มกราคม 2558

 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
All Blog
ชีวิตในปีที่ผ่านไป และในปีใหม่ที่เพิ่งจะผ่านมา


ปีที่แล้วมีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเกิดขึ้นภายในครอบครัวของฉัน นั่นคือคุณสามีได้งานใหม่ ข้อดีคือตำแหน่งหน้าที่การงานสูงขึ้นและได้รับเงินประจำตำแหน่งเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย ข้อเสียคือจากเดิมที่เคยใช้เวลาเดินทางไปทำงานไม่ถึง 15 นาทีเพราะที่ทำงานอยู่ใกล้บ้าน กลับต้องใช้เวลากว่าชั่วโมงในการเดินทางกลับบ้านจากที่ทำงานบนฝั่งเกาลูน


ส่วนตัวฉันนั้นก็ยังเป็นลูกจ้างอิสระให้กับ Booking.com เหมือนเดิม เดือนสิงหาคมปีนี้ก็จะครบ 5 ปีที่ Happy Translating กันมา ชาว Booking.com จะปิดท้ายอีเมลทุกฉบับด้วยประโยคที่ว่า “Happy Translating” ซึ่งฉันก็เอามาประยุกต์ใช้ว่า “Happy Sharing Your Comment” เวลาส่งอีเมลหรือเขียนจดหมายข่าวภาษาอังกฤษถึงสมาชิกของ Toluna.com ที่ตัวเองเป็นผู้ดูแลชุมชนประจำประเทศไทย (และมาเลเซียในปีใหม่นี้) อยู่


ทำงานที่นี่มา 2 ปีกว่า คิดว่าประสบความสำเร็จตามเป้าหมายส่วนตัวที่ตั้งใจไว้นะ กำลังรออยู่อย่างเดียวว่าจะได้ปรับค่าแรง (ใช้คำว่า “ค่าแรง” เพราะบริษัทจ่ายค่าจ้างเป็นรายชั่วโมงและทำงานเพียงสัปดาห์ละ 2 วัน) บ้างหรือไม่ในปีใหม่นี้ (เดือนหน้าคงรู้) ซึ่งถึงแม้เขาจะไม่ให้ ก็คงก้มหน้าทำงานต่อพร้อมสะกดจิตตัวเองไปด้วยว่า “I love my job!!”


โชคดีที่รายได้น้อยนิดที่ฉันได้รับในแต่ละเดือน พอให้ฉันใช้จ่ายส่วนตัว ให้พ่อแม่บ้าง เหลือเก็บเสียเป็นส่วนใหญ่ เพราะคุณสามีรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในครอบครัวทั้งหมด (แถมยังมีเงินก้นกระเป๋าให้ฉันเอาไว้ใช้จ่ายส่วนตัวอีกนิดหน่อยในแต่ละเดือนด้วย)







ฉันทำงานแปลอยู่กับบ้านสัปดาห์ละ 2 วันบ้าง 3 วันบ้างแล้วแต่ดีกรีความขยัน สลับกับออกไปทำงานที่ออฟฟิศในเขต Central อีกสัปดาห์ละ 2 วันอย่างค่อนข้างมีความสุขนะ ประโยคที่ว่า “Choose a job you love, and you will never have to work a day in your life.” คงใช้ได้กับชีวิตการทำงานของฉันในช่วง 4-5 ปีหลังนี้

ฉันชอบคิด ชอบเขียน และชอบงานด้าน Marketing เป็นพิเศษ งานที่ทำอยู่ทั้ง 2 บริษัทตอบสนองความชอบของฉันได้เป็นอย่างดี แล้วยังมีเงินเดือนแถมให้ด้วย แต่ละปีฉันทำงานติดกัน 50 สัปดาห์แบบ non-stop (หยุดเสาร์-อาทิตย์) ขนาดกลับเมืองไทยเดือนนึงฉันยังขอทางบริษัททำงานไปด้วยเลย เพราะถ้าไม่ทำงานก็ไม่รู้จะทำอะไร (แปลกคนไหม?)

ฉันจะได้หยุดก็เพียงปีละ 1-2 สัปดาห์ เวลานั่งแปลเนื้อหาของโรงแรมในเมืองต่าง ๆ แล้วมันเกิดอาการ “อยากไปเห็นกับตา” หรือ “อยากไปเห็นอีก” ขึ้นมาอย่างฉับพลัน กำหนดวันหยุดให้ตัวเองและครอบครัวเสร็จสรรพก็คว้าบัตรเครดิตมาจองโรงแรม-ซื้อตั๋วเครื่องบินไปแบบงง ๆ หนุ่มใหญ่ที่บ้านได้แต่หัวเราะกับความบ้าของฉัน ส่วนหนุ่มน้อยโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง เด็กวัยรุ่นอายุเพิ่งเต็ม 14 คนนี้ไม่ชอบออกไปไหน ชอบอยู่แต่ในบ้านเล่นเกมทั้งวัน ฉันเพิ่งลางานหยุดพักผ่อนไป 2 สัปดาห์เต็มเมื่อตอนปลายปี เชื่อไหมว่าพ่อ-แม่ออกไปเที่ยวข้างนอกทุกวัน ส่วนเจ้าลูกชายงอแงขอเฝ้าห้องอยู่แต่ในโรงแรมตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้าย






กลับมาทั้งคุณสามีและตัวฉันเองก็ได้ฉลองของใหม่ใช้สถานีรถไฟใต้ดิน (หรือ MTR) Kennedy Town ที่เพิ่งเปิดบริการไปเมื่อปลายปี ย่นระยะเวลาการเดินทางของเราไปกว่าครึ่งแต่จ่ายเงินเท่าเดิม เป็นของขวัญปีใหม่ที่พวกเราชาว Western District ของเกาะฮ่องกงรอกันมานาน (ครอบครัวของฉันรอสถานีรถไฟใต้ดินแห่งนี้มา 7 ปี) ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่

ฮ่องกงควรจะสร้างสถานีรถไฟใต้ดินสถานีนี้มาตั้งนานแล้ว แต่เนื่องจากติดปัญหาในการเวนคืนที่ในแถบ Sai Ying Pun ทำให้ทางการชะลอเวลาไปเป็นสิบ ๆ ปี จนที่สุดก็อนุมัติให้สร้างสถานีรถไฟสาย Island Line เพิ่มอีก 3 สถานี (ถัดจาก Sheung Wan ซึ่งเคยเป็นสถานีสุดท้าย) นั่นคือ สถานี Sai Ying Pun, สถานี Hong Kong University (HKU) และสถานี Kennedy Town บ้านฉันเอง

วันแรกที่นั่งรถไฟใต้ดินจากสถานี Kennedy Town ไปทำงานก็รู้สึกดี๊ดี เพราะสถานี Kennedy Town นี้เป็นสถานีต้นสาย Island Line จากเกาะฮ่องกงฝั่งตะวันตกไปยังเกาะฮ่องกงฝั่งตะวันออก (Chai Wan เป็นสถานีต้น/ปลายทางจากฝั่งตะวันออก) เพียงสถานีแรกนี้ผู้คนก็มาใช้บริการกันจนเต็ม แทบไม่มีที่นั่งเหลือแล้ว พอมาถึงสถานี Sai Ying Pun ซึ่งจะเปิดให้บริการประมาณเดือนเมษายน (เนื่องจากติดปัญหาในการก่อสร้าง MTR ต้องขุดเจาะพื้นที่ลงไปลึกมาก เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาในการเวนคืนที่ดิน) แทนที่รถไฟจะแล่นผ่านสถานีนี้ไปเสียเฉย ๆ ก็กลับจอดนานเลย (แต่ประตูปิด ผนังสถานียังปิดอยู่นะ) พร้อมประกาศว่า สถานี Sai Ying Pun นี้ยังไม่เปิดบริการ ซึ่งฉันถึงกับอมยิ้มในความแปลกประหลาด (หรือเปล่า?) อันนี้ เข้าใจว่าเขาคงโปรแกรมรถไฟ (Auto Pilot) ให้มันจอดอัตโนมัติเพื่อให้ผู้ใช้บริการเคยชินว่าต้องเสียเวลาไปกับสถานีนี้กันด้วย หากอีกหน่อยเขาสร้างเสร็จและเปิดใช้งานจริง






ข่าวดีรับปีใหม่อย่างสุดท้ายของฉันคือการได้รับเลือกจากทีมเนื้อหาของ Booking.com ให้ร่วมงานแปลโครงการใหม่ของบริษัท (ที่นี่มีทีมนักแปลอิสระคนไทยไม่ต่ำกว่า 5 คน) หลังจากที่เพิ่งได้รับการทาบทามจากทีมสรรหาทรัพยากรบุคคลไปหมาด ๆ ให้ลองส่งใบสมัครตำแหน่ง Thai Language Specialist ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เขาเปิดใหม่ในสำนักงานกรุงเทพฯ ฉันได้แต่ปฏิเสธไปเพราะไม่ได้อยู่เมืองไทย (เขาไม่รู้หรือนี่??) ใครที่อ่านมาถึงตรงนี้ แล้วอยู่กรุงเทพฯ มีประสบการณ์ทางงานเขียนงานแปล และสนใจร่วมทีมกับ Booking.com ก็เข้าไปดูรายละเอียดกันได้ในเว็บไซต์เลยนะคะ เรายังต้องการคนอยู่ เห็นว่ายังไม่ได้รับใคร


ฉันเซ็นสัญญาทำงานแปลโครงการใหม่ให้บริษัท ซึ่งเป็นงานแปลแนวสร้างสรรค์ (หรืออีกนัยยะหนึ่งคือ...ยากมากกกกกขึ้น) ด้วยค่าจ้างที่ฉันตีปีกผับ ๆ ในตอนแรก แต่พอได้เริ่มงานชิ้นแรกจำนวนสองพันกว่าคำไปเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา แล้วต้องใช้เวลาเกือบ 2 วันเต็มกว่าจะได้งานแปลที่ถูกใจ โดยได้ค่าจ้างน้อยกว่าที่ไปทำ Toluna วันเดียวเสียอีก ฉันก็อยากจะถอดใจ แต่อ่ะนะ..ท้อได้แต่ฉันไม่ยอมถอย คงต้องรอดูกันไปว่าความเร็วในการปั้นน้ำเป็นตัว (อักษร) ของฉันจะพัฒนาขึ้นบ้างหรือไม่


ใครหลงเข้ามาอ่านถึงตรงนี้ คงจะตราหน้าฉันอยู่ในใจว่า “นังนี่มันบ้า!! … พล่ามแต่เรื่องงาน” ฉันก็รู้สึกว่าตัวเองบ้างานเกินไปอยู่เหมือนกันค่ะ แต่อย่างที่บอกนั่นแหละว่า ถ้าเลือกงานที่ชอบแล้ว คุณจะไม่รู้สึกว่าทำงานเลย พอฉันรู้สึกเหนื่อย หรือรู้สึกว่าชีวิตมันจำเจเกินไป ฉันก็จะหาอะไรใหม่ ๆ ทำ





อย่างเมื่อปลายปีที่แล้ว ฉันก็ไปลงเรียนคอร์ส Basic Photography ของ HKU Space หลังจากที่รู้สึกว่าตัวเองหมดไฟในการถ่ายภาพเพราะเอาเวลาไปทำงานหมด เสาร์-อาทิตย์ก็พักผ่อนกับครอบครัว ไปหาอะไรกินนอกบ้านบ้าง ทำอะไรกินกันในบ้านบ้าง สัปดาห์หนึ่งมันผ่านไปไวอย่างกับโกหก แทบไม่มีเวลาหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายอะไรเลยหากไม่ได้ไปกินข้าวนอกบ้านหรือไปงานปาร์ตี้ของนิตยสาร Foodie ที่ฉันเป็นสมาชิกและถ่ายภาพในงานปาร์ตี้ให้เขา (เป็นบางงาน) อยู่


ฉันจ่ายเงินไป 2,000 กว่าเหรียญสำหรับคอร์สนั้น ซึ่งเรียนกันหลังเลิกงานวันจันทร์สัปดาห์ละ 2 ชั่วโมงเป็นเวลา 10 สัปดาห์ อาจารย์ผู้สอนเป็นช่างภาพอาชีพ (ฝรั่ง) เธอจะสั่งการบ้านให้พวกเราถ่ายภาพมาส่งทุกสัปดาห์ ซึ่งภาพของฉันก็มักจะได้รับเลือกให้เป็นภาพที่ดีที่สุดในคลาสอยู่เสมอ ไม่ใช่ว่าฉันเก่งกาจหรืออะไรหรอกนะ ชื่อคอร์สก็บอกแล้วว่า Basic Photography มีแต่มือใหม่กันทั้งนั้น (บางคนเพิ่งซื้อกล้องจับกล้องเป็นครั้งแรกก็เมื่อลงเรียนคอร์สนี้) มีฉันนี่แหละที่ถ่ายภาพมา 4-5 ปีแล้วอยู่คนเดียว




คลาสถ่าย Portrait ในสตูดิโอ มี Rita เพื่อนร่วมคลาสเป็นนางแบบให้



หลังจากจบคอร์สไปแล้ว ฉันก็ไม่ได้รู้สึกว่าได้เรียนรู้อะไรเพิ่มขึ้นมากมายหรอกนะ เพราะส่วนใหญ่อาจารย์ก็สอนเรื่องที่ฉันรู้มาแล้วทั้งนั้น ข้อดีคือฉันได้ทบทวนทฤษฎีการถ่ายรูปที่เคยมีบ้างไม่มีบ้างกันในคลาส เวลาว่างนอกคลาสที่ฉันต้องมานั่งคิดหาไอเดียหัวแทบแตกว่าฉันจะถ่ายรูปอะไรอย่างไรให้รูปของฉันได้รับเลือกเป็นรูปที่ดีที่สุด (และได้ช็อกโกแลตจากอาจารย์เป็นรางวัล) นี่ต่างหากที่ทำให้ฉันพัฒนาฝีมือ (ที่ไม่ค่อยจะมี) ขึ้นมาได้บ้าง (บ้าง ... เท่านั้นนะ) ฉันจ่ายเงินไปเพื่อฝึกให้ตัวเองมีวินัยในการหยิบกล้องขึ้นมาเล่นบ้างเท่านั้น




Create Date : 11 มกราคม 2558
Last Update : 11 มกราคม 2558 18:19:42 น.
Counter : 1770 Pageviews.

0 comments

ป้าเดซี่
Location :
堅尼地城  Hong Kong SAR

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 77 คน [?]





เจ้าของบล็อกนี้มีชื่อไซเบอร์ว่า "ป้าเดซี่" ค่ะ ย้ายตามครอบครัวมาปักหลักและทำงานที่ฮ่องกงเป็นปีที่ 8

เป็นมนุษย์เงินเดือนไทยในต่างแดนมาก็หลายงาน ตั้งแต่เลขานุการผู้บริหาร พนักงานติดตามเร่งรัดหนี้สิน นักแปล ล่าม ฯลฯ

ปัจจุบันเป็นนักแปลอิสระสัญชาติไทยประจำบริษัทรับจองห้องพักออนไลน์สัญชาติดัตช์มากว่า 4 ปี เป็นผู้จัดการชุมชนออนไลน์สัญชาติไทยประจำบริษัทศึกษาวิจัยทางการตลาดสัญชาติฝรั่งเศสมากว่า 3 ปี และเป็นจิตอาสาทำงานแปลเอกสารให้กับมูลนิธิเด็กอ่อนในสลัมฯ ประเทศไทยมากว่า 4 ปีค่ะ

บล็อกนี้ก็เป็นบล็อกเกี่ยวกับการใช้ชีวิต และอาการวิปริตทางความคิดและจิตใจของผู้หญิงไทยสายสามัญคนหนึ่ง ซึ่งมาใช้ชีวิตแบบสุขบ้าง ทุกข์บ้างในฮ่องกง

หวังว่าทุกท่านที่พลัดหลงเข้ามาในบล็อกนี้คงได้รับความไร้สาระกลับออกไปบ้างตามยถากรรมนะคะ