Group Blog
 
 
พฤศจิกายน 2552
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
12 พฤศจิกายน 2552
 
All Blogs
 

วาสนาวดี – วิษณุวัจน์ ตอนที่ 7



ตลอดหลายทิวา แลราตรี ที่เจ้าชายธนทัศ ได้พำนักสถิตอยู่ ณ ราชฐานวังทอง แห่งพาราณสี พระองค์ทรงให้ความสนใจต่อความเป็นอยู่ของผู้คนในราชฐานแห่งนี้ยิ่งนัก

อันองค์จารุทัตต์ราชา ภูบดินทร์แห่งแคว้นกาสีนั้นทรงเป็นกษัตริย์ที่ปกครองด้วยทศพิศราชธรรม จึ่งทำให้พาราณสีแห่งนี้สุขสงบ รุ่งเรืองยิ่ง ข้าราชบริพาร นางกำนัล ในเวียงวังแห่งนี้มีมากหลาย แลเป็นอยู่กันอย่างสะดวกสบาย

แลเพียงพิศดูจากพระเนตร นครแห่งนี้นั้นมั่งคั่งยิ่งนัก ราชฐานใหญ่โต ประดับตกแต่งด้วย สุวรรณ อัญมณีมากมาย ส่องแสงพรรณราย อวดความมั่งคั่งแห่งเจ้าของนคร ซึ่งเหมาะสมคล้องจองยิ่งกับนามปราสาทวัชรินทร์วิมาน มณเฑียรทองแห่งองค์จารุทัตต์ราชา

แต่ในนครอันงดงามแห่งนี้กลับมีสิ่งหนึ่งที่แปลกยิ่งนัก จักหาได้จากที่อื่นไม่ ก็คือองค์ราชกุมารีแห่งนครนี้ จากที่พระองค์เคยสดับรับฟังผู้คนต่างโจษขานมาเนิ่นนาน ถึงความเลิศลักษณ์ แห่งราชกุมารีทั้งสองแห่งพาราณสี มาบัดนี้พระองค์ได้พบเห็นเองด้วยสายพระเนตร แม้จักทรงได้พบเพียงพระองค์เดียวก็ตาม...

อันพระองค์พี่ เจ้าหญิงอาทิตยา ผู้โศภิต พระองค์ทรงเป็นพระคู่หมายของสมเด็จกิตติพัฒน์ราชา แห่งราชคฤห์ แต่เมื่อครั้งที่พระองค์หญิงทรงเสด็จพระราชดำเนินไปเข้าพิธีอภิเสกสมรส ยังราชคฤห์ ขบวนเสด็จนั้นถูก อิศราราชา แห่งวังสะมาดักปล้น และฉุดคร่าพระองค์หญิงไป จึ่งเป็นเหตุนองเลือด เกิดสงครามใหญ่โตเมื่อสักสี่ปีที่ผ่านมา แลจากเหตุการณ์นั้นทำให้เสด็จพระองค์หญิงอาทิตยาผู้โสภาสิ้นพระชนม์ลง แต่เป็นผลดีให้กับราชคฤห์ เมื่อองค์พระยุพราชวิษณุวัจน์ทรงปราบอิศราราชา และยึดวังสะได้ ทำให้พระองค์ประกาศความเกรียงไกรแห่งราชคฤห์ไปทั่วชมพูทวีป จนหลายแคว้นนครต่างยอมสวามิภักดิ์อยู่ภายใต้เศวตฉัตรแห่งองค์กิตติพัฒน์ราชา

ส่วนพระองค์น้อง เจ้าหญิงวาสนาวดี จากวาจาต่อวาจา ที่เล่าลือว่าพระองค์หญิงผู้นี้งดงามเสียยิ่งกว่าพระองค์พี่ แต่จักหาผู้คนได้เข้าเฝ้าพบเห็นพระองค์ได้นั้นยากนัก มีแต่กล่าวเล่าลือถึงความงาม แลพระอัจฉริยภาพว่าทรงเป็นราชกุมารีที่ฉลาดเลิศล้ำ แลยิ่งพระชันษาล่วงเลยมาจนบัดนี้พระองค์ก็ยังมิทรงหมั้นหมายกับผู้ใด จึ่งกล่าวลือกันเพิ่มเติมอีกว่าเจ้าหญิงพระองค์มิหมายจักเสกสมรส แลทรงจักทรงเถลิงถวัลยราชเป็นกษัตริยาแห่งพาราณสีเสียเอง


เมื่อทรงได้สดับดังนั้น เจ้าชายธนทัศทรงจินตนาการไว้ว่า พระองค์หญิงวาสนาวดี คงเป็นเจ้าหญิงงามสง่า เต็มไปด้วยพระจริยวัตรที่งดงามเพียบพร้อม ดั่งเช่นขัตติยะนารีควรจักเป็น หาได้คิดว่าพระองค์จะได้พบเจ้าหญิงในคราบเจ้าชาย ถึงแม้จักทรงเถียงมิได้ว่าพระพักตร์แห่งพระองค์หญิงนั้นงามเหนือนารีใด ๆ แต่พระจริยวัตรนั้นแตกต่างจากพระองค์หญิงอื่นๆ ยิ่งนัก

แม้องค์วาสนาวดีจักทรงทำหน้าที่ดูแล เรื่องในราชฐาน แลทำหน้าที่บวงสรวง เทพเทวา ดั่งกิจแห่งราชกุมารีควรจักกระทำ แต่พระองค์หญิงผู้นี้ยังทรงฝึกศาสตราวุธ มีพระจริยวัตรที่ โลดโผน แก่นแก้ว ทรงฉลองพระองค์ดั่งเจ้าชายพระองค์น้อย รวมถึงพระสุรเสียงกังวานแข็งกร้าว กว่าที่จักทรงได้สดับจากราชกุมารีองค์อื่นใด สิ่งเหล่านี้ทำให้เจ้าชายธนทัศทรงแปลกพระทัยเสียยิ่งนัก

หากจักมีบางคราที่พระองค์หญิงพระองค์นี้จักกระทำตัวอ่อนหวาน เฉกเช่นนารีควรจักเป็น ก็คงเป็นยามที่พระองค์ทรงศึกษาเพลงพิณเพียงลำพัง กับพระองค์ แลองค์พระยุพราชเท่านั้น

หลายคราที่เจ้าชายธนทัศทรงลอบสังเกตว่า เมื่อยามพระยุพราชแลเจ้าหญิงวาสนาวดีทรงสนทนากันเป็นการส่วนพระองค์ กริยาอาการแห่งองค์วาสนาวดีจะทรงดูอ่อนหวาน อ่อนโยน แลดูมีกริยาดั่งเช่นนารีทั่วไป สายพระเนตรเมื่อพระองค์หญิงลอบทอดพระเนตรมองพระยุพราชก็ดูอ่อนหวานยิ่งนัก หลายๆ ครา เจ้าชายธนทัศก็ทรงอดรู้สึกอิจฉา องค์พระยุพราชมิได้ ที่เป็นพระองค์เดียวที่ได้รับสายพระเนตรเช่นนั้นจากพระองค์หญิง

ถึงแม้เจ้าชายธนทัศจักทรงพยายามสลัดความรู้สึกอิจฉา ริษยา องค์พระยุพราชออกไปแต่หลาย ๆ เพลาก็ทรงอดนึกมิได้ ด้วยว่าทั่วชมพูทวีป แห่งนี้ต่างมีแต่เสียง กล่าวขานชื่นชม ระบือลือลั่น ถึงแต่องค์พระยุพราชพระองค์นี้ ทั้งความเก่งกาจ เกรียงไกร รูปโฉม แลสติปัญญา

คำกล่าวขานนั้น ต่างกล่าวพ้องกันว่าจักหาผู้ใดเกริกเกียรติเทียมเท่า องค์วิษณุวัจน์ผู้นี้มิได้อีกแล้ว แม้แต่องค์กิตติพัฒน์ราชาผู้เป็นพระเชษฐา ที่ผู้คนต่างกล่าวขานเล่าลือกันว่า อำนาจอันเรืองรณที่ทรงมีอยู่นั้นก็ได้มาจากบารมีของพระอนุชา

แล้วอันนามแห่ง ภาณุทัตราชาแห่งกุสินาราเล่าหายไปอยู่ที่ไหนกัน หลายๆ คราที่องค์ธนทัศทรงคิดถาม เสด็จพี่ของพระองค์นั้นก็สามารถเรืองรณ ทั้งสติปัญญา มิแพ้เจ้าชายวิษณุวัจน์ อันภาณุทัตราชา พระเชษฐาของพระองค์ นั้นเป็นกษัตริย์ที่ปกครองกุสินาราด้วยทศพิศราชธรรม กุสินาราเองก็รุ่งเรืองนัก แต่ใยพระนามแห่งพระองค์เป็นรอง องค์พระยุพราชแห่งราชคฤห์เล่า

แลยิ่งเมื่อพระองค์ได้ทรงประทับใกล้ชิดองค์พระยุพราชแล้ว ยิ่งทำให้พระองค์ยิ่งเคืองขุ่นในพระหฤทัย ด้วยทรงเห็นว่ามิมีสิ่งใดที่พระเชษฐาของพระองค์ที่จักสู้เจ้าชายวิษณุวัจน์มิได้

แล้วสิ่งที่ทำให้พระองค์ขุ่นเคืองยิ่งขึ้น คือการที่ราชกุมารีผู้ทรงศักดิ์แห่งพาราณสี ผู้ที่เล่าลือว่าจักทรงมิยอมมอบพระหทัยให้ผู้ใด ณ บัดนี้ ด้วยสายพระเนตรแห่งพระองค์ก็ตอบได้ว่า นางได้มอบพระหทัยให้องค์พระยุพราชผู้เรืองฤทธิ์ผู้นี้ไปเสียแล้ว แม้นางอาจมิรู้สึกพระองค์

สิ่งเหล่านี้ยิ่งดูเหมือนทั้งโลกหล้าได้หมอบราบอยู่ภายใต้พระบาทแห่งองค์พระยุพราชผู้นี้ไปเสียทั้งสิ้นแล้ว



“วาทิศ วาทิศ”สุรเสียงใสดังแว่วเข้ามายังพระโสต ทำให้องค์ธนทัศสะดุ้งเฮือก หลุดออกจาภวังค์

“มีอะไรหรือพะยะค่ะ”

“ก็อยู่ดีๆ เจ้าก็เงียบไป”

“หม่อมฉันคิดอะไรเพลินๆ อยู่พะยะค่ะ”

“อืมเหรอ เออเราจักถามเจ้าว่าเราวางนิ้วเช่นนี้ถูกหรือไม่ เราว่าถูกแต่ทำไมเราลองวางแล้วเสียงที่ได้มาจากพิณกลับไม่เหมือนยามที่เจ้าบรรเลง”

เมื่อทรงได้ยินดังนั้นเจ้าชายธนทัศก็ทรงพยายามทำทีสนใจในคำถามของพระองค์หญิง แลทรงกระทำการแนะนำ จนเสียงที่ออกมาจากพิณนั้นเป็นดังพระประสงค์

“พระยุพราชเพคะ ครานี้เสียงเป็นเช่นไรบ้าง” พระองค์หญิงทรงบ่ายพระพักตร์ไปตรัสถามองค์พระยุพราชที่ทรงพระอักษรอยู่ใกล้ๆ

“ฟังแล้วดูเสนาะขึ้นนัก เมื่อก่อนหน้านี้ดังแปร่งๆ เออ วาสนาวดีเราบอกให้เจ้าเรียกเราเสด็จพี่ไง ใยยังเรียกพระยุพราชหรือเจ้าชายอยู่อีก”

พอเจ้าหญิงวาสนาวดีทรงได้ยิน พระดำรัสแห่งองค์พระยุพราช พระองค์หญิงก็ทรงเบ้พระพักตร์

“ใครจะไปกล้าเรียก”องค์วาสนาวดีทรงตรัสเบา ๆ กับพระองค์เอง แต่องค์พระยุพราชก็ทรงพยายามเงี่ยพระกรรณฟัง

“เมื่อกี้เจ้าว่าอย่างไรนะ วาสนาวดี”

“หม่อมฉันมิได้กล่าวอะไรเพคะ พระองค์ทรงพระอักษรต่อไปเถิด หม่อมฉันมิมีสิ่งใดจักถามพระองค์แล้ว หากหม่อมฉันข้องใจสิ่งใดจักทรงเรียกพระองค์ใหม่เพคะ”

พอพระองค์หญิงทรงตรัสตอบเช่นนั้น องค์พระยุพราชก็ทรงทรงสรวลลึกลงพระศอ พลางส่ายพระพักตร์

“นี่เจ้าเห็นเราเป็นอะไร ถึงจักพูดได้ต่อเมื่อเจ้าเรียก”

“เห็นเป็นที่ปรึกษาไงเพคะ พระองค์น่าจักทรงภูมิใจที่หม่อมฉันเห็นเป็นที่ปรึกษา”

พอตรัสตอบแล้วพระองค์หญิงก็ทรงก้มพระพักตร์แลดีดพิณต่อ ทำทีมิสนใจองค์พระยุพราช ปล่อยให้องค์พระยุพราชทรงทอดพระเนตรมองแลขบขันกับวจนะวาจาแห่ง เจ้าหญิงวาสนาวดีต่อไป

*****************
ในคืนเดือนหงาย แสงโสมส่องสว่าง อวดแสงงามยวนตา เหนือกว่าแสงดาราดวงใด เงาของจันทราเลื่อมระยับสะท้อนรับอยู่บนพื้นนทีแห่งชลาธารของสระโบกขรณี ในพระตำหนักสุวรรณพิมาน แห่งวาสนาวดีราชกุมารี

องค์พระยุพราชทรงประทับนิ่ง ทอดพระเนตรมองแสงโสมสีทองที่สะท้อนบนพื้นน้ำนั้นอยู่เนิ่นนาน สวนขวัญยามนี้เงียบสงัดนัก ยินเพียงเสียงเมื่อยามวาโยพัดกระทบใบไม้เท่านั้น ที่ยังคงบรรเลงเป็นดั่งเพลงจากธรรมชาติ

มิห่างกันนั้นองค์สมเด็จราชกุมารี ทรงประทับอยู่บนพระอาสน์ แลทรงทอดพระเนตรมองพระปฤษฎางค์แห่งองค์พระยุพราช อยู่อย่างเงียบงัน สายพระเนตรอ่อนโยนนั้นพินิจมอง พระปฤษฎางค์อันบึกบึน แลพระอังสากว้าง แลเมื่อยามทรงทอดพระเนตรมองก็ทรงรู้สึกอบอุ่นลึกในพระหทัย

เนิ่นนานนักที่ทั้งสองพระองค์มิได้เอ่ยตรัสวจีใดออกมา จนเมื่อองค์พระยุพราชทรงบ่ายพระพักตร์มาทอดพระเนตรองค์วาสนาวดีด้วยสายพระเนตรมีแววกังวลพระทัยเจืออยู่ แลเมื่อองค์วาสนาวดีทรงทอดพระเนตรเห็นดังนั้น แววเนตรนั้นก็ทรงข้องพระทัยยิ่ง

“ใยพระองค์จึ่งเงียบงันมิตรัสสิ่งใดกับหม่อมฉันเสียทีเพคะ”

“สวนขวัญของเจ้านั้นงามยิ่งนักวาสนาวดี”

“หากพระองค์หมายที่จักเพียงมาชมสวนสราญของหม่อมฉัน ก็มิจำเป็นต้องเร่งรีบมาในยามนี้ พระองค์อย่าทรงเฉไฉ โปรดตรัสมาเถิดว่าพระองค์มีเหตุอันใดกัน”

องค์พระยุพราชทรงประทับลงเคียงองค์วาสนาวดี แลจับพระหัตถ์นุ่มนั้นขึ้นมา พระเนตรงามนั้นจ้องลึกไปยังพระเนตรคมแห่งองค์ราชกุมารี

“วาสนาวดี วันนี้มีราชสาสนจาก ราชคฤห์ มาถึงเรา”

“หม่อมฉันพอจักทราบมาบ้าง อันสาสนนั้น เป็นข่าวดี หรือข่าวร้ายกันเพคะ”

“ข่าวดี”

“หากเป็นข่าวดีใยพระเนตรของพระองค์ดูกังวลยิ่งนัก เป็นข่าวดีชนิดใดกัน”

“อันองค์พระมเหสีแห่งเสด็จพี่เรา ใกล้จักทรงมีพระประสูติการ ในอีกมิกี่เพลานี้ เสด็จพี่ของเราจึงอยากให้เราเดินทางกลับราชคฤห์เพื่อรับขวัญพระภาติยะของเรา”

“นั่นเป็นข่าวดีนักเพคะ แต่หม่อมฉันก็ยังมิเข้าใจว่าเหตุใดพระองค์ดูมีแววกังวล”

“โถ่ วาสนาวดีเจ้ามิได้รู้สึกเลยหรือ เราจักไม่ได้อยู่พาราณสีกับเจ้าแล้ว”

เมื่อองค์วาสนาวดีทรงได้รับฟังเช่นนั้นก็เผลอยกพระหัตถ์ที่ยังคงว่างอยู่มาแนบอุระ ในดวงพระหทัยพลันตกวูบ

“พระองค์จักทรงเสด็จกลับราชคฤห์เมื่อใด แลพระองค์จักมิทรงกลับมาพาราณสีแล้วฤาเพคะ”

“กลับซี เราจะมิกลับมาที่นี้ได้อย่างไร ในเมื่อดวงใจของเราอยู่ที่นี่”ว่าแล้วองค์พระยุพราชก็ทรงยกพระหัตถ์งามนั้นขึ้นมาจุมพิตเบาๆ

องค์วาสนาวดีทรงมัวแต่ตกตะลึง จึงมิอาจดึงพระหัตถ์นั้นได้ทัน แลเมื่อองค์วิษณุวัจน์ถอนจุมพิตจากพระหัตถ์แล้ว องค์วาสนาวดีจึ่งทรงรีบชักพระหัตถ์กลับ

“พระองค์ทรงทำอะไรกัน”องค์วาสนาวดีทรงตรัสด้วยสุรเสียงขุ่น แต่องค์พระยุพราชยังคงแย้มพระโอษฐ์อย่างมิรู้สึกรู้สา กับสุรเสียงและสายพระเนตรขุ่นเคืองนั้น

“อภัยให้เราเถิดวาสนาวดี เรามิอาจห้ามใจได้”

พระองค์หญิงมิได้ตรัสตอบใด ๆ ด้วยทั้งทรง โทสะ และ เขินอายยิ่งนัก จึ่งได้แต่นั่งเงียบ

“วาสนาวดี เราจักเดินทางกลับอีกไม่เกินเจ็ดทิวานี้ แท้จริงเรามิอยากจากเจ้าไปเลย แต่ก็เป็นไปไม่ได้”

“พระองค์เสด็จกลับไปเถิดเพคะ”

“หากเรามิอยู่เจ้าจักคิดถึงเราไหมวาสนาวดี”

“คงไม่คิดถึงกระมั่งเพคะ”

“โถ่ ใยเจ้าจึ่งใจร้ายกับเรานัก จักคิดถึงห่วงหาบ้างมิมีเลยฤา”

พอพระองค์หญิงได้ยินพระดำรัสออดอ้อนนั้นก็เผลอแย้มสรวล แลทอดพระเนตรมองพระพักตร์คมเข้มขององค์วิษณุวัจน์

“ยามพระองค์มิอยู่หม่อมฉันคงเหงานัก เพราะคุ้นชินกับการที่พระองค์ติดตามหม่อมฉันราวกับเป็นเงาเสียแล้ว”

พอสมเด็จพระยุพราชทรงสดับดังนั้นพระองค์ก็ทรงกระเถิบ แลรวบพระกรโอบกอดพระวรกายพระองค์หญิง อย่างทะนุถนอม พระองค์หญิงพยายามจักดิ้นให้หลุดจากพระกรแข็งแรงราวกับวงรัดของภุชงค์นั้นออก แต่ก็ดูมิเป็นผล พระยุพราชยังคงทรงแย้มพระโอษฐ์พราย พระกรนั้นเล่ายิ่งทรงดิ้นก็ยิ่งรัดแน่นขึ้น

“ปล่อยหม่อมฉันเดี๋ยวนี้เพคะ”

“ไม่ปล่อย”

“มิเช่นนั้นหม่อมฉันจักโกรธพระองค์“ พอได้ฟังคำขู่ องค์พระยุพราชก็ทรงสรวลลั่น และเบี่ยงพระวรกายพระองค์หญิงให้สามารถเห็นพระพักตร์ได้ชัดขึ้น

พระพักตร์งอง้ำ แต่มีสีแดงระเรื่อเจืออยู่บนพระปราง พระเนตรคมพยายามก้มหลบสายพระเนตรแห่งองค์พระยุพราช ยิ่งพิศดูก็ช่างน่ารัก น่าทะนุถนอมยิ่ง

“อย่าโกรธเราเลยจอมขวัญ เพราะด้วยรักจึงอยากกอดเจ้าไว้แนบอุระเช่นนี้ อีกเมื่อไหร่ก็มิรู้ที่จักได้กลับมา เพียงแค่เราคิดว่าจักมิได้เห็นหน้าเจ้า เราก็ปานจะขาดใจ”

“หากพระองค์ไปพบเจอนารีโศภิตอื่น พระองค์ก็จักลืมหม่อมฉันเองเพคะ”

“ใยเจ้าจึงพูดเช่นนี้เล่า เราบอกแล้วมิใช่หรือว่ามีเจ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่เราได้มอบดวงหทัยให้ จากนี้ไปเราก็จักมิมีใครอีก”

องค์วาสนาวดีทรงเงยพระพักตร์ จ้องพระเนตรหวานแห่งองค์พระยุพราช พระเนตรนั้นยืนยันพระดำรัสที่กล่าวมาได้ดียิ่งนัก

องค์วาสนาวดีทรงแนบพระเศียรพิงพระอุระกว้าง องค์พระยุพราชจึ่งกระชับวงพระกรประคองกอดองค์กัลยาอย่างแสนรักยิ่ง

“วาสนาวดี เจ้าตรึกตรองหรือยังที่จักรับรักเราหรือไม่”

“ยังเพคะ”

“ทำไมเจ้าคิดนานเหลือเกิน”

“ก็ต้องนานซีเพคะ ทีตอนหม่อมฉันโกรธเคืองพระองค์ยังโกรธเคืองมาตั้งสี่ห้าปี”

“ถ้าเช่นนี้ เรามิต้องรอเจ้าอีกตั้งสี่ห้าปีเชียวฤา”

“หรือพระองค์จักทรงมิรอเพคะ”พระองค์หญิงทรงเงยพระพักตร์มององค์พระยุพราช แสดงท่าทีแสนงอน

“รอซีเจ้าจะให้เรารอทั้งชีวิตเราก็ยอม” พอได้ยินดังนั้นพระองค์หญิงก็ทรงแย้มพระโอษฐ์พราย อย่างพอพระทัย

“หม่อมฉันคงไม่ให้พระองค์รอทั้งชีวิตหรอกเพคะ”

“แล้วอีกนานเท่าไหร่เล่า”

“ไว้พระองค์กลับมาแล้วหม่อมฉันจะตอบเพคะ”

องค์พระยุพราชทรงแย้มพระโอษฐ์กับคำตอบนั้น ถึงแม้มิได้ตรัสโดยตรงขอให้พระองค์เสด็จกลับมา แต่ก็นัยแห่งคำตอบก็ฉายชัดได้ดีว่าหมายถึงอะไร

“กลับมาคราวหน้าเราก็อาจมิได้เป็นองค์พระยุพราชแห่งราชคฤห์เสียแล้ว”

“ด้วยเหตุใดกันเพคะ”

“หากพระประสูติการนี้ ได้ให้กำเนิดพระราชกุมาร เราหมายจักยกตำแหน่งพระยุพราชนี้ให้พระภาติยะของเรา”

“แล้วพระองค์มิทรงเสียดายในยศศักดิ์หรือเพคะ”

“จะเสียดายไปทำไมกันเล่า อันยศศักดิ์ที่เรามีนั้น จริงแท้ก็ใช่จะสุขนัก เรามิเคยอยากได้ ฐานันดรสูงศักดิ์เช่นนี้เลย แลเรามิได้ปลื้มปิติกับอำนาจบารมีที่เรามีเลยสักครา”

“บางคราหม่อมฉันก็มิอยากเป็นราชกุมารีวาสนาวดี แห่งพาราณสีเช่นกันเพคะ หม่อมฉันอยากเดินทางไปท่องเที่ยวไกล ๆ มิอยากถูกกักขังอยู่แต่ในมณเฑียรทองเช่นนี้ไปทั้งชีวิต”

“ไว้เราจะพาเจ้าไปท่องเที่ยวนะวาสนาวดี เราจะพาเจ้าไปราชคฤห์ เจ้ารู้ไหมว่าเมืองหลวงของเรานั้น มีบรรพตล้อมรอบถึงห้าบรรพต” องค์พระยุพราชทรงตรัสด้วยสุรเสียงสดใส พระองค์หญิงก็ทรงสดับฟังแลพลางนึกถึงวันที่พระองค์จักได้เป็นทอดพระเนตรเห็นนครราชคฤห์ด้วยสายพระเนตรของพระองค์เอง พระหัตถ์นุ่มนั้นก็วางเบา ๆ บนพระกรของพระองค์ชายที่โอบกอดพระองค์อยู่ด้วยทรงรู้สึกอุ่นพระทัยยิ่ง

“เราไม่เคยคิดอยากได้ยศศักดิ์อันใดเลย ด้วยเรานั้นรักอิสระยิ่ง หากทิ้งหน้าที่ต่างๆ ของขัตติยะราชไปได้เราคงสุขกว่านี้ยิ่งนัก แต่ตอนนี้เรากลับเริ่มเปลี่ยนใจเสียแล้ว เพราะเราหมายตำแหน่งหนึ่งไว้”

พระองค์หญิงสดับก็พลางเลิกพระขนง เงยมองพระพักตร์แห่งองค์พระยุพราชอย่างข้องพระทัย

“ตำแหน่งอันใดกันเพคะ”

“ตำแหน่งราชบุตรเขยแห่งองค์จารุทัตต์ราชา หรืออีกนัยก็คือตำแหน่งพระสวามีแห่งเจ้า เจ้าอยากเป็นกษัตริยาก็เป็นไปแต่เราหมายแค่เป็นพระสวามีแห่งเจ้าเท่านั้น” พอองค์พระยุพราชทรงตรัสแล้วก็ทรงสรวลลั่น พอได้ยินดังนั้นองค์ราชกุมารีทรงยกพระหัตถ์รัวตีพระกรของเจ้าชายทันที

“นี่ๆ วาสนาวดีเราเจ็บนะ เจ้านี่กล่าวนิดกล่าวหน่อยก็ชอบทุบตีเรา หากเจ้าอยู่ราชคฤห์เราจะจับเจ้าลงโทษเสีย”

“พระองค์จะทำอะไรกับหม่อมฉัน จะให้ทหารจับขัง เฆี่ยนตีหม่อมฉันฤา”

“ไม่หรอก โทษแค่นั้นเบาไปสำหรับเจ้า”

“แล้วพระองค์จักลงโทษหม่อมฉันเช่นไร”

“อย่างเจ้าต้องขังไว้ในหัวใจเรา”พอตรัสแล้วองค์พระยุพราชกดพระนาสิกโด่งงามนั้นลงบนพระปรางแห่งองค์วาสนาวดีทันที พระองค์หญิงกระทำได้แต่รัวตีพระกรนั้นแรงขึ้นกว่าคราก่อนอีก

“หอมชื่นใจ เป็นกำลังใจให้เรารีบไปรีบกลับมาหาเจ้าอย่างดีทีเดียว”

“พระองค์ชอบเอาเปรียบหม่อมฉันอยู่เรื่อยเลย หม่อมฉันโกรธพระองค์เสียแล้ว”

พระองค์หญิงตรัสแล้วก็ทรงพยายามแกะพระกรแข็งแรงนั้นออก พระพักตร์งามนั้นทำทีงอง้ำ องค์พระยุพราชทรงมิปล่อยพระกรออก แต่พระโอษฐ์งามก็ตรัสพร่ำรำพันขอโทษ ง้องอนพระองค์หญิง จนพระองค์หญิงอดอ่อนพระทัยมิได้

****************************
ในวันนี้องค์ราชกุมารี วาสนาวดีทรงแปรพระราชฐานไปประทับ เพื่อรับการถวายการสอนเพลงพิณ ณ บริเวณอุทยานหลวง มิได้ประทับในพระตำหนักดุสิดาลัยเช่นทุกวัน

องค์ธนทัศทรงรู้สึกแปลกพระทัยนัก ในพระเสาวนีย์ให้ย้ายสถานที่ของพระองค์หญิง และรวมถึงการที่องค์พระยุพราชมิได้เสด็จมา ร่วมรับการถวายการสอนเช่นทุกครา

วันนี้พระองค์หญิงมักทรงใช้เวลาไปกับการ เหม่อมองท้องนภา บางคราก็ทอดถอนพระปัสสาสะอยู่เนืองๆ จนน่าแปลกพระทัยยิ่งนัก

“วันนี้ดูพระองค์มิมีพระสมาธิในการ บรรเลงเพลงพิณเลยพะยะค่ะ”

“อืม วันนี้เราเบื่อหน่ายนัก”

“มีเรื่องใดทำให้พระองค์มิสบายพระหทัยหรือพะยะค่ะ”

พระองค์หญิงมิได้ตรัสตอบสิ่งใด เพียงแต่ทรงแย้มพระโอษฐ์บาง ๆ ให้แด่องค์ธนทัศ

“วาทิศ อีกมินานแล้วซีที่เจ้าจักเดินทางกลับกุสินารา”

“พะยะค่ะ”

“ถึงเมื่อยามนั้นเราคงเหงายิ่งนัก”พระองค์หญิงทรงตรัส แล้วก็ทิ้งสายพระเนตรอันเศร้าสร้อยไปยังทิศ แห่งพระตำหนักดุสิดาลัย

แต่เมื่อองค์ธนทัศทรงได้สดับคำนั้น พระองค์ก็รู้สึกปลื้มในพระทัยยิ่ง ด้วยทรงคิดว่าพระองค์หญิงคงรู้สึกอาลัยในพระองค์

“อีกไม่กี่วันองค์พระยุพราชก็จักทรงเสด็จกลับราชคฤห์แล้วเช่นกัน เราคงเหงาเหลือเกิน” องค์วาสนาวดีตรัสเปรยเบา ๆ แต่พระดำรัสนั้นกลับแจ่มชัดในพระหทัย แห่งองค์ธนทัศนัก อันคำกล่าวเหมือนอาลัยที่พระองค์ทรงคิดว่า หมายถึงพระองค์แต่แรกนั้นที่แท้จริง หมายถึงองค์พระยุพราช วิษณุวัจน์ต่างหากเล่า

“หม่อมฉันมิทราบมาก่อนว่าองค์พระยุพราชจักทรงเสด็จกลับราชคฤห์ ด้วยมิเห็นวี่แววใดมาก่อนเลยพะยะค่ะ”

“มีเหตุเร่งด่วนจึ่งต้องรีบเสด็จกลับ แต่อีกมินานพระองค์ก็คงเสด็จกลับมา แต่เจ้าคงเดินทางกลับไปกุสินาราเสียก่อนแล้ว” พระราชกุมารีทรงตรัสตอบ ในพระสุรเสียงนั้นเจือด้วยความคาดหวัง แห่งคำสัญญาที่องค์พระยุพราชได้ให้ไว้ว่าจักทรงรีบเสด็จกลับมาในเร็ววัน

“หม่อมฉันว่า ในวันนี้เรางดการถวายการสอนดีไหมพะยะค่ะ ดูแล้วพระองค์เหมือนมิอยากเล่าเรียน”

“ก็ดีวาทิศ วันนี้เราไม่มีอารมณ์เสียเลย”พระองค์หญิงทรงตรัสแลก็วางพิณสายตัวงามนั้นลงเบื้องข้างแห่งพระองค์ สายพระเนตรมองทอดไปยังพฤกษชาตินานาพันธุ์ในอุทยาน ยามนี้อาทิตย์เพิ่งอัสดง วาโยพัดแผ่ว เสียงนกโกกิลาขับขานรับกันบรรยากาศเช่นนี้ช่างเหงาในพระทัยยิ่งนัก

เพียงแค่นี้เรายังเหงายิ่ง แล้วต่อไปเราจักรู้สึกว้าเหว่ แค่ไหนกัน


องค์ธนทัศทรงลอบมอง องค์ราชกุมารีอยู่อย่างเงียบ ๆ ยิ่งทรงพิศ ก็ยิ่งรู้สึกเสียดายนัก ที่พระองค์หญิงพระองค์นี้ มิรู้จักแต่งองค์ให้สวยงามเฉกเช่น นารีอื่น ๆ ด้วยดวงพักตร์เช่นนี้ หากพระองค์หญิงทรงฉลองพระองค์เป็นสตรีคงงามยากจะหาผู้ใดเปรียบได้

ในขณะที่ทั้งสองพระองค์ต่างตกอยู่ในภวังค์ องค์พระยุพราชซึ่งเพิ่งจัดการกับการเตรียมพระองค์เพื่อเดินทางกลับราชคฤห์ ก็ได้เสด็จตามมายังอุทยานหลวง เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นองค์ราชกุมารีทรงนั่งเหม่ออยู่ พระองค์ก็ทรงค่อยๆ ย่องไปยังเบื้องพระปฤษฎางค์แห่งพระองค์หญิง แลลงประทับสวมกอดพระองค์หญิงทันที

องค์วาสนาวดีทรงสะดุ้งสุดพระองค์ แลส่งเสียงดังอย่างตกพระทัย องค์พระยุพราชสรวลลั่นอย่างพอพระทัยยิ่งกับอากัปกริยาแห่งพระองค์หญิง

“นี่พระองค์ถือวิสาสะใดมากอดหม่อมฉัน ปล่อยได้แล้ว”พระองค์หญิงตรัสแล้วก็ทุบตีองค์พระยุพราชอย่างเคืองขุ่น องค์พระยุพราชจึ่งปล่อยพระกรออก แต่ยังมิสามารถหยุดสรวลได้

“พระองค์ทรงทำเกินไปแล้วหม่อมฉันตกใจเสียแทบแย่ แลดูซีต่อหน้าวาทิศและองครักษ์พระองค์ยังถือวิสาสะเช่นนี้กับหม่อมฉัน” พระพักตร์พระองค์หญิงบูดบึ้ง แลดูเหมือนจักทรงโกรธอย่างจริงจัง องค์พระยุพราชจึ่งทรงหยุดพระสรวล

“อย่าโกรธเลยหนา เราแค่จักหยอกเจ้าเท่านั้น”

“พระองค์เย้าแหย่หม่อมฉันทุกวี่วัน มิคิดเลยหรือว่าหม่อมฉันจักโกรธพระองค์บ้าง”

“โถ่ วาสนาวดี เรามิได้ตั้งใจให้เจ้าโกรธเคือง โปรดอย่าถือโกรธเราเลย เราแค่เห็นเจ้านั่ง เหม่อลอยอยู่ จึงอยากหยอกเล่นเพียงเท่านั้น” องค์พระยุพราชตรัสออดอ้อน แลดูเหมือนเป็นปรกติเสียแล้วที่องค์ธนทัศจักต้องจำเป็นต้องทอดพระเนตรอากัปกริยาเหล่านี้

องค์ธนทัศทรงลอบถอนพระปัสสาสะอย่างเบื่อหน่าย แลหงุดหงิดในพระทัย

“องค์ราชกุมารี และพระยุพราชพระเจ้าข้า หม่อมฉันเห็นว่าถึงเวลาอันควรที่หม่อมฉันต้องกลับแล้ว จึ่งขอกราบทูลลาพะยะค่ะ”

“เชิญตามสบายเถิดวาทิศ”องค์พระยุพราชรีบตรัสอนุญาต ส่วนองค์วาสนาวดีนั้นทอดพระเนตรมองท่าทางรื่นเริงแห่งองค์พระยุพราชอย่างทรงหมั่นไส้ยิ่งนัก

เจ้าชายธนทัศพระราชดำเนินออกจากราชอุทยาน แต่สายพระเนตรยังคงทอดมองสองพระองค์นั้นอย่างมิอาจละได้ ยิ่งทอดพระเนตรมอง ในพระทัยแห่งพระองค์ก็ทรงรุ่มร้อนยิ่งขึ้น

**************************
เมื่อเจ้าชายธนทัศเสด็จออกไปแล้ว องค์พระยุพราชก็ทรงลุกขึ้นจับจูงพระหัตถ์ของพระองค์หญิง ชักชวนให้เสด็จพระดำเนินไปชมทิวทัศน์ แลเหล่าดอกไม้นานาพันธุ์ที่เบ่งบานอยู่ทั่วราชอุทยาน

“นี่สุริยาก็ตกแล้ว จักมาทอดพระเนตรชมดอกไม้ในยามนี้ด้วยเหตุใดกัน”พระราชกุมารีตรัสบ่นงึมงำ แต่พระองค์ก็ยังพระดำเนินตามเสด็จพระยุพราช

“เอาเถิดหนา หากเราได้เดินชมอุทยานกับเจ้า จักเวลาไหนดอกไม้ก็สวยทั้งนั้น”

“หม่อมฉันเบื่อวาจาหวานเลี่ยนของพระองค์ยิ่งนัก”

“ถึงหวานเลี่ยนแต่เราก็กล่าวจากใจ ด้วยมิเคยได้กล่าวกับใครนอกจากเจ้า”

“หม่อมฉันจักทรงเชื่อได้อย่างไร พระองค์ตรัสราวกับเป็นเรื่องธรรมดาเสียทุกครา”

“โถ่ยอดดวงใจ เรามิเคยกล่าวเช่นนี้กับใครจริงแท้นัก เมื่อใดเล่าเจ้าจักเชื่อเรา” องค์พระยุพราชตรัสรำพัน แลโอบพระกรรอบพระกฤษฎีของพระองค์หญิง ส่งสายพระเนตรเว้าวอน จนพระองค์หญิงอดแย้มสรวลมิได้

“หม่อมฉันเชื่อพระองค์ก็ได้”

“เจ้าน่ารักนัก น่ารักเช่นนี้จักมิให้เรารักได้อย่างไร”

“ทรงไม่เบื่อบ้างหรือไรเพคะ พระองค์บอกกับหม่อมฉันทุกวี่วันว่ารัก”

“กลัวเจ้าลืมว่าเรานั้นแสนรักเจ้าเพียงไหน”

“ใครจักไปลืมได้เล่า พระองค์นี่ก็แปลกยิ่งนัก”พระองค์หญิงตรัสแลทรงก้มหลบสายพระเนตรด้วยรู้สึกเขินอาย

“วาสนาวดี อีกเพียงสี่วันเราก็จักต้องไปจากเจ้าแล้ว”

“กำหนดวันเดินทางแล้วฤาเพคะ”

“อืม เพิ่งกำหนดเมื่อก่อนมาพบเจ้านี่เอง ด้วยเราตระเตรียมสัมภาระใกล้จักเรียบร้อยแล้ว แลคิดว่าเมื่อเดินทางไปถึงราชคฤห์แล้ว คงทันเวลาพอดี”

“แล้วเมื่อไหร่พระองค์ถึงจักเสด็จกลับมาเพคะ”พระองค์หญิงรีบตรัสถาม พอทรงนึกได้ว่ามิควรตรัสถามเช่นนี้ ก็มิทันเสียแล้ว

“เมื่อพระราชพิธีต่าง ๆ ที่โน่นแล้วสิ้น เราจักรีบกลับมาทันที คงใช้เวลามินานนัก”องค์พระยุพราชแย้มพระโอษฐ์แลทอดพระเนตรมองวงพักตร์งามแห่งพระองค์หญิง ยิ่งทรงทอดพระเนตรเห็นแววเนตรใส ที่มองพระองค์ราวกับอาลัยนั้น พระหทัยก็สั่นไหวแทบมิอยากจากไกล องค์เยาวมาลย์ผู้สถิตอยู่ในอ้อมพระกรนี้เลย

“วาสนาวดี เราเคยขอเจ้าอย่างเจ้ายังมิได้ทำให้เราเลย”

“สิ่งใดกันที่พระองค์ทรงขอจากหม่อมฉัน”องค์เยาวเรศ ทรงพยายามนึกคิดถึงพระประสงค์ที่องค์พระยุพราชเคยร้องขอ แต่ทรงนึกเท่าใดก็นึกมิออก

“เราเคยขอให้เจ้าเรียกเราเสด็จพี่อย่างไร” พอพระองค์หญิงได้สดับแล้วก็ทรงเบ้พระพักตร์ทันใด

“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นเล่า สิ่งที่เราขอนั้นมิเห็นยากเย็นเลย”

“แต่หม่อมฉันรู้สึกแปลก ๆ หากจักเรียกพระองค์เช่นนั้น”

“แปลกตรงไหนกัน โถ่ วาสนาวดี โปรดตามใจเราสักนิดเถิดหนา”

“แค่นี้หม่อมฉันก็ตามพระทัยพระองค์มากแล้วเพคะ เห็นทีเรื่องนี้หม่อมฉันคงขอจักไม่ตามพระทัยพระองค์” พอพระองค์หญิงทรงตรัสดังนี้ องค์พระยุพราชก็ทรงใช้พระกรทั้งสองของพระองค์ รวบพระวรกายพระองค์หญิงแน่น แลก้มพระพักตร์คมเข้มของพระองค์จนใกล้วงพักตร์ขาวผ่องแห่งพระองค์หญิง แม้พระองค์หญิงจักทรงถอยหนีเพียงใด องค์พระยุพราชก็ทรงยื่นพระพักตร์ตามเท่านั้น

“พระองค์จักทรงทำสิ่งใดกัน จักแกล้งอะไรหม่อมฉันอีก”

“ก็ถ้าเจ้าไม่พูด ครานี้เราจูบเจ้าแน่วาสนาวดี” องค์พระยุพราชตรัส แล้วยิ้มพรายส่งสายพระเนตรหยอกล้อให้แด่พระองค์หญิง

“พระองค์จักทรงกลั่นแกล้งมาบังคับหม่อมฉันเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”

“ทำไมจะไม่ได้ นี่เรามิได้ขู่เจ้านะวาสนาวดี ถ้าเจ้าไม่พูดเราทำจริง”องค์พระยุพราช ตรัสมิตรัสเปล่า เพราะพระองค์เคลื่อนพระพักตร์มาใกล้วงพักตร์ของพระองค์หญิงโดยมีระยะห่างเพียงองคุลีเดียวเท่านั้น

พอเห็นว่าองค์พระยุพราชนั้นทำจริงแน่ องค์วาสนาวดีก็ทรงดิ้นสู้ แต่สู้เท่าไหร่ก็ไม่ชนะ วงพักตร์คมเข้มก็ยิ่งใกล้พระองค์เข้าเสียทุกที

“หม่อมฉันยอมแล้ว”พระองค์หญิงตรัสสะบัด แลนั่นทำให้องค์พระยุพราชทรงหยุดการรุกรานทันที

“ยอมแล้วก็เรียกซิ”

พระองค์หญิงทรงสูดพระอัสสาสะอย่างแรงด้วยต้องทรงทำพระทัยก่อนจะตรัสเบา ๆ ออกมา

“เสด็จพี่เพคะ” สุรเสียงนั้นเบาราวกระซิบ จนองค์พระยุพราชต้องทรงเงี่ยพระกรรณฟัง

“นี่เจ้าพูดแล้วหรือวาสนาวดี เมื่อกี้เรานึกว่าลมพัดผ่าน เสียงดังกว่านี้หน่อยมิได้ฤา”

“ทำไมพระองค์ทรงมากเรื่องเสียจริง”

“ไม่ได้เรื่องมากเสียหน่อย แต่เราไม่ได้ยินที่เจ้าพูดเลยสักนิด หรือเจ้าจะให้เราจูบเจ้าจริงๆ”พอพระองค์หญิงทรงได้ยินคำขู่นั้นก็รีบเร่งตรัสทันใด

“เสด็จพี่เพคะ”ครานี้สุรเสียงดังฟังชัด จนองค์พระยุพราชนั้นอดสรวลมิได้

“เจ้านี่หนาน่ารักเสียจริง”องค์พระยุพราชตรัสแล้วก็ก้มลงประทับพระนาสิกที่พระปรางอย่างมิให้พระองค์หญิงทรงทันตั้งตัว

พระองค์หญิงส่งเสียงอุทานด้วยตกพระทัย และยกพระหัตถ์มาคลำที่พระปรางทันที

“ไหนว่าพระองค์สัญญาว่าหากหม่อมฉันเรียกพระองค์เสด็จพี่แล้ว พระองค์จักไม่รังแกหม่อมฉันไงเพคะ”

“อ้าวนี้เราหอมเจ้า ไม่ได้จูบเสียหน่อยผิดสัญญาตรงไหนกัน” องค์พระยุพราชรัสเล่นลิ้น พระองค์หญิงได้แต่ทรงกัดพระทนต์แน่นด้วยเสียรู้

“ต่อไปหม่อมฉันจะไม่เชื่อพระองค์แล้ว”พระองค์หญิงตรัสอย่างหงุดหงิด และพยายามดิ้นออกจากวงพระกรนั้น

“โถ่ เจ้าโกรธเราอีกแล้วเจ้าก็รู้ว่าเรารักเจ้า จึงอยากกอดอยากหอมเจ้าบ้าง”

“พระองค์ทรงเอาเปรียบหม่อมฉันยิ่งนัก เช่นไรหม่อมฉันก็เป็นหญิง หากมีผู้ใดมาพบเห็น แลเอาไปกล่าวเล่าลือเสียหาย หม่อมฉันจักเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกัน”พระองค์หญิงตรัสกล่าว บนแววเนตรใสนั้นมีน้ำพระเนตรคลออยู่ พอเห็นดังนั้นพระทัยของสมเด็จพระยุพราชก็พลันตกวูบที่ทำให้องค์เยาวมาลย์ผู้เป็นที่รักนั้น เสียพระทัย

“วาสนาวดีเราขอโทษ เรามิได้ตั้งใจที่จะทำให้เจ้าเสียใจ ต่อไปเราจะไม่กลั่นแกล้งเจ้าเช่นนี้แล้ว”องค์พระยุพราชทรงตรัสแล้วก็หยิบผ้าแพรขึ้นมาซับน้ำพระเนตรที่ดวงเนตรงามนั้น

พระองค์ทรงลูบมุ่นพระเกศาของพระองค์หญิงเบา ๆ อย่างรักใคร่ ด้วยหมายปลอบประโลมให้พระองค์หญิงทรงคลายจากความกังวลและเสียพระทัย

“หายโกรธเราแล้วหรือยังวาสนาวดี”

“หม่อมฉันมิได้โกรธพระองค์ เพียงแต่เสียใจที่พระองค์ไม่ให้เกียรติหม่อมฉันเลย ที่นี่เป็นอุทยานหลวง หากมีนางกำนัลราชองครักษ์มาพบเห็น หม่อมฉันคงอับอายยิ่งนัก”

“เราขอโทษเจ้าแล้วไง วาสนาวดี ต่อไปนี้เราจักมิแกล้งเจ้าแล้ว”

“เพคะ หม่อมฉันรับคำขอโทษก็ได้ และพระองค์ปล่อยหม่อมฉันจากอ้อมพระกรนี้เสียทีเถิด”พระองค์หญิงตรัสสะบัด แลองค์พระยุพราชก็ทรงรีบปล่อยพระกรทันใด

“ครานี้เจ้าหายโกรธเราแน่ใช่ไหมวาสนาวดี”

“เพคะ”

“วาสนาวดี ที่เราทำไปก็เพราะด้วยรัก แลหวังแค่ให้เจ้าเรียกเรา อย่างสนิทสนมแค่นั้น เราอยากให้เจ้าเข้าใจเรา เรามิได้หมายเอาเปรียบใด ๆ กับเจ้าเลย”

“เพคะหม่อมฉันเข้าใจ”

“ถ้าเช่นนั้นต่อไปเจ้าก็จักเรียกเรา เสด็จพี่ อย่างที่เราขอใช่ไหม” พอพระองค์หญิงได้ยินคำกล่าวนั้นก็ทรงแทบกลั้นพระโอษฐ์มิให้แย้มมิได้ ด้วยขบขันที่องค์พระยุพราชยังคงทรงห่วงกังวลเรื่องนามเรียกขานนั้น

“เพคะ ต่อไปหม่อมฉันจะทำตามคำขอของพระองค์”

องค์พระยุพราชแย้มพระโอษฐ์อย่างรื่นเริงพระทัย เมื่อได้สดับคำรับรองนั้น







 

Create Date : 12 พฤศจิกายน 2552
0 comments
Last Update : 12 พฤศจิกายน 2552 14:51:37 น.
Counter : 1242 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


Angels Midori
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Angels Midori's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.