ปราสาทนครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา โยราณสถานที่คุ้มค่าต้องมาเยือนเมื่อมาเที่ยวกรุงเก่า



ต้องขอขอบคุณพี่อ้วน ปาณิษา ตันติวงวาร ที่ชวนอุ้มมาร่วมทริปในครั้งนี้
นำนักท่องเที่ยวจำนวน 1 รถบัส 36 ท่านเข้าพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2566
เป็นการกลับมาเยือนปราสาทนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
เป็นครั้งที่ 3 ในรอบปีนี้
บอกแล้วว่าเมืองกรุงเก่าแห่งนี้เป็นบ้านที่ 2 ของอุ้มสี
และอาจกล่าวได้ว่า ปราสาทนครหลวง องค์นี้
เป็นปฐมบทของการทำงาน outdoor ของคุณนายอุ้มสี



ปราสาทนครหลวง หรือ พระมหาปราสาทพระนครหลวง หรือ พระที่นั่งนครหลวง
ปราสาทนครหลวง หรือ พระนครหลวง
ตั้งอยู่หมู่ที่ 1 ตำบลนครหลวง อำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ได้รับการขึ้นทะเบียนโบราณสถานและประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 52 ตอนที่ 75
วันที่ 8 มีนาคม 2478
ลักษณะของสถาปัตยกรรมเป็นองค์ปราสาท เป็นพุทธสถานจตุรมุขทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า มี 3 ชั้น
ชั้นที่ 2 เป็นซุ้มระเบียงล้อมรอบ
ชั้นบนมีมณฑปประดิษฐานพระพุทธบาทสี่รอย สร้างขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง พ.ศ. 2174
ภายหลังจากการสร้างวัดไชยวัฒนาราม 1 ปี
โดยพระราชพงศาวดารฉบับบริติชมิวเซียม กล่าวถึงการสร้างปราสาทนครหลวงเอาไว้ว่า

“…ศักราช 993 ปีมะแมศก
ทรงพระกรุณาให้ช่างออกไปถ่ายอย่างพระนครแลปราสาทกรุงกัมภุชประเทศเข้ามา
ให้ช่างกระทำพระราชวังเป็นที่ประทับร้อน ตำบลริม วัดเทพจัน
สำหรับจะเสด็จขึ้นไปนมัสการพระพุทธบาท จึงเอานามเดิมซึ่งถ่ายมา
ใช้ชื่อว่า พระนครหลวง…”

แต่ปราสาทนครหลวงมีทั้งสิ้น 29 ยอด รวมยอดประธานและยอดบริวาร
ในขณะที่ปราสาทนครวัดมีแค่ 9 ยอดเท่านั้น
กัมพูชามีปราสาทหินอยู่มากมายแต่ปราสาทที่มี 29 ยอดเท่ากับปราสาทนครหลวง
นั่นก็คือ ‘ปราสาทบาปวน’ นั่นเอง
ซึ่งถือเป็นปราสาทสำคัญแห่งหนึ่งของเมืองพระนครเพราะตั้งอยู่ในเขตพระราชฐาน
จึงมีสถานะประหนึ่งปราสาทหินสำคัญประจำพระราชวัง
ซึ่งตรงกับคำอธิบายในพระราชพงศาวดารว่า
‘ปราสาทกรุงกัมภุชประเทศ’
จึงสรุปได้ว่า ปราสาทนครหลวงได้แรงบันดาลใจมาจากปราสาทบาปวน



ปราสาทนครหลวงองค์นี้
นอกจากใช้เป็นสถานที่ประทับในระหว่างเสด็จขึ้นไปนมัสการรอยพระพุทธบาทแล้ว
ยังมีหลักฐานอีกว่า
เป็นสถานที่แห่งนี้ใช้สำหรับประกอบพระราชพิธียิงอัตนาหรือการสวดอาฎานาฏิยสูตร
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพระราชพิธีตรุษหลวง
ซึ่งจัดขึ้นในเดือน 4
และพระราชพิธีกวนข้าวทิพย์และถวายข้าวยาคูแก่พระสงฆ์
เป็นพระราชพิธีที่กระทำในเดือน 10



ต่อมาเมื่อกรุงแตก ความสำคัญของปราสาทนครหลวงลดน้อยถอยลง
จากปราสาทของพระมหากษัตริย์
กลับกลายเป็นวัดขึ้นใน พ.ศ. 2352
โดย ตาปะขาวปิ่น
ผู้สร้างมณฑปและรอยพระพุทธบาท 4 รอยไว้ที่ลานชั้นบนสุดของปราสาทนครหลวง
ก่อนที่ในรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4
เสด็จพระราชดำเนินมาพระราชทานผ้าพระกฐินที่วัดแห่งนี้
และได้มีพระราชประสงค์ให้บูรณะปฏิสังขรณ์ปราสาทนครหลวง
แต่สุดท้ายไม่ได้ทำ
เพราะมีอาคารประดิษฐานรอยพระพุทธบาท 4 รอยอยู่ข้างบน
ครั้นจะรื้อออกจะเป็นเรื่องที่ไม่สมควร

ครั้นถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5
เสด็จพระราชดำเนินมาที่ปราสาทนครหลวงในปี พ.ศ. 2421
เสด็จทประพาสต้นทางชลมารคประพาสมาถึงมณฑลอยุธยา
มาประทับร้อนยังปราสาทนครหลวงแห่งนี้
ในครั้งนั้นทรงให้มีการสำรวจปราสาทนครหลวง โดยทรงโปรดเกล้าฯ ให้
พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้ากาพย์กนกรัตน์ ทำการรังวัดและทำผังถวาย



ปราสาทนครหลวงเป็นอาคารหลังใหญ่ที่สุดในวัดนครหลวง
จุดเด่นของปราสาทนครหลวงนั่นคือการมีฐานซ้อนกันถึง 3 ชั้น
พบได้ในปราสาทขอมสำคัญหลายแห่ง อย่างปราสาทนครวัด ปราสาทบาปวน หรือปราสาทบายน
โดยชั้นที่ 1 และ ชั้น 2 ยังคงสภาพดั้งเดิมสมัยอยุธยาเอาไว้ได้ดีเลยทีเดียว
แม้ส่วนยอดปราสาทบริวารจะหักหายไป
อย่างไรก็ตาม ส่วนประตูและบันไดมีการฉาบปูนเอาไว้
และมีรูปร่างหน้าตาแตกต่างจากส่วนที่เป็นอิฐอย่างชัดเจน
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะส่วนนี้เกิดจากการบูรณะในสมัยรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 4

















เมื่อเดินขึ้นภายในปราสาทนครหลวง
ฐานชั้นแรกจะพบทางประทักษิณมีร่องรอยของฐาน
ที่ประดิษฐานพระพุทธรูปเอาไว้โดยรอบ
และมีพระปรางค์ตั้งอยู่ตามตำแหน่งคล้ายๆ กับที่วัดไชยวัฒนาราม
แค่เปลี่ยนจากเมรุทิศเมรุรายของวัดไชยวัฒนารามเป็นปรางค์ทิศและปรางค์มุม
ปรางค์บางองค์ยังเหลือสภาพเกือบสมบูรณ์
หากเดินเข้าไปชมข้างในจะเห็นการก่ออิฐของส่วนยอดปราสาทอย่างชัดเจน













เมื่อขึ้นไปถึงฐานชั้นบนสุดของปราสาทนครหลวงซึ่งถือเป็นส่วนที่สมบูรณ์ที่สุด
เพราะล้วนผ่านการสร้างขึ้นใหม่ในสมัยรัตนโกสินทร์แทบทั้งสิ้น
แทนที่พระมหาปราสาทนครหลวงเดิมที่สร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าปราสาททอง
ซึ่งน่าจะสร้างเป็นอาคารเครื่องไม้ตามจารีตการสร้างพระราชมณเฑียรของพระมหากษัตริย์ด้วยไม้
ที่ฐานชั้นบนสุดนี้เป็นที่ตั้งของมณฑปจตุรมุข ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทเอาไว้ข้างใน
ล้อมรอบด้วยระเบียงคด
ซึ่งประดิษฐานพระพุทธรูปหินทรายเอาไว้หลายขนาด
หน้าบันของมณฑปมีจารึกระบุข้อความว่า “มณฑป พระนครหลวง ปฏิสังขรณ์ขึ้นเมื่อปีรัตนโกสินทร์ศก 122”
ตรงกับ พ.ศ. 2446 ในรัชกาลที่ 5
ซึ่งน่าจะเป็นการบูรณะโดย พระปลัดปลื้ม (ต่อมาคือ พระครูวิหารกิจจานุการ (ปลื้ม))
พระชาวอำเภอนครหลวงที่ไปบวชอยู่ ณ วัดจักรวรรดิราชาวาส
และได้มาบูรณปฏิสังขรณ์วัดนครหลวงแห่งนี้















มณฑปที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทมีรูปแบบค่อนข้างเรียบง่าย
ไม่มีการประดับหน้าบันอะไรแต่มียอดเป็นมณฑป
ด้านหน้ามณฑปจะรูปปั้นพระคเณศที่สร้างขึ้นใหม่
ซึ่งพระคเณศวรองค์นี้อาจดูแปลกตาไปสักหน่อย
เพราะท่านนั่งอยู่บนแท่นหัวกะโหลก
ที่มีที่นี่เพียงแห่งเดียวในเมืองไทย
เชื่อกันว่ามีต้นแบบมาจากพระคเณศศิลปะชวาตะวันออกจากจันทิสิงหาส่าหรี
ที่สร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 15 – 16
โดยผู้สำเร็จราชการชาวฮอลันดาน้อมเกล้าฯ ถวายพระคเณศวรองค์นี้แด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัขกาลที่ 5
เมื่อครั้งเสด็จประพาสชวาเมื่อ พ.ศ. 2439







พอเข้ามาข้างในจะมีรอยพระพุทธบาท 4 รอยขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางอาคาร
ในแต่ละด้านมีแท่นฐาน ประดิษฐานพระพุทธรูปศิลปะอยุธยาเอาไว้หลายองค์และหลายปาง
อาทิ ปางมารวิชัย และปางป่าเลไลยก์

ส่วนรอยพระพุทธบาท 4 รอยที่อยู่ตรงกลางนี้
ถือเป็นรอยพระพุทธบาท 4 ขนาดใหญ่ที่สุดชิ้นหนึ่งของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
โดยรอยพระพุทธบาททั้ง 4 เรียงจากใหญ่ไปเล็กและมีการเรียงสลับไปมา
เชื่อกันว่าตาปะขาวปิ่นผู้สร้างได้แรงบันดาลใจมาจากวัดพระพุทธบาทสี่รอย
อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่
ซึ่งถือว่าศักดิ์สิทธิ์มากโดยเฉพาะกับชาวเชียงใหม่
แต่สิ่งที่ต่างกันคือ รอยพระพุทธบาทที่ปราสาทนครหลวงนี้มีลวดลายมงคล 108 ประการ
อยู่บนรอยพระพุทธบาทอีกด้วย









สำหรับ "ศาลาพระจันทร์ลอย" ในอดีตเคยมีอาคารบางหลังอยู่ในบริเวณนี้
แต่เมื่อเวลาผ่านไปอาคารชำรุดทรุดโทรม
ชาวบ้านจึงได้นำอิฐจากอาคารหลังเดิมไปสร้างวัดจนไม่เหลือสภาพใดๆ
จนกระทั่งพระปลัดปลื้มสร้างศาลาพระจันทร์ลอยแห่งนี้ขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5
หลัง พ.ศ. 2421
ซึ่งอาจเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่มีการบูรณะมณฑปรอยพระพุทธบาทบนปราสาทนครหลวง



ศาลาหลังนี้สร้างขึ้นเพื่อประดิษฐานศิลาพระจันทร์ลอย
เป็นแผ่นหินทรงกลมขนาดใหญ่
สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นธรรมจักรแต่ไม่มีซี่
มีการแกะสลักเป็นพระพุทธรูป เจดีย์ และรูปสัตว์เอาไว้บนแผ่นหินนี้ด้วย
ที่สำคัญ ศิลาพระจันทร์ลอยนี้เดิมไม่ได้อยู่ที่วัดนี้
แต่นำมาจากวัดอื่น





ศิลาพระจันทร์ลอยนี้เล่ากันว่าลอยน้ำมาตามแม่น้ำป่าสัก
และจุดที่พบศิลานี้เป็นจุดแรกก็คือบ้านศิลาลอย อำเภอท่าเรือ
แต่ชาวบ้านไม่สามารถนำหินนี้ขึ้นมา จนลอยต่อไปยังวัดเทพจันทร์
และวัดแห่งนี้แหละครับที่นำศิลาพระจันทร์ลอยขึ้นมาสำเร็จ
โดยสมภารวัดเทพจันทร์ผู้มีวิชาอาคมต้องนำสายสิญจน์ 3 เส้นไปคล้อง
จึงนำขึ้นมาได้ และประดิษฐานยังวัดแห่งนี้


ครั้นถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
กระทรวงมหาดไทยได้อัญเชิญศาลาพระจันทร์ลอยนี้ไปเก็บไว้ที่วัดเบญจมบพิตร กรุงเทพมหานคร
โดยอัญเชิญขึ้นที่ท่าน้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งต่อมาท่าเรือนี้ถูกเรียกว่า ‘ท่าพระจันทร์’ มาจนถึงปัจจุบัน


รัชกาลที่ 5 ทรงพระสุบินว่า ให้นำพระจันทร์ลอยกลับไปไว้ยังที่เดิม
จึงอัญเชิญศิลาพระจันทร์ลอยนี้กลับไปยังอำเภอนครหลวง
แต่แทนที่จะกลับไปยังวัดพระจันทร์ลอยดังเดิม
ศิลานี้กลับนำมาประดิษฐานยังวัดนครหลวงแทน และอยู่มานับแต่นั้นจนถึงปัจจุบัน

เนื่องจากศาลาหลังนี้ประดิษฐานศิลาพระจันทร์ลอย
หน้าบันของศาลาหลังนี้จึงเป็นรูปพระจันทร์ในม่านเมฆ
แล้วข้างในก็ไม่ได้มีแค่ศิลาพระจันทร์ลอยเท่านั้น
ยังมีพระพุทธรูปหินทรายแดงอีกหลายองค์ประดิษฐานอยู่ในนี้













ขอขอบคุณ
ที่มาของข้อมูล : บทความใน วารสารหน้าจั่ว ชื่อ ปราสาทนครหลวง อยุธยา
ของ อ.เกรียงไกร เกิดศิริ และคณะ

เพลง : อยุธยาน่ายล : จินตนา สุขสถิตย์

และขอขอบคุณพี่อ้วน ปาณิษา ขันติวงวาร แห่งบริษัท ทัวร์อินไทยแลนด์ จำกัด
ที่ชวนอุ้มสีออกทริปนี้ค่ะ



ทริปนี้น้องโมโม่ เป็นไกด์ค่ะ



เรียกว่าทริปอยุธยา อิ่มทั้งบุญ อิ่มอกอิ่มใจ และอิ่มท้องเลยค่ะ



ขอขอบคุณ
BG : คุณลักกี้ / กล่องเขียนคอมเม้นท์ : คุณ lozocat
โค้ดแต่ง BLOG : ป้ามด & น้องดอกหญ้าเมืองเลย
ของแต่ง BLOG : คุณชมพร & น้องญามี่ & คุณเนยสีฟ้า



Create Date : 30 เมษายน 2566
Last Update : 3 พฤษภาคม 2566 10:43:33 น. 19 comments
Counter : 1653 Pageviews.

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณnewyorknurse, คุณปัญญา Dh, คุณโอน่าจอมซ่าส์, คุณโฮมสเตย์ริมน้ำ, คุณทุเรียนกวน ป่วนรัก, คุณเริงฤดีนะ, คุณhaiku, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณกะว่าก๋า, คุณปรศุราม, คุณJohnV, คุณสองแผ่นดิน, คุณSweet_pills, คุณโตนิค, คุณกระถินริมเล, คุณเจ้าหญิงไอดิน, คุณนกสีเทา, คุณSertPhoto, คุณStand by bowky, คุณNoppamas Bee, คุณเจ้าการะเกด, คุณแมวเซาผู้น่าสงสาร, คุณไวน์กับสายน้ำ, คุณกิ่งฟ้า, คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณkae+aoe, คุณNENE77


 
สวัสดียามสายค่ะ พี่อุ้ม

อยุธยา ร่องรอยประวัติศาสตร์ที่งดงามค่ะ
ห่างหายไม่ได้ไปไหว้พระหลายปีแล้วค่ะ


โดย: โฮมสเตย์ริมน้ำ วันที่: 30 เมษายน 2566 เวลา:9:28:13 น.  

 
ทริปนี้มากันเป็นรถบัสคณะใหญ่เหมือนกันนะครับ
ท้องฟ้าเปิดกำลังดี เหมาะกับการเที่ยวชมปราสาทอยุธยาดีครับ



โดย: ทุเรียนกวน ป่วนรัก วันที่: 30 เมษายน 2566 เวลา:13:23:11 น.  

 
อะเมซิ่ง..จิงกาเบล มาก็เลย ศิลาจันทร์ลิย
กราบ กราบ กราบ


โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 30 เมษายน 2566 เวลา:14:07:44 น.  

 
ศิลาพระจันทร์ลอย*


โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 30 เมษายน 2566 เวลา:14:10:54 น.  

 
ในสมัยโบราณ
ปราสาทนครหลวงต้องสวยงามตระการตามากๆเลยนะครับพี่อุ้ม



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 30 เมษายน 2566 เวลา:17:55:46 น.  

 
ขอตามไปเที่ยวด้วยคนครับ

เพลงเรือของพี่เอกขอติดไว้ก่อนนะครับ


โดย: JohnV วันที่: 30 เมษายน 2566 เวลา:23:05:16 น.  

 
ตามเที่ยว ไหว้พระด้วยครับ
เจอนกฮูกไหมครับ



โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 30 เมษายน 2566 เวลา:23:19:58 น.  

 

สวัสดียามเช้าครับพี่อุ้ม



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 1 พฤษภาคม 2566 เวลา:5:59:19 น.  

 
ว๊าววว ปราสาทนครหลวง
สวยมากๆๆๆๆ นะคะ


โดย: เจ้าหญิงไอดิน วันที่: 1 พฤษภาคม 2566 เวลา:10:30:00 น.  

 
ไว้หาวันว่างไปเที่ยวมั่ง
อยุธยาแค่นี้เอง


โดย: นกสีเทา วันที่: 1 พฤษภาคม 2566 เวลา:10:32:46 น.  

 
สวยครับ


โดย: SertPhoto วันที่: 1 พฤษภาคม 2566 เวลา:10:35:08 น.  

 
ผ่านแต่ไม่เคยแวะ
โอกาสหน้าต้องไป


โดย: Stand by bowky วันที่: 1 พฤษภาคม 2566 เวลา:10:38:19 น.  

 
น่าไปมากคร้า


โดย: Noppamas Bee วันที่: 1 พฤษภาคม 2566 เวลา:10:42:08 น.  

 
สวยๆๆๆๆคร้า


โดย: เจ้าการะเกด วันที่: 1 พฤษภาคม 2566 เวลา:10:43:45 น.  

 
เวลาโทษคนอื่น
มันคงง่ายดีนะครับพี่อุ้ม
คนเลยไม่ค่อยโทษตัวเอง



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 1 พฤษภาคม 2566 เวลา:12:15:20 น.  

 
ศรัทธาคนโบราณมีมากจริง ๆ จึงสร้าง
สิ่งที่ใหญ่โตขึ้นมาได้


โดย: ไวน์กับสายน้ำ วันที่: 1 พฤษภาคม 2566 เวลา:15:00:29 น.  

 
สวัสดีค่ะน้องอุ้ม ตามไปอยุธยาด้วยค่ะ ได้รับความรู้เพิ่มเยอะมากค่ะ

Travel Blog

ขอบคุณที่ไปให้กำลังใจที่บล็อกไอศครีมมะม่วงนะคะ





โดย: กิ่งฟ้า วันที่: 1 พฤษภาคม 2566 เวลา:21:45:21 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับพี่อุ้ม



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 2 พฤษภาคม 2566 เวลา:5:11:19 น.  

 
แม้จะเป็นซากอิฐแต่ก็สวยงาม อลังการงานสร้างมากค่ะ



โดย: ฟ้าใสวันใหม่ วันที่: 2 พฤษภาคม 2566 เวลา:14:01:30 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

อุ้มสี
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 118 คน [?]






ผล BlogGang Popular Award #16
จากวันที่ 1 ม.ค. 63 - 31 ธ.ค. 63
ขอบคุณนะคะที่โหวตให้อุ้มสี


ผล BlogGang Popular Award #15
จากวันที่ 1 ม.ค. 62 - 31 ธ.ค. 62
ขอบคุณนะคะที่โหวตให้อุ้มสี



ขอบคุณหัวใจ 266 ดวง
ที่แปะให้อุ้มตลอดเดือน ก.พ.60





ขอบคุณผลโหวต
BlogGang Popular Award # 12
ปี พ.ศ.2560


ขอบคุณหัวใจ 499 ดวง
ที่แปะให้อุ้มตลอดเดือน ก.พ.59


ขอบคุณผลโหวต
BlogGang Popular Award # 11
5 มีนาคม 2559



กิจกรรมในเดือนแห่งความรัก
ตลอดเดือนกุมภาพันธ์ 2558
กราบขอบพระคุณทุกท่าน
แปะหัวใจให้ถึง 351 ดวง


ปี พ.ศ. 2558
BlogGang Popular Award # 10


ขอบคุณทุกคะแนนโหวตค่ะ
ซาบซึ้ง อบอุ่น ตื้นตัน



กิจกรรมในเดือนแห่งความรัก
ตลอดเดือนกุมภาพันธ์ 2557
กราบขอบพระคุณทุกท่านค่ะ

คลิกที่นี่:: Interview .. the Blogger :: ~ อุ้มสี ~



ปี พ.ศ.2557
BlogGang Popular Award # 9
ขอบคุณทุกคะแนนโหวตค่ะ
ซาบซึ้ง อบอุ่น ตื้นตัน




ปี พ.ศ.2556
BlogGang Popular Award # 8
ขอบคุณทุกคะแนนโหวตค่ะ
ซาบซึ้ง อบอุ่น ตื้นตัน




Group Blog
 
<<
เมษายน 2566
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
30 เมษายน 2566
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add อุ้มสี's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friends


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.