ปราสาทนครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา โยราณสถานที่คุ้มค่าต้องมาเยือนเมื่อมาเที่ยวกรุงเก่า
ต้องขอขอบคุณพี่อ้วน ปาณิษา ตันติวงวาร ที่ชวนอุ้มมาร่วมทริปในครั้งนี้ นำนักท่องเที่ยวจำนวน 1 รถบัส 36 ท่านเข้าพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2566 เป็นการกลับมาเยือนปราสาทนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นครั้งที่ 3 ในรอบปีนี้ บอกแล้วว่าเมืองกรุงเก่าแห่งนี้เป็นบ้านที่ 2 ของอุ้มสี และอาจกล่าวได้ว่า ปราสาทนครหลวง องค์นี้ เป็นปฐมบทของการทำงาน outdoor ของคุณนายอุ้มสี
ปราสาทนครหลวง หรือ พระมหาปราสาทพระนครหลวง หรือ พระที่นั่งนครหลวง ปราสาทนครหลวง หรือ พระนครหลวง ตั้งอยู่หมู่ที่ 1 ตำบลนครหลวง อำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้รับการขึ้นทะเบียนโบราณสถานและประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 52 ตอนที่ 75 วันที่ 8 มีนาคม 2478 ลักษณะของสถาปัตยกรรมเป็นองค์ปราสาท เป็นพุทธสถานจตุรมุขทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า มี 3 ชั้น ชั้นที่ 2 เป็นซุ้มระเบียงล้อมรอบ ชั้นบนมีมณฑปประดิษฐานพระพุทธบาทสี่รอย สร้างขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง พ.ศ. 2174 ภายหลังจากการสร้างวัดไชยวัฒนาราม 1 ปี โดยพระราชพงศาวดารฉบับบริติชมิวเซียม กล่าวถึงการสร้างปราสาทนครหลวงเอาไว้ว่า
ศักราช 993 ปีมะแมศก ทรงพระกรุณาให้ช่างออกไปถ่ายอย่างพระนครแลปราสาทกรุงกัมภุชประเทศเข้ามา ให้ช่างกระทำพระราชวังเป็นที่ประทับร้อน ตำบลริม วัดเทพจัน สำหรับจะเสด็จขึ้นไปนมัสการพระพุทธบาท จึงเอานามเดิมซึ่งถ่ายมา ใช้ชื่อว่า พระนครหลวง
แต่ปราสาทนครหลวงมีทั้งสิ้น 29 ยอด รวมยอดประธานและยอดบริวาร ในขณะที่ปราสาทนครวัดมีแค่ 9 ยอดเท่านั้น กัมพูชามีปราสาทหินอยู่มากมายแต่ปราสาทที่มี 29 ยอดเท่ากับปราสาทนครหลวง นั่นก็คือ ปราสาทบาปวน นั่นเอง ซึ่งถือเป็นปราสาทสำคัญแห่งหนึ่งของเมืองพระนครเพราะตั้งอยู่ในเขตพระราชฐาน จึงมีสถานะประหนึ่งปราสาทหินสำคัญประจำพระราชวัง ซึ่งตรงกับคำอธิบายในพระราชพงศาวดารว่า ปราสาทกรุงกัมภุชประเทศ จึงสรุปได้ว่า ปราสาทนครหลวงได้แรงบันดาลใจมาจากปราสาทบาปวน
ปราสาทนครหลวงองค์นี้ นอกจากใช้เป็นสถานที่ประทับในระหว่างเสด็จขึ้นไปนมัสการรอยพระพุทธบาทแล้ว ยังมีหลักฐานอีกว่า เป็นสถานที่แห่งนี้ใช้สำหรับประกอบพระราชพิธียิงอัตนาหรือการสวดอาฎานาฏิยสูตร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพระราชพิธีตรุษหลวง ซึ่งจัดขึ้นในเดือน 4 และพระราชพิธีกวนข้าวทิพย์และถวายข้าวยาคูแก่พระสงฆ์ เป็นพระราชพิธีที่กระทำในเดือน 10
ต่อมาเมื่อกรุงแตก ความสำคัญของปราสาทนครหลวงลดน้อยถอยลง จากปราสาทของพระมหากษัตริย์ กลับกลายเป็นวัดขึ้นใน พ.ศ. 2352 โดย ตาปะขาวปิ่น ผู้สร้างมณฑปและรอยพระพุทธบาท 4 รอยไว้ที่ลานชั้นบนสุดของปราสาทนครหลวง ก่อนที่ในรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 เสด็จพระราชดำเนินมาพระราชทานผ้าพระกฐินที่วัดแห่งนี้ และได้มีพระราชประสงค์ให้บูรณะปฏิสังขรณ์ปราสาทนครหลวง แต่สุดท้ายไม่ได้ทำ เพราะมีอาคารประดิษฐานรอยพระพุทธบาท 4 รอยอยู่ข้างบน ครั้นจะรื้อออกจะเป็นเรื่องที่ไม่สมควร
ครั้นถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เสด็จพระราชดำเนินมาที่ปราสาทนครหลวงในปี พ.ศ. 2421 เสด็จทประพาสต้นทางชลมารคประพาสมาถึงมณฑลอยุธยา มาประทับร้อนยังปราสาทนครหลวงแห่งนี้ ในครั้งนั้นทรงให้มีการสำรวจปราสาทนครหลวง โดยทรงโปรดเกล้าฯ ให้ พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้ากาพย์กนกรัตน์ ทำการรังวัดและทำผังถวาย
ปราสาทนครหลวงเป็นอาคารหลังใหญ่ที่สุดในวัดนครหลวง จุดเด่นของปราสาทนครหลวงนั่นคือการมีฐานซ้อนกันถึง 3 ชั้น พบได้ในปราสาทขอมสำคัญหลายแห่ง อย่างปราสาทนครวัด ปราสาทบาปวน หรือปราสาทบายน โดยชั้นที่ 1 และ ชั้น 2 ยังคงสภาพดั้งเดิมสมัยอยุธยาเอาไว้ได้ดีเลยทีเดียว แม้ส่วนยอดปราสาทบริวารจะหักหายไป อย่างไรก็ตาม ส่วนประตูและบันไดมีการฉาบปูนเอาไว้ และมีรูปร่างหน้าตาแตกต่างจากส่วนที่เป็นอิฐอย่างชัดเจน ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะส่วนนี้เกิดจากการบูรณะในสมัยรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 4
เมื่อเดินขึ้นภายในปราสาทนครหลวง ฐานชั้นแรกจะพบทางประทักษิณมีร่องรอยของฐาน ที่ประดิษฐานพระพุทธรูปเอาไว้โดยรอบ และมีพระปรางค์ตั้งอยู่ตามตำแหน่งคล้ายๆ กับที่วัดไชยวัฒนาราม แค่เปลี่ยนจากเมรุทิศเมรุรายของวัดไชยวัฒนารามเป็นปรางค์ทิศและปรางค์มุม ปรางค์บางองค์ยังเหลือสภาพเกือบสมบูรณ์ หากเดินเข้าไปชมข้างในจะเห็นการก่ออิฐของส่วนยอดปราสาทอย่างชัดเจน
เมื่อขึ้นไปถึงฐานชั้นบนสุดของปราสาทนครหลวงซึ่งถือเป็นส่วนที่สมบูรณ์ที่สุด เพราะล้วนผ่านการสร้างขึ้นใหม่ในสมัยรัตนโกสินทร์แทบทั้งสิ้น แทนที่พระมหาปราสาทนครหลวงเดิมที่สร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าปราสาททอง ซึ่งน่าจะสร้างเป็นอาคารเครื่องไม้ตามจารีตการสร้างพระราชมณเฑียรของพระมหากษัตริย์ด้วยไม้ ที่ฐานชั้นบนสุดนี้เป็นที่ตั้งของมณฑปจตุรมุข ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทเอาไว้ข้างใน ล้อมรอบด้วยระเบียงคด ซึ่งประดิษฐานพระพุทธรูปหินทรายเอาไว้หลายขนาด หน้าบันของมณฑปมีจารึกระบุข้อความว่า มณฑป พระนครหลวง ปฏิสังขรณ์ขึ้นเมื่อปีรัตนโกสินทร์ศก 122 ตรงกับ พ.ศ. 2446 ในรัชกาลที่ 5 ซึ่งน่าจะเป็นการบูรณะโดย พระปลัดปลื้ม (ต่อมาคือ พระครูวิหารกิจจานุการ (ปลื้ม)) พระชาวอำเภอนครหลวงที่ไปบวชอยู่ ณ วัดจักรวรรดิราชาวาส และได้มาบูรณปฏิสังขรณ์วัดนครหลวงแห่งนี้
มณฑปที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทมีรูปแบบค่อนข้างเรียบง่าย ไม่มีการประดับหน้าบันอะไรแต่มียอดเป็นมณฑป ด้านหน้ามณฑปจะรูปปั้นพระคเณศที่สร้างขึ้นใหม่ ซึ่งพระคเณศวรองค์นี้อาจดูแปลกตาไปสักหน่อย เพราะท่านนั่งอยู่บนแท่นหัวกะโหลก ที่มีที่นี่เพียงแห่งเดียวในเมืองไทย เชื่อกันว่ามีต้นแบบมาจากพระคเณศศิลปะชวาตะวันออกจากจันทิสิงหาส่าหรี ที่สร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 15 16 โดยผู้สำเร็จราชการชาวฮอลันดาน้อมเกล้าฯ ถวายพระคเณศวรองค์นี้แด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัขกาลที่ 5 เมื่อครั้งเสด็จประพาสชวาเมื่อ พ.ศ. 2439
พอเข้ามาข้างในจะมีรอยพระพุทธบาท 4 รอยขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางอาคาร ในแต่ละด้านมีแท่นฐาน ประดิษฐานพระพุทธรูปศิลปะอยุธยาเอาไว้หลายองค์และหลายปาง อาทิ ปางมารวิชัย และปางป่าเลไลยก์
ส่วนรอยพระพุทธบาท 4 รอยที่อยู่ตรงกลางนี้ ถือเป็นรอยพระพุทธบาท 4 ขนาดใหญ่ที่สุดชิ้นหนึ่งของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยรอยพระพุทธบาททั้ง 4 เรียงจากใหญ่ไปเล็กและมีการเรียงสลับไปมา เชื่อกันว่าตาปะขาวปิ่นผู้สร้างได้แรงบันดาลใจมาจากวัดพระพุทธบาทสี่รอย อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งถือว่าศักดิ์สิทธิ์มากโดยเฉพาะกับชาวเชียงใหม่ แต่สิ่งที่ต่างกันคือ รอยพระพุทธบาทที่ปราสาทนครหลวงนี้มีลวดลายมงคล 108 ประการ อยู่บนรอยพระพุทธบาทอีกด้วย
สำหรับ "ศาลาพระจันทร์ลอย" ในอดีตเคยมีอาคารบางหลังอยู่ในบริเวณนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปอาคารชำรุดทรุดโทรม ชาวบ้านจึงได้นำอิฐจากอาคารหลังเดิมไปสร้างวัดจนไม่เหลือสภาพใดๆ จนกระทั่งพระปลัดปลื้มสร้างศาลาพระจันทร์ลอยแห่งนี้ขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 หลัง พ.ศ. 2421 ซึ่งอาจเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่มีการบูรณะมณฑปรอยพระพุทธบาทบนปราสาทนครหลวง
ศาลาหลังนี้สร้างขึ้นเพื่อประดิษฐานศิลาพระจันทร์ลอย เป็นแผ่นหินทรงกลมขนาดใหญ่ สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นธรรมจักรแต่ไม่มีซี่ มีการแกะสลักเป็นพระพุทธรูป เจดีย์ และรูปสัตว์เอาไว้บนแผ่นหินนี้ด้วย ที่สำคัญ ศิลาพระจันทร์ลอยนี้เดิมไม่ได้อยู่ที่วัดนี้ แต่นำมาจากวัดอื่น
ศิลาพระจันทร์ลอยนี้เล่ากันว่าลอยน้ำมาตามแม่น้ำป่าสัก และจุดที่พบศิลานี้เป็นจุดแรกก็คือบ้านศิลาลอย อำเภอท่าเรือ แต่ชาวบ้านไม่สามารถนำหินนี้ขึ้นมา จนลอยต่อไปยังวัดเทพจันทร์ และวัดแห่งนี้แหละครับที่นำศิลาพระจันทร์ลอยขึ้นมาสำเร็จ โดยสมภารวัดเทพจันทร์ผู้มีวิชาอาคมต้องนำสายสิญจน์ 3 เส้นไปคล้อง จึงนำขึ้นมาได้ และประดิษฐานยังวัดแห่งนี้
ครั้นถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กระทรวงมหาดไทยได้อัญเชิญศาลาพระจันทร์ลอยนี้ไปเก็บไว้ที่วัดเบญจมบพิตร กรุงเทพมหานคร โดยอัญเชิญขึ้นที่ท่าน้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งต่อมาท่าเรือนี้ถูกเรียกว่า ท่าพระจันทร์ มาจนถึงปัจจุบัน
รัชกาลที่ 5 ทรงพระสุบินว่า ให้นำพระจันทร์ลอยกลับไปไว้ยังที่เดิม จึงอัญเชิญศิลาพระจันทร์ลอยนี้กลับไปยังอำเภอนครหลวง แต่แทนที่จะกลับไปยังวัดพระจันทร์ลอยดังเดิม ศิลานี้กลับนำมาประดิษฐานยังวัดนครหลวงแทน และอยู่มานับแต่นั้นจนถึงปัจจุบัน
เนื่องจากศาลาหลังนี้ประดิษฐานศิลาพระจันทร์ลอย หน้าบันของศาลาหลังนี้จึงเป็นรูปพระจันทร์ในม่านเมฆ แล้วข้างในก็ไม่ได้มีแค่ศิลาพระจันทร์ลอยเท่านั้น ยังมีพระพุทธรูปหินทรายแดงอีกหลายองค์ประดิษฐานอยู่ในนี้
ขอขอบคุณ ที่มาของข้อมูล : บทความใน วารสารหน้าจั่ว ชื่อ ปราสาทนครหลวง อยุธยา ของ อ.เกรียงไกร เกิดศิริ และคณะ
เพลง : อยุธยาน่ายล : จินตนา สุขสถิตย์
และขอขอบคุณพี่อ้วน ปาณิษา ขันติวงวาร แห่งบริษัท ทัวร์อินไทยแลนด์ จำกัด ที่ชวนอุ้มสีออกทริปนี้ค่ะ
ทริปนี้น้องโมโม่ เป็นไกด์ค่ะ
เรียกว่าทริปอยุธยา อิ่มทั้งบุญ อิ่มอกอิ่มใจ และอิ่มท้องเลยค่ะ
ขอขอบคุณ BG : คุณลักกี้ / กล่องเขียนคอมเม้นท์ : คุณ lozocat โค้ดแต่ง BLOG : ป้ามด & น้องดอกหญ้าเมืองเลย ของแต่ง BLOG : คุณชมพร & น้องญามี่ & คุณเนยสีฟ้า
Create Date : 30 เมษายน 2566 |
Last Update : 3 พฤษภาคม 2566 10:43:33 น. |
|
19 comments
|
Counter : 1653 Pageviews. |
|
|
|
ผู้โหวตบล็อกนี้... |
คุณnewyorknurse, คุณปัญญา Dh, คุณโอน่าจอมซ่าส์, คุณโฮมสเตย์ริมน้ำ, คุณทุเรียนกวน ป่วนรัก, คุณเริงฤดีนะ, คุณhaiku, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณกะว่าก๋า, คุณปรศุราม, คุณJohnV, คุณสองแผ่นดิน, คุณSweet_pills, คุณโตนิค, คุณกระถินริมเล, คุณเจ้าหญิงไอดิน, คุณนกสีเทา, คุณSertPhoto, คุณStand by bowky, คุณNoppamas Bee, คุณเจ้าการะเกด, คุณแมวเซาผู้น่าสงสาร, คุณไวน์กับสายน้ำ, คุณกิ่งฟ้า, คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณkae+aoe, คุณNENE77 |
โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 30 เมษายน 2566 เวลา:14:07:44 น. |
|
|
|
โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 30 เมษายน 2566 เวลา:14:10:54 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 30 เมษายน 2566 เวลา:17:55:46 น. |
|
|
|
โดย: JohnV วันที่: 30 เมษายน 2566 เวลา:23:05:16 น. |
|
|
|
โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 30 เมษายน 2566 เวลา:23:19:58 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 1 พฤษภาคม 2566 เวลา:5:59:19 น. |
|
|
|
โดย: นกสีเทา วันที่: 1 พฤษภาคม 2566 เวลา:10:32:46 น. |
|
|
|
โดย: SertPhoto วันที่: 1 พฤษภาคม 2566 เวลา:10:35:08 น. |
|
|
|
โดย: เจ้าการะเกด วันที่: 1 พฤษภาคม 2566 เวลา:10:43:45 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 1 พฤษภาคม 2566 เวลา:12:15:20 น. |
|
|
|
โดย: กิ่งฟ้า วันที่: 1 พฤษภาคม 2566 เวลา:21:45:21 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 2 พฤษภาคม 2566 เวลา:5:11:19 น. |
|
|
|
|
|
อยุธยา ร่องรอยประวัติศาสตร์ที่งดงามค่ะ
ห่างหายไม่ได้ไปไหว้พระหลายปีแล้วค่ะ