำปาง เป็นต้น 
(ดูเพิ่มเติมใน "รวมสถานการณ์: เมื่อทหารคืน "ความสุข" ในชุมชน," 
ประชาไท (11 มีนาคม 2558)) 
ทั้งรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งและรัฐประหารต่างทำสัญญาปีศาจ 
ร่วมมือกับกลุ่มทุนขนาดใหญ่ในการรุกล้ำทรัพยากรธรรมชาติ
อันเป็นแหล่งทำมาหากินและวิถีชีวิตของชุมชน 
หากประชากรราวร้อยละ 46 ของประเทศอยู่ในชนบท 
(ตัวเลขจากกรมการปกครอง ณ ปี 2555) 
และต้องพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ตน

กลุ่มดาวดินและขบวนการชุมชนอื่นๆ 
กำลังยืนยันสิทธิของประชากรเกือบครึ่งเหล่านี้ 
ดาวดินคือ "คนใน" พวกเขาเป็นผลิตผลของระบบเศรษฐกิจอยุติธรรม
ในสังคมไทย มิใช่นักประท้วงโดยอาชีพที่ถูกว่าจ้างหรือชักจูงมา

ปัญหาความไม่เป็นธรรมด้านทรัพยากรผูกติดกับปัญหาการเมือง 
พวกเขามิได้เห็นความสำคัญของประชาธิปไตยในฐานะอุดมการณ์เท่านั้น 
แต่ในระบอบประชาธิปไตยแบบเลือกตั้ง 
กลุ่มนักศึกษายังป้องกันการใช้กำลังเกินขอบเขตของรัฐได้บ้าง 
ทว่าภายใต้รัฐบาลรัฐประหาร ได้มีการบังคับใช้กฎหมายพิเศษ
ในนามของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ อำนาจของเจ้าหน้าที่ 
โดยเฉพาะฝ่ายทหาร ในพื้นที่เพิ่มมากขึ้นจนมิอาจตรวจสอบได้ 
ทั้งยังไม่มีหลักประกันว่าทหารในพื้นที่จะปลอดอิทธิพลจากกลุ่มทุน 
ด้วยเหตุนี้กลุ่มดาวดินจึงเห็นว่าประชาธิปไตยสำคัญ
ต่อการพิทักษ์สิทธิชุมชน โดยมีสันติวิธีเป็นเครื่องมือในการเคลื่อนไหว
เพื่อประชาธิปไตยและสิทธิของชาวบ้าน

แม้การประท้วงภายใต้รัฐบาลทหารลำบาก
และเสี่ยงอยู่แต่ก็กลายเป็นทุนแห่งความคิดสร้างสรรค์ให้กลุ่ม
หลายคนคุ้นภาพนักศึกษาดาวดินชูสามนิ้วประท้วงในเดือนพฤศจิกายนปีที่
แล้วรวมถึงข่าวคราวการถูกดำเนินคดีเนื่องจากฝ่าฝืนคำสั่งคสช. 
แต่ที่คุ้นน้อยหน่อยคือกิจกรรมประท้วงแบบตลก 
พวกเขาเห็นว่าภายใต้การเมืองแบบปิดของรัฐบาลทหาร 
จำเป็นต้องคิดค้นรูปแบบกิจกรรมประท้วงใหม่เพื่อลดบรรยากาศความกลัว
และการเมืองแบบอนุรักษนิยม "อารมณ์ขัน" และ "ความกวนประสาท" 
กลายเป็นเครื่องมือสำคัญ เพราะสามารถแหย่เจ้าหน้าที่รัฐ
ซึ่งต้องคงภาพลักษณ์อันเคร่งขรึมไว้ ให้ตอบกลับแบบเกินเลย 
พวกเขาเห็นว่า "ผู้มีอำนาจไม่ค่อยกลัวคนที่ใช้กำลัง 
เพราะเขามีกำลังเยอะกว่าอยู่แล้ว 
พวกเราคิดว่าสิ่งที่เขากลัวที่สุดคือการทำให้ (เจ้าหน้าที่รัฐ) 
กลายเป็นตัวตลก...เพราะทำให้อำนาจเขาเล็กลง"

ตัวอย่างกิจกรรมเช่นนี้ได้แก่ การแต่งตัวเป็นคนป่าเพื่อประท้วง
"ความล้าหลัง" ของการเมืองช่วงปี 2556 เป็นต้นมา 
หรือตอนช่วงรัฐประหารใหม่ๆ กลุ่มดาวดิน
ไปยืนหน้าห้างสรรพสินค้าใหญ่กลางเมืองขอนแก่น แล้วตะโกนถามกันเองว่า "รัฐประหารดีอย่างไร?" คนที่เหลือก็ให้เหตุผลเพี้ยนๆ กลับไป 
เพื่อสะท้อนให้คนที่เดินผ่านไปมาเห็นว่าการสนับสนุนรัฐประหาร "ไร้เหตุผล"

ล่าสุดเจ้าหน้าที่เรียกให้กลุ่มดาวดินไปรายงานตัวหลังจากฝ่าฝืนคำสั่ง คสช. 
กลุ่มดาวดินจงใจฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าหน้าที่โดยไม่ไปรายงานตัว 
ทว่าพร้อมยอมรับโทษ

คำประกาศอารยะขัดขืนแบบพิสดารปรากฏในวิดีโอคลิปเต้นประกอบเพลง
"รอฉันรอเธออยู่" เพื่อแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบว่าพวกตนยินยอมให้มาจับกุม

ปฏิบัติการสันติวิธีข้างต้นของกลุ่มมีนัยสำคัญสามประการ
ประการแรก
กิจกรรมของดาวดินสะท้อนนวัตกรรมการประท้วง
แบบสร้างสรรค์ของขบวนการเยาวชนโดยพยายามข้ามพ้นรูปแบบ
การประท้วงเดิมๆที่เน้นสื่อสารข้อความโจมตีตัวบุคคลซึ่งเป็นคู่กรณี 
กลุ่มพยายามชี้ให้สังคมโดยรวมเห็นปัญหาของการเมืองแบบอำนาจ
นิยมภายใต้รัฐบาลทหาร กิจกรรมเล็กๆ 
ที่หลายครั้งดูเหมือนแหย่เล่นกลายเป็นเรื่องใหญ่โตในสายตารัฐ 
จนต้องไล่จับกระทั่งนักศึกษาเพียงไม่กี่คน

ลักษณะเช่นนี้ใกล้เคียงกับกิจกรรมของขบวนการนักศึกษาในยุโรปตะวันออก 
บางส่วนของโลกอาหรับ และแอฟริกาในช่วงต้นศตวรรษที่ 21

ประการที่สอง
หลายฝ่ายเห็นว่าอารยะขัดขืนของดาวดิน
อาจไม่สัมฤทธิผลนัก เพราะอารยะขัดขืนมุ่งฝ่าฝืนกฎหมาย
ที่ถือว่าไม่เป็นธรรม ขณะเดียวกันก็ยอมรับบทลงโทษจากการไม่เชื่อฟังของตน 
นี่อาจช่วยโน้มน้าวให้คนในสังคมเห็นความอยุติธรรมของผู้ปกครองได้ 
อย่างไรก็ดี ผลลัพธ์เช่นนี้เกิดขึ้นภายใต้สังคมที่มีวัฒนธรรมประชาธิปไตยอยู่บ้าง 
ดังนั้นจึงอาจไม่ได้ผลในสังคมไทยที่ผู้คนบางส่วนยังสนับสนุนการรัฐประหาร 
ด้วยเหตุนี้สิ่งที่เรียกว่าอารยะขัดขืนของกลุ่มดาวดินอาจคือ 
"ปฏิบัติการต้านอำนาจนิยม" (anti-authoritarianism) 
มากกว่า กิจกรรมของกลุ่มนักศึกษาไม่กี่คนรบกวนมายาคติที่ว่า
ขณะนี้บ้านเมืองสงบ ไม่มีของผิดแปลก "กิจกรรมกวนประสาท" 
เปิดเผยให้เห็นความผิดปกติของสังคมภายใต้ความพยายาม
ทำให้สังคมปกติมีสุข และช่วยให้กระบวนการที่บอกเราว่าอะไรเป็นจริง/ไม่จริง 
อะไรดี/ไม่ดี อะไรรักชาติ/ทำลายชาติ ฯลฯ 
ทำงานแบบติดขัด (detotalisation of truth claims) หรือกระทั่งฟังเพี้ยนๆ

ประการสุดท้าย
ปฏิบัติการสันติวิธีของดาวดินช่วยให้
เราเห็นความเชื่อมโยงของความเป็นธรรมด้านทรัพยากร 
สิทธิชุมชน และประชาธิปไตย ไม่ควรหลงลืมว่าครั้งหนึ่ง
กลุ่มกลายเป็น "ฮีโร่" ของคนรุ่นใหม่เพราะต่อสู้เคียงข้างชุมชน

ผู้ที่เคยเห็นชอบกับกิจกรรมของดาวดิน
และต่อมาเชื่อว่ากลุ่มประท้วงรัฐบาลทหารเพียงเพราะถูกจ้าง 
ควรตั้งคำถามกับความเชื่อตน หากกลุ่มดาวดินยังเหมือนเดิม 
(คือสู้กับทุนภายใต้รัฐบาลเพื่อไทยอย่างไร ก็สู้กับทุนภายใต้รัฐบาลทหารเช่นนั้น)
 อาจเป็นไปได้ว่าปัญหามิได้อยู่ที่นักศึกษา 
แต่คือชนชั้นนำทางการเมืองที่ร่วมมือกับกลุ่มทุนในการฉกฉวยประโยชน์
จากทรัพยากรธรรมชาติ รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งยังยอมรับการประท้วงได้บ้าง แต่ภายใต้รัฐบาลทหาร การประท้วงเรื่องเดิมกลายเป็นประเด็นความมั่นคงไปเสีย

จะดีจะชั่วระบอบประชาธิปไตยเปิดโอกาสให้ชุมชน
ได้ร่วมตัดสินชะตากรรมของตน 
โดยไม่ถูกตราหน้าว่าเป็นภัยต่อความสุขของคนในชาติ/จบ

....................................................................................................





Create Date : 27 มิถุนายน 2558
Last Update : 19 กันยายน 2558 6:41:33 น. 0 comments
Counter : 1065 Pageviews.  
 
Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

justice0009
 
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




[Add justice0009's blog to your web]

MY VIP Friend

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com