Group Blog
 
<<
เมษายน 2553
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
5 เมษายน 2553
 
All Blogs
 
บังเกิดเกล้าทัวร์

นวนิยายเชิงท่องเที่ยว “บังเกิดเกล้าทัวร์”
เรื่อง/ภาพ เดชา เวชชพิพัฒน์
บทที่ ๑

ถ้าไม่เป็นเพราะถูกไล่ที่อยู่เพื่อสร้างทางด่วน ผมคงไม่ยอมรับงานนี้หรอก เพราะเงินที่หน่วยงานรัฐบาลเขาให้มา แม้จะมากพอจะซื้อคอนโดชานเมืองอยู่คนเดียวได้อย่างสบายๆ แต่ผมดันฉวยโอกาสย้ายบ้านครั้งสุดท้ายในชีวิต ด้วยการซื้อบ้านในโครงการหมู่บ้านจัดสรร ที่ราคาสูงกว่าเงินฝากธนาคารที่มีอยู่หลายเท่าตัว ส่งผลให้เงินในบัญชีที่เพียรสะสมมานับสิบปี หายวับไปกับตา แถมยังกลายเป็นลูกหนี้ธนาคารอีกในระยะเวลาพอๆ กัน จึงมีความจำเป็นต้องรับทำงานแปลกๆ กล่าวได้ว่าทำทุกอย่างโดยไม่เลือก ตัวอย่างเด็ดๆ ที่จะเล่าต่อให้ฟังต่อไปนี้ ก็คือการพาลูกเศรษฐีไปเที่ยวต่างประเทศ ซึ่งเป็นลูกเศรษฐีประเภทที่ไม่ปกติเหมือนชาวบ้านเขา
ที่มาที่ไปของเรื่องนี้ เกิดจากการที่ลูกเศรษฐีคนนี้ ดันติดอกติดใจงานเขียนรวมเรื่องท่องเที่ยวของผม (ขอนุญาตประชาสัมพันธ์หน่อยนะครับ งานเขียนที่ว่าคือ “ซำเหมาแมน เที่ยวแหลกแบกเป้บ่น” อ่านสนุกเชียว ใครยังไม่ได้อ่านรีบไปซื้อมาอ่านนะครับ) ทำนองว่าเที่ยวสนุกเพราะเป็นการเที่ยวกึ่งผจญภัย พึ่งตัวเองเกือบทุกเรื่อง หาที่กินหาที่พักหาที่เที่ยว และ ... “หาเรื่อง” ด้วยตัวเอง เรียกได้ว่าป่วยไข้ขึ้นมาก็ต้องดูแลตัวเองให้เป็น จึงอยากได้รับประสบการณ์เหมือนที่อ่านในหนังสือบ้าง นายบังเกิดเกล้าคนนี้จึงยื่นคำขาดแก่บิดาผู้ร่ำรวย ว่าต้องการไปเที่ยวกับผม
ฝ่ายคุณพ่อ ... นายปรนเปรอศักดิ์ก็ปฏิบัติตามคำสั่งลูกอันเกิดแก่ศีรษะโดยมิรอช้า บอกเลขาฯ ให้โทร.หาผมโดยทันที แจ้งว่าท่านปรน (เปรอศักดิ์) มีงานให้ทำด่วน ผู้ประกอบวิชาชีพอิสระอย่างผมฟังแล้วดีใจเนื้อเต้น มีงานใหญ่เข้ามาเช่นนี้ คงรอดตายไปได้อีกหลายเดือน
ผมเจอกับพ่อของน้องบัง (เกิดเกล้า) ก่อน นายปรนมีรูปร่างหน้าตาเหมือนคนร่ำรวยทั่วไป ผิวขาว ร่างอวบอิ่ม ดวงตาเขี้ยวเค็มเหมือนหมาป่า พูดจาเป็นงานเป็นการเข้าเป้าเข้าประเด็น อยากได้อะไรก็พูดก็เสนอออกมาเป็นฉากๆ ชักแม่น้ำร้อยเอ็ดสิบเจ็ดสายมาหว่านพืชหวังผล คู่สนทนาอย่างผมตามทันบ้างไม่ทันบ้าง รู้แต่ว่าค่าจ้างงดงาม ใจถึงและจ่ายจริง เขียนเช็คเงินสดให้ผมทันทีที่ตกลงกัน เหมารวมว่าพาลูกชายเขาไปเที่ยวตามเรื่องที่ผมเขียน ด้วยเงินจำนวนหนึ่ง ซึ่งมากกว่ารายได้ก้อนล่าสุดของผมถึงหลายเท่า ลักษณะเช่นนี้แหละที่เขาเรียกว่า “ส้มหล่น” แบบสุดๆ งานนี้ไม่ได้หล่นมาลูกเดียวเสียด้วย แต่หล่นมาเป็นเข่งเลยทีเดียว
แต่พอได้เจอลูกชายของนายปรนแล้วผมชักไม่แน่ใจ ว่า “ส้มหล่น” หรือ “ระเบิดหล่น” กันแน่

น้องบังเป็นเด็กชายวัยรุ่นที่สมองไม่โตตามตัว มีอาการไม่หนักหนา ประมาณว่าสมองมีพัฒนาการช้ากว่าอายุสักสิบหรือยี่สิบปี สำหรับผมแล้ว ถือว่าน้องเขาเป็นคนโชคดีมากๆ คนหนึ่ง คงทำบุญมาไม่น้อย เพราะเป็นผู้เป็นคนในยุคนี้สมัยนี้ ไม่ต้องไปรู้สึกรู้สาอะไรให้มันเต็มร้อยหรอก เพราะความเจ็บปวดผิดหวัง ตลอดจนความร้ายกาจของมนุษย์ด้วยกัน มันจะทำให้เป็น “มะเร็งความรู้สึก” หมดความสดใสในชีวิตเอาได้ง่ายๆ
นอกจากนี้ น้องบังยังเกิดเป็นลูกคนรวย ชีวิตสมบูรณ์พูนสุขด้วยสารพัดปัจจัย แถมจิตใจยังสงบนิ่งตามความคิดความอ่านที่มีอยู่ ปราศจากเรื่องวุ่นวายใจจนต้องไปนั่งทำสมาธิยุบหนอพองหนอ มีโลกของตัวเองเต็มร้อยที่ไม่มีใครมาวุ่นวาย สบายทั้งใจและกายแบบนี้ เรียกได้ว่า “โชคดีสองเด้ง” หนำซ้ำ ยังปลอดภัยจากการเปลืองตัวในสังคมอีกด้วย คนทั่วไปประเภทใจพระยันมหาโจร เห็นรูปร่างหน้าตาแล้วต่างพากันปลงสมเพชให้ ไม่มีใครอยากหลอก อยากลวง อยากล้วง หรือแม้แต่อยากแล นี่แหละน้องบัง คนที่ผมมองว่าเป็นคนที่น่าอิจฉาที่สุดในโลก
น้องบังบอกคุณพ่อว่าอยากไปเที่ยวทิเบต ผมฟังแล้วเข่าอ่อน เพราะเคยเกือบไปตายที่นั่น เป็นโรคแพ้ความสูงต้องนอนพักอยู่สามสี่วันจึงทุเลา จึงออกจากที่พักไปตะลอนๆ เที่ยวโน่นเที่ยวนี่ได้ เที่ยวเสร็จก็บอกกับตัวเองว่าไม่เอาแล้ว เข็ดจนตายแล้วกับดินแดนหลังคาโลก ไม่มาอีกแล้ว ลาขาดกันไปเลย
แต่ในที่สุด อำนาจเงินก็ทำให้ผมต้องกลับไปทิเบตอีกครั้ง คราวนี้เหมือนมีลูกไปเที่ยวด้วยคนหนึ่ง
พ่อน้องบังจัดการเรื่องตั๋วเครื่องบินและทำเอกสารให้ผมกับลูกชายอย่างเรียบร้อย นอกจากนี้ยังพาน้องบังไปหาหมอตรวจร่างกาย ตรวจแล้วตรวจอีกเพื่อรับรองว่า น้องบังมีสุขภาพแข็งแรงพอจะไปเที่ยวดินแดนหลังคาโลก ที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลอย่างน้อยสามพันกว่าเมตรได้ นอกจากนี้ ยังให้พี่เลี้ยงน้องบังมาอบรมสั่งสอนผมเกี่ยวกับสารพัดวิธีในการดูแลน้องบัง ไม่ว่าจะเรื่องอาหารการกิน ที่หลับที่นอน การดูแลยามป่วยไข้ การระมัดระวังสิ่งที่จะมีผลกระทบต่ออารมณ์ความรู้สึกของน้องบัง ตลอดจนวิธีการแก้ไขปัญหาแบบน้องบังโดยเฉพาะ
นี่ถ้าบังเอิญผมไม่ได้เอาเช็คที่พ่อน้องบังให้มาไปขึ้นเงิน แล้วนำเงินดังกล่าวชำระหนี้ธนาคารแล้วละก็ รับรองอย่างหัวเด็ดตีนขาดเลยว่า ผมถอนตัวออกจากงานนี้อย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ในที่สุดผมกับน้องบังก็มานั่งคู่กันบนเครื่องบินที่มุ่งหน้าสู่มหานครเฉินตู เมืองหน้าด่านในการเดินทางเข้าทิเบต พ่อน้องบังซื้อตั๋วราคาแพงสุดให้ ถือเป็นการนั่ง “ชั้นธุรกิจ” ครั้งแรกในชีวิตของผมเลยทีเดียว หรูหราสบายตัวจนลืมหน้าที่ ปล่อยน้องบังส่องกระจกดูทิวทัศน์ด้านนอกอยู่ตลอดเวลา ที่แม้จะเป็นยามวิกาลมืดตื๋อมองไม่เห็นอะไรก็ตาม นางฟ้าประจำเครื่องยกอะไรมาผมก็สวาปามอยู่คนเดียว น้องบังจะกินหรือไม่กินผมไม่สน ก็พ่อเขาบอกว่าดูแลตัวเองได้ในเรื่องนี้ ... เดี๋ยวเขาเบื่อ “มองความมืด” เมื่อไร ก็หันกลับมากินข้าวกินปลาเองละน่า

หลังดื่ม “สูตรโปรด” Jack Daniel ผสมโคลาไปแก้วที่หก นางฟ้าประจำเครื่องเริ่มมีทีท่าไม่อยากชงแก้วที่เจ็ดให้ผมแล้ว ทั้งๆ ที่ผมไม่มีท่าทางเป็นผู้โดยสารประเภท เมาเหล้าแล้ว “บีบแตรนางฟ้า” หรือ “โชว์เกียร์กระปุก” แบบที่เป็นข่าวหน้าหนึ่งแต่อย่างใด
เธอเปลี่ยนเรื่องสนทนาโดยถามผมว่า น้องบังเป็นอะไรหรือเปล่า ไม่ยอมกินข้าวปลา แถมยังหันมองออกนอกหน้าต่างตลอดเวลาตั้งแต่ขึ้นเครื่องบิน ผมตอบไปว่าน้องชายของผมอกหักคิดถึงคนรัก อย่าไปสนใจเขาเลย จากนั้นจึงเอ่ยปากขอเครื่องดื่มสูตรโปรดอีกครั้ง เธอยิ้มหวานก่อนตอบว่า
“อย่าดีกว่านะคะ เครื่องใกล้แลนด์แล้ว คุณพักผ่อนเตรียมตัวไว้พบกับความวุ่นวายที่สนามบินดีกว่าค่ะ”
เจอคำตอบและวิธีการรับมือกับผู้โดยสารขี้เมาอย่างฉลาดแนบเนียนแบบนี้ ผมได้แต่ยิ้มหวานแล้วกล่าวราตรีสวัสดิ์ ก่อนกดปุ่มให้พนักพิงปรับเอน หลับตารอให้นางฟ้าห่มผ้าให้แบบในโฆษณา แต่แม่เจ้าประคุณกลับเดินออกไปอย่างไม่รู้ไม่ชี้ เกิดความรู้สึก “หน้าแตก” จนต้องหาที่ระบาย จึงชันกายขึ้นสะกิดน้องบัง
“เฮ้ย คุยกันบ้างสิน้อง มองหาอะไรอยู่ได้”
“มองดาว” บังเกิดเกล้าตอบเสียงเบาแทบไม่ได้ยิน เขาพูดช้าๆ ลากเสียงอันเลื่อนลอยไปตามจินตนาการที่คนทั่วไปยากจะหยั่งถึง ภาพสะท้อนจากกระจกหน้าต่างที่ด้านนอกดำมืด ทำให้เห็นประกายตาสดใสและตื่นเต้น หน้าไร้ความรู้สึกของเขา ดูเหมือนจะมีชีวิตขึ้นมาเล็กน้อยก่อนกล่าวต่อ
“ดวงดาวกำลังวิ่งแข่งกับเครื่องบิน”

เราสองคนเดินทางถึงมหานครเฉินตูตอนรุ่งสาง กว่าจะผ่านด่านตรวจเอกสารที่แน่นขนัดได้ ก็ถึงเวลาพระอาทิตย์ขึ้น ทันทีที่ออกจากอาคารผู้โดยสารก็เผชิญกับอากาศเย็นสบาย ความซื่อตรงต่อหน้าที่รับผิดชอบ ทำให้ผมจำใจพาน้องบังขึ้นรถบัสจากสนามบินไปที่พักราคาถูก ทั้งๆ ที่พ่อของน้องบังให้งบประมาณมามากพอจะจองโรงแรมหรูได้ที่สนามบิน แล้วนั่งรถคันโตของโรงแรมดังกล่าวไปโน่นนี่ แต่จากความต้องการของน้องบัง ที่พ่อเขากำชับนักหนาว่า ห้ามออกนอกลู่นอกทางจากที่เขียนไว้ในหนังสืออย่างเด็ดขาด เพราะน้องบังเป็นคนที่ละเอียดและไวต่อความรู้สึกมาก ถ้าเขารู้สึกว่า มีเรื่องราวใดไม่เหมือนกับที่อ่านจากงานเขียนของผม เขาพร้อมจะอาละวาดขึ้นมาทันที
“เมืองนี้มีกล่องกระดาษมากมาย นำไปรีไซเคิลได้ประโยชน์มากมาย”
น้องบังเอ่ยขึ้นขณะที่รถประจำทางพาผู้โดยสารเข้าสู่ย่านธุรกิจ เบื้องหน้าของเขาเป็นตึกระฟ้าที่เบียดแน่นกันราวดอกเห็ดหน้าฝน ผมอดยิ้มไม่ได้กับคำพูดประหลาดๆ ของเขา จะว่าไปตึกเหล่านี้ก็เหมือนกล่องกระดาษจริงๆ อย่างที่เขาพูด เพราะไม่ว่าจะออกแบบภายนอกอย่างไร ก็ไม่พ้นรูปทรงสี่เหลี่ยมเป็นแท่งๆ เหมือนกันไปหมด
น้องบังคงมีความรู้สึกไม่ต่างจากผม เมื่อเดินทางถึงมหานครเฉินตูเป็นครั้งแรก ตอนนั้น ผมตื่นตะลึงกับความทันสมัยใหญ่โตของเมืองนี้ จินตภาพของเมืองนี้ที่อยู่ในใจก่อนเดินทางมาถึง บอกให้รู้ว่าผมเป็นคนแคบตื้นเพียงใด ยิ่งกว่ากบในกะลาเสียอีก แบบนี้น่าจะรียกว่า “ลูกอ๊อดในฝาขนมครก”
ก่อนหน้านี้ ผมนึกเอาเองว่าเฉินตูคงเป็นเมืองเก่าๆ เต็มไปด้วยบ้านไม้ชั้นเดียว มุงหลังคาด้วยฟางหญ้า ถนนหนทางเป็นดินโคลนแบบที่ดูในภาพยนตร์กำลังภายใน ผู้คนสัญจรไปมาด้วยจักรยาน แต่พอมาถึง ตรงกันข้ามกับที่คิดไว้ชนิดฟ้ากับเหว ... เฉินตูใหญ่โตกว่ากรุงเทพฯ บ้านเกิดเมืองนอนของผมไม่รู้กี่เท่า
ตึกหรือกล่องกระดาษในความคิดของน้องบังนั้น ล้วนมีขนาดไม่ต่ำกว่าสองเท่าของตึกใหญ่ในกทม. ถนนหนทางก็กว้างใหญ่ ข้ามฟากแต่ละทีเดินจนหอบ ห้างฯ หรูตกแต่งด้วยหน้าต่างแสดงของมียี่ห้อเรียงรายไม่ขาดสาย ธนาคารบางแห่งมีขนาดไม่ต่างจากห้างโมเดิร์นเทรด ทางเท้ากว้างขวาง เหมาะทำเป็นสนามเซปักตะกร้อหรือสนามบอลโกหนู ผู้คนแต่งตัวทันสมัยดูภูมิฐาน ผู้ชายมักใส่สูท ผู้หญิงมักใส่เสื้อคลุมยาวตลอดตัว เพื่อป้องกันอากาศที่หนาวเย็น มีเพียงรถราเท่านั้น ที่ส่วนใหญ่เป็นรถรุ่นเก่า ไม่ทันสมัยเท่าของเรา เอามาขับในกทม. รับรองโดนโห่ฮา
ผมพาน้องบังไปพักที่เกสต์เฮาส์ราคาถูก น้องบังจำชื่อที่พักได้แม่นยำ “Sam’s Guesthouse” แถมยังจำรายละเอียดได้อีก ว่าเป็นเกสต์เฮาส์ที่ดัดแปลงมาจากภัตตาคารจีนสมัยก่อน เมื่อเดินทางถึง เขาหยุดยืนอยู่ที่หน้าอาคารใหญ่สถาปัตยกรรมจีน กวาดสายตาไปทั่วบริเวณ ... ด้านหน้าเป็นสวนหย่อมเขียวขจี ทุกตารางดินในสวนนี้ปกคลุมด้วยหญ้าใบหนาสีเขียวเข้ม ไม้ดัดและไม้ใหญ่ปลูกประดับลดหลั่นลงตัว ลำธารน้อยกระเพื่อมตัวตามจังหวะน้ำตกจำลอง ที่ไหลแรงออกมาจากหมู่โขดหิน ปลาใหญ่น้อยสีส้มแดงว่ายมาลอยคอใต้สะพาน คงจะรอให้เขาโปรยอาหาร
ผมหลบอยู่ด้านหลังน้องบัง ปล่อยให้เขาชื่นชมที่พักอยู่บนสะพานน้อยข้ามลำธาร ปล่อยให้เขายืนแบกเป้ขวางอยู่กลางสะพาน ไม่สนใจว่าเขาจะยืนกีดขวางทางเดิน ฝรั่งสองสามคนเดินผ่านมายังต้องเบี่ยงตัวให้แทบตกสะพาน ผมรออยู่นานจนกระทั่งเขาพอใจ จึงก้าวเท้าออกเดิน เขาเดินเอียงไปเอียงมา หันหน้ามองซ้ายขวาขึ้นลงอยู่หลายที ก่อนจะก้าวตรงเข้าไปยังอาคารที่พัก ระหว่างนั้น ผมได้ยินเขาผิวปากเป็นทำนองเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องจักรพรรดิโลกไม่ลืม นึกถึงข้อมูลที่พ่อเขาบอกขึ้นมาทันที ว่าโลกของลูกชายเขา มีแต่หนังสือ ภาพยนตร์ เสียงเพลง และเว็บไซต์ต่างๆ ในคอมพิวเตอร์ การเดินทางท่องเที่ยวกับผม เป็นโลกภายนอกที่เขาเผชิญเป็นครั้งแรก นอกเหนือจากบ้านและคนในบ้านของเขา
อาหารค่ำมื้อแรกในนครเฉินตูที่ยิ่งใหญ่ ผมพาน้องบังไปกินร้านริมถนน ร้านเดิมที่ผมเคยมากินและเขียนแนะนำไว้ในหนังสือ เป็นร้านอาหารตามสั่งที่รสชาติอร่อยถูกปาก สะอาดเพราะปรุงร้อนๆ ให้เห็นกับตา ไม่ต้องกลัวท้องเสียไส้ไหล ราคาก็ถูกแสนถูก เสียอย่างเดียวคือสภาพร้านสกปรกน่าดู กระดาษเช็ดหน้าเช็ดปากสีชมพูทิ้งกระจายใต้โต๊ะ คนเช็ดโต๊ะก็เช็ดแบบทิ้งประวัติศาสตร์เอาไว้ ทิ้งคราบโน่นรอยนี่ไว้ยั่วน้ำลายผู้มาใหม่ สงสัยเป็นแผนการตลาดให้สั่งอาหารมากๆ
น้องบังเดินเตะกระดาษสีชมพูปลิวไปมา ปากก็ร้องว่า “เตะดอกไม้ๆ”

มื้อนั้น ผมต้องสอนน้องบังให้ใช้ตะเกียบทานข้าว เขาเรียนรู้เร็วพอสมควร แม้ข้าวจะหกเลอะเทอะจน คนข้างโต๊ะมองก็ตาม ผมเองยังอดขำไม่ได้ ตอนที่เขาเฝ้าบอกกับตนเองทุกครั้งที่คีบอาหารแล้วหลุดออกจากตะเกียบว่า “ใจเย็นๆ ตะเกียบสอนให้ใจเย็นๆ”

การเดินทางเข้าทิเบตนั้น ต้องทำใบขออนุญาตจากรัฐบาลจีน ซึ่งกระบวนการนี้ใช้เวลาอย่างต่ำสองวัน ด้วยเหตุนี้ผมจึงพาน้องบังเที่ยวในเฉินตูเป็นการฆ่าเวลา
หลวงพ่อโตแห่งเล่อซานเป็นสถานที่แรก และเป็นสถานที่ทดสอบความอึดของน้องบัง และความอดทนของผม ถ้าหากผลการทดสอบของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งออกมาล้มเหลว ผมจะพาน้องบังกลับบ้าน แล้วคืนเงินค่าจ้างให้แก่บิดาของเขา เพราะการเดินขึ้นลงในภูเขาที่หลวงพ่อโตประดิษฐานอยู่นั้น ถือเป็นตัววัดได้ว่า จะมีความอึดความอดทนพอจะไปเที่ยวท่องในทิเบตได้หรือไม่
แต่น้องบังก็สอบผ่านอย่างสบายๆ

พอผ่านด่านเก็บตั๋วเท่านั้นแหละ น้องบังก็ออกอาการเริงร่า เขาเดินๆ วิ่งๆ ขึ้นไปตามทาง ราวกับผีเสื้อตัวน้อยในสวนสวย ที่เริงร่าขยับปีกบินวนเวียนแวะลิ้มรสดอกไม้ อากาศบนภูเขาหลวงพ่อโตก็สุดแสนจะเป็นใจ ท้องฟ้าอมแดดประดุจมีกระจกฝ้ากรองแสงตะวัน ลมหนาวพัดมาเอื่อยๆ ต้นไม้สองข้างทางเขียวขจี ยิ่งขึ้นสูงก็ยิ่งเห็นขนาดของแม่น้ำกว้างใหญ่อยู่ขวามือ อีกฝากฝั่งของแม่น้ำมีทั้งเมืองใหญ่ตึกระฟ้า และที่ว่างเงียบสงบ
น้องบังวิ่งขึ้นไปถึงจุดชมหลวงพ่อโต เป็นบริเวณที่อยู่เหนือเศียรของหลวงพ่อเล็กน้อย ก้มมองลงไปจะเห็นจะทั่วทั้งองค์พระ ที่สูงประมาณตึกเจ็ดชั้น น้องบังวิ่งไปเกาะริมรั้วโปร่งที่กั้นไม่ให้คนตกลงไป เขาทำหน้าตาตื่นแล้วหลุดปากออกมาเบาๆ “ยืนหัวพระๆ”
ผมยิ้มออกมาเล็กน้อย เป็นความจริงที่เพิ่งนึกขึ้นมาได้ น้องบังยังพูดน้อยไป ที่จริงแล้วพวกเรายืนอยู่เหนือเศียรพระก็ว่าได้
“หูพระยาวๆ” เขาวิพากษ์วิจารณ์ออกมาอีก เช้านี้ดูเหมือนว่าน้องบังจะช่างพูดช่างเจรจามากกว่าปกติ ด้วยความเกรงว่าเขาจะออกปากวิจารณ์องค์พระมากไปกว่านี้ ผมจึงรีบพาเขาไปทดสอบขั้นสุดท้าย ด้วยการเดินลงบันไดข้างองค์พระ เพื่อไปที่ริมฝั่งแม่น้ำ นมัสการองค์พระที่พื้น ตามหลักปฏิบัติของชาวพุทธ
สำหรับคนทั่วไป การเดินลงบันไดข้างองค์พระอาจไม่ยากเท่าไร มีจุดที่ต้องระวังคือการล้มคะมำกลิ้งลงไป เพราะบันไดแต่ละขั้นทั้งชันและแคบ แต่สำหรับน้องบัง ผมต้องการทดสอบความคล่องตัวและยืดหยุ่นของเขา จึงเดินนำลงไปอย่างรวดเร็ว เพื่อดูการก้าวตามของเขา ผลปรากฏว่า หนุ่มสมองเด็กทำได้ดี มีเพียงช่วงแรกๆ ที่เขาขลุกขลักเล็กน้อย แต่พอจับหลักได้ว่า ต้องใช้สองมือประคองตัวก่อนก้าวเท้าที่ถนัดนำลงไป เขาก็เดินตามมาได้เร็วขึ้น คล่องแคล่วขึ้น จนกระทั่งถึงพื้นดินริมน้ำ ผมและน้องบังจึงเดินมายืนหยุดที่หน้าบาทพระ แล้วเงยหน้าจนคอตั้งฉากกับพื้นจึงเห็นตลอดทั้งองค์พระ
“พระไม่ใส่รองเท้า เล็บดำๆ” น้องบังกระซิบออกมาเบาๆ ผมได้ยินแล้วอดหัวเราะไม่ได้ กระเซ้ากลับไปจนเขาทำหน้างงงวย
“บังไปหาไม้ขีดไฟมาจุดธูปไหว้หลวงพ่อหน่อยสิ” กล่าวแล้วผมชี้ไปที่ธูปจำลองขนาดเท่าเสาไฟฟ้า ปักอยู่ในกระถางใหญ่กว่าอ่างอาบน้ำสามสี่เท่า
“จุดไม่ได้ๆ เดี๋ยวธูปหมดๆ”
กล่าวแล้วเดินออกไปยังบริเวณรายรอบ ริมฝั่งที่เป็นจุดพบกันของแม่น้ำสามสายหน้าหลวงพ่อโตนี้ มีทิวทัศน์สบายตาอากาศเย็นสบาย แถมยังมีทางเดินเล็กๆตามเชิงเขาเลียบไปกับสายน้ำ ระหว่างทางน้องบังบ่นปวดเบา ผมจึงหาห้องน้ำให้ น้องบังวิ่งเข้าไปแค่เสี้ยววินาทีก็วิ่งหน้าตาตื่นออกมา กล่าวด้วยท่าทีตกใจ
“อึ อึเต็มๆ”
นักเที่ยวจอมลุยอย่างผม ที่เคยชินกับความเละเทะของส้วมจีนและส้วมอินเดียเพิ่งนึกขึ้นได้ ว่านี่เป็นส้วมนอกบ้านนอกโรงแรมครั้งแรกในชีวิตของน้องบัง เมื่อได้มาพบเจอกับส้วมจีนที่ขึ้นชื่อลือชา อย่าว่าแต่คนอย่างน้องบังเลย คนปกติทั่วไปยังรับไม่ได้ กับภาพของ “ซากเก่า” ที่อัดแน่นอยู่ในราง หรือไม่ก็กระจายอยู่บนพื้น และกระเด็นติดอยู่บนเพดาน (อันนี้ก็เกินไป) แต่เขาจะมาทำ “สนิมสร้อย” กับผมไม่ได้ ก็เลือกมาเที่ยวกับผมและ “อย่างผม” แล้วนี่นะ ผมจึงกล่าวกับน้องเขาเบาๆ
“ไม่เป็นไรหรอกบัง มันเป็นของธรรมชาติ บังทานอาหารเข้าไปแล้วมันก็ย่อย น้ำย่อยในกระเพาะมันเป็นสีเหลือง มันเลยย้อมอาหารที่บังกินเข้าไปด้วยไง (กรุณาใช้วิจารณญาณในการอ่าน) บังก็มองว่ามันเป็นข้าวมันไก่ เป็นก๋วยเตี๋ยว เป็นข้าวขาหมูซิ”
น้องบังพยักหน้าช้าๆ อย่างเห็นด้วย (หลอกง่ายดีจัง) แต่ไม่วายบ่นเบาๆ “เหม็น”
จำได้ว่าตอนนั้น ผมถอนใจออกมาเบาๆ เกิดมาเป็นตัวเป็นตนทุกวันนี้ รู้จักเอาใจใครเป็นเสียเมื่อไร ถึงขนาดต้องอ้อนวอนให้อึให้ฉี่ยิ่งไม่เคยคิด แต่ด้วยความตระหนักในหน้าที่รับผิดชอบ จึงกล่าวกับเขาอย่างอ่อนโยน
“บังก็นึกว่าเป็นกลิ่นข้าวมันไก่ ข้าวขาหมูสิ พอผสมกับกลิ่นน้ำย่อยอาหารในกระเพาะแล้วก็ได้กลิ่นแบบนี้แหละ (โปรดฟังอีกครั้ง ... กรุณาใช้วิจารณญาณในการอ่าน) ไปนะ กลับเข้าไปฉี่ใหม่ เดี๋ยวพี่จะรออยู่ตรงนี้”
ในที่สุดน้องบังก็กลับเข้าไปอีกครั้ง ก่อนจะกลับออกมาเป็น “นิวบัง” ที่ลดความสนิมสร้อยลงไปหนึ่งหุน



Create Date : 05 เมษายน 2553
Last Update : 5 เมษายน 2553 7:42:42 น. 3 comments
Counter : 588 Pageviews.

 
ตอนแรกหลงเข้ามาเพราะชื่อเรื่อง แต่อ่านไปอ่านมาก็ต้อง add ไว้เพื่ออ่านบทต่อไป....

ขอบคุณครับ


โดย: แมงเม่าเหนือ (annopwichai ) วันที่: 5 เมษายน 2553 เวลา:13:09:17 น.  

 


ขออนุญาติแอดด้วยค่ะ


โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 5 เมษายน 2553 เวลา:15:41:04 น.  

 
ตอบคุณแมงเม่าเหนือ - ฮ่าๆๆๆๆ ไม่มีเจตนาให้ใครหลงผิดแต่อย่างใดครับ ลองอ่านดูแล้วกัน จะรู้ซึ้งว่าน้องบังแกทำตัวเหมือนผู้ให้กำเนิดผม

ตอบคุณ Tuk-Tuk - ติดตามอ่านต่อไปครับ รับรองจะหัวเราะกว้างกว่านี้


โดย: เดชา เวชชพิพัฒน์ (dejaboo44 ) วันที่: 5 เมษายน 2553 เวลา:17:18:03 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

dejaboo44
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add dejaboo44's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.