Group Blog
 
 
พฤศจิกายน 2552
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
12 พฤศจิกายน 2552
 
All Blogs
 
วาสนาวดี – วิษณุวัจน์ ตอนที่ 4



“หลังจากนี้พระองค์จะเสด็จไปไหนต่อ พะยะค่ะ”เสียงทุ้มของสักทัต ถามองค์เหนือหัวของตนหลังจากที่ทั้งคู่ไปส่งกองทัพแห่งราชคฤห์เดินทางกลับแล้ว

เจ้าชายวิษณุวัจน์ได้ทูลขอจารุทัตต์ราชา เพื่อประทับต่อโดยทรงอ้างว่า พระองค์อยากทรงพักผ่อน แลสนใจความเป็นอยู่แห่งแคว้นกาสีจึงทรงอยากประทับอยู่กาสีสักระยะเพื่อท่องเที่ยว ซึ่งจารุทัตต์ราชาเองเมื่อทรงรับฟังคำขอนี้แล้ว มีฤาที่พระองค์จักปฏิเสธ แต่ผู้ที่มิได้ยินดีด้วย คงจักมีเพียงคนเดียวคือ เจ้าหญิงวาสนาวดี

“ข้าอยากไปหา นิลพันธ์ ตั้งแต่สิ้นศึกข้ายังไม่เจอมันเลย”
“พะยะค่ะ”

เมื่อสักทัตรับพระบัญชาแล้ว ก็นำเสด็จพระยุพราช ไปยังคอกม้าหลวง แห่งราชฐานของพาราณสี เมื่อเสด็จไปถึงแล้ว พระองค์รีบเสด็จไปยังคอกของอัสดรคู่พระทัย ทรงลูบแผงคอ เจ้านิลพันธ์อย่างทรงรักใคร่ยิ่งนัก สายพระเนตรอบอุ่นมองไปยังอาชาที่เป็นราวกับมิตรของพระองค์ จนเมื่อถึงเวลาอันสมควรแล้ว องค์พระยุพราชก็ทรงเสด็จกลับ

ระหว่างที่พระองค์กำลังเสด็จออกจากคอกม้านั้น พลันสายพระเนตรก็เหลือบแลไปเห็น เปรมัษราชองค์รักษ์คู่พระทัย แห่งราชกุมารีกำลังขี่อาชาสีหมอกรูปร่างสันทัดอยู่ในคอกฝึกม้า และมิห่างกันนั้น วาสนาวดีราชกุมารี ก็ทรงบังคับอาชาสีขาวปลอดอยู่ใกล้ๆ กัน เจ้าหญิงวาสนาวดี ทรงบังคับม้าให้วิ่งเหยาะอยู่รอบๆ คอก แลเมื่อพระยุพราชทรงทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ก็ทรงเปลี่ยนพระทัย เสด็จไปยังคอกฝึกม้าทันที

ในขณะเดียวกันนั้น เจ้าหญิงวาสนาวดีก็ทรงทอดพระเนตรเห็นชายสองคนเดินเข้ามายังคอกม้าเช่นกัน เมื่อรู้ว่าเป็นผู้ใดที่มา พระองค์ก็แสดงอาการหงุดหงิดพระทัยทันใด

“เจ้าชายพูดมากนั่นมาได้เช่นไรกัน”

“ใครกันพระเจ้าข้า เจ้าชายพูดมาก”เปรมัษกล่าวถาม พระองค์หญิงทำทีพยักเพยิดให้เปรมัษดูว่าใครที่เสด็จมา

“องค์พระยุพราชหรอกฤา พระองค์ทรงตรัสว่าท่านพูดมากได้อย่างไรกัน”เปรมัษทำสีหน้าลำบากใจให้กับพระวาจาขององค์เหนือหัวของตน แลหันกลับไปมองยังองค์พระยุพราชาอีกครั้ง

“เจ้าทำอะไรกันอยู่หรือเปรมัษ” พระยุพราชทรงถามราชองค์รักษ์ แต่กลับส่งสายพระเนตรเจ้าเล่ห์ไปยังเจ้าหญิงแสนดื้อบนหลังอาชา เมื่อวาสนาวดีทรงเห็นดังนั้น พระองค์ก็รีบชักม้าให้หันหลังให้กับองค์พระยุพราชทันที

“หม่อมฉันกับเสด็จพระองค์หญิงจะแข่งม้ากันพะยะค่ะ ตอนนี้กำลังตระเตรียมม้าให้พร้อมแข่งกันอยู่”

“ดูน่าสนุกดีนัก อย่างนี้ข้าขอชมการแข่งขันครั้งนี้จักได้ไหม”

เปรมัษเมื่อได้ฟังคำถามจากองค์พระยุพราช ก็ทำสีหน้าลำบากใจหันไปมองยังพระปฤษฎางค์ของเจ้าหญิงวาสนาวดี สีหน้าแลท่าทางของเปรมัษทำให้ เจ้าชายวิษณุวัจน์ทรงพอเข้าใจถึงความลำบากใจของเปรมัษ

“วาสนาวดี เจ้าจักอนุญาตให้เราดูเจ้าแข่งขันกับเปรมัษได้หรือไม่”

เจ้าหญิงวาสนาวดีทรงเงียบงันอยู่สักพัก ก่อนจักค่อยๆ บังคับอาชาให้หันมายังเบื้องพระพักตร์แห่ง
เจ้าชายวิษณุวัจน์ ด้วยท่าทางหงุดหงิดพระหฤทัย แต่ท่าทางเช่นนั้นกลับทำให้เจ้าชายกลับรู้สึกอยาก
ทรงแกล้งมากขึ้น

“ก็แล้วแต่พระองค์” สุรเสียงสั้นห้วนกล่าวตอบมา แลวาสนาวดีก็ทรงหันพระพักตร์ไปยังเปรมัษทันที

“เปรมัษเราพร้อมแล้ว”ว่าแล้วเจ้าหญิงวาสนาวดีก็เร่งอาชา ออกไปนอกคอกม้าเพื่อไปรอเปรมัษ ณ จุดเริ่มการแข่งขัน เปรมัษก็เร่งรุดมาเช่นกัน เมื่อทั้งคู่ได้ยินเสียงสัญญาณจากนายทหารม้าส่งสัญญาณมาแล้ว ต่างก็เร่งบังคับม้าของตนออกไปยังลู่ที่ได้สร้างไว้ทันที ลู่แข่งขันนั้นมิไกลมาก แลมิได้ถูกสร้างมาให้เป็นลู่แข่งขันที่วิบากนัก จากที่เจ้าชายวิษณุวัจน์ทรงทอดพระเนตรดู พระองค์ก็ทรงเดาได้ทันทีว่า เปรมัษนั้นอ่อนข้อให้กับองค์เหนือหัวของตนอยู่เป็นแน่

แล้วก็เป็นดังที่เจ้าชายหนุ่มคาดเดามิผิด ผู้กำชัยนั้นคือราชกุมารีวาสนาวดี เจ้าหญิงทรงสรวลร่าเริงลงจากหลังอาชา เมื่อเห็นว่าพระองค์ได้ชัยชนะเหนือองครักษ์คู่พระทัย ก็ทรงตรัสวาจาเยาะเย้ยเปรมัษอย่างสนุกสนาน ทหารนายกองก็ต่างกล่าวชมพระองค์หญิง ส่วนเจ้าชายวิษณุวัจน์นั้นก็ทรงทอดพระเนตรมองแลแย้มสรวลอย่างนึกสนุก

“เจ้าเก่งมิเบาเลย วาสนาวดี”

“ขอบพระทัยเพคะ”

“ข้าอยากแข่งกับเจ้าบ้าง” สิ้นเสียงดำรัสแห่งองค์พระยุพราชแล้ว เหล่าข้าราชบริพารแห่งพระองค์หญิงต่างนิ่งเงียบ พระองค์หญิงทรงขมวดพระขนง แลเพ่งมองพระพักตร์คมเข้มนั้นอย่างประหลาดพระทัยยิ่ง

“เจ้ามิอยากแข่งกับเราฤา วาสนาวดี”

“เพคะ หม่อมฉันมิอยาก”

“เหตุอันใดเล่า เราเห็นฝีมือการบังคับอาชาของเจ้าแล้ว เรากลับอยากลองแข่งยิ่งนัก หรือเจ้าหวาดกลัวเรา” คำกล่าวราวกับดูถูกกันเช่นนี้ทำให้เจ้าหญิงผู้แสนดื้อรั้นรู้สึกหงุดหงิดยิ่งนัก


“ใยหม่อมฉันต้องกลัวพระองค์”ว่าแล้ววาสนาวดีก็กระโดดขึ้นบนหลังอาชาคู่พระทัยของตน เจ้าชายวิษณุวัจน์แย้มพระโอษฐ์งามอย่างถูกพระทัย และเรียกขออาชาของเปรมัษมาเพื่อใช้ทรงขี่

เมื่อเป็นดังนี้เหล่าข้าราชบริพารต่างๆ ก็มิรู้จักทำเช่นไร ด้วยเป็นห่วงเจ้าหญิงของตนก็ห่วง แต่ก็ทรงขัดพระทัยองค์ราชกุมารี และพระยุพราชก็มิได้ จึงจำเป็นต้องปล่อยทั้งคู่ไป

เจ้าชายวิษณุวัจน์ทรงยิ้มยั่ว เจ้าหญิงวาสนาวดีอยู่ตลอดเวลา ยิ่งทำให้เจ้าหญิงทรงกัดริมพระโอษฐ์แน่นอย่างขัดพระทัย เมื่อเสียงสัญญาณถูกส่งมาแล้วเจ้าหญิงวาสนาวดีก็เร่งอาชาของพระองค์ทันที ในขณะที่เจ้าชายวิษณุวัจน์แกล้งทำทีบังคับม้าไล่จี้ จนเมื่อถึงเส้นทางหนึ่งที่ถูกตัดออกเป็นแยก โดยด้านหนึ่งเป็นทางที่เจ้าหญิงวาสนาวดีและเปรมัษแข่งขันกันในรอบที่แล้ว ส่วนอีกด้านนั้นเป็นทางที่ดูเหมือนยากกว่าทางเดิม เจ้าชายวิษณุวัจน์ทรงแกล้งบังคับอาชาให้เบียดเจ้าหญิงเพื่อให้ม้าของเจ้าหญิงไปยังทางที่ยากแทน และเมื่อเป็นไปตามพระประสงค์แล้วพระองค์ก็แกล้งทำทีเร่งม้าขึ้นนำ

เมื่อทรงทอดพระเนตรเห็นดังนั้น เจ้าหญิงผู้มีนิสัยชอบเอาชนะอยู่แล้ว ก็เร่งอาชาตามเจ้าชายวิษณุวัจน์ไปทันที เจ้าชายวิษณุวัจน์เองก็ทรงแกล้งบังคับม้าผ่อนให้ตามได้บ้าง เร่งให้นำบ้าง จนเจ้าหญิงหงุดหงิดพระทัยยิ่งขึ้น จนถึงเส้นทางหนึ่ง กิ่งไม้ใหญ่พาดผ่านเส้นทาง เจ้าชายวิษณุวัจน์ทรงก้มหลบแนบหลังอาชา เมื่อพระองค์ทรงพ้นแล้วก็หันพระพักตร์ไปทอดพระเนตรผู้ที่ตามพระองค์มาทันที เจ้าหญิงวาสนาวดีก็ทรงทำเฉกเช่นที่พระองค์ทรงปฏิบัติเมื่อสักครู่ แต่ด้วยความมิคล่องนัก เจ้าหญิงทรงหลบกิ่งไม้ใหญ่ยังมิพ้นพระวรกาย ก็เร่งลุกขึ้นชายฉลองพระองค์เกี่ยวกับกิ่งไม้ทันที

กิ่งไม้เจ้ากรรมนั้นรั้งพระองค์ให้เกือบหลุดจากหลังอาชา แต่พระหัตถ์ข้างหนึ่งยังทรงคว้าบังเหียนไว้มั่น อีกข้างเกี่ยวกับกิ่งไม้ไว้ และพระชงฆ์ก็ทรงเกี่ยวกับอานม้า เมื่อเจ้าชายวิษณุวัจน์ทรงทอดพระเนตรเห็นดังนั้นก็เร่งม้ากลับมาทันเท่าความคิดของพระองค์ทันที

“วาสนาวดีเจ้าปล่อยมือมา”

“ไม่เพคะ ถ้าหม่อมฉันปล่อยหม่อมฉันก็ตกซิเพคะ”

“ข้ารับเจ้าอยู่นี่ไง”ว่าแล้วพระองค์ก็บังคับม้ามาเคียงกัน แลใช้อ้อมพระกรโอบพระกฤษฎีของเจ้าหญิงวาสนาวดีไว้ เจ้าหญิงทรงดิ้นขลุกขลักอย่างมิพอพระทัย พระหัตถ์ก็ยังมิทรงปล่อยทั้งม้าทั้งกิ่งไม้

“เจ้าจักปล่อยกิ่งไม้ได้หรือยังวาสนาวดี ถ้าเจ้าไม่ปล่อยเราก็ต้องอยู่กันอย่างนี้”สุรเสียงกร้าวของเจ้าชาย ทำให้เจ้าหญิงวาสนาวดีทรงหยุดดิ้น และค่อยๆ ปล่อยพระหัตถ์จากกิ่งไม้ เมื่อปล่อยแล้วเจ้าชายก็ทรงกระชับอ้อมพระกรแน่นขึ้นไปอีก

“อุ้ย”เจ้าหญิงอุทานอย่างตกพระทัยกับอ้อมพระกรที่รัดแน่นนั้น และยิ่งทรงพยายามดิ้นอีกหน

“เจ้าจักดิ้นทำไมวาสนาวดี เจ้าปล่อยบังเหียนนั้นได้แล้ว เราจะได้ดึงเจ้ามานั่งบนม้าของเรา”เจ้าหญิงยังคงทรงดิ้นต่อไป เมื่อเป็นดังนั้นเจ้าชายวิษณุวัจน์ก็ทรงแกล้งทำทีปล่อย โดยที่เจ้าหญิงยังมิทรงเตรียมองค์ วรกายก็เลื่อนราวกับจักหล่นลงมายังพื้น

“ว้าย” สิ้นเสียงตกพระทัยแห่งพระองค์หญิงเจ้าชายก็เอื้อมพระกรไปโอบพระกฤษฎีได้อีกครั้ง แลแย้มสรวล

“พระองค์ทรงแกล้งหม่อมฉันหรือ”เจ้าหญิงทรงตรัสอย่างโมโหยิ่งนัก


“มิใช่ เราแค่อยากทำให้เจ้าดูว่าถ้าเจ้ายังไม่ปล่อยบังเหียน เจ้าได้ตกลงไปแน่ ๆ”เมื่อเจ้าชายตรัสจบเจ้าหญิงผู้ดื้อรั้นก็ค่อย ๆ ปล่อยพระหัตถ์จากบังเหียน เจ้าชายทรงรัดอ้อมพระกรแน่นขึ้นอีกครา แลค่อยๆ รั้งพระวรกายของเจ้าหญิงให้ทรงมาประทับยังหลังอาชาของพระองค์



เมื่อเจ้าหญิงวาสนาวดีทรงประทับได้ถนัดแล้วก็เงยหน้าขึ้นมอง ราชบุรุษ ณ เบื้องพระพักตร์ทันที พระพักตร์คมเข้มนั้นอยู่ใกล้ชิดยิ่งนัก เจ้าชายวิษณุวัจน์ทรงแย้มพระโอษฐ์งาม ส่งสายพระเนตรหวานล้ำ เมื่อเห็นดังนั้นเจ้าหญิงวาสนาวดีจึ่งก้มพระพักตร์แลใช้พระหัตถ์นุ่มนั้นดันพระอุระเจ้าชายให้ทรงห่างออกไป

“ปล่อยหม่อมฉันลงเถิดเพคะหม่อมฉันจักได้ขี่ม้ากลับ”

“ไม่” สุรเสียงนุ่มกล่าวตอบ เมื่อทรงได้ยินเช่นนั้นเจ้าหญิงวาสนาวดีก็เงยพระพักตร์ขึ้นแลชักสีพระพักตร์หงุดหงิดใส่คนที่อยู่เบื้องพระพักตร์อย่างมิพอพระทัยอย่างที่สุด

“พระองค์จักทรงมาบังคับหม่อมฉันได้อย่างไรกัน”

“เราไม่ปล่อยให้เจ้ากลับเองหรอก เจ้าอาจบาดเจ็บอยู่ก็ได้ และเป็นความผิดของเราที่เล่นสนุกจนทำเจ้าเกือบประสบเหตุร้าย”

“แต่หม่อมฉันมิเป็นเช่นไร”สุรเสียงหวานใสกล่าวทักท้วงอีกที แต่ก็ดูจักไม่เป็นผล เจ้าชายวิษณุวัจน์ทรงดึงบังเหียนบังคับให้อาชาสีหมอกเดินออกไปทันที

เห็นว่าจักทักท้วงไปก็มิมีประโยชน์อันใด เจ้าหญิงวาสนาวดีก็จำต้องยอมประทับนิ่งเงียบบนหลังอาชานั้น ภายในพระทัยก็ทรงบ่นกล่าวนิสัยชอบใช้อำนาจแห่งองค์พระยุพราช จนมารู้สึกพระองค์อีกทีเมื่อรู้สึกว่าพระปัสสาสะอุ่น ๆ ขององค์พระยุพราชนั้นรดไรพระเกศาอยู่ อ้อมพระกรก็กระชับขึ้น เมื่อทรงเหลือบมอง ก็ทรงเห็นว่าองค์พระยุพราชทรงก้มพระพักตร์มาใกล้พระองค์ยิ่ง แลทรงแย้มสรวลร่าเริง ดวงเนตรงามนั้นดูระยิบระยับยิ่งเมื่อทรงทอดพระเนตรพระองค์

เจ้าหญิงวาสนาวดีจึ่งรีบก้มพระพักตร์อีกครา พระหทัยนั้นเต้นราวกับกลองรบ จนต้องยกพระหัตถ์งามมาจับพระอุระของตนไว้ด้วยหวังที่จะระงับพระอาการเต้นของพระหทัยของพระองค์ได้

***********************
เหล่าราชองค์รักษ์ และนางสนมก็ต่างส่งกระแสเสียงอย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นทั้งสองพระองค์เสด็จกลับมาบนอาชาตัวเดียวกัน

“เกิดเหตุอันใดขึ้นพะยะค่ะ”เปรมัษตะโกนถามออกไป และวิ่งไปยังม้าที่ทั้งสองพระองค์ทรงมา พอวาสนาวดีเห็นราชองค์รักษ์มาใกล้ก็พยายามที่จะขยับตัวลงจากม้า แต่เจ้าชายวิษณุวัจน์ยิ่งโอบพระกฤษฎีของเจ้าหญิงไว้แน่นกว่าเดิมแลพลางส่ายพระพักตร์เป็นเชิงห้ามปราม มิให้เจ้าหญิงวาสนาวดีทรงเสด็จลง แต่ก็ดูเหมือนจักห้ามเจ้าหญิงมิได้ พระองค์หันไปหาราชองค์รักษ์คู่พระทัยแลมีพระเสาวนีย์เรียกให้ช่วยเหลือแทน

“เปรมัษ เจ้ามาช่วยเราหน่อย เราจะลงจากม้า”

“แล้วอาชาของพระองค์ไปไหนพะยะค่ะ”

“อย่าถามเซ้าซี้นัก เจ้าช่วยเราลงจากม้านี้ก่อน”

“พะยะค่ะ”เปรมัษผู้มิรู้ความอันใด ยื่นมือไปให้เสด็จพระองค์หญิงทรงจับเพื่อเหนี่ยวพระองค์ลงมา โดยเจ้าชายวิษณุวัจน์ทรงช่วยอีกแรงหนึ่ง

“เกิดอุปัทวเหตุเล็กน้อยระหว่างที่เราแข่งม้า เปรมัษเจ้าส่งคนไปนำม้าของวาสนาวดีกลับมาด้วยแล้วกัน มันอยู่บริเวณที่กิ่งปาริชาติขวางเส้นทางอยู่”เมื่อสมเด็จพระยุพราชทรงรับสั่งแล้ว ก็ทรงกระโดดลงจากหลังอาชา แลทอดพระเนตรไปยัง องค์เยาวมาลย์ที่บัดนี้พระพี่เลี้ยงมาลูบคลำพระกรทั้งสองข้างอยู่อย่างกังวลใจ

“เจ้าบาดเจ็บตรงไหนบ้างไหม วาสนาวดี”

“ไม่เพคะ”เจ้าหญิงทรงตรัสตอบด้วยสุรเสียงสะบัด แลหันพระพักตร์หนีเจ้าชายวิษณุวัจน์ เจ้าชายได้แต่ส่ายพระเศียรแลทรงแย้มพระโอษฐ์บาง ๆ

“เจ้าพาวาสนาวดีไปพักเถิด แลดูแลเธอที ข้าคิดว่ายังไงให้แพทย์หลวงมาตรวจดูก็ดี”เจ้าชายทรงหันไปรับสั่งกับวิสาขา เมื่อเห็นดังนั้นเจ้าหญิงก็ทรงทำทีท่ามิพอพระทัย ที่เห็นเจ้าชายวิษณุวัจน์ทรงเจ้ากี้เจ้าการกับพระองค์

“เราจักกลับแล้วพี่วิสาขา”

“เพคะ”

“เจ้าจักกลับแล้วฤา แล้วเจ้าเดินไหวไหมวาสนาวดี หรือจักให้เราช่วยอุ้มเจ้า”เจ้าชายวิษณุวัจน์ทรงเย้าแหย่เจ้าหญิง เมื่อทรงได้ยินคำเย้าแหย่นั้นเจ้าหญิงก็ทรงสะบัดพระพักตร์ แลทรงเร่งเสด็จนำข้าราชบริพารทันทีโดยทำทีมิสนใจ องค์พระยุพราช

เมื่อเจ้าหญิงวาสนาวดีทรงพระดำเนินไปจนสุดสายพระเนตรแล้ว พระองค์ก็หันมายิ้มสรวลให้กับทหารคู่พระทัยที่ยืนแย้มยิ้มอยู่เช่นกัน

“เสียดายยิ่งนักที่เราเล่าเรียนมาแค่วิชาสะกดสัตว์ป่าดื้อรั้น มิได้เรียนวิชาสะกดคนดื้อรั้นแสนงอน”เจ้าชายวิษณุวัจน์ทรงตรัสกลั้วพระสรวลอย่างพึงพระทัย

“สตรีดื้อรั้น แสนงอน ใช้วิชาอาคมใด ๆ ก็คงสะกดมิได้ นอกจากพระองค์จักใช้หัวใจสะกด”

“เจ้านี่วาทะดียิ่ง สงสัยเราจักต้องศึกษาจากเจ้าบ้าง”

“หม่อมฉันมิกล้าหรอกพะยะค่ะ พระองค์ทรงเก่งกาจกว่าหม่อมฉันยิ่งนัก”

พอทรงสดับดังนั้นเจ้าชายวิษณุวัจน์ก็ทรงสรวลลั่น “สักทัต ข้าแปลกใจยิ่งนักว่าวาสนาวดีขัดเคืองใจเรื่องใดกับข้านัก ใยนางจึงมิเคยแสดงท่าทีเป็นมิตรกับเราเลย”


“หม่อมฉันก็มิอาจคาดเดาได้พะยะค่ะ ด้วยใจสตรีนั้นยากแก่การคาดเดา”

“ยิ่งสตรีอย่างวาสนาวดีที่ทำให้ข้าประหลาดใจได้ตลอดเวลาด้วยแล้วก็ยิ่งยากต่อการคาดเดายิ่งนัก”องค์พระยุพราชทรงรำพึงเบา

****************************
เมื่อเจ้าหญิงวาสนาวดีดำเนินกลับยังพระตำหนักแล้ว พระพี่เลี้ยง นางกำนัลก็ต่างวุ่นวายดูแล ตรวจดูพระวรกายตลอดทั่วสรรพางค์ ถึงแม้พระองค์จะทรงตรัสแล้วว่ามิได้เป็นอะไร แต่พระพี่เลี้ยงก็ยังอดห่วงมิได้

จนแน่ใจแล้วว่าพระราชกุมารีมิได้ รับการบาดเจ็บใด ๆ นั่นแล เสด็จพระองค์หญิงจึงสามารถที่จักใช้เวลาเป็นส่วนพระองค์ได้เสียที พระองค์ทรงเสด็จออกไปประทับ ณ สวนสราญในพระตำหนักส่วนพระองค์ แลเริ่มบรรเลงเพลงพิณ

เสียงเสนาะหวานล้ำของเพลงพิณดังกังวานไปทั่วสวนขวัญ แม้พระหัตถ์จักบรรเลงพิณ แต่พระหทัยกลับทรงหวนคิดถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้น พอทรงนึกถึงสัมผัสแห่งอ้อมพระกรขององค์พระยุพราชแล้ว ก็พลันให้รู้สึกวาบหวามในพระหทัย แลเมื่อทรงนึกถึงวจนะวาจาแห่งองค์พระยุพราชแล้วไซร้ เพลงพิณนั้นก็ยิ่งเสนาะหวานยิ่งขึ้น องค์เยาวลักษณ์ผู้โศภิตทรงตกอยู่ในภวังค์ไปกับเพลงพิณ จนกระทั่งวิสาขามานั่งอยู่ ณ พระบาทของพระองค์

“องค์ราชกุมารีเพคะ เจ้าชายวิษณุวัจน์ราชกุมาร ทรงขอเข้าเฝ้าพระองค์เพคะ”

ครั้นเมื่อพระองค์หญิงทรงได้ยินพระนามนั้น พระองค์ก็ทรงประหลาดใจยิ่ง ทรงขมวดพระขนงอย่างมิพึงพระหทัย

“เจ้าชายบ้าอำนาจผู้นี้มีกิจใดกับเราอีกเล่า”

“หม่อมฉันก็มิทราบได้เพคะ”

“วิสาขาเจ้าไปทูลพระองค์ว่าข้าพักผ่อนอยู่ มิอยากพบใคร”

สิ้นสุรเสียงแห่งองค์ราชกุมารีแล้ว พระพี่เลี้ยงก็กลับไปทูลองค์พระยุพราชตามพระเสาวนีย์นั้น แต่องค์พระยุพราชทรงยืนยันว่าขอทรงพบเพียงสักครู่ ด้วยพระองค์ผู้เป็นต้นเหตุแห่งอุปัทวเหตุนั้น หากมิได้ทอดพระเนตรด้วยพระองค์เองว่าราชกุมารีทรงพระเกษมสำราญดีก็มิทรงวางพระทัยได้

คำกล่าวนั้นเมื่อถูกส่งกลับมายังองค์ราชกุมารี พระองค์ก็ทรงอึดอัด แต่เห็นว่าจักทรงขับไล่องค์พระยุพราชไปเสีย ก็อาจทำให้เสด็จพ่อจักมิพอพระทัยหากทรงทราบ จึงจำใจให้องค์พระยุพราชทรงเข้าพบได้ ณ สวนสราญที่ประทับอยู่

“เห็นเจ้านั่งบรรเลงเพลงพิณได้ข้าก็สบายใจแล้ว ว่าเจ้าคงสบายดี”เจ้าชายวิษณุวัจน์ทรงตรัสทักเมื่อทรงทอดพระเนตรเห็นเจ้าหญิงวาสนาวดีทรงนั่งบรรเลงพิณสายบนอาสนที่ประทับ แลเจ้าชายวิษณุวัจน์ก็ทรงประทับ ณ เบื้องตรงข้ามขององค์ราชกุมารี

“เมื่อพระองค์ทรงสบายพระทัยแล้วที่เห็นหม่อมฉัน พระองค์ก็คงเสด็จกลับได้เสียแล้วกระมังเพคะ”

“เจ้าจักมิให้ข้านั่งพัก พูดคุยเจรจากับเจ้าบ้างเลยหรือวาสนาวดี”

“หม่อมฉันมิได้มีสิ่งใดที่อยากจักเจรจากับพระองค์นิเพคะ”

“แต่เรามี วาสนาวดีเราทำสิ่งใดให้เจ้ามิพอใจ เจ้าจึงทำทีหมางเมินเราตลอดเวลา บอกให้เรารู้ถึงความผิดนั้นเถิดกัลยา เพื่อเราจักได้แก้ไขสิ่งที่เรากระทำแล้วเจ้าขัดเคือง”

วาสนาวดีเทวีทรงเพ่งพิศยังพักตร์งามเข้มดั่งองค์พระวิษณุจุติมาเป็นองค์พระผู้ที่สถิตอยู่ ณ เบื้องพระพักตร์แห่งพระองค์ สุรเสียงที่เคยแข็งกร้าวยามทรงบัญชาการศึกนั้น บัดนี้กลับอ่อนโยน หวานล้ำยิ่งนัก

เจ้าหญิงวาสนาวดีผู้เลิศโสภา ทรงนิ่งงันมิรู้จักทรงหาคำตอบเช่นใดที่สมควรมาตอบคำถามที่องค์พระยุพราชผู้เรืองรณตั้งคำถามไว้

“หากเจ้าจักเห็นใจเราสักนิด ก็จงตอบเราให้เรารับรู้เถิดวาสนาวดี ว่าเหตุผลกลใด จึงทำให้เราต้องตกเป็นผู้ถูกหมางเมิน”

“ความผิดแห่งพระองค์นั้นไซร้ ด้วยพระองค์ทรงเป็นผู้ที่จักต้องหมั้นหมายกับหม่อมฉันเพคะ”

“โถ่ นั่นหรือคือความผิดของเรา เรามิเคยหมายที่จักมาเป็นคู่หมั้นของเจ้าเลย เรามายังพาราณสีครานี้ด้วยการแห่งศึกเพียงเท่านั้น”

“หม่อมฉันมิอาจทราบได้ว่ากิจใดบ้างที่พระองค์จำต้องเสด็จมายังพาราณสีแห่งนี้ แต่หม่อมฉันขัดเคืองทุก ๆ คนที่ถูกหมายมาดว่าจักมา เป็นคู่หมายของหม่อมฉัน”

“แล้วความผิดนั้นเราได้เลือกเองฤาที่จักต้องได้รับวาสนาวดี เราขอยืนยันกับเจ้าว่าเรามาที่นี้เพื่อมาปราบวัชระราชาเท่านั้น มิได้เกี่ยวข้องกับเรื่องเสกสมรสกับเจ้า”

“แต่ผู้ใดก็รู้ ว่าเสด็จพ่อของหม่อมฉัน แลเสด็จพี่ของพระองค์ทรงมาดหมายไว้ ที่จักให้พระองค์แลหม่อมฉันเสกสมรสกัน”

“ใครจักบังคับเราได้ วาสนาวดี หากเราปฏิเสธ ก็มิมีผู้ใดในไตรภพนี้ที่จักบังคับเราได้”

“แล้วพระองค์มิได้คิดที่จักตามพระทัยเสด็จพี่ของพระองค์หรอกหรือเพคะ”

“วาสนาวดี เจ้าจงโปรดรู้ไว้เถิดว่าเรา วิษณุวัจน์ผู้นี้มิเคยคิดที่จักใช้สตรีเป็นทางผ่านไปยังอำนาจบารมีใด ๆ หากเราจักต้องเสกสมรสกับผู้ใด ต้องเกิดจากใจรักของเราเท่านั้น”เจ้าชายวิษณุวัจน์ทรงตอบด้วยสุรเสียงจริงจัง แต่สายพระเนตรที่ทรงทอดพระเนตรไปยังพระพักตร์ขาวผ่องนั้นกลับระยิบระยับ เฉกเช่นแสงอาทิตย์อัสดงสะท้อนสายธารา

เมื่อเจ้าหญิงวาสนาวดีทรงได้สบเนตรนั้นก็ทรงก้มพระพักตร์หลบสายพระเนตรทันใด

“เจ้าจักอภัยในความผิดที่มิได้เกิดจากเราได้หรือไม่วาสนาวดี เราอยากที่จักพูดคุยเจรจากับเจ้าฉันท์มิตรคนหนึ่ง มิใช่อย่างที่ตอนนี้เจ้าเจรจากับเราเยี่ยงศัตรู”

“หม่อมฉันคงมิอาจที่จักทำใจยอมรับพระองค์ได้ฉันท์มิตรสหายได้หรอกเพคะ”

“ด้วยเหตุอันใดอีกเล่า”

“พระองค์ทรงลืมไปหรือเพคะว่าพระองค์ทรงทำให้หม่อมฉันสูญเสียพระพี่นางของหม่อมฉัน” เมื่อเสด็จพระองค์หญิงทรงตรัสประโยคนั้นแล้ว พระองค์ก็ทรงเงยพระพักตร์มองจ้องไปยังองค์วิษณุวัจน์ยุพราช แลเมื่อเจ้าชายได้สดับพระองค์ก็ทรงทำทีประหลาดพระทัยยิ่ง

“ทุกคราที่หม่อมฉันได้เข้าเฝ้าพระองค์ ก็ทำให้หวนคำนึงไปถึงชะตากรรมอันแสนโหดร้ายที่เกิดกับพระพี่นางของหม่อมฉันทุกคราไป เมื่อเป็นเช่นนี้จักให้หม่อมฉันทำใจคบหาพระองค์ฉันท์มิตรได้เช่นไรเพคะ”

“วาสนาวดี อันเหตุร้ายอันขมขื่นนั้น เรามิได้ตั้งใจที่จะมีผลทำให้พระพี่นางของเจ้าต้องสิ้นพระชนม์ หากเรามิยกทัพไปปราบ อิศราราชาชั่วนั้นแล้ว ผู้คนทั่วหล้าก็จักดูหมิ่นเกียรติแห่งเสด็จพี่เราได้”

“ใยพระองค์มิทรงเลือกทางแห่งสันติเล่าเพคะ ใยพระองค์จึ่งหมายมั่นยกทัพไปกำราบบีบคั้น จนอิศราราชาทมิฬนั้นประหารเสด็จพี่หม่อมฉัน”

“ต่อให้เรามิยกทัพไป เจ้าคิดฤาว่าพระพี่นางของเจ้าจักยังมีพระชนม์ชีพ”

“อิศราหลงรักเสด็จพี่ของหม่อมฉัน หากเสด็จพี่ของพระองค์แต่งตั้งฑูตไปเจรจา ก็อาจจักได้นางคืนมา หรืออย่างน้อยเสด็จพี่หม่อมฉันก็คงมิสิ้นพระชนม์”

“เจ้าจักปล่อยให้อิศราได้ครอบครองพระพี่นางของเจ้าฤา เจ้ารู้จักผู้ชายน้อยไปวาสนาวดี มิมีสิ่งใดหมิ่นเกียรติเสียยิ่งกว่าการที่ถูกปล้นชิง พระชายาอีกแล้ว เจ้าจักให้เสด็จพี่เราแต่งทูตไปเจรจา เพื่อขอคืนพระชายาเช่นนั้นหรือ สิ่งเดียวที่เราต้องทำคือสงคราม”

พอสิ้นสุรเสียงแข็งกร้าวนั้น องค์ราชกุมารีก็ทรงกัดริมพระโอษฐ์แน่น มองดูขัตติยะราชผู้งดงาม ที่ประทับ ณ เบื้องพระพักตร์

โอ้ เหตุใดเล่าในพระพักตร์ที่งดงามเยี่ยงนี้ พระองค์จึงคิดได้แต่เรื่องประหัตประหาร ฆ่าฟันกัน

“สงครามมิได้ช่วยให้ได้เสด็จพี่ของหม่อมฉันคืนมา แต่สงครามทำให้พระองค์ได้แคว้นวังสะมาครอบครองแทน เสด็จพระพี่นางผู้น่าสงสารของหม่อมฉันเป็นเพียงข้ออ้างที่พระองค์ใช้ในการยกทัพไปเพื่อยึดครองดินแดนของผู้อื่น”

“โอ้ วาสนาวดีวาจาของเจ้าราวกับกริชแหลมคม ที่ทิ่มแทงดวงหฤทัยเรายิ่งนัก เรามิเคยคิดเลยที่จักใช้พระพี่นางของเจ้าเป็นข้ออ้างใด ๆ ในการยึดครองวังสะ หากอิศรามิได้กำเริบเสิบสาน ลักพาพระพี่นางเจ้าแล้วไซร้ เรามิเคยหมายจักยึดครองวังสะเลย”

“แล้วเมื่อพระองค์ทรงทราบว่าพระพี่นางอาทิตยานั้นถูกประหารไปแล้ว ใยพระองค์มิยกทัพกลับเพคะ”

“ตีงูต้องตีให้ตาย เจ้าเคยได้ยินไหมวาสนาวดี หากเราปราบอิศรามิได้ งูตัวนั้นก็อาจกลับมาฉกกัดเรา แลเสด็จพี่ของเรากลับคืน”

“พระองค์ทรงเห็นแต่เรื่องของพระองค์เองเป็นใหญ่”วาสนาวดีตรัสคำนั้นก่อนสบเนตรงามอย่างตัดพ้อ

“อันสงครามที่พระองค์เริ่มขึ้นมิได้แค่ทำให้เสด็จพี่หม่อมฉัน และอิศราที่สิ้นพระชนม์ แต่ทหารมากมายที่ต้องสิ้นชีพในสนามรบ และรวมถึงประชาชนผู้มิรู้เรื่องอันใดด้วย เพียงเพราะแย่งชิงเจ้าหญิงผู้โศภิตจากอีกแคว้นหนึ่ง กลับทำให้ประชาชนชาววังสะล้มตายมากมาย หากเหตุการณ์เยี่ยงนี้เกิดกับหม่อมฉัน หม่อมฉันเป็นต้นเหตุให้ผู้คนมากมายล้มตายเยี่ยงนี้หม่อมฉันคงรู้สึกบาป ต่อให้ตายไปสักกี่ครั้งก็คงชดใช้กรรมนี้มิสิ้น“

“โถ่ วาสนาวดีอันภาระแลเกียรติแห่งขัตติยะราชนั้นก็ทำให้เราต้องเลือกที่จะต้องทำเช่นนี้”

“หม่อมฉันทราบดีเพคะว่าเกียรติอันสูงส่งแห่งกษัตรานั้นสูงค่ากว่าประชาชนนับพันนับหมื่น”

“มิใช่เช่นนั้นหรอกวาสนาวดี แลเมื่อวันหนึ่งเจ้าได้ครอบครองไอศูรย์แห่งพาราณสีแล้วเจ้าจักรู้ว่าเหตุอันใดเราจึงทำเช่นนั้น”

“หม่อมฉันขอภาวนาว่าจักมิมีวันที่หม่อมฉันจักต้องกระทำการเช่นพระองค์”วาสนาวดีเทวีทรงตรัสด้วยสุรเสียงกังวานใส เจ้าชายวิษณุวัจน์ได้แต่ทรงเพ่งมองไปยังพระพักตร์งามนั้น อีกพระทัยหนึ่งก็ทรงขัดเคืองในข้อพิพาทที่เจ้าหญิงวาสนาวดีทรงยกมาถกเถียงกับพระองค์ อีกพระทัยก็ทรงนับถือในน้ำพระทัยอันโอบอ้อมและ ความคิดอันลึกซึ้ง ของเจ้าหญิงวาสนาวดี

“หม่อมฉันเหนื่อยแล้วเพคะ อยากจักพักผ่อน หม่อมฉันขอกลับพระตำหนักเพคะ”วาสนาวดีเทวีมิได้ทรงรอสดับรับฟังรับสั่งจากเจ้าชายวิษณุวัจน์ พระองค์ก็ทรงลุกจากพระอาสน์ทันใด

“ช้าก่อนวาสนาวดี”

“เพคะ”

“ด้วยที่เราพูดคุยเจรจามาหมดนี้แล้ว เจ้ายังมิยอมรับมิตรภาพจากเราใช่หรือไม่”

“ในเมื่อพระองค์ทรงคิดแตกต่างกับหม่อมฉัน แลหม่อมฉันเองยังทำใจมิได้ในเรื่องราวเก่าก่อน หม่อมฉันเองคงมิอาจรับไมตรีจากพระองค์ได้เพคะ”

“วาสนาวดี เรามิได้หมายจักให้เจ้ารู้จักเราภายในชั่วระยะเวลาหนึ่ง สิ่งใด ๆ ที่เจ้าได้รับรู้มาเกี่ยวกับเรา เราอยากให้เจ้ารับรู้มันด้วยตัวเอง หากเจ้าจักตัดสินใจที่จะปฏิเสธไมตรีจากเรา เราก็หมายที่จักให้เจ้าศึกษาเราก่อน”

วาสนาวดีเทวีมิได้ตรัสตอบใด ๆ แด่องค์พระยุพราช นางเพ่งมองพระองค์นั้นอย่างครุ่นคิดสักชั่วเพลา ก่อนจักบ่ายพระพักตร์เสด็จกลับคืนสู่พระตำหนักแห่งพระองค์ ทิ้งไว้แต่องค์พระยุพราชที่ทรงทอดพระเนตรตามเบื้องปฤษฎางค์ไปจนสุดสายพระเนตร


อันศึกสงคราม ไม่ว่าจัก อริราช กบฏ หรือโจรเดียรถีย์ใด ๆ เรามิเคยพ่ายแพ้ มีหรือเราจักพ่ายแพ้ให้กับเจ้าหญิงพระองค์เล็ก ๆ เช่นนี้

*********************
เจ้าชายวิษณุวัจน์ราชกุมาร ทรงใช้เวลาส่วนใหญ่ในการพักผ่อน ณ เมืองพาราณสีด้วยการที่ทรงศึกษาแลแลกเปลี่ยนวิชาความรู้ทางการศึก กับแม่ทัพ นายกอง แห่งพาราณสี พระองค์เป็นที่รักแลนับถือยิ่ง สำหรับกองทัพแห่งพาราณสี

แลนอกจากกิจแห่งกองทัพแล้ว องค์จารุทัตต์ราชันมักทรงปรึกษา กรณียกิจต่างๆ กับพระองค์เช่นกัน ทำให้ในยามรุ่งทิวา ที่เหล่าเสนาอำมาตย์ เสวกามาตย์ แห่งองค์จารุทัตต์ราชาร่วมเข้าเฝ้าเพื่อว่าราชการ องค์พระยุพราชก็มักได้รับเกียรติในการร่วมว่าราชการอยู่เนือง ๆ แลในขณะเดียวกัน องค์เจ้าฟ้าหญิงแห่งพาราณสีเองก็ทรงช่วยองค์จารุทัตต์ราชันว่าราชการด้วยทุกคราในยามเช้า

องค์พระยุพราชทรงสืบทราบมาว่าในยามอรุณรุ่ง วาสนาวดี จักทรงช่วยองค์จารุทัตต์ราชาว่าราชการ แลเมื่อยามบ่ายนางมักจะกลับพระตำหนักเพื่อไปทรงฝึกซ้อมดุริยางค์ดนตรี จนเมื่อเวลาย่ำสายัณห์นางจึงมักจะออกมาฝึกศิลปะอาวุธต่างๆ เป็นกิจวัตรเช่นนี้ทุกทิวา

วันนี้เมื่อองค์พระยุพราชทรงเสร็จสิ้นกิจแห่งการสนทนากับเสนาอำมาตย์แห่งพาราณสีแล้ว พระองค์ก็ทรงพระราชดำเนินเพื่อกลับยังพระตำหนัก

“สักทัตเวลานี้ก็เย็นแล้ว เจ้ารู้ไหมว่าวาสนาวดีอยู่ที่แห่งใดกัน สนามฝึกอาชา สนามฝึกธนู หรือฝึกบังคับรถศึกอยู่ ข้าเห็นเมื่อวานนางได้รับรถศึกพระราชทานแล้ว”องค์พระยุพราชทรงตรัสถามกลั้วพระสรวลเบา ๆ พระองค์ทรงอดนึกขันไม่ได้เมื่อต้องกล่าวถึงกิจธุระแห่งพระองค์หญิงผู้นี้

“บัดนี้พระองค์หญิงทรงประทับอยู่ที่สนามฝึกธนูพะยะค่ะ”

“เจ้านี่สมแล้วที่เป็นทหารคู่ใจเรา”องค์พระยุพราชทรงสรวลลั่นเมื่อได้ยินคำตอบของสักทัต

**************
เจ้าชายวิษณุวัจน์ประทับยืนนิ่ง ทอดพระเนตรมองเจ้าหญิงวาสนาวดี อยู่นอกเขตสนามฝึกธนู ธนูดอกแล้วดอกเล่าที่พระองค์หญิงทรงปล่อยจากคันธนู แสดงถึงความมานะอุตสาหะแห่งพระองค์หญิง บางลูกปักแน่นอยู่กลางเป้า บางลูกก็หลุดพลาดไปบ้าง

องค์พระยุพราชทรงสังเกตแลจับได้ถึงเหตุแห่งความมิแน่นอนในการปล่อยศรของ เจ้าหญิงวาสนาวดี เมื่อเห็นดังนั้นพระองค์จึ่งเสด็จเข้าไปในบริเวณสนามฝึก

“ยิงธนูให้ถูก เจ้าต้องตั้งศอกให้ตรงวาสนาวดี”ตรัสมิตรัสเปล่าแต่องค์พระยุพราชทรงถือวิสาสะ ทรงจับ
พระกัปประของพระองค์หญิงให้ตั้งฉาก พระหัตถ์อีกข้างก็จับพระกรของพระองค์หญิงให้เหยียดตึง พระองค์หญิงทรงสะดุ้งสุดพระองค์ด้วยมิเคยมีใครถือวิสาสะเช่นนี้กับพระองค์มาก่อน แม้กระทั่ง เปรมัษ

“ปล่อยหม่อมฉันเพคะ”พระองค์หญิงตรัสกร้าวเมื่อทรงทราบแล้วว่าพระหัตถ์อุกอาจนั้นเป็นของผู้ใด

“ปล่อยก็ได้”ว่าแล้วองค์พระยุพราชก็ทรงปล่อยพระหัตถ์แต่พระโอษฐ์ยังคงยิ้มพราย แววเนตรพิศดู องค์เยาวลักษณ์เบื้องพระพักตร์อย่างทรงรู้สึกสนุกสนาน

เมื่อองค์พระยุพราชทรงปล่อยพระหัตถ์แล้ว เจ้าหญิงวาสนาวดี ก็ทรงกระชับคันธนูมั่น แต่พระหทัยกลับสั่นไหวยิ่งนัก เหนี่ยวคันธนูหมายจักให้ตรงเป้า แต่ก็ดูเหมือนจักบังคับมิได้ ศรนั้นปักลงตรงริมเป้าเท่านั้น

“เราบอกแล้วไง ว่าแขนที่เหนี่ยวศรเจ้าต้องตั้งศอกให้ได้ฉากกับมุมปาก อีกแขนนั้นต้องยืดตรง เราจักสอนเจ้า เจ้าก็ดื้อรั้นยิ่งนัก”องค์พระยุพราชตรัสแล้วก็กลับไปจับพระกรของพระองค์หญิงอีกครั้ง พระองค์หญิงจักสะบัดเท่าไหร่ก็มิเป็นผล หัตถ์ด้านหนึ่งจับที่ข้อพระกรซ้ายที่องค์เจ้าหญิงถนัด หัตถ์อีกข้างโอบไปจับยังพระหัตถ์ของพระองค์หญิง จนทำให้พระปฤษฎางค์ของพระองค์หญิง แนบกับพระอุระของสมเด็จพระยุพราช

“เจ้าจักฝืนทำไมวาสนาวดี ทำตัวตามสบายซี เรารู้แล้วว่าใยเจ้าฝึกเท่าใดก็มิแม่นยำ เพราะเจ้าดื้อนี่เอง”

“ปล่อยหม่อมฉันดื้อไปอย่างนี้เถิดเพคะ สักวันหม่อมฉันก็จักยิงแม่นยำเอง พระองค์มิต้องทรงมายุ่งยากกับหม่อมฉันหรอก”

“แล้วอีกเมื่อไหร่เล่าที่เจ้าจักยิงแม่น”พระโอษฐ์งามของทั้งสองพระองค์ยังคงถกเถียงกัน แต่พระหัตถ์ของสมเด็จพระยุพราชก็นั้นก็ยังทรงจับบังคับพระหัตถ์แห่งพระองค์หญิงให้น้าวศรไปด้วย

“เอ้าปล่อยศร วาสนาวดี”ด้วยอารามตกพระทัยองค์หญิงวาสนาวดีก็ปล่อยศรตามพระบัญชา ศรนั้นปักแน่นอยู่กลางเป้าทันที แลยังมิทันตั้งพระองค์เจ้าชายวิษณุวัจน์ก็ทรงหยิบศรอีกดอกบรรจุลงบนคันธนูแลจับพระหัตถ์ของพระองค์หญิงให้ง้างศรอีกครั้ง

“ปล่อยได้” สิ้นสุรเสียงสั่ง เจ้าหญิงก็ทรงปล่อยศรออกจากคัน ศรนั้นเบียดศรเดิมที่ปักคาอยู่กลางเป้าให้ตกลง แลตัวมันเองกลับปัก ณ ที่ของศรเดิมนั้น

“เห็นไหมวาสนาวดี ได้อาจารย์ดี มิต้องรออีกเนิ่นนาน กว่าเจ้าจะแม่นยำ”เจ้าชายวิษณุวัจน์ทรงตรัสร่าเริง องค์หญิงวาสนาวดีทรงเงยพระพักตร์มองอย่างทรงหมั่นไส้พระองค์ชายยิ่งนัก

“แล้วปล่อยหม่อมฉันได้หรือยังเพคะ หม่อมฉันได้ฝึกยิงเอง”เจ้าหญิงวาสนาวดีทรงตรัสสั่งด้วยเมื่อทรงรู้สึกได้ว่า องค์พระยุพราชนั้นประทับใกล้ชิดพระองค์ยิ่งนัก

“ก็ได้”

เมื่อองค์พระยุพราชทรงปล่อยพระหัตถ์แล้ว เจ้าหญิงวาสนาวดีก็ทรงหยิบศรขึ้นมาทรงยิงอีกครา ครานี้ศรที่ปล่อยไปนั้นพุ่งตรงเป้าหมาย แต่ก็มิอาจปักลงได้ด้วยติดศรเดิม พระองค์ทรงลองอีกสองสามครั้ง แต่ศรนั้นก็ยังมิแม่นยำนัก เจ้าชายทรงแนะนำ แตะพระกรของพระองค์หญิงบ้าง เพื่อให้ทรงถูกท่วงท่า จนมินานศรของพระองค์หญิงก็เบียดศรที่ปักคาอยู่ปักลงไปได้

ถึงแม้พระโอษฐ์แห่งพระองค์หญิงจักพร่ำบ่น หรือไล่ สมเด็จพระยุพราชเท่าไหร่ก็มิเป็นผล องค์พระยุพราชก็ยังทรงมุ่งสั่งสอน บางคราก็ส่งสุรเสียงดุเข้มบ้าง แลนี่น่าจักเป็นครั้งแรกที่สมเด็จพระองค์หญิงทรงฝึกธนูได้เห็นผลดียิ่งนัก

“ฝีมือเจ้าดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด”องค์พระยุพราชทรงตรัสเมื่อเห็นศรของพระองค์หญิงปักตรงเป้าหมายถึงสามดอกติดกัน

“ด้วยหม่อมฉันนั้นมีแววอยู่แล้วเพคะ หม่อมฉันบอกพระองค์แล้วว่ามินานหรอกหม่อมฉันก็จักแม่นยำเอง”

“เราว่าด้วยอาจารย์อย่างเราต่างหากวาสนาวดี เจ้าจึ่งเก่งได้ มิเช่นนั้นป่านนี้เจ้ายังคงส่งศรไปปักได้แต่ต้นอโศกเบื้องหลังเท่านั้น”เจ้าชายตรัสแล้วสรวลก้อง ส่วนเจ้าหญิงวาสนาวดีทรงพระพักตร์งอง้ำ

“เจ้าจักแข่งกับเราไหมวาสนาวดี”

“แข่งอะไรอีกเพคะ”

“แข่งธนูไง เราให้ศรเจ้าสิบดอก ส่วนของเราเพียงห้าดอก หากเจ้าชนะเรา เจ้าจักขออะไรจากเราก็ได้”

“หม่อมฉันมิอยากแข่งกับพระองค์หรอกเพคะ พระองค์เจ้าเล่ห์เพทุบายยิ่งนัก คราวแข่งม้า พระองค์ก็ทรงแกล้งบังคับม้าให้เบียดหม่อมฉันจนผิดเส้นทาง”

“เจ้านี่ช่างจำยิ่งนัก คราวนี้เรามิแกล้งเจ้าแล้ว เราขอสัญญาด้วยสัตย์จริง”

องค์วาสนาวดีทรงครุ่นคิดสักพักด้วยเห็นว่า ในสนามฝึกธนูแห่งนี้องค์พระยุพราชมิน่าจักใช้เล่ห์กลใด ๆ กับพระองค์ได้อีก แลข้อเสนอในของรางวัลนั้นน่าสนพระทัยยิ่งนัก

“หม่อมฉันจักขออะไรพระองค์ก็ได้หากหม่อมฉันได้รับชัย ใช่ไหมเพคะ”

“ถูกต้องวาสนาวดี เราให้ได้ในสิ่งที่เราสามารถหาให้เจ้าได้ แต่เจ้าห้ามขอในสิ่งที่เกินอำนาจของเรา แลที่สำคัญเจ้าห้ามขอให้เราเลิกยุ่งเกี่ยวกับเจ้าด้วย”องค์พระยุพราชสรวลลั่น เมื่อได้ยินคำตอบนั้นองค์พระราชกุมารีก็ทรงฮึดฮัดทันใด ด้วยองค์พระยุพราชตรัสได้ตรงพระทัยพระองค์ยิ่งนัก

“ถ้าเช่นนั้นหม่อมฉันจักขอพระกริชของพระองค์ หม่อมฉันได้ยินมาว่าพระกริชประจำพระองค์เป็นสมบัติตกทอดอันยาวนานของราชสกุลแห่งพระองค์ กริชนั้นงามยิ่งนัก พระองค์จักทรงกล้าให้หม่อมฉันหรือไม่เพคะ”

องค์พระยุพราชทรงนิ่งคิดมินานก็ทรงหยิบพระกริชวางเหนืออาสน์ ด้ามพระกริชประจำองค์ประดับด้วยมณีล้ำค่านานาชนิด ส่องแสงสะท้อนวาว ตัวฝักพระกริชก็ประดับด้วยเพชรล้ำค่าเป็นรูปสิงหรา สัญลักษณ์ประจำราชสกุลแห่งองค์พระยุพราช

“หากเจ้าสามารถเอาชนะเราได้ เราก็จักมอบกริชนี้ให้เจ้าวาสนาวดี”

พระองค์หญิงทรงทอดพระเนตรมองพระกริชอันล้ำค่านั้นด้วยมิทรงนึกคิดว่า สมเด็จพระยุพราชทรงกล้าพนันขันต่อกับพระองค์ด้วยของล้ำค่าเช่นนี้

“แล้วหากหม่อมฉันแพ้พนันครานี้หม่อมฉันจักต้องเสียอะไรบ้างเพคะ”เจ้าหญิงวาสนาวดีตรัสถามก่อนที่จะตัดสินพระทัยรับคำท้านั้น

“ไม่มี หากเจ้าแพ้เจ้ามิต้องเสียสิ่งใดให้เรา เพราะเราหมายว่า ยากนักที่เจ้าจักเอาชนะเรา”สุรเสียงหยอกล้อนั้น ทำให้องค์พระราชกุมารีทรงขัดพระทัยยิ่ง ด้วยเห็นว่าเป็นการดูถูกพระองค์ยิ่งนัก องค์พระราชกุมารีจึ่งทรงคว้าคันธนูขึ้นมาทันที

“หม่อมฉันรับคำท้าเพคะ”
***********************************
“หากเจ้ารับคำท้าแล้ว เราขอแสดงฝีมือก่อน”เจ้าชายวิษณุวัจน์ตรัสแล้วก็คว้าคันธนูอีกคัน ง้างศรศิลป์พุ่งไปปักยังเป้า ศรทั้งห้าดอกขององค์วิษณุวัจน์ปักลงเกาะกลุ่มกันอยู่กลางวงของเป้า มิมีหลุดออกนอกวง สร้างความตื่นใจให้กับข้าราชบริพารทุกคนยิ่งนัก

“ต่อไปเป็นหน้าที่ของเจ้าแล้ววาสนาวดี”

“เพคะ”องค์หญิงวาสนาวดีทรงตรัสรับ แลง้างธนูหมายชัยชนะเหนือองค์พระยุพราช แต่ทว่าศรทั้งสิบดอกของพระองค์นั้นปักลงกลางเป้าเพียงสามดอก ที่เหลือนั้นปักรายรอบอยู่บริเวณเป้าซ้อมยิง เมื่อเห็นผลดังนั้นพระองค์หญิงก็ทรง หงุดหงิดพระหทัยยิ่งนัก

“มิเป็นไรหรอกวาสนาวดี ครั้งนี้เจ้ามิชนะเราก็ยังมีครั้งหน้า เพียงแค่นี้ฝีมือของเจ้าก็พัฒนายิ่งนักแล้ว”องค์วิษณุวัจน์ทรงกล่าวปลอบพระทัย สุรเสียงในครานี้มิได้ดูหยอกเย้าแต่กลับอบอุ่น

“หม่อมฉันยิงผิดพลาดด้วยหม่อมฉันคงตื่นเต้น”องค์วาสนาวดีทรงยังหาเหตุผลมาตรัสตอบ ด้วยมิอยากให้องค์วิษณุวัจน์เห็นว่าพระองค์ด้อยฝีมือ

“ก็เป็นการดีแล้ว หากเจ้าต้องอยู่ในสมรภูมิ หรือเหตุร้ายจริง เจ้าควรต้องฝึกตนให้ระงับการตื่นเต้น ตกใจให้ได้”องค์วิษณุวัจน์ทรงตรัสสั่งสอนด้วยสุรเสียงนิ่มนวล เจ้าหญิงวาสนาวดีทรงประทับฟังนิ่งเงียบ แลทรงอดรู้สึกพอพระทัยกับพระดำรัสแห่งองค์พระยุพราชมิได้

“หากหม่อมฉันจักทรงขอแข่งกับพระองค์อีกคราในยามสนธยาแห่งวันพรุ่งนี้ พระองค์จักทรงแข่งกับหม่อมฉันอีกหรือไม่เพคะ”

เมื่อได้ยินคำกล่าวนั้น องค์พระยุพราชก็ทรงขมวดพระขนง แต่เพียงชั่วครู่องค์พระยุพราชก็ทรงสรวลแย้มยิ้ม

“ได้ซีวาสนาวดี เรามิขัดข้องกับคำท้าทายของเจ้า”







Create Date : 12 พฤศจิกายน 2552
Last Update : 12 พฤศจิกายน 2552 12:46:29 น. 0 comments
Counter : 240 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Angels Midori
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Angels Midori's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.