มกราคม 2556

 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
15
16
17
18
19
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
All Blog
เป็ดปักกิ่งต้นตํารับที่โรงแรม Grand Mercure Beijing Central


ชื่อร้าน : Grand Mercure Beijing Central
รายการอาหาร : เป็ดปักกิ่ง
ที่ตั้งร้าน : 6 Xuanwumen Nei Avenue, Xicheng District, China
พิกัด GPS : 39° 49' 40.98" N 116° 24' 57.38" E




ป้าเดซี่อัพโหลดบล็อกที่แล้วตอนอยู่ในปักกิ่งเพื่อฆ่าเวลา คืออยู่ที่นั่นซะ 8 วัน อากาศก็หนาว ออกไปเที่ยวแค่ 3-4 ชั่วโมงก็อยากกลับมารับไออุ่นในโรงแรมแล้ว วัน ๆ นึงเลยอยู่ในโรงแรมซะเป็นส่วนใหญ่





อยู่เมืองจีนเข้า Facebook เข้า YouTube ก็ไม่ได้เนอะ แถมรายการโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมของที่โรงแรมก็เน้นสาระเสียเป็นส่วนใหญ่ HBO ภาพก็ไม่ชัดแจ๋วเหมือนดูในฮ่องกงเลยอ่ะ






วัน ๆ มีเวลาว่างช่วงก่อนอาหารค่ำเยอะ เลยมานั่งเขียนบล็อก แต่ด้วยความที่ร้างจากการอัพโหลดบล็อกประเภทคิด ๆ เขียน ๆ ไปนาน มันไม่ค่อยสนุกแล้ว กะแล้วว่าคงไม่ได้มาเล่าอะไรต่อจากบล็อกนั้น






เพราะพอกลับมาถึงฮ่องกงก็ไม่สามารถหาเวลามานั่งเขียนอะไรยาว ๆ ใช้เวลาหลายชั่วโมงได้แล้วค่ะ แทบไม่มีเวลาเลย

อ่ะ .. เข้าเรื่องกันดีกว่า







เมื่อรู้ว่าต้องไปปักกิ่ง (รายการนี้คุณสามีขอมา อิชั้นไม่ได้อยากไปเลยอ่ะ) ก็พยายามคิดหารายการเพื่อความบันเทิงของตัวเอง จะรายการอะไรซะอีกล่ะ ถ้าไม่ใช่รายการกิน







เคยข้องใจสงสัยมานานแล้วว่า เป็ดปักกิ่งของแท้ที่ปักกิ่งนั้น เค้าสไลซ์หนังเป็ดมาเสิร์ฟแบบติดเนื้อด้วยหรือเปล่า คือเท่าที่เคยรับประทานเป็ดปักกิ่งมาหลายประเทศ ไม่เคยเห็นที่ไหนที่เสิร์ฟเป็ดปักกิ่งเฉพาะหนังเหมือนที่เมืองไทยเลยล่ะค่ะ







แถมรับประทานเป็ดปักกิ่งในฮ่องกง (ซึ่งไม่ใช่ต้นตำรับ) เค้าเฉือนหนังเป็ดมาให้เราปุ๊บ ก็เอาเป็ดกลับเข้าครัวไปเฉยเลย มีบางร้านเท่านั้นที่เข้ามาถามไถ่ว่าจะเอาซากเป็ดกลับบ้านมั้ย (คุณว่าอิชั้นเอามั้ย ??)







เลยตั้งใจไว้ว่า เดี๋ยวไปปักกิ่งก่อนนะ จะไปตระเวนลองเป็ดปักกิ่งหลาย ๆ ร้านดู ให้หายข้องใจว่าเค้าเสิร์ฟกันอย่างไร







แต่พอไปถึงปักกิ่ง กว่าจะตื่น กว่าจะรับประทานอาหารเช้า กว่าจะอาบน้ำแต่งตัว ได้ออกจากโรงแรมประมาณเที่ยง ไปเที่ยวนั่น เที่ยวนี่ กลับมาโรงแรมไม่เกิน 5 โมงเย็น ทั้งเหนื่อยและหนาว (บรื๋อ) ไม่อยากจะออกไปไหนอีกแล้วค่ะ







ไอ้ที่เคยตั้งใจไว้ว่า จะไปตระเวนตามล่าหาเป็ดปักกิ่งตำรับแท้และดั้งเดิมเพื่อไขปัญหาข้องใจมาแรมปี ก็กลืนน้ำลายตัวเองซะงั้น ลงลิฟต์ไปชั้น 3 เข้าห้องอาหารของโรงแรมตลอด







ห้องอาหารดังกล่าวมีชื่อว่า "China Kitchen" เป็นห้องอาหารจีน ซึ่งเชฟนั้นชำนาญอาหารจีนกวางตุ้งเป็นพิเศษ แต่ทางห้องอาหารก็มีเมนูอาหารอาหารจีนในมณฑลอื่น ๆ ด้วย







เราพักอยู่ที่โรงแรมนี้ 8 คืน มีเพียงคืนเดียวที่ไปห้องอาหารอื่นซึ่งให้บริการอาหารนานาชาติ นอกนั้นจะมาที่ห้องอาหารจีน China Kitchen ตลอดค่ะ







อาหารที่สั่งก็ซ้ำกันเสียเป็นส่วนใหญ่ ที่สั่งบ่อยที่สุดก็คือเป็ดปักกิ่งนี่แหละค่ะ สั่งกันเรียกว่าวันเว้นวัน หม่ำเป็ดปักกิ่งไป 3 มื้อ 3 ตัว ซึ่งเป็ดมันก็จะต่างกันไปนะ บางวันก็กรอบบ้างนิ่มบ้าง บางวันก็กรอบเกรียม บางวันก็มันเยิ้มเชียว







อิชั้นพกกล้องไปถ่ายรูปเล่นทุกวัน เลยได้รูปมาเยอะมาก วันนี้เลยขอเป็นรีวิวเฉพาะเป็ดปักกิ่งของที่นี่อย่างเดียวเท่านั้น บล็อกหน้าจะมารีวิวอาหารที่เหลือนะคะ






เป็ดปักกิ่งที่นี่คงจะขายค่อนข้างดี เราไม่ต้องรอนานมากเหมือนที่ไปรับประทานที่อื่น ซัก 20 นาทีก็มาเสิร์ฟแล้ว







เมื่อใกล้เวลาจะเสิร์ฟพนักงานก็จะนำโต๊ะแบบพับได้เล็ก ๆ มาวาง รอให้เชฟนำเป็ดมาเฉือน มาหั่นกันที่ข้างโต๊ะ







บริกรก็จะนำเครื่องเคียงต่าง ๆ เช่น แตงกวาหั่น ต้นหอมเฉพาะต้น ซอสเป็ดปักกิ่ง และแผ่นแป้งมาวางไว้ให้







คืนแรกที่เราสั่งเป็ดปักกิ่ง ด้วยความที่นึกว่าจะเหมือนกับที่ฮ่องกง ที่เค้าเสิร์ฟเสร็จก็สะบัดบ๊อบหิ้วซากเป็ดกลับเข้าครัวกันไป เลยสั่งอาหารจานอื่นอีก 2-3 อย่าง







ปรากฏว่า ที่นี่เสิร์ฟอาหารจานแถมจากเนื้อเป็ดและกระดูกเป็ดที่เหลือให้อีก 2 อย่างด้วย เหมือนที่เมืองไทยเลย วันต่อ ๆ มาถ้าสั่งเป็ดปักกิ่งแล้ว เราแค่สั่งข้าวผัดกับผัดผักอีกจานเท่านั้น อาหารก็เต็มโต๊ะแล้วค่ะ







อย่างจานนี้เป็นจานแถมมากับการสั่งเป็ดปักกิ่ง คือ ผัดเนื้อเป็ดกับแครอท ถั่วงอก และต้นหอม ของชอบของครอบครัวเลยล่ะค่ะ เป็นผักที่เจ้าตัวเล็กชอบ แถมเนื้อเป็ดยังไม่เหนียวเลยด้วย เข้าใจว่าเค้าหมักกับผงฟู (หรือเปล่าหนอ) ก่อนที่จะเอามาผัด







อีกวันที่ไปก็ได้ผัดผักกับเนื้อเป็ดเหมือนเดิมเป๊ะ ทำให้เข้าใจไปว่า เป็นจานประจำ ชอบสิ !!








อาหารอีกอย่างที่เป็นอาหารแถมของเป็ดปักกิ่งคือ ซุปกระดูกเป็ดกับผักกาดแก้ว เป็นอาหารธรรมดา ๆ ไม่หรูหราอะไรนี่แหละค่ะ แต่เหมาะกับสภาพอากาศแบบอุณหภูมิติดลบของปักกิ่งยิ่งนัก ซดแล้วร่างกายอบอุ่นคลายหนาวดีแท้ วันแรกให้มาเป็นชามยักษ์ใหญ่ มีถ้วยเล็ก ๆ มาตักแบ่งกันเองค่ะ







อีกวันนึง เค้าแบ่งใส่ถ้วยเสิร์ฟแบบมีฝามาให้คนละถ้วย









วันสุดท้ายที่เราสั่งลาปักกิ่งเป็นคืนวันศุกร์ แขกในห้องอาหารเยอะมาก (วันอื่น ๆ ที่เราไปคนน้อยมาก ๆ เพราะเป็นหน้าโลว์ ไม่ใช่ฤดูกาลท่องเที่ยวของที่นั่น) อาหารได้ช้า แต่ด้วยความที่เรามีอะไรทำไปเพลิน ๆ จึงไม่โมโหหิวแต่อย่างใดนะ

และหลังจากที่เค้าเสิร์ฟเป็ดปักกิ่งกันแล้ว เราได้ซุปกระดูกเป็ดมาหนึ่งถ้วยใหญ่ จานแถมอีกจานนึงเปลี่ยนไปไม่ใช่ผัดเนื้อเป็ดอีกแล้ว แต่เป็นเป็ดทอดพริกเกลือ คงเป็นเพราะจานนี้ใช้เวลาในการทำน้อยกว่า ง่ายกว่า เร็วกว่านั่นเอง แขกเต็มห้องอาหารขนาดนี้เนอะ

รสชาติอร่อยดีค่ะสำหรับอิชั้น เค็ม ๆ เผ็ด ๆ แต่เนื้อเป็ดเหนียวมาก ๆ แบบแทบจะแทะไม่ได้เลย ได้แต่อม 555 อมไป 2 ชิ้นก็ยอมแพ้แล้ว ส่วนคุณฝรั่งแอบเคือง เนื่องจากเค้าชอบผัดผักกับเนื้อเป็ดมาก แถมวัฒนธรรมของฝรั่งบ้านนี้เค้าไม่รับประทานเนื้อเป็ดติดกระดูก

อ่ะ .... ใครมีโอกาสได้ไปพักที่ Grand Mercure Beijing Central ก็ลองไปใช้บริการห้องอาหารจีน China Kitchen ของเค้าได้นะคะ ราคาหลังจากบวกภาษีและบริการแล้ว พอ ๆ กับราคาอาหารในร้านอาหารระดับเดียวกันที่ฮ่องกง (ถูกกว่านิดหน่อย)

พนักงานเต็มใจให้บริการ ถึงแม้ว่าจะพูดภาษาอังกฤษกันแทบไม่ได้เลย คุณสามีอิชั้นพูดภาษาจีนกลางได้นิดหน่อย อิชั้นพูดภาษาจีนกวางตุ้งได้นิดหน่อย ก็สามารถสื่อสารกับพนักงานได้พอเข้าใจด้วยความงงปนฮา

พบกันใหม่บล็อกหน้า สวัสดีค่ะ




Create Date : 14 มกราคม 2556
Last Update : 21 มิถุนายน 2556 15:12:54 น.
Counter : 4121 Pageviews.

0 comments

ป้าเดซี่
Location :
堅尼地城  Hong Kong SAR

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 77 คน [?]





เจ้าของบล็อกนี้มีชื่อไซเบอร์ว่า "ป้าเดซี่" ค่ะ ย้ายตามครอบครัวมาปักหลักและทำงานที่ฮ่องกงเป็นปีที่ 8

เป็นมนุษย์เงินเดือนไทยในต่างแดนมาก็หลายงาน ตั้งแต่เลขานุการผู้บริหาร พนักงานติดตามเร่งรัดหนี้สิน นักแปล ล่าม ฯลฯ

ปัจจุบันเป็นนักแปลอิสระสัญชาติไทยประจำบริษัทรับจองห้องพักออนไลน์สัญชาติดัตช์มากว่า 4 ปี เป็นผู้จัดการชุมชนออนไลน์สัญชาติไทยประจำบริษัทศึกษาวิจัยทางการตลาดสัญชาติฝรั่งเศสมากว่า 3 ปี และเป็นจิตอาสาทำงานแปลเอกสารให้กับมูลนิธิเด็กอ่อนในสลัมฯ ประเทศไทยมากว่า 4 ปีค่ะ

บล็อกนี้ก็เป็นบล็อกเกี่ยวกับการใช้ชีวิต และอาการวิปริตทางความคิดและจิตใจของผู้หญิงไทยสายสามัญคนหนึ่ง ซึ่งมาใช้ชีวิตแบบสุขบ้าง ทุกข์บ้างในฮ่องกง

หวังว่าทุกท่านที่พลัดหลงเข้ามาในบล็อกนี้คงได้รับความไร้สาระกลับออกไปบ้างตามยถากรรมนะคะ