เรื่องติดฟิล์มกันความร้อนที่กระจกหน้าต่าง กลายเป็นเรื่องปรกติไปแล้วสำหรับคนอยู่คอนโดฯ (อารมณ์คงคล้ายๆ ซื้อบ้านแล้วยังต้องซื้อกันสาดติดเพิ่ม) ส่วนหนึ่งก็มาจากการออกแบบห้องที่เดี๋ยวนี้จะเน้นเปิดวิวให้เห็นทัศนีภาพสวยๆ กว้างๆ (ไหนๆ ก็ได้อยู่บนที่สูงแล้วนิ) แต่คนที่ซื้อห้องที่อยู่ฝั่งทิศใต้หรือทิศตะวันตกก็รับแจกพอต รับแดดยามบ่ายกันเต็มๆ สุดท้ายแล้ว ผ้าม่านก็เอาไม่อยู่ต้องหันไปพึ่งฟิล์มกันความร้อนแทน
ก่อนหน้านี้ก็มีแฟนของเอกเขนกมาเล่าให้ฟังว่ากำลังเลือกฟิล์มกันร้อนติดคอนโดฯ ทำการบ้านเองแล้วแต่ข้อมูลเยอะเหลือเกิน อยากให้เราช่วยแนะนำให้หน่อย... เอาล่ะซิ AKANEK เองก็ไม่เคยมีประสบการณ์เสียด้วยซิ จะมีก็แต่เลือกฟิล์มติดรถยนต์ ตัวเลือกก็ไมได้มากมายอะไร จะเลือกยี่ห้อไหนก็จิ้มๆ เอา จะให้แสงเข้ามามากเข้าน้อย 40 60 หรือ 80 ก็เลือกเอาตามใจชอบ แต่พอเป็นฟิล์มกันร้อนสำหรับบ้านหรือคอนโดฯ แล้ว ก็เล่นเอางงไปเหมือนกัน วันก่อนที่ไปเดินในงานสถาปนิกผ่านบูธฟิล์มกรองแสงก็เลยถือโอกาสแวะเข้าไปขอความรู้เรื่องฟิล์มกันร้อนมาฝากกัน
ความร้อนมาจากไหน?
จะเลือกฟิล์มกันความร้อนที่ให้ประสิทธิภาพการลดความร้อนได้ดี ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องความร้อนที่มากับแสงแดดกันก่อน ในแสงแดดที่เรารู้จักกัน ประกอบด้วย 3 ส่วนรวมกัน คือ แสงสว่าง รังสีอินฟาเรด และรังสีอัลตราไวโอเลต (UV)
ส่วนที่เป็นแสงสว่าง ก็ตามชื่อเลย เป็นส่วนที่ให้ความสว่าง ทำให้เรามองเห็นสิ่งต่างๆ และทำให้เกิดการสะสมความร้อนได้ เวลาที่แสงสว่างมากเกินไป ก็จะทำให้แสงจ้าจนเรามองไม่เห็นได้
ส่วนที่เป็นรังสีอินฟาเรด รังสีอินฟาเรดคือองค์ประกอบหลักของแสงแดดที่เป็นตัวทำให้เกิดความร้อน ทำให้รู้สึกร้อนแสบผิวเวลาที่โดนแดดนานๆ
และสุดท้ายส่วนที่เป็น รังสีอัลตราไวโอเลต (UV) UV ในแสงแดดไม่ช่วยให้เรามองเห็น ไม่ทำให้เราร้อน แต่เป็นรังสีที่ทุกคนเลี่ยง เพราะเป็นตัวที่ทำให้เราเกิด กระ ฝ้า ผิวคล้ำ มีริ้วรอย หรือเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งผิวหนังได้ ถ้าแสง UV ส่องที่จุดไหนในคอนโดนานๆ ผนัง เฟอร์นิเจอร์ ผ้าม่าน หรืออะไรก็แล้วแต่ จะสีซีดหรือเปลี่ยนสี ถ้าเป็นเฟอร์นิเจอร์หนังหรือพลาสติก ก็กรอบ แตก หรือเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าก็จะอายุการใช้งานสั้นลง
เพราะแสงมีองค์ประกอบหลายส่วนอย่างนี้นี่เอง ฟิลม์ติดอาคารจึงต้องมีคุณสมบัติตอบโจทย์องค์ประกอบของแสงทั้งสามชนิดนี้ คือ หนึ่งต้องให้แสงสว่างเข้ามาได้มากตามที่เราต้องการ สอง บล๊อกความร้อนและรังสียูวีไม่ให้เข้าห้องให้ได้มากที่สุดโดยที่ไม่ลดแสงสว่าง (เดี๋ยวนี้ฟิลม์ทุกยี่ห้อ ทุกเจ้าเคลมว่าป้องกันรังสียูวีได้ 99% กันทุกคน)
เลือกฟิล์มตามคุณสมบัติที่ต้องการ
ส่วนใหญ่แล้ว เวลาเลือกฟิล์มกันร้อนติดอาคารบ้านเรือนกัน เราก็จะมองแค่ว่าจะกันความร้อนได้แค่ไหน แสงจะส่องเข้ามาได้มากน้อยแค่ไหน แต่ไหนๆ ก็จะเสียเงินติดฟิลม์กันแล้ว ผู้ผลิตฟิลม์ยี่ห้อต่างๆ ก็ใจดี แถมคุณสมบัติอื่นๆ บนตัวฟิลม์มาให้อีกเยอะ จนทำให้เจ้าของบ้าน เจ้าของคอนโดงงว่า ตัวเลขสารพัดตัวเลขที่เห็นแปลว่าอะไร มาดูกันว่าฟิลม์ติดอาคารที่ขายกัน มีคุณสมบัติอะไรกันบ้าง
- กันความร้อนไม่ให้เข้ามาในห้องได้ ทำให้ห้องเย็นลง แอร์จะได้ทำงานน้อยลง แล้วก็จะประหยัดไฟมากขึ้น ตัวเลขที่วัดค่านี้คือ ค่าลดความร้อนจากแสงแดด (Total Solar Energy Rejected) ตัวเลขยิ่งสูง แปลว่าความร้อนจะเข้ามาได้น้อย ตัวเลขที่คู่กับตัวนี้คือค่าส่งผ่านพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Transmittance) ที่วัดว่ารังสีเนียร์อิฟาเรดผ่านเข้ามาได้มากเท่าไหร่ ค่านี้ตัวเลขนี้ ยิ่งต่ำยิ่งดี
- กันรังสียูวีที่นอกจากจะทำให้ผิวเราแก่ก่อนวัยแล้ว ยังเป็นตัวที่ทำให้เฟอร์นิเจอร์ ผ้าม่านของเราสีซีดเร็วก่อนเวลาอันควร แต่โชคดีหน่อยว่า เดี๋ยวนี้ ฟิล์มเกือบทุกยี่ห้อเขาสามารถป้องกันรังสียูวีได้ถึง 99% - 99.9% ได้เหมือนกันหมดแล้ว ตัวนี้ก็ดูที่ค่า % การส่องผ่าน UV (Utraviolet Transmittance)
- บางคนชอบกระจกใสๆ มองเป็นวิวทิวทัศน์ภายนอกที่ให้สีสันตามธรรมชาติ สี ภาพไม่ผิดเพี้ยน บิดเบี้ยว คุณสมบัตินี้พิเศษเพราะยิ่งให้สีสันตามธรรมชาติเท่าไหร่ ก็แปลว่ากระจกจะต้องใสเท่านั้น มีการใส่สีลงไปในเนื้อฟิลม์น้อยถึงน้อยที่สุด แต่สิ่งซึ่งจะตามมาคือการกันความร้อนก็จะลดลง ตัวนี้จะเรียกว่าเป็นตัวสำคัญในการกำหนดความพิเศษของฟิลม์ก็ว่าได้ ฟิลม์รุ่นไหน ยี่ห้อไหน ที่ให้สีเหมือนธรรมชาติมากที่สุด ในขณะที่กันความร้อนเข้ามาได้มากที่สุด และลดแสงจ้าได้มาก คุณสมบัตินี้ไม่มีค่าวัด ทราบได้ด้วยสายตาของเราเอง อยากรู้ว่าสีของกระจกมีผลอย่างไรกับสิ่งที่เรามองเห็น ก็เข้าไปเล่นดูกันได้ที่ ตัวอย่างฟิลม์ติดกระจกสีต่างๆ
- ลดแสงจ้า แสงที่สว่างมากไปก็จะทำให้แสบตา ฟิล์มที่มีคุณสมบัตินี้ได้ดูได้จากค่าการส่องผ่าน ( Visible Light Transmittance) ต่ำๆ ฟิล์มที่ลดความจ้าได้มาก มักจะทำให้ห้องมืดลง เจ้าของห้องก็คงต้องเลือกหาความเหมาะสมที่ลงตัว
- ให้ความเป็นส่วนตัว กระจกใสให้ความเป็นส่วนตัวน้อย ยิ่งตอนกลางคืนยิ่งเห็นชัด ตัวฟิลม์ก็เลยต้องเพิ่มคุณสมบัติให้ตัวนี้เข้ามาให้คนมองเข้ามาไม่ได้ง่ายๆ วิธีที่ใช้กันส่วนใหญ่ก็คือการผสมหรือเคลือบโลหะลงบนเนื้อฟิลม์ที่นอกจากจะช่วยให้ เกิดเงาสะท้อนทำให้คนมองเข้ามาได้ไม่ดีแล้ว ยังเป็นตัวสะท้อนความร้อนอย่างดีอีกด้วย ฟิล์มที่เคลือบโลหะสูงๆ ช่วยพรางสายตาได้ดีกว่าจะกระจกใส ถ้าชอบความเป็นส่วนตัว ไม่อยากให้ใครเห็นภายในห้องในบ้านของเรา ก็ต้องเลือกฟิล์มเคลือบโลหะหรือฟิล์มปรอทที่ทำให้กระจกใสมีคุณสมบัติคล้ายกระจกเงา และจะมีสีต่างๆ ขึ้นอยู่กับโลหะที่ใช้ เช่นอลูมิเนียม สเตนเลส เป็นต้น
- บางคน (หมายถึงเจ้าของตึก) อาจจะชอบให้ตึกของตัวเองดูสวยงามเมื่อมองจากภายนอก และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโดยรอบ เช่น กระจกไม่สะท้อนแสงจนนกบินมาชนกระจก หรือแสงสะท้อนแว๊บๆ เข้าบ้านคนอื่นหรือเข้าตาคนที่ขับรถผ่านไปผ่านมา หรือกระจกเงาว๊าบจนนกบินมาชนกระจกทุกวัน (ไม่ได้พูดเล่นนะคะ นกชนกระจกตายปีหนึ่งนับพันตัวทั่วโลก)
- บางคนต้องการความปลอดภัยมากขึ้น ถึงแม้กระจกที่ติดตั้งในคอนโดส่วนใหญ่จะเป็นกระจกนิรภัยอยู่แล้ว เจ้าของห้องก็ยังสามารถเพิ่มความอุ่นใจอีกหนึ่งชั้นด้วยฟิลม์ที่จะพยุงกระจกที่แตกไม่มีเศษกระจายออกมา หล่นลงไปสร้างความเสียหายคนหรือทรัพย์สินที่อยู่ข้างล่าง ฟิล์มทั่วๆ ก็จะมีคุณสมบัตินี้อยู่แล้ว
- บางคนเน้นเรื่องคุณภาพของฟิล์ม ติดตั้งแล้วใช้ได้นานแค่ไหน จะบวมพอง เป็นฟองอากาศหรือเปล่า เป็นรอยขีดข่วนง่ายหรือไม่ ปัญหาพวกนี้ ถ้าเป็นฟิล์มเกรดดีๆ ก็มีการป้องกันหมดทุกเจ้าอยู่แล้ว
จะเห็นว่าฟิลม์ให้คุณสมบัติต่างๆ ตามความต้องการของเราได้มากมายขนาดนี้ ข้อมูลทางด้านเทคนิคก็ย่อมเยอะเป็นธรรมดา และก็ต้องยอมรับว่าคุณสมบัติแต่ละอย่างของฟิล์ม ได้อย่าง เสียอย่าง อยู่ที่ว่าเจ้าของห้องจะเลือกเก็บอะไรไว้ และยอมปล่อยอะไรบ้าง
อันนี้ยกมาแค่บางส่วนเท่านั้น บทความค่อนข้างยาว เข้าไปอ่านฉบับเต็มได้ที่นี่ //community.akanek.com/th/node/3371