Group Blog
 
 
พฤศจิกายน 2552
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
12 พฤศจิกายน 2552
 
All Blogs
 
วาสนาวดี – วิษณุวัจน์ ตอนที่ 6



บริเวณนอกเมืองพาราณสี มีกระโจมพักขนาดใหญ่แสดงถึง ศักดิ์อันสูงของผู้ที่พักในกระโจม เหล่าทหารจำนวนหนึ่งพักผ่อนอยู่รายรอบกระโจมนั้น ด้วยเครื่องทรงสีเขียวและตราสัญลักษณ์ที่ประดับอยู่นั้นบ่งบอกได้ว่าทหารเหล่านี้ เป็นทหารมาจากนคร กุสินารา แห่งองค์ภาณุทัตราชาเป็นแน่แท้

ในกระโจมพักมีชายหนุ่ม ผิวขาวผ่องพรรณราวกับหิมะจากหิมาลัยบรรพต นั่งอยู่บนตั่งเหนือชายวัยกลางคนผมสีดอกเลา ชายหนุ่มนั้นดูมีลักษณะสูงศักดิ์ รูปร่างองอาจ สูงใหญ่ ส่วนชายวัยกลางคนนั้นถึงแม้จักดูเป็น
ผู้ทรงภูมิ แต่ด้วยกริยาท่าทางบ่งบอกได้ว่า เป็นข้ารับใช้ ชายหนุ่มแน่แท้

“ทูลกระหม่อมพะยะค่ะ หม่อมฉันเป็นห่วงพระองค์ยิ่งนัก หากการปลอมแปลงพระองค์ถูกจับได้ จักกลายเป็นเรื่องใหญ่โตนัก พะยะค่ะ”

“ท่านอย่าคิดมากซี ท่านวรุต มิมีใครจับเราได้หรอก ใครจักเคยพบเห็นเรามาก่อนก็มิเคยมี”

“แล้วใยพระองค์จักต้องทรงลอบปลอมแปลงตนด้วยพะยะค่ะ พระองค์เสด็จมาเจริญสัมพันธไมตรีกับกาสี ในนามของ เจ้าชายธนทัศ พระอนุชาแห่งภาณุทัตราชา จักมิทรงดีกว่าฤาพะยะค่ะ”

“ไม่ดีหรอกวรุต เราแค่อยากเจอ มกุฎราชกุมารแห่งราชคฤห์ อยากรู้นักว่าที่เล่าลือถึงความเรืองฤทธิ์ มหิทธานุภาพ แลบารมีของพระองค์นั้น เป็นดั่งที่เล่าลือสักเท่าใด แต่เรามิอยากให้ผู้ใดรู้จักเรา เราว่านั่นเป็นการดีนักที่เราจักไม่แสดงตน เราอยากรู้ด้วยว่า พาราณสีต้อนรับเหล่าราชทูต เยี่ยงไร”

“ใยพระองค์ถึงข้องพระทัยกับมกุฎราชกุมารแห่งราชคฤห์นักพะยะค่ะ”

“ถ้าใครในสามภพนี้จักน่าหวาดหวั่นต่อราชบัลลังก์แห่งเสด็จพี่เราที่สุดแล้วนั้น ก็คงมิพ้น วิษณุวัจน์ผู้นี้ ยิ่งหลังจากเจ้าชายพระองค์นี้ปราบวัชระราชาลงได้ ก็มิมีใครที่จักมีบารมีต่อกรกับวิษณุวัจน์ได้อีก เราเกรงว่าสักวัน วิษณุวัจน์ผู้นี้จักคิดการใหญ่ ขยายอาณาเขตบารมีแห่งมคธขึ้นมาถึงทางเหนือ แลยิ่งเจ้าชายพระองค์นี้ทรงประทับอยู่ พาราณสีแห่งนี้เนิ่นนาน ก็ยิ่งแสดงให้เห็นสัมพันธไมตรีที่เหนียวแน่นระหว่างพระองค์แลพาราณสี หากเป็นดั่งข่าวกล่าวลือ ว่าวิษณุวัจน์หมายตำแหน่งราชบุตรเขยแห่งพาราณสีด้วยแล้วไซร้ แคว้นมัลละของเราก็อันตรายยิ่ง”

“ด้วยเหตุนี้หรอกฤาพระองค์จึงหมายจักปลอมตนเข้ามาในคณะทูต เพื่อสังเกตการณ์องค์สมเด็จพระยุพราชแห่งราชคฤห์มหานคร”

“ใช่แล้ววรุต แลพรุ่งนี้คณะของเราคงเข้าถึงตัวเมืองพาราณสี แลหลังจากนี้ท่านโปรดเรียกนามใหม่ของเราว่า วาทิศ เถิด”


******************

ณ ปราสาทราชมณเฑียรทองแห่งองค์สมเด็จ จารุทัตต์ราชา บัดนี้ได้เปิดต้อนรับเหล่าคณะราชทูตแห่งแคว้นมัลละ

คณะทูตจากกุสินารานี้นำมาโดยวรุตมหาอำมาตย์แห่งกุสินารา โดยนอกเหนือจากการเจริญสัมพันธไมตรีต่อแคว้นกาสีแห่งองค์สมเด็จจารุทัตต์ราชันแล้ว ก็หมายที่จักเข้าเฝ้าเจริญสัมพันธไมตรีต่อองค์พระยุพราชแห่งราชคฤห์ด้วย

“นอกจากเหล่า ผ้าแพรพรรณ อัญมณีล้ำค่า ที่นำมาบรรณาการ แด่องค์สมเด็จจารุทัตต์ราชา และองค์สมเด็จพระยุพราชแล้วไซร้ องค์ภาณุทัตราชา ยังได้ถวายอาชาพันธุ์ดีจาก กุสินารามาเป็นบรรณาการให้แด่ทั้งสองพระองค์ด้วยพะยะค่ะ”วรุตกล่าวทูลแด่องค์ผ่านฟ้าแห่งพาราณสี แลองค์มกุฎราชกุมารแห่งราชคฤห์ที่ทรงประทับอยู่เหนืออาสน์

“เราขอฝากท่านทูตกลับไปขอบพระทัยน้ำมิตรไมตรีแห่ง กษัตริย์ของท่านด้วยเถิด สิ่งของที่นำมาบรรณาการนั่นมิสำคัญเท่าไมตรีแห่งสองแคว้น อืม คงมิใช่แค่สองแคว้นแต่ต้องสามแคว้นใช่ไหม วิษณุวัจน์” องค์ราชันหันไปตรัสกับองค์พระยุพราชผู้ประทับอยู่เบื้องขวาแห่งพระองค์

“พะยะค่ะ หม่อมฉันก็รู้สึกซาบซึ้งในน้ำพระทัยแห่งองค์ภาณุทัตราชา ที่ทรงเผื่อแผ่น้ำพระทัยมายังหม่อมฉัน”

“นอกจากเหล่าของบรรณาการแล้ว หม่อมฉันได้นำการแสดงดุริยางค์ดนตรี แลฟ้อนรำนำมาถวายให้แด่ องค์จารุทัตต์ราชา องค์สมเด็จพระยุพราช แลวาสนาวดีราชกุมารีด้วยพะยะค่ะ หม่อมฉันขอพระราชานุญาตจากองค์ผ่านฟ้า เพื่อจักนำการแสดงมาให้ทั้งสามพระองค์ทรงทอดพระเนตรพะยะค่ะ” เมื่อองค์จารุทัตต์ราชาได้สดับฟังคำขอจากท่านราชทูตแล้วก็ทรงให้สัญญาณอนุญาต

เหล่านักดุริยางค์ดนตรีแห่งกุสินาราต่างลงนั่งกลางท้องพระโรง ผู้ที่นั่งอยู่กลางนั้นเป็นชายหนุ่มผิวขาวผุดผ่อง รูปลักษณะงดงาม ชายหนุ่มเริ่มกรีดนิ้วลงบนพิณสาย แลเหล่าเครื่องดนตรีชิ้นอื่นก็เริ่มบรรเลงตาม

องค์หญิงวาสนาวดี ผู้ทรงประทับอยู่เหนืออาสน์เบื้องซ้ายทรงทอดพระเนตรมองหัตถ์ของชายหนุ่มผู้นั้นอย่างไม่ละสายพระเนตร ในพระทัยทรงรู้สึกนับถือในความสามารถแห่งการดนตรีของชายผู้นี้นัก พระองค์มิเคยทรงรู้มาก่อนว่า กุสินารามีเพชรเม็ดงามเช่นนี้อยู่

เมื่อการบรรเลงดุริยางค์ดนตรีนั้นจบลง เสียงปรบมืออันกึกก้องดังไปทั่วถ้วนท้องพระโรง

“เพลงพิณนั้นแสนไพเราะยิ่งนัก เรามิเคยได้สดับเสียงไพเราะ แลการบรรเลงที่ดูแปลกตาเช่นนี้มาก่อนเลย วาสนาวดี วิษณุวัจน์ เจ้าว่าอย่างไรบ้าง”องค์ราชันแห่งพาราณสีทรงปรบพระหัตถ์ แลตรัสชื่นชม ผู้บรรเลงพิณที่ประทับอยู่เบื้องพระพักตร์ของพระองค์

“โอ้ ท่านผู้เลิศล้ำ เราอยากรู้นามของท่านยิ่งนัก หากท่านกล่าวว่าท่านเป็นคนธรรพ์จาก วิมานชั้นฟ้าข้าก็มิอาจกล่าวเถียงได้”สุรเสียงหวานใสจากองค์สมเด็จพระราชกุมารีทรงตรัสถามเจ้าของฝีมือบรรเลงพิณอันเลิศล้ำนั้น

“ขอบพระทัยพะยะค่ะ ทูลกระหม่อมกล่าวยอหม่อมฉันสูงค่าเกินยิ่งนัก อันนามของหม่อมฉันคือ วาทิศ แลมิได้เป็นคนธรรพ์จากวิมานใด ๆ หม่อมฉันเป็นเพียงแค่ นักดนตรีประจำพระองค์ภาณุทัตราชา พะยะค่ะ”

เจ้าชายธนทัศ หรือบัดนี้คือ วาทิศ นักดนตรี ทรงทอดพระเนตรมององค์วาสนาวดีเทวีแห่งพาราณสีอย่างแปลกพระทัยยิ่งนัก อันองค์ราชกุมารีที่เล่าลือกันว่างามล้ำนั้นทรงภูษาราวกับมานพ ดวงพักตร์งามอย่างที่เล่าลือมิผิดนัก แต่ใยเล่าองค์ราชกุมารีจึงทรงภูษาเยี่ยงนี้


“แม้เรามิถนัดการดนตรีเช่นวาสนาวดี แต่เราก็รู้สึกถึงความไพเราะอันแปลกล้ำจากฝีมือของท่าน วาทิศ”สุรเสียงทุ้มนุ่มแห่งองค์วิษณุวัจน์ได้ปลุกเรียก เจ้าชายธนทัศจากภวังค์

“ขอบพระทัยพะยะค่ะ”เจ้าชายธนทัศกล่าวตอบ แลก็ทรงลอบพิศดูเจ้าของสุรเสียงนั้น

นี่เป็นคราแรกที่พระองค์ได้ทรงพบเจ้าชายวิษณุวัจน์ ทรงแปลกพระทัยเล็กน้อยเมื่อพบว่าเจ้าชายวิษณุวัจน์นั้นทรงมีพระจริยวัตรที่แตกต่างจากที่พระองค์ทรงคาดไว้นัก มิได้ทรงดุดันเฉกเช่นจอมทัพผู้เรืองรณควรจักเป็น กลับดุสุขุม อ่อนโยนเสียด้วยซ้ำ



แลหลังจากนั้นองค์ราชกุมารีได้ทรงขอวาทิศบรรเลงเพลงพิณให้ทรงทอดพระเนตรอีกครั้ง เมื่อยามพระองค์ทอดพระเนตรการแสดงพิณนั้นสายพระเนตรที่เพ่งพิศ แลดูจักศึกษามากกว่า แค่ชื่นชม


เมื่อองค์พระยุพราชทรงทอดพระเนตรมององค์เยาวมาลย์ ก็ทรงแย้มสรวลด้วยทรงทราบดีว่า วาสนาวดีผู้นี้นั้นชอบจักศึกษาหาความรู้ แลด้วยเป็นเรื่องการดนตรีที่ทรงชื่นชอบและถนัด ก็ทรงให้ความสนพระทัยยิ่ง องค์วิษณุวัจน์ทรงโปรดนักยามที่มองพระเนตรแววใสยามเมื่อทรงตั้งพระทัยกับสิ่งใดสักอย่าง เหมือนที่ทุกคราที่พระองค์ลอบทอดพระเนตรยามองค์วาสนาวดีทรงฝึกศาสตราอาวุธอย่างตั้งพระทัย

**********************
เสียงดังตึงตังจากฝีพระบาทแห่งองค์วาสนาวดี ที่เพิ่งทรงพระดำเนินเข้ามายังพระตำหนักส่วนพระองค์ทำให้เหล่านางสนม ต่างหมอบคลานกันพัลวันด้วยกลัวอาญาจากพระองค์หญิงที่ต่างรู้แน่ว่าพระองค์ทรงกริ้วอยู่

“ทูลกระหม่อมเพคะ ทรงเป็นอะไร ใครทำให้พระองค์ทรงกริ้วเช่นนี้เพคะ”วิสาขาพระพี่เลี้ยงคงเป็นผู้เดียวที่กล้าสนทนากับพระองค์หญิงในยามนี้

“เสด็จพ่อนะซี พี่วิสาขา ข้าขอให้ช่วยเหลือเจรจากับท่านทูต เรื่องที่จักให้ วาทิศ อยู่แนะนำสั่งสอนเรา เสด็จพ่อกลับมิเห็นด้วย”

“โถ...นึกว่าเรื่องอันใด เรื่องนี้หรอกหรือเพคะ แต่อย่างไรพระองค์ก็มิทรงควรแสดงอากัปกริยาเยี่ยงนี้ มิงามเลย พระองค์เป็นองค์หญิง ควรจักทรงเรียบร้อย อ่อนโยน มิใช่ทรงพระดำเนินเสียงลั่นพระตำหนักเช่นนี้”

“พี่วิสาขาแล้วเราเคยเรียบร้อยด้วยเหรอ พี่นี่มิช่วยเรายังจักบ่นเราอีก เราไม่อยากฟังแล้ว”

ว่าแล้วองค์ราชกุมารีก็ทรงพระดำเนินออกนอกพระตำหนักอีกครา พระพี่เลี้ยงเองก็วิ่งตามเสด็จมาแทบจักไม่ทัน พระองค์หญิงทรงประทับหน้าพระตำหนัก ทอดพระเนตรมองไปรอบ ๆ พระราชฐาน อย่างครุ่นคิดว่าทรงจักเสด็จไปทางไหนดี จนสายพระเนตรสะดุดลงที่ยอดโดมทองแห่งพระตำหนัก ดุสิดาลัย ที่บัดนี้เป็นที่พำนักแห่งองค์สมเด็จพระยุพราช

สายพระเนตรที่มองยอดโดมทองนั้นเป็นประกายวาววับ ทรงแย้มสรวลราวกับทรงคิดหาหนทางดี ๆได้ แลพระองค์ก็ทรงพระดำเนินมุ่งตรงไปบนเส้นทางที่จักไปยังพระตำหนักดุสิดาลัยทันที

“พระองค์หญิงเพคะ พระองค์จักทรงเสด็จไป ณ ที่แห่งใดกัน”วิสาขากล่าวถามพลางหอบหายใจด้วยเพิ่งจักวิ่งมาถึง

“ไปหา วิษณุวัจน์”ทรงตรัสสั้น ๆ แลนั่นก็ทำให้วิสาขาเพ่งมองตามพระปฤษฎางค์ไปอย่างประหลาดใจ

***************************
“เจ้ามาพบเราด้วยเหตุใดกันวาสนาวดี”องค์พระยุพราชส่งสุรเสียงดังกังวานมาแต่ไกล พระพักตร์แห่งพระองค์มีรอยแย้มพรายประดับอยู่

พระองค์เองแทบไม่เชื่อพระกรรณเมื่อได้ยินจากสักทัตว่า เจ้าหญิงวาสนาวดีเสด็จมาถึงพระตำหนัก แลขอเข้าเฝ้า อย่าว่าแต่สุรเสียงที่ดังมาก่อนพระวรกายเลย อันพระหทัยนั้นแล่นมาถึงท้องพระโรงก่อนหน้านี้นานแล้วนัก

“ถวายบังคมเพคะ”เจ้าหญิงวาสนาวดีทรงถวายบังคมอย่างอ่อนน้อม จนองค์วิษณุวัจน์ทรงแปลกพระทัยยิ่ง

“ตกลงเจ้ามีเรื่องอันใดกับเราฤา”

“พระองค์ทรงประทับก่อนเถิดเพคะ”

เมื่อทรงได้สดับดังนั้นองค์วิษณุวัจน์ก็ทรงแย้มพระโอษฐ์ แลลงประทับข้างองค์วาสนาวดีทันใด

“เอ๊ะ! เหตุใดพระองค์มิไปประทับที่พระอาสน์ของพระองค์เล่า มาประทับเบียดหม่อมฉันทำไม”

“อ้าว ก็เราอยากคุยกับเจ้าใกล้ ๆ มิได้ฤา”

“แล้วพระองค์ทำไมจักต้องมานั่งคุยใกล้ๆ หม่อมฉัน”องค์วาสนาวดีทรงกล่าวด้วยสุรเสียงดุ แต่เสียงนั้นก็ไม่เป็นผลต่อองค์พระยุพราชที่ยังคงทรงแย้มพระโอษฐ์อย่างรื่นเริงอยู่

“ก็ตั้งแต่บนเชิงผานั้น เจ้าก็ทำทีหลบหน้าเราตลอด ครานี้มีโอกาสเราก็อยากเห็นหน้าเจ้าชัด ๆ”

“เมื่อพระองค์เห็นหน้าหม่อมฉันชัดแล้ว ก็ทรงลุกไปประทับยังพระอาสน์ของพระองค์ ได้แล้วกระมังเพคะ”

“ไม่”

เมื่อได้สดับดังนั้นองค์วาสนาวดีก็ทรงระบายพระปัสสาสะอย่างอ่อนพระทัย ด้วยทรงคิดว่าจักอย่างไร องค์มกุฎราชกุมารคงมิทรงลุกไปประทับที่อื่นแน่ จักถกเถียงกันไปก็รังแต่จักหงุดหงิดกันเสียเปล่า

“พระองค์โปรดจักประทับตรงไหนก็เชิญเถิดเพคะ” ยิ่งทรงได้ยินดังนี้องค์พระยุพราชก็ยิ่งทรงเขยิบมาประทับเบียดชิดเจ้าหญิงวาสนาวดียิ่งกว่าเดิม จนพระองค์หญิงอดมิได้ที่จะทรงทำพระพักตร์งอง้ำใส่ จนองค์วิษณุวัจน์ต้องทรงเขยิบออกมา

“ตกลงเจ้ามีเรื่องอะไรกับเรา วาสนาวดี”

“หม่อมฉันมีเรื่องจักทรงขอให้พระองค์ช่วยเหลือเพคะ”องค์วาสนาวดีพยายามทำสุรเสียงอ่อนหวานเพื่อกล่าวขอร้อง เมื่อทรงนึกได้ว่าทรงเสด็จมาด้วยการอันใด

แลเมื่อองค์พระยุพราชได้สดับสุรเสียงแห่งองค์วาสนาวดี พระหทัยก็อ่อนยวบเสียทันที

“ด้วยพระองค์ก็ทรงทราบว่าหม่อมฉันโปรด การดนตรี เครื่องพิณสายยิ่งนัก เมื่อวันวานพระองค์ก็ทรงทอดพระเนตรเห็นฝีมืออันล้ำเลิศของวาทิศ นักดนตรีแห่งกุสินารา วาทิศผู้นี้มีวิธีดีดพิณที่แปลกยิ่งนัก หม่อมฉันมิเคยพานพบมาก่อน ดังนั้นหม่อมฉันใคร่อยากจักศึกษาหาความรู้ แต่หม่อมฉันทูลขอเสด็จพ่อ ให้บอกท่านราชทูต ให้ช่วยยืดระยะเวลาในการพำนัก อยู่พาราณสีแห่งนี้เพิ่ม เพื่อให้หม่อมฉันได้มีโอกาสศึกษาเพลงพิณ กับวาทิศ แต่เสด็จพ่อก็มิยอม หม่อมฉันคิดเห็นว่า เช่นไร คณะทูตครานี้ก็มาเจริญสัมพันธไมตรีกับพระองค์เช่นกัน จึ่งมาทูลขอให้พระองค์ช่วยเหลือ เพื่อช่วยเกลี่ยกล่อมให้วาทิศช่วยแนะนำ เรื่องเพลงพิณให้หม่อมฉันเถิด แลรวมถึงให้ท่านราชทูต พำนักอยู่พาราณสีต่ออีกสักพัก”

สุรเสียงเว้าวอน อ่อนหวานอย่างที่ องค์พระยุพราชมิเคยสดับมาก่อน ทำให้องค์พระยุพราชนิ่งงัน มิกล้าแม้จักปฏิเสธคำขอร้องนั้น ยิ่งรวมถึงพระเนตรคมที่ทอดพระเนตรมองมายังองค์พระยุพราชอย่างอ้อนวอนนั้นยิ่งแล้ว แม้หทัยแห่งทหารกล้าอย่างองค์พระยุพราชยังมิอาจจักทานทนได้

“หากเราไปขอให้คณะทูตอยู่ต่อ เราก็รู้สึกลำบากใจต่อเสด็จพ่อของเจ้านะวาสนาวดี”

“พระองค์จักมิทรงช่วยหม่อมฉันฤาเพคะ”น้ำเสียงกระเง้ากระงอดจากองค์ราชกุมารีทำให้องค์พระยุพราชทรงระบายพระปัสสาสะอย่างอ่อนพระทัย

“ใครว่าเราจักมิช่วยเจ้าเล่า เพียงแต่เราก็ลำบากใจ ที่จักมีปัญหากับเสด็จพ่อของเจ้า เราจักไปพูดคุยกับท่านทูต แลวาทิศให้เจ้าแล้วกัน”

เมื่อพระองค์หญิงทรงได้สดับดังนั้นก็แย้มสรวลอย่างมีความสุขยิ่ง แลดูเหมือนเด็กน้อยได้รับของถูกใจก็มิปาน องค์พระยุพราชทรงทอดพระเนตรมองด้วยแววเนตรอ่อนโยนยิ่งนัก

***********************
“ถวายบังคมพะยะค่ะ”เสียงของวรุต ราชทูตแห่งกุสินารากล่าวถวายบังคม องค์สมเด็จพระยุพราชแห่งราชคฤห์ แลองค์วาสนาวดีเทวีแห่งพาราณสี ที่บัดนี้ทรงประทับอยู่เคียงกันใน ที่พักของคณะทูต

มิใช่ว่าที่ประทับของทั้งสองพระองค์จักมีเพียงพระอาสน์เดียว เพียงแต่องค์พระยุพราชทรงบังคับแกมขอร้องให้องค์วาสนาวดีทรงประทับเคียงคู่กับพระองค์ เจ้าหญิงวาสนาวดีเองก็มิอยากขัดพระทัย ด้วยทรงเห็นว่าสิ่งที่ทรงมาดหมายไว้ ยังมิสำเร็จจึงยินยอมตามพระทัยองค์วิษณุวัจน์ไปก่อน

“ทูลกระหม่อมทั้งสองพระองค์มีสิ่งใดให้ข้าพระพุทธเจ้ารับใช้พะยะค่ะ”

“ท่านวรุต เรามีเรื่องจักขอร้องท่าน เป็นเรื่องเกี่ยวกับวาทิศนักพิณ เรืองฝีมือของท่านนั่นแล”

สิ้นสุรเสียงแห่งองค์พระยุพราช วรุตก็ทำสีหน้าประหลาดใจยิ่งนัก

“วาทิศทำสิ่งใดให้ทั้งสองพระองค์เคืองขุ่น พะยะค่ะ”

“เปล่าเลย เพียงแต่วาสนาวดีโปรดในฝีมือของวาทิศนัก จึงอยากขอร้องท่านให้ช่วยยืดเวลาอยู่พำนัก ณ พาราณสี นี้ต่อไปอีกสักหน่อย แลขอร้องให้วาทิศช่วยถวายการสอน พิณสายให้เป็นวิทยาทานแด่ วาสนาวดีด้วยเถิด”

เมื่อวรุตได้สดับรับสั่งแห่งองค์วิษณุวัจน์ ก็รู้สึกลำบากใจยิ่ง จักปฏิเสธเลยก็มิได้ จักเห็นควรตามรับสั่งนั้นก็ลำบากยิ่ง พลางคิดในใจผู้ที่จะตัดสินใจเรื่องนี้ได้คงมีแต่ เจ้าชายธนทัศเพียงผู้เดียวในยามนี้

“หม่อมฉันควรจักต้องปรึกษา วาทิศก่อนพะยะค่ะ ว่าวาทิศจักถวายการสอนแด่องค์ราชกุมารีได้หรือไม่ หากได้หม่อมฉันก็น้อมจักอยู่รับใช้ทั้งสองพระองค์ต่อ”

เมื่อองค์วิษณุวัจน์ได้ฟังดังนั้นก็ทรงอนุญาตให้ วรุตไปปรึกษาวาทิศก่อนได้ ส่วนทั้งสองพระองค์จักประทับรอฟังข่าว
*****************
องค์ชายธนทัศนั้นลอบฟังการสนทนานั้นอยู่แล้ว เมื่อได้ยินพระดำรัสจากองค์วิษณุวัจน์ก็พลันไตร่ตรองทันที มิทันที่วรุตจักกล่าวถามพระองค์ก็ได้คำตอบในพระทัยแล้ว

“เราจักอยู่ต่อ กลับไปบอกทั้งสองคนนั้นได้ว่าเราจะอยู่สอนพิณให้แก่ วาสนาวดี” องค์ธนทัศตรัสทันทีเมื่อวรุตเข้าเฝ้า

“จะดีฤาพะยะค่ะ ยิ่งเราอยู่นานก็จักเป็นอันตราย พระองค์อาจจักถูกจับได้นะพะยะค่ะ”

“วรุตเราบอกแล้วว่าเจ้าเชื่อเราเถิด ไม่มีใครจับเราได้หรอก เจ้าก็รู้ว่ามีสักกี่คนที่จักเคยพบเรามาก่อน”

“แต่พระองค์หากหลังจากนี้ มีเหตุให้พระองค์ต้องพบกับผู้คนเหล่านี้อีกครา จักทำเช่นไรกันพะยะค่ะ”

“เรื่องอนาคตก็เป็นอนาคตวรุต เมื่อถึงบัดนั้นเราต้องกลัวอะไรอีกเล่า ใครจักมาจับเราขังฤา”องค์ธนทัศตรัส แลสรวลอย่างสนุกสนานราวกับเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องเล็กน้อยนัก

“พระองค์จักทรงประทับอยู่ต่อด้วยเหตุใดกัน พระองค์อยากพบพระยุพราชวิษณุวัจน์ก็ทรงได้พบแล้ว”

“พบแล้วก็แค่พบ เราอยากอยู่ดูอะไรที่นี่ต่อ ท่าทางน่าสนุกดีนัก เจ้าชายผู้เรืองรณที่มิยอมกลับพระนครแห่งตน กับเจ้าหญิงที่ทรงแต่งตัวเป็นชายตลอดเวลา แลท่าทางก็แก่นแก้วเกินขัตติยนารีทั่วไป ทั้งสองคนนี้ดูแปลกนัก เจ้าว่ามิน่าสนใจหรอกฤา แล้วเราคาดเดาได้จากลอบมองผ่านวิสูตรนี้ ว่าบัดนี้องค์พระยุพราชคงต้องใจราชกุมารีแห่งพาราณสีเสียแล้ว”

วรุตได้แต่ทอดถอนใจ กับพระดำรัสของเจ้าชายของตน แลก็กลับไปทูล ต่อองค์พระยุพราชแล พระราชกุมารี ว่าสามารถทำตามพระประสงค์ของทั้งสองพระองค์ได้

**************************

“ดูเจ้ายิ้มซี วาสนาวดี เจ้าคงดีใจมากนักใช่หรือไม่” เจ้าชายวิษณุวัจน์ตรัสหยอกล้อระหว่างที่ทั้งสองพระองค์ดำเนินเสด็จออกจากที่พำนักแห่งราชทูต

“หม่อมฉันก็ต้องดีใจซิเพคะ แลดีใจก็ต้องยิ้มจักให้หม่อมฉันร้องไห้เศร้าโศกหรือไร”

“ฮ่า ๆ เจ้านี่หนา วาจาเราะร้ายยิ่งนัก ไม่เคยมีใครพูดจายอกย้อนเรา เช่นเจ้าเลยในชีวิต”

“หากพระองค์ไม่ทรงอยากฟังวาจาของหม่อมฉัน ก็มิเป็นไรนิเพคะ ไม่ต้องฟังก็ได้”

“ยามนี้มาบอกให้เรามิต้องฟัง ทีก่อนนี้มาขอร้องให้เราฟัง หากคราหน้าเจ้าจักขอให้เราช่วยเหลือสิ่งใดอีก เราคงมิช่วยเจ้าแล้ว” องค์วิษณุวัจน์กล่าวด้วยสุรเสียงหยอกล้อ แต่เมื่อองค์วาสนาวดีทรงได้ยินก็ทำพระพักตร์งอง้ำใส่

“มิเป็นไรเพคะ หม่อมฉันได้รู้ไว้ว่าพระองค์ทรงลำบากพระทัยยิ่งที่จักช่วยหม่อมฉัน ที่พระองค์เคยตรัสว่าอาทรหม่อมฉันนักหม่อมฉันจักได้ลืมไปเสีย” พอตรัสจบเจ้าหญิงวาสนาวดีก็ทรงเร่งฝีพระบาท เสด็จนำองค์วิษณุวัจน์ทันที องค์พระยุพราชจึ่งรีบสาวพระบาทตามแลคว้าพระหัตถ์งามขององค์วาสนาวดีไว้ทันใด

“พระองค์มาจับหม่อมฉันทำไมเพคะ ปล่อยหม่อมฉัน”ว่าแล้วองค์พระราชกุมารีก็สะบัดพระหัตถ์ที่ถูกกุมไว้ แต่เจ้าชายวิษณุวัจน์ก็ยิ่งทรงจับแน่นขึ้นอีก

“เรามิปล่อย ดูซีเราทำดีแม้คำขอบคุณ เจ้าก็มิกล่าวสักนิดให้ชื่นหทัย พอเราหยอกล้อเพียงเล็กน้อยเจ้าก็มาทำหมางเมินใส่ เกิดเป็นเรานั้นแสนน่าสงสารยิ่งนัก”

“ที่แท้พระองค์จักทรงทวงคำขอบพระทัยจากหม่อมฉัน”

“ไม่ใช่เสียหน่อย เราแค่อยากบอกให้เจ้ารู้ว่าที่เราพูดไปเมื่อครู่เพียงแค่หยอกเย้า มิได้หมายตามนั้น หากเจ้ามีปัญหาใด ๆ เราพร้อมจักช่วยเจ้าเสมอ”พอกล่าวแล้วองค์พระยุพราชก็ทรงสบพระเนตรคม แลพลางดึงพระหัตถ์ของพระองค์หญิงเข้ามาใกล้พระองค์ยิ่งขึ้น

“ทีนี้เจ้าหายโกรธเราหรือยัง”

“หม่อมฉันมิได้โกรธอะไรพระองค์นิเพคะ” เจ้าหญิงวาสนาวดีทรงตอบแลรีบก้มพระพักตร์หลบสายพระเนตร เมื่อเห็นดังนั้นเจ้าชายวิษณุวัจน์ก็จูงพระหัตถ์นั้นให้เดินเคียงกับพระองค์

.

“ขอบพระทัยเพคะ ที่พระองค์ช่วยหม่อมฉัน”สุรเสียงดังแผ่วมาจากองค์เยาวลักษณ์ที่ก้มพระพักตร์อยู่ ทำให้องค์พระยุพราชทรงแย้มพระโอษฐ์กว้าง

“เจ้าจักกล่าวแค่ขอบใจเท่านั้น เจ้ามิคิดให้อะไรเราตอบแทนเราบ้างฤา วาสนาวดี”

“พระองค์ทรงอยากได้สิ่งใดเพคะ”องค์วาสนาวดีทรงเงยพระพักตร์ขึ้นทอดพระเนตรทันทีเมื่อได้ทรงสดับรับสั่ง

“ไม่ยากหรอกวาสนาวดี เพียงแค่เราขอว่าระหว่างที่วาทิศทำการสอนเจ้า เราขอประทับอยู่ด้วยตลอด”

“พระองค์จักทรงมาประทับอยู่ทำไมเพคะ พระองค์มิเบื่อหน่ายหรืออย่างไร”

“ไม่หรอก วาสนาวดีเราคิดว่าน่าสนใจดี สำหรับการเล่าเรียนของเจ้า แลเราก็จักได้ฟังเสียงไพเราะของเพลงพิณไปด้วย “

“แล้วพระองค์มิมีกิจอันใดที่จักต้องทำหรือเพคะ พระองค์ถึงจักทรงเสียเวลามา เฝ้าดูหม่อมฉัน”

“เจ้าลืมไปแล้วหรือไรวาสนาวดี ว่าเราอยู่ที่นี่ด้วยกิจอันใด”เจ้าชายวิษณุวัจน์ตรัสแล้วก็ส่งสายพระเนตรหยอกล้อไปยังองค์วาสนาวดี องค์เยาวมาลย์ทรงครุ่นคิดตามพระดำรัสแห่งองค์วิษณุวัจน์สักเพียงครู่ พอเมื่อทรงนึกได้ถึงพระดำรัสเมื่อพระราชพิธีเลี้ยงส่งกองทัพ ก็ทำให้เจ้าหญิงวาสนาวดีทรงก้มหลบพระพักตร์เจ้าชายทันที

“ตกลงเจ้ารู้แล้วหรือยังว่ากิจของเราคืออะไร”เจ้าชายวิษณุวัจน์ยังมิวายหยอกล้อต่อ เจ้าหญิงวาสนาวดีมิได้กล่าวตอบอันใด แต่เจ้าชายก็ทรงรู้ดีว่าองค์ราชกุมารีทรงทราบดีแล้ว พระองค์จึงกุมพระหัตถ์แห่งองค์วาสนาวดีกระชับมั่นขึ้นแลนำพาองค์เยาวมาลย์เสด็จกลับยังพระตำหนักแห่งองค์ยุพดี
*************
ณ ท้องพระโรงแห่งพระตำหนักดุสิดาลัยที่บัดนี้ถูกแปรเปลี่ยน ให้กลายเป็นที่ถวายการสอนดุริยะดนตรี แด่องค์นงลักษ์แห่งพาราณสี เจ้าชายธนทัศ หรือ บัดนี้คือ วาทิศ นักพิณแห่งกุสินารา ประทับอยู่กลางท้องพระโรง เบื้องพระพักตร์ของพระองค์ประทับอยู่ด้วย องค์วาสนาวดี แลอีกอาสน์ที่เคียงกันคือองค์พระยุพราช ผู้เกริกเกียรติ แห่งราชคฤห์

สายพระเนตรแห่งเจ้าชายธนทัศ ทรงข้องพระทัยยิ่งเมื่อทอดพระเนตรเห็น เจ้าชายวิษณุวัจน์ทรงประทับอยู่ ด้วยแต่เดิมนั้น พระองค์ทรงตั้งพระทัยเพียงจักถวายการสอนแด่องค์ราชกุมารีเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น

“ใยเจ้ามองเราอย่างนั้นล่ะวาทิศ” องค์พระยุพราชทรงตรัสถาม เมื่อเห็นสายพระเนตรของเจ้าชายธนทัศ

“หม่อมฉันมิได้รู้มาก่อนว่าจักต้องถวายการสอนแด่พระองค์ด้วยพะยะค่ะ”

“ฮ่า ๆ เราไม่ได้มาเรียนพิณกับเจ้าดอกวาทิศ อันพิณสายเครื่องดนตรีสวยงามพวกนี้มิเหมาะกับเรา หากเป็น หอก ดาบ คันธนู ก็ว่าไปอย่าง แต่ที่เรามานั่งอยู่นี่เพียงใคร่สนใจในฝีมือของเจ้า แลมานั่งเป็นเพื่อนวาสนาวดี” องค์พระยุพราชตรัสแล้วพระองค์ก็ทรงบ่ายพระพักตร์ไปแย้มพระโอษฐ์ให้ องค์วาสนาวดีที่ประทับอยู่เบื้องข้าง เมื่อองค์วาสนาวดีทรทอดพระเนตรเห็นก็ทรงทำทีย่นพระนาสิก ราวกับเด็กเล็กใส่พระยุพราชทันที

“หม่อมฉันมิได้ต้องการคนมานั่งเป็นเพื่อนเสียหน่อย”

“ถึงเจ้ามิต้องการแต่เราต้องการมานั่งเป็นเพื่อนเจ้านิหน่า” องค์พระยุพราชทรงทำสุรเสียงออดอ้อน จนองค์วาสนาวดีทรงต้องพยายามกลั้นพระโอษฐ์มิให้แย้มยิ้ม

องค์ธนทัศทำเพียงได้แต่ทอดพระเนตรมองการหยอกเย้าระหว่างสองพระองค์ไปมา พลางทรงคิดในพระทัยว่าเหตุใดพระองค์จำเป็นต้องมานั่งอยู่เช่นนี้

กว่าทั้งสองพระองค์ที่ประทับเหนืออาสน์จักถกเถียงกันเสร็จสิ้น ก็กินเวลาเนิ่นนานนัก จนองค์ธนทัศทรงรู้สึกเบื่อหน่ายแลอดทรงคิดมิได้ว่าวันนี้คงมิได้จักทำการสอนแล้ว

เมื่อเริ่มการสอน องค์ธนทัศก็ถวายการสอนโดยการบรรเลงเพลงพิณในแบบที่พระองค์ทรงคิดค้นขึ้นมาเอง แลแลกเปลี่ยนวิธี แลความคิดเห็นส่วนพระองค์กับองค์วาสนาวดีไปตลอดการถวายการสอนนั้น ในพระทัยแห่งองค์ธนทัศก็อดนับถือในฝีพระหัตถ์แห่งองค์วาสนาวดีมิได้ ว่ามีฝีพระหัตถ์ที่ฉกาจฉกรรจ์มิแพ้พระองค์เช่นกัน

ในขณะเดียวกันองค์พระยุพราชก็ทรงเอกเขนก ทอดพระเนตรมองการถวายการสอน หรือบางคราก็ทรงตรัสถามบ้างเป็นระยะ พระองค์หญิงเองก็มักจักทรงสอบถามความคิดเห็นของพระองค์พระยุพราชอยู่เนืองๆ เช่นกัน


“เมื่อทรงสดับแล้วพระองค์ทรงเห็นว่าเป็นเช่นไรบ้างเพคะ”องค์วาสนาวดีทรงบ่ายพระพักตร์มาตรัสถามองค์พระยุพราชหลังจากทรงปล่อยพระองคุลีจากสายพิณ

“ไพเราะยิ่งนัก”

“จริงแท้ฤาเพคะ”

“แท้จริงเจ้าบรรเลงเช่นไร ก็เพราะสำหรับเรา”เมื่อพระองค์พระยุพราชทรงตรัสตอบเช่นนั้น องค์วาสนาวดีก็ทรงทำพระพักตร์เบื่อหน่าย แต่ก็มิวายอดรู้สึกขวยเขินในพระทัยมิได้

“หม่อมฉันอยากได้ข้อคิดเห็นเพคะ มิได้หวังคำยอ จากพระองค์”

“ก็มันเพราะจริงแท้ เรามิได้ยอเจ้า”ครั้นเมื่อองค์พระยุพราชทรงตอบดังนั้น องค์วาสนาวดีก็แย้มโอษฐ์บาง ๆ ก่อนหันไปสอบถามวาทิศต่อ

“แล้วเจ้าว่าอย่างไรบ้างวาทิศ”

“หม่อมฉันก็ว่าไพเราะยิ่งนัก จริงแท้แล้วฝีพระหัตถ์ของพระองค์นั้นเลิศล้ำยิ่ง หม่อมฉันรู้สึกเป็นเกียรตินัก ที่ได้ร่วมบรรเลงพิณกับพระองค์พะยะค่ะ”

“ขอบใจมากวาทิศ แต่ฝีมือเรายังคงอีกนานนักกว่าจักสามารถเท่าเจ้า” พระองค์หญิงทรงแย้มพระโอษฐ์งามเมื่อได้ยินคำกล่าวชมจากวาทิศ แลเริ่มบรรเลงดนตรีอีกครา

จนได้เวลาใกล้ย่ำสนธยา การถวายการสอนจากเจ้าชายธนทัศก็สิ้นลง พระองค์เสด็จกลับไปยังที่พักแล้ว เหลือไว้เพียงแต่สองพระองค์ที่ยังทรงสนทนากันอยู่


“วาสนาวดีจากนี้เจ้าจักไปทำสิ่งใดต่อ บอกเราเถิดเราจักได้พาเจ้าไป”

“พระองค์จักทรงเสด็จไปกับหม่อมฉันทำไมเพคะ พระองค์ก็ทรงประทับอยู่ที่พระตำหนักนี้ต่อเถิด ที่นี่เป็นราชฐานของหม่อมฉัน องครักษ์ นางกำนัล หม่อมฉันก็มี พระองค์จักทรงลำบากออกไปทำไมกัน”องค์วาสนาวดีตรัสบ่น พลางทรงค่อยๆ ประณีตเก็บพิณสาย ที่พระองค์แสนรัก แลเมื่อองค์พระยุพราชทรงได้สดับวาจานั้น ก็ทำทีท่าทรงมิพอพระทัย

“เรามิได้ลำบากตรงไหน ปล่อยให้เรานอนเฉยๆ เสียต่างหากที่จักลำบากกับเรา วาสนาวดีเจ้าไปขี่ม้าไหม เราอยากขี่ม้า แลถือเป็นการพานิลพันธ์ไปเดินเล่นเสียด้วย”

พอพระองค์หญิงได้สดับฟังก็พลันแย้มพระโอษฐ์ราวกับนึกถึงเรื่องที่อยากกระทำออก

“เจ้าชายเพคะ หม่อมฉันใคร่อยากลองทรงนิลพันธ์เพคะ”

“ห๊า เจ้าอยากลองทรงนิลพันธ์ฤา”

“เพคะ จักได้ไหมเพคะ หม่อมฉันต้องตานิลพันธ์ตั้งแต่แรกเห็น”

“แต่นิลพันธ์นั้นเป็นอาชาไนยรูปลักษณ์ใหญ่เกินกว่าเจ้าหญิงตัวเล็ก ๆ เช่นเจ้าจักควบคุมได้ แลนอกจากนั้นนิลพันธ์มิเคยให้ใครขี่มันนอกจากเรา”

พอทรงได้ยินดังนั้นพระองค์หญิงก็ทรงพระพักตร์เสีย ดูทรงเสียดายยิ่ง พระองค์ชายได้แต่มองอย่างกลุ้มพระทัย

“ถ้าเจ้ายอมที่จะทรงนิลพันธ์พร้อมกับเรา เราคิดว่านิลพันธ์จักยอมให้เจ้าทรงวาสนาวดี นิลพันธ์นั้นตัวใหญ่พอสำหรับเราสองคน”

พอได้ทรงสดับครานี้ พระองค์หญิงก็ทำพระพักตร์ลำบากใจ จนองค์พระยุพราชทรงอดแย้มพระโอษฐ์มิได้กับกริยาอาการของเสด็จพระองค์หญิง แลยิ่งทรงทอดพระเนตรก็ยิ่งรักใคร่เอ็นดูยิ่งนัก

พระองค์หญิงทรงก้มพระพักตร์ทำทีเก็บเครื่องดนตรี แต่แท้จริงทรงกำลังตัดสินพระทัย อันพระทัยหนึ่งก็ทรงรักสนุก ที่จะหมายมีวาระโอกาสที่จักได้ทรงนิลพันธ์ อีกพระทัยก็ทรงรู้สึกกริ่งเกรงที่จักต้องทรงอาชาไนยกับองค์พระยุพราช

“ว่าไงวาสนาวดีเจ้า เจ้าตกลงใจได้หรือยัง ว่าจักออกไปทรงนิลพันธ์กับเราไหม”

พระองค์หญิงทรงถอดถอนพระทัยอยู่สักพักจึ่งทรงตัดสินพระทัยได้

“เพคะหม่อมฉันจะไปทรงนิลพันธ์กับพระองค์” และแล้วในหทัยแห่งความรักสนุก แสนซนก็ชนะ

องค์พระยุพราชทรงได้สดับดังนั้น ก็ทรงลุกขึ้นคว้าพระกรพระองค์หญิงทันใด

“อุ๊ย! พระองค์จักรีบไปไหนหม่อมฉันยังเก็บเครื่องดนตรีพวกนี้มิเสร็จเลย”

“ปล่อยไว้เช่นนั้นแหละ เดี๋ยวเรียกนางกำนัลพวกนั้นมาทำก็ได้”

“แต่หม่อมฉันมิไว้ใจนางพวกนั้น”

“เดี๋ยวเรียกให้วิสาขามาเก็บให้เจ้าก็ได้”

เมื่อทรงได้ยินดังนั้นพระองค์หญิงก็ทำทีหมดทางจะกล่าวเถียง พระยุพราชก็ทรงหันพระพักตร์มาทรงแย้มสรวลให้อย่างสดใส

“วาสนาวดีเจ้ารู้หรือยังว่าการมีเราอยู่นั้นมีข้อดีต่อเจ้าเช่นไร”

“เช่นไรเพคะ”พระองค์หญิงตรัสถามอย่างข้องพระทัยนักกับรับสั่งนั้น

“ก็การที่มีเราอยู่เจ้าจักได้คนมาตามอกตามใจเจ้าอีกคนเพิ่มไง”องค์พระยุพราชทรงตรัสแล้วก็สรวลลงพระศอ

“หม่อมฉันมิเห็นอยากได้คนมาตามใจหม่อมฉันเพิ่มเสียหน่อย”พระองค์หญิงกล่าวตอบและเบี่ยงพระพักตร์หลบด้วยความขวยเขินในพระหทัย

ในขณะเดียวกันองค์พระยุพราชก็ยังคงแย้มสรวลอยู่ และจากนั้นองค์พระยุพราชก็ทรงจับจูงพระกรพระองค์หญิงให้พระราชดำเนินไปกับพระองค์ พระองค์หญิงทรงสะบัดพระกรไปตลอดเส้นทางพระดำเนินแต่ก็ดูจักมิทำให้พระกรแน่นหนาราวคีมเหล็กขององค์พระยุพราชหลุดออกได้

แลเหล่านางกำนัล ข้าราชบริพารที่เห็นก็ต่างพากันลอบยิ้มให้กับทั้งสองพระองค์







Create Date : 12 พฤศจิกายน 2552
Last Update : 12 พฤศจิกายน 2552 14:01:27 น. 0 comments
Counter : 190 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Angels Midori
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Angels Midori's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.