เที่ยววิถีไทยสุขกลางใจใกล้แค่เอื้อม ททท.ภูมิภาคภาคกลาง แนะนำเส้นทางทำบุญส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่
เมืองไทยของเรามีเสน่ห์ลึกซึ้งอยู่มากมายให้นักเดินทางไปท่องเที่ยวได้ค้นหาและสัมผัสอย่างใกล้ชิด ด้วยภูมิประเทศที่มีความแตกต่างให้ได้สัมผัสเรื่องราววิถีชีวิตชุมชน ความเป็นอยู่ อาหารการกิน วัฒนธรรมประเพณีที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นผสานเป็นความเข้มแข็งของชุมชน ททท.ภูมิภาคภาคกลาง จึงได้นำจุดเด่นเกี่ยวกับเรื่องราววิถีชุมชนริมน้ำ ที่สืบทอดวัฒนธรรมและประเพณีที่งดงาม ดังนี้ เมื่อวันที่ 26-27 ธันวาคม 2562 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ภูมิภาคภาคกลาง จึงได้พาสื่อมวลชนส่วนกลางและตัวแทนจากสมาคมผู้ประกอบการนำเที่ยวไทย ร่วมเดินทางในกิจกรรม Agent /Media Fam Trip 2 วัน 1 คืน มาทำการประชาสัมพันธ์เส้นทางท่องเที่ยวสมุทรสงครามพร้อมสำรวจเส้นทางจังหวัดใกล้เคียง เพื่อให้เกิดการเสนอขายเข้าสู่ระบบตลาดต่อไปในอนาคต ตลอดทั้งสามารถต่อยอดการจัดกิจกรรมดังกล่าวให้สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน กับการดำเนินงานของ ททท.ภูมิภาคภาคกลางในปี พ.ศ. 2563 ต่อไปอย่างมั่งคั่งและยั่งยืน
นายอภิชัย ฉัตรเฉลิมกิจ ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ภูมิภาค ภาคกลาง เปิดเผยว่า สำหรับกิจกรรม "ทำบุญข้ามถิ่น ได้บุญได้ศีลคูณสอง" เป็นกิจกรรมหนึ่งที่อยู่ภายใต้โครงการ More River Legacy ภาคกลาง ซึ่งเป็นโครงการที่กระตุ้นการท่องเที่ยวในรูปแบบของครอบครัวเป็นการท่องเที่ยวด้วยทำบุญไปด้วย คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาในจังหวัดสมุทรสงครามนี้เพิ่มมากขึ้น เพราะที่นี่เป็นไฮไลต์ที่มีพระภิกษุสงฆ์พายเรือมาบิณฑบาตทางน้ำ
นายอภิชัย ฉัตรเฉลิมกิจ ยังกล่าวทิ้งท้ายว่า จังหวัดสมุทรสงครามมีที่พักที่เพียงพอสำหรับการเดินทางเข้ามาพักผ่อนท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็น 1 คืน หรือ 2 คืน อีกทั้งจังหวัดสมุทรสงครามสามารถเดินทางท่องเที่ยวมาเที่ยวได้ไม่ไกลจากกรุงเทพมหานคร ททท.ภูมิภาคภาคกลาง จึงใคร่ขอเชิญชวนนักท่องเที่ยวมาสัมผัสกับวิถีชีวิตทางน้ำที่จ.สมุทรสงคราม ซึ่งเป็นประเพณีเก่าแก่ที่ในปัจจุบันนี้จะหาดูได้ยาก และยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวของจ.สมุทรสงครามอีกทางหนึ่งด้วย
นายไพรัชช์ ทุมเสน ผู้อำนวยการ กองตลาดภาคกลาง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
นายจิรศักดิ์ อ่วมอุไร ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานสมุทรสงคราม
นายอภิชัย ฉัตรเฉลิมกิจ ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ภูมิภาคภาคกลาง เล่าถึงโครงการ More River Legacy ภาคกลาง แล้วจากนั้นมอบของที่ระลึกคือน้องสุขใจแก่ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงคราม
นายชรัส บุญณสะ ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงคราม เปิดเผยว่า จังหวัดสมุทรสงครามเป็นเมืองที่มีวิถีชีวิอยู่กับสายน้ำ โดยมีแม่น้ำแม่กลองเป็นแม่น้ำสายหลักแล้วก็มีคลอง 300 กว่าคลอง แล้วก็มีลำประโยงอยู่สองพันกว่า เพราะฉะนั้นพื้นที่ของแม่กลองจึงชุ่มฉ่ำไปด้วยพื้นน้ำและมีวิถีชีวิตผุูกพันอยู่กับวัดวาอาราม
ผุ้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงครากล่าวส่งท้ายไว้ว่า จังหวัดสมุทรสงครามจึงเป็นเมืองที่มีมนต์เสน่ห์แห่งสายน้ำ จึงทำให้วิถีชีวิตของคนแม่กลองอยู่กับธรรมชาติ เพราะว่าคนแม่กลองนี้รักษาธรรมชาติ ธรรมชาติจึงรักษาคนแม่กลอง แม่กลองเป็นจังหวัดเล็กๆ ก็จริงแต่มีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่ง ทั้งสถานที่ท่องเที่ยวแบบพักผ่อนหย่อนใจ วัดวาอาราม แล้วก็ประวัติศาสตร์ เพราะฉะนั้นคนที่มาพักผ่อนหย่อนใจหรือนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวแม่กลอง จะมีความสุขและมีความประทับใจ
นายชัยวิทย์ เผื่อนอุดม หัวหน้างานภาคกลาง1 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และมิสแกรนด์จังหวัดสมุทรสงคราม
จังหวัดสมุทรสงครามหรือเมืองแม่กลองในอดีตคือแขวงบางช้างของเมืองราชบุรี แขวงบางช้างมีศูนย์กลางอยู่ที่ตำบลบางช้าง อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม (ตามการแบ่งเขตการปกครองในปัจจุบัน) แขวงบางช้างมีอีกชื่อว่าสวนนอก ต่อมาปลายสมัยกรุงศรีอยุธยาต่อเนื่องกับสมัยกรุงธนบุรี แขวงบางช้างแยกออกจากจังหวัดราชบุรีเรียกว่า เมืองแม่กลอง สมุทรสงครามมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ กล่าวคือ ในช่วงที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานี พม่าได้ส่งกองทัพผ่านเข้ามาถึงบริเวณตำบลบางกุ้ง พระเจ้าตากสินมหาราชทรงรวบรวมผู้คนสร้างค่ายป้องกันทัพพม่าจนข้าศึกพ่ายแพ้ที่บริเวณค่ายบางกุ้ง นับเป็นการป้องกันการรุกรานของพม่าเข้ามายังไทยครั้งสำคัญ
ชื่อเมืองแม่กลองเปลี่ยนเป็นสมุทรสงครามในปีใดนั้นไม่ปรากฏแน่ชัด แต่สันนิษฐานไว้ว่าเปลี่ยนราวปี พ.ศ. 2295 ถึงปี พ.ศ. 2299 จากหลักฐานในหนังสือกฎหมายตราสามดวงว่าด้วยพระราชกำหนดเรื่องการเรียกสินไหมพินัยความ ได้ปรากฏชื่อเมืองแม่กลอง เมืองสาครบุรี และเมืองสมุทรปราการอยู่
และต่อมาพบข้อความในพระราชกำหนด ซึ่งตราขึ้นในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เมื่อปี พ.ศ. 2299 ความระบุว่าโปรดเกล้าฯ ให้พระยารัตนาธิเบศร์ สมุหมณเฑียรบาล เอาตัวขุนวิเศษวานิช (จีนอะปั่นเต็ก) ขุนทิพ และหมื่นรุกอักษร ที่บังอาจกราบบังคมทูลขอตั้งบ่อนเบี้ย ในแขวงเมืองจังหวัดสมุทรสงคราม เมืองราชบุรี และเมืองสมุทรปราการ ทั้งที่มีกฎหมายสั่งห้ามไว้ก่อนแล้วมาลงโทษ
จ.สมุทรสงครามเป็นแผ่นดินที่เกิดขึ้นใหม่จากการทับถมของโคลนตะกอนบริเวณปากแม่น้ำ เกิดเป็นที่ดอนจนกลายมาเป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำขนาดใหญ่ ปรากฏชื่อครั้งแรกในนาม แม่กลอง
ตามประวัติของราชินิกุลบางช้าง สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี ซึ่งเป็นพระราชินีในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และพระบรมราชชนนีในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และพระญาติวงศ์ มีพระนิวาสสถานดั้งเดิมอยู่ที่แขวงบางช้าง สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินีทรงสืบเชื้อสายจากกษัตริย์ราชวงศ์สุโขทัย แห่งอาณาจักรอยุธยาและราชวงศ์พระร่วง (ราชวงศ์สุโขทัย) แห่งอาณาจักรสุโขทัย โดยพระราชโอรสสองพระองค์แห่งราชวงศ์สุโขทัยแห่งอาณาจักรอยุธยา ทรงหนีราชภัยมาตั้งถิ่นฐานที่แขวงบางช้าง
จังหวัดสมุทรสงครามจึงเป็นเมืองราชินิกุลบางช้างและราชสกุลแห่งราชวงศ์สุโขทัย มีการสืบทอดนาฏศิลป์ วรรณศิลป์ และการทำอาหาร (โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารชาววัง) ของสมัยสุโขทัยเป็นต้นมา สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินีซึ่งเคยประทับกับสมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี ที่แขวงบางช้างทรงรับถ่ายถอดการทำอาหารจากที่นี่ และทรงเป็นผู้ทำอาหารในกาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานและว่าด้วยงานนักขัตฤกษ์
จากนั้น ททท.สำนักงานสมุทรสงคราม และ ททท.ภูมิภาคภาคกลาง พามาไหว้พระที่วัดเพชรสมุทรวรวิหาร อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม เพื่อมาสักการะหลวงพ่อวัดบ้านแหลม ประวัติหลวงพ่อวัดบ้านแหลม อีกหนึ่งในตำนานของความศักดิ์สิทธิ์ กล่าวกันว่า ชาวบ้านแหลมที่มาตั้งรกรากเมื่อประมาณปี พ.ศ.2307 ส่วนใหญ่เป็นชาวประมง ซึ่งไปลากอวนหาปลาที่ปากน้ำแม่กลอง อวนได้ติดพระพุทธรูปขึ้นมาสององค์ องค์หนึ่งเป็นพระพุทธรูปยืนปางอุ้มบาตร และอีกองค์หนึ่งเป็นพระพุทธรูปนั่ง ชาวบ้านจึงอาราธนาพระพุทธรูปยืนมาประดิษฐานที่ศรีจำปาซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ของเมืองแม่กลอง ส่วนพระพุทธรูปนั่งได้มอบให้ญาติพี่น้องนำไปประดิษฐานที่วัดตะเครา เมืองเพชรบุรี
วัดศรีจำปานี้ต่อมาได้ชื่อว่า วัดบ้านแหลม แลต่อมาได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชั้นวรวิหาร และได้รับพระราชทานนามว่า วัดเพชรสมุทวรวิหาร
บาตรแก้วสีน้ำเงินที่เห็นอยู่ปัจจุบันนี้ สมเด็จพระเจ้าบรมเธอกรมพระยาภาณุพันธุ์วงศ์วรเดช ได้ถวายไว้ เนื่องจากบาตรเดิมอาจจมหายอยู่ในน้ำก่อนที่ชาวประมงจะได้จากทะเลปากอ่าวแม่กลอง
หลวงพ่อวัดบ้านแหลม จ.สมุทรสงคราม ขึ้นชื่อเลื่องลือไปทั่ว ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อบ้านแหลมที่ใครมากราบไหว้ขอพรแล้วมักสมหวังในสิ่งที่ปรารถนา
หลวงพ่อบ้านแหลม หรือ หลวงพ่อวัดบ้านแหลม เป็นพระพุทธรูปยืนปางอุ้มบาตร สูงประมาณ 2 เมตร 80 เซนติเมตร หล่อด้วยทองเหลืองปิดทอง
หลวงพ่อบ้านแหลมประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถวัดเพชรสมุทรวรวิหาร หรือที่เรียกว่าวัดบ้านแหลม เป็นพระพุทธรูปสำคัญของชาวเมืองแม่กลอง หรือจังหวัดสมุทรสงคราม มีพุทธลักษณะงดงาม เพราะหล่อด้วยสัมฤทธิ์ผสมด้วยทอง เงิน นาก พระพุทธรูปยืน ปางอุ้มบาตร ของผุ้ที่เกิดวันพุธ พระพุทธรูปมีขนาดสูงเท่าคนจริง สังเกตที่บริเวณฐานพระบาท มีดอกบัวรองรับพระบาทอยู่บนแท่นฐานแข้งสิงห์ ซึ่งก่อสูงขึ้นประมาณ 45 เซนติเมตร ส่วนองค์พระสูง 167 เซนติเมตร เป็นพระพุทธรูปทองเหลือลงรักปิดทองที่สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรึอยุธยา
หลวงพ่อวัดบ้านแหลมมีลักษณะเด่น กล่าวคือ มีพระพักตร์งดงามคล้ายพระพักตร์ของเทพบุตร โดยมีคำกล่าวไว้ว่า หลวงพ่อวัดบ้านแหลมมีรูปพระพักตร์เป็นเทวดา และถือว่ามีเทพ หรือเทวดาเข้ามาสิงสถิตรักษา อยู่ในองค์หลวงพ่อวัดบ้านแหลมงศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก ในช่วงเวลาส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่มากราบสักการะหลวงพ่อวัดบ้านแหลม สมหวังนะคะ
จากนั้น ททท.สำนักงานสมุทรสงคราม และ ททท.ภูมิภาคภาคกลางพามาไหว้พระที่วัดจุฬามณี วัดจุฬามณี ตั้งอยู่บนทางหลวงหมายเลข 325 (สมุทรสงคราม-บางแพ) กิโลเมตร 34- 35 ตำบลบางช้าง อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม วัดจุฬามณีเป็นวัดโบราณริมฝั่งคลองอัมพวาต่อเนื่องกับคลองผีหลอก สร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง สันนิษฐานว่าท้าวแก้วผลึก(น้อย) นายตลาดบางช้าง ต้นวงศ์ราชินิกุลบางช้างเป็นผู้สร้างวัด
ประวัติท่านพ่อท้าวเวสสุวรรณหรือท่านท้าวกุเวร ส่วนมากจะเห็นในรูปลักษณ์ของยักษ์ยืนถือกระบองยาวหรือคทา (ไม้เท้าเป็นรูปกระบอง) แต่แท้ที่จริงแล้วยังมีรูปเคารพของท่านในรูปของชายนั่งในท่ามหาราชลีลา มีลักษณะอันโดดเด่นคือ พระอุระพลุ้ย กล่าวกันว่าผู้มีอาชีพสัปเหร่อหรือมีอาชีพประหารชีวิตนักโทษ มักพกพารูปท้าวเวสสุวรรณหรือคล้องคอเพื่อเป็นเครื่องรางของขลัง ป้องกันภัยจากวิญญาณร้าย ภาพลักษณ์ของท้าวกุเวรที่ปรากฎในรูปของชายพุงพลุ้ย นับเป็นที่เคารพนับถือ โดยเชื่อกันว่าเป็นเทพแห่งความร่ำรวย แต่สำหรับท้าวกุเวรในรูปของท้าวเวสสุวรรณซึ่งมาในรูปของยักษ์ และผู้ที่มีความเชื่อและศรัทธามักจะมาไหว้ท่านด้วยประทัดสมหวังในสิ่งที่ขอค่ะ
ท้าวเวสสุวรรณ มีทั้งหมด 4 ภาค - ท้าวเวสสุวรรณพรหมาสูติเทพ ชั้นพรหม มีรูปกายสีทอง ภูษาสีทอง - ท้าวเวสสุวรรณเทพบุตรสูติเทพ ชั้นดาวดึงค์ มีรูปกายสีทอง ภูษาสีแดง - ท้าวเวสสุวรรณ จาตุมมหาราช มีรูปกายสีเขียวหรือดำ ภูษาสีเขียว - ท้าวเวสสุวรรณ ชั้นมนุษย์ มาในรูปแบบมนุษย์
ตามหลักฐานในคัมภีร์ทางพุทธศาสนายืนยันว่า "ท้าวกุเวร" หรือ "ท้าวเวสสุวรรณ" เทวราชพระองค์นี้ได้สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลชั้นโสดาบัน เมื่อครั้ง "จุลสุภัททะ ปริพาชก" เกิดความสงสัยในความเป็นมาแห่ง องค์สมเด็จ พระพุทธเจ้า ท่าน "ท้าวเวสสุวรรณ" องค์นี้แหละ ที่ได้เสด็จไปร่วมต้อนรับด้วยและยังเป็นประจักษ์พยานเรื่องพระมหาโมคคัลลานะ ใช้เท้าจิกพื้นไพชยนตวิมา ของพระอินทร์จนเกิดการสั่นสะเทือนไปทั้งดาวดึงส์ เทวโลก อันเป็นการเตือนสติสักกะเทวราชอีกด้วย
และก็เชื่อกันตามฎีกามาลัยเทวสูตร พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม 1 ภาค 2 - หน้าที่ 435 เขียนไว้ว่า "คทาวุธ" ของ "ท้าวเวสสุวรรณ" นั้นเป็นยอดศัสตราวุธ มีอานุภาพสามารถทำลายโลกใบนี้ให้เป็น จุณวิจุณภายในพริบตา
จะเห็นได้ว่าท้าวกุเวร หรือท้าวเวสสุวรรณนั้น นับเป็นเทพที่สำคัญที่พิทักษ์รักษาพระพุทธศาสนา ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าท่านท้าวสักกะเทวราชหรือพระอินทร์เลยทีเดียว ตามวัดวาอารามต่าง ๆ จะมีรูปปั้นยักษ์ 1 ตน บ้าง 2 ตนบ้าง ยืนถือกระบองค้ำพื้น ส่วนมากจะมี 2 ตน เฝ้าอยู่หน้า ประตูโบสถ์ หรือ วิหารที่เก็บของมีค่า มีพระพุทธรูป และโบราณสมบัติล้ำค่าของทางวัดบรรจุอยู่ ด้านละ 1 ตน ซึ่งยักษ์เหล่านั้นถ้าเป็น ตนเดียวก็จะหมายถึงรูปเคารพของท้าวเวสสุวรรณ แต่ถ้าเป็น 2 ตนก็จะเป็นบริวารของท่านท้าวเวสสุวรรณ ทำหน้าที่คอยทำหน้าที่ ปกปักรักษา และดูแลบริเวณวัด
อุโบสถจตุรมุขหินอ่อนที่มีความงดงามปราณ๊ตเป็นอย่างยิ่ง เป็น 1 ใน 3 ของวัดจุฬามณีที่ต้องมา อุโบสถหลังนี้มีขนาดกว้าง 40 เมตร ยาว 80 เมตร ปูพื้นด้วยหินหยกสีเขียวจากเมืองการาจี ประเทศปากีสถาน ภายประดิษฐานพระประธานบนฐานสูง บานหน้าต่างด้านนอกลงรักฝังมุกเป็นภาพตราพระราชลัญจกร ตั้งแต่รัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 9
ที่สำคัญผนังโดยรอบพระอุโบสถเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนัง เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติและนิทานชาดก เขียนโดยจิตรกรหญิงนิตยา ศักดิ์เจริญ ซึ่งใช้เวลาในการวาดนานถึง 6 ปีด้วยกันค่ะ
นี่เป็นไฮไลต์ที่นักท่องเที่ยวทุกคนต้องมากราบสักการะมื่อมาถึงวัดจุฬามณี สังขารไม่เน่าเปื่อยของหลวงพ่อเนื่อง โกวิท อดีตเจ้าอาวาส
อุ้มชอบหน้าบันที่พระอุโบสถวัดจุฬามณีจังค่ะสวยงามปราณีตมาก
จากนั้น ททท.สำนักงานสมุทรสงคราม และ ททท.ภูมิภาคภาคกลาง พามาไหว้พระที่วัดประดู่ ต.วัดประดู่ อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม วัดประดู่ เป็นวัดโบราณสร้างขึ้นในสมัย กรุงศรีอยุธยาตอนปลายราวพ.ศ. 2320 จากหลักฐานที่ปรากฏพบว่ามีแก่นไม้ประดู่ด้านหนึ่ง เจาะเป็นช่องสี่เหลี่ยมยาวขนาดเท่าใบลานใช้เป็นที่อัดใบลานนำไปไว้ที่ศาลเจ้าพ่อประดู่ นอกจากนี้วัดประดู่มีเรื่องเล่าและประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจมากมาย มีทั้งขุมสมบัติมหาศาลและลายแทงสมบัติ ที่มีรูอยู่เก้าแห่ง รูไหนแจ้งให้แทงรูนั้น ตรงไหนเปียกไม่ยอมแห้งให้แทงรูนั้น มีบางคนเคยเห็นเป็ดเงินและเป็ดทองคำออกมาเดินเล่นน้ำฝนและหายลงไปในสระ และยังมีพระพุทธรูปทองคำหน้าตักประมาณสองศอกจมตกหายลงไปในสระ ปัจจุบันได้สร้างอุโบสถหลังใหม่ทับปิดสระน้ำไปแล้ว และมีเรือชะล่าใหญ่จมลงไปในสระ มักมีนักแสวงโชคมาขุดหาสมบัติแต่สุดท้ายมักคว้าน้ำเหลว
เรียกว่าใครที่ชื่นชอบรามเกียรติ์ รักหนุมาน มาวัดประดู่เลยค่ะ มีหนุมานอยู่ทุกที่ของวัด
ถ้ามาวัดประตู่ตรงกับวันเสาร์อาทิตย์ บริเวณนี้จะเป็นตลาดตลาดร่มบวร เป็นตลาดย้อนยุคสมัยรัชกาลที่ 5 ริมคลองวัดประดู่
วัดประดู่นับว่าเป็นวัดประวัติศาสตร์โดยแท้ เพราะในสมัยหลวงปู่แจ้ง ซึ่งดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสในขณะนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้เสด็จประพาสต้นทางชลมารคมายังวัดประดู่ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2477 พระองค์ทรงเสวยพระกระยาหารเช้าที่วัดประดู่ และทรงมีพระราชศรัทธาต่อ หลวงปู่แจ้ง ด้วยเมื่อสมัยนั้นหลวงปู่แจ้ง เป็นพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเป็นที่เลื่อมใส ศรัทธาของพุทธศาสนิกชน และเกิดพระราชศรัทธาต่อหลวงปู่แจ้งจึงได้นิมนต์หลวงปู่แจ้งเข้าไปใน พระราชวังหลายครั้ง ที่สำคัญพระองค์ได้ถวายเครื่องราชศรัทธา ที่สำคัญๆ อันทรงคุณค่าไว้ให้หลวงปู่แจ้ง เช่น เรือเก๋งพระที่นั่ง พระแท่นบรรทม ตาลปัตร ปิ่นโตสลักบาตร ฯลฯ
ปัจจุบันวัดประดู่แห่งนี้ยังเก็บรักษาเก๋งเรือพระราชทานของรัชกาลที่ 5 ไว้เป็นอย่างดีเยี่ยม
ต่อมาใน พ.ศ. 2543 ทางวัดประดู่ได้จัดตั้ง พิพิธภัณฑ์เครื่องราชศรัทธา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เป็นอาคารทรงไทย 2 ชั้น 5 หลังคาแฝด ปิดทองฝาสกลทั้งหลัง เพื่อให้ประชาชนทั่วไป ได้ศึกษาประวัติศาสตร์ความเป็นมาของเครื่องราชศรัทธา และเป็นสมบัติของชาติต่อไป
ที่นี่ยังเป็นแหล่งฝึกอบรมและพัฒนาเยาวชนให้เป็นยุวมัคคุเทศก์อีกด้วย ที่นี่มีการจัดแสดงหุ่นดินสอพองรูปพระเกจิอาจารย์ต่างๆ ในจังหวัดสมุทรสงคราม มองดูเหมือนหุ่นขี้ผึ้งไม่คิดเลยค่ะว่าทำจากดินสอพอง
จากนั้น ททท.สำนักงานสมุทรสงคราม และ ททท.ภูมิภาคภาคกลาง พามาที่ตลาดร่มหุบ ตลาดริมทางรถไฟที่ไม่มีใครเหมือน อยู่ในบริเวณสถานีรถไฟแม่กลอง ใจกลางเมืองจังหวัดสมุทรสงครามที่ต้องห้ามพลาด
อุ้มมาตลาดร่มหุบทีไรเป็นต้องมาซื้อทองม้วนร้านนี้ทำใหม่สดทุกนาทีเลยค่ะ เป็นถุงละ 25 บาท แต่ถ้าเป็นกล่องๆ 50 บาท หาไม่เจอ โทร.09-1607-9885
แล้วมาตลาดร่มหุบไม่กินก๋วยเตี๋ยวร้าน "ก่องเมงจั้น" ร้านนี้ถือว่าผิด อร่อยและคนแน่นตลอด
สำหรับมื้อเย็น ททท.สำนักงานสมุทรสงคราม และ ททท.ภูมิภาคภาคกลาง พามากินร้านนี้ค่ะ "เจ้าสำราญ" ตั้งอยู่ที่ถนนประชาเศรษฐ์ ใกล้เทศบาลอำเภออัมพวา โทร 08-6556-6066 และโทร. 0-3475-1811
ร้านนี้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำแม่กลอง บรรยากาศดี ดนตรีไพเราะ อาหารอร่อยค่ะ
ต้มยำ
น้ำพริกไข่ปู
ผัดผัก
จากนั้นมาพักผ่อนกันที่ฐณิชาฌ์รีสอร์ท เป็นบ้านไม้สามชั้นค่ะริมคลองอัมพวา คุณแจ็ค-เจษฎา เตชะธรรมรัตน์ เล่าให้ฟังว่า ฐณิชารีสอร์ทเป็นรีสอร์ทเล็กๆ จำนวน 15ห้องติดตลาดน้ำอัมพวา จ.สมุทรสงคราม เราสามารถมีกิจกรรมทางน้ำตอนเช้า คือโดยพระสงฆ์จะมาบิณฑบาตรทางเรือ รวมทั้งตอนเย็นมีบริการพาไปชมหิ่งห้อยด้วยนะครับ เป็นรีสอร์ทเล็กๆ ที่มีความอบอุ่นที่ Family พาครอบครัวมาพักผ่อน หรือเป็นคู่รักมาเป็นเพื่อนกัน ทางรีสอร์ทเราก็มีพื้นที่รองรับสำหรับแขกทุกท่านครับ แล้วก็อาหารเช้าเราจะเป็นแบบบุตเฟ่เป็นสไตล์ American Breakfast นะครับ สามารถรองรับลูกค้าได้อย่างเต็มที่
จริงๆ concept การตั้งชื่อแต่ละห้องนี้เราคิดจากสิ่งของในพื้นที่น่ะครับ ที่นี่จะมีเรื่องนาเกลือ หอยหลอด หอยแครง หอยแมงภู่ หรือกระทั่งปลาทู เราก็นำมาตั้งเป็นชื่อห้อง หรือจะเป็นห้องมะพร้าว ส้มแก้ว เรียกว่าสิ่งของที่มีชื่อในพื้นที่อัมพวาน่ะครับ ห้องพักของเรามี 4 แบบคือ standard-superior-deluxe-Family suite สำหรับไอเดียผ้าขาวม้าผ้าถุงนี่เป็นไอเดียมาจากวิถีชีวิตที่นี่ครับ เวลาเราไปสวนเราก็จะมีผ้าขาวม้าติดตัวเสมอ ทางเราจึงนำมาเป็นอุปกรณ์ไว้ในห้องพักไว้ให้ลูกค้า เผื่อลูกค้าไว้คาดเอวบ้าง ไว้นุ่งนอนบ้างได้ หรือลูกค้าสตรีสามารถนุ่งผ้าถุงลงมาใส่บาตรยามเช้าได้ ดูเป็นเอกลักษณ์ มีความเป็นไทยน่ะครับ
อุ้มนอนชั้นสองค่ะ มีน้ำร้อนน้ำอุ่น ชา-กาแฟให้พร้อมอาหารเช้า เป้นห้องแอร์ มีตู้เย็นมีไดร์เป่าผมให้ด้วย WI-FI โอเคเลยค่ะ ฐณิชาฌ์ รีสอร์ท มีสิ่งอำนวยสะดวกมากมายคุ้มค่า เช่น รูมเซอร์วิส 24 ชั่วโมง-ฟรี Wi-Fi ทุกห้อง-แม่บ้านทำความสะอาดรายวัน มีห้องเก็บกระเป๋า, Wi-Fi ในพื้นที่สาธารณะ ฐณิชาฌ์รีสอร์ทตกแต่งบรรยากาศให้ดูเสมือนบ้านหลังที่สองเลยค่ะโอมากชอบๆ สนใจสำรองที่พักได้ที่ 08-3161-4655 และ 08-3282-6464
ตอนแรกกะว่าจะรวมภาพ 2 วัน 1 คืนใน BLOG นี้เลยแต่เนื่องจากถ่ายภาพเยอะ แถมยังไม่ได้ถอดเทปเสียงสัมภาษณ์ยกไปไว้เอนทรี่หน้าละกันเนาะ ขอขอบคุณ ททท.ภูมิภาคภาคกลาง และขอขอบคุณ ททท.สำนักงานสมุทรสงครามค่ะ เป็น BLOG ส่งท้ายปีเก่าสวัสดีปีใหม่นะคะ แทนคำขอบคุณพี่น้องผองเพื่อนด้วยเพลงพบกันวันปีใหม่นะคะ
ขอขอบคุณ เพลง : พบกันวันปีใหม่ : วงคาราวาน BG : ลักกี้ / กล่องเขียนคอมเม้นท์ : lozocat / Banner : oranuch_sri ของแต่ง BLOG : ป้ามด + ดอกหญ้าเมืองเลย + ชมพร + ญามี่ + เนยสีฟ้า
Create Date : 29 ธันวาคม 2562 |
Last Update : 29 มกราคม 2563 11:55:08 น. |
|
25 comments
|
Counter : 3685 Pageviews. |
|
|
|
ผู้โหวตบล็อกนี้... |
คุณSai Eeuu, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณhaiku, คุณกะว่าก๋า, คุณThe Kop Civil, คุณโอน่าจอมซ่าส์, คุณดาวริมทะเล, คุณJinnyTent, คุณInsignia_Museum, คุณmultiple, คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณสองแผ่นดิน, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณพันคม, คุณTui Laksi, คุณlovereason, คุณSweet_pills, คุณnewyorknurse, คุณNoppamas Bee, คุณเจ้าหญิงไอดิน |
โดย: Sai Eeuu วันที่: 29 ธันวาคม 2562 เวลา:0:27:03 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 29 ธันวาคม 2562 เวลา:11:06:09 น. |
|
|
|
โดย: JinnyTent วันที่: 29 ธันวาคม 2562 เวลา:16:56:52 น. |
|
|
|
โดย: multiple วันที่: 29 ธันวาคม 2562 เวลา:18:36:15 น. |
|
|
|
โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 29 ธันวาคม 2562 เวลา:22:58:46 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 30 ธันวาคม 2562 เวลา:7:01:53 น. |
|
|
|
โดย: พันคม วันที่: 30 ธันวาคม 2562 เวลา:13:47:55 น. |
|
|
|
โดย: Tui Laksi วันที่: 30 ธันวาคม 2562 เวลา:21:31:23 น. |
|
|
|
โดย: Sweet_pills วันที่: 30 ธันวาคม 2562 เวลา:23:52:18 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 31 ธันวาคม 2562 เวลา:11:01:16 น. |
|
|
|
โดย: วลีลักษณา วันที่: 31 ธันวาคม 2562 เวลา:21:36:23 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 1 มกราคม 2563 เวลา:7:03:43 น. |
|
|
|
โดย: haiku วันที่: 1 มกราคม 2563 เวลา:22:58:46 น. |
|
|
|
โดย: Kavanich96 วันที่: 3 มกราคม 2563 เวลา:4:23:27 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 9 มกราคม 2563 เวลา:7:50:10 น. |
|
|
|
|
|