"See Angkor wat and die" ตอน ๖
ประชาชนกัมพูชาขนานนามปราสาทตาพรหม ซึ่งเป็นพุทธศาสนสถานเก่าแก่ สร้างขึ้นเมื่อปี 1729 ว่า 'วัดแองเจลิน่า โจลี' หลังถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง ลาร่า ครอฟท์ : ทูมบ์ เรเดอร์ (Lara Croft : Tomb Raider) เมื่อปี 2000
โดยนายรายัน เซด ประธานกลุ่ม Universal Society of Hinduism ระบุถึงสาเหตุของการขนานนามดังกล่าวว่า เนื่องมาจากแองเจลิน่า โจลี เป็นดาราที่เป็นที่รักของชาวกัมพูชาอย่างมาก ดังนั้นปราสาทตาพรหมซึ่งเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ของเธอ จึงถูกขนานนามเหมือนดังชื่อของเธอ
อย่างไรก็ตาม เขาต้องการให้โจลีใช้ชื่อเสียงที่มีอยู่และความเป็นนักบุญผู้อุปถัมภ์ ในการกระตุ้นให้เกิดความตระหนักต่อความสำคัญของการอนุรักษ์มรดกโลกแห่งนี้ รวมทั้งความจำเป็นในการปกป้องวิหารและสภาพแวดล้อมโดยรอบ จากการถูกทำลายหรือขโมยวัตถุใดๆ
ทั้งนี้ภาพยนตร์เรื่อง ลาร่า ครอฟท์ : ทูมบ์ เรเดอร์ เคยใช้ปราสาทตาพรหมเป็นฉากหลังการต่อสู้ ส่วนโจลีเองก็ได้รับเด็กกำพร้าชาวกัมพูชาคนหนึ่งเป็นบุตรบุญธรรมของเธอ
ชื่อของ แอนเจลิน่า โจลี ยังคงอยู่ในความทรงจำของชาวกัมพูชาเสมอ ภายหลังนักแสดงสาวคนดังเดินทางเข้าไปถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Lara Croft: Tomb Raider เมื่อ เกือบ 10 ปีก่อน และยังรับเด็กชายชาวกัมพูชาเป็นลูกบุญธรรมอีก 1 คน กระทั่งล่าสุดมีรายงานว่าชาวเขมรบางส่วน ถึงนั้นนำชื่อของเธอมาตั้งให้กับปราสาทโบราณในแถบนั้นกันเลยทีเดียว
สื่อดังอย่าง The Guardian อ้างข้อมูลของ ราจาน เซ็ด ผู้นำของสมาคมชาวฮินดูในสหรัฐฯ ที่ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว WENN ว่านักแสดงสาวชาวสหรัฐฯ ยังเป็นที่นิยมและได้รับการยกย่องจากชาวกัมพูชา จนนำชื่อของเธอไปตั้งให้กับปราสาทตาพรหมเสียใหม่เป็น 'ปราสาท แอนเจลิน่า โจลี'
"โบราณสถานที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 12 ที่มีชื่อเรียกว่าปราสาทตาพรหม อันที่จริงแล้วเป็นที่รู้จักในฐานะศาสนสถาน ของพราหมณ์แบบโบราณของราชวงศ์เก่าแก่ และมีชื่อเรียกตามจารึกว่า เรียชวิเหียร" ราจาน เซ็ด กล่าว "แต่ตอนนี้คนจะเรียกสถานที่แห่งนี้กันว่า 'ปราสาท แอนเจลิน่า โจลี' กันเป็นส่วนใหญ่แล้ว"
ปราสาทตาพรหมปรากฏอยู่ในหลายฉากของภาพยนตร์เรื่อง Tomb Raider ซึ่ง โจลี รับบทเป็น ลาร่า ครอฟต์ นักล่าสมบัติที่ต้องต่อสู้แย่งชิงวัตถุโบราณที่ทรงคุณค่ากับองค์กรลับ Illuminati
ซึ่งนอกจากโบราณสถานสำคัญจะถูกเรียกตาม นักแสดงหญิงดารานำของเรื่องแล้ว ร้านอาหารหลายในแถบนั้นแห่งยังเสิร์ฟเครื่องดื่มคอคก์เทลซึ่งตั้งชื่อว่า ทูมด์เรดเดอร์ ซึ่งประกอบไปด้วยส่วนผสมอย่าง เควโตร, มะนาว และโซดา ซึ่งว่ากันว่าเป็นเครื่องดื่มที่ โจลี เองก็โปรดปราน
ราจาน เซ็ด ผู้นำเสนอเรื่องนี้ ได้กล่าวว่าโดยส่วนตัวของเขาแล้วคิดว่า การที่นักแสดงหญิงชื่อดังแห่งฮอลลีวูด ได้รับการยกย่องเชิดชูเช่นนี้ เธอก็ควรตอบแทนความรู้สึกของประชาชนชาวกัมพูชาที่มองเธอเป็น นักบุญผู้ปกป้องคุ้มครองกัมพูชา ด้วยการช่วยเหลือบูรณะโบราณสถานที่หลายๆ คนตั้งชื่อตามชื่อของเธอด้วยเช่นเดียวกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก voice tv และ manager
เริ่มเรื่องว่า สมัยที่ฝรั่งเศสเข้าปกครองกัมพูชาอยู่นั้น วันหนึ่งคณะผู้ตรวจการณ์ได้ผ่านมาเห็นปราสาทหลังหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางแมกไม้ ได้พบชราคนหนึ่งกำลังกวาดใบไม้อยู่ จึงเข้าไปสอบถามว่า ปราสาทนี้ชื่อว่าอะไร ชายชราคนดังกล่าวฟังภาษาฝรั่งเศสไม่รู้เรื่อง นึกว่าเขาถามชื่อตัวเอง จึงตอบไปว่า ชื่อ ตาพรหม ดังนั้นปราสาทหลังนี้จึงชื่อว่าปราสาทตาพรหมตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ปราสาทตาพรหมสร้างในปลายปีพุทธศตวรรษที่ ๑๘ (พ.ศ. ๑๗๒๙) ในรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ และมีการขยายพื้นที่สร้างต่อเติมอีกในรัชสมัยของพระเจ้าอินทรวรมันที่ ๒เป็นศิลปะแบบบายน
ตามคติความเชื่อของศาสนาพุทธ นิกายมหายาน
ปราสาทตาพรหมจัดได้ว่าเป็นวัดในพุทธศาสนาและเป็นวิหารหลวงในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ทางเข้าประกอบด้วยโคปุระชั้นนอกและชั้นใน บริเวณผนังที่อยู่เชื่อมระหว่างโคปุระชั้นนอกและชั้นในมีการสลักภาพตามคติธรรมของพุทธศาสนานิกายมหายาน ปราสาทแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๑๗๒๙ เพื่ออุทิศให้แก่พระราชมารดาของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ คือพระนางชัยราชจุฑามณีผู้เปรียบประดุจกับพระนางปรัชญาปรมิตา ซึ่งหมายถึงเมื่อพระองค์เป็นอวตารของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร พระราชมารดาของพระองค์จึงเปรียบดังพระนางปรมิตาเช่นกัน
ปราสาทแห่งนี้เป็นปราสาทที่ถูกปล่อยให้อยู่กับธรรมชาติ หลังจากการค้นพบปราสาทต่างๆ โดยชาวฝรั่งเศส แต่เดิมปราสาทนครวัดเองก็อยู่ในลักษณะเช่นนี้ก่อนที่จะมีการบูรณะในต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๕ ในขณะที่ปราสาทตาพรหม ถูกเก็บรักษาไว้เพื่อให้เห็นสภาพที่แท้จริงว่าปราสาทอยู่กับธรรมชาติมาได้เกือบ ๕๐ ปี อันเป็นอีกมุมมองหนึ่ง เพื่อให้เห็นลักษณะของต้นไม้ที่เกาะกุมปราสาท
เดิมก่อนสร้างปราสาทนั้นสภาพบริเวณนี้เป็นป่ามาก่อน เมื่อจะสร้างปราสาทจึงต้องเคลียร์พื้นที่ให้เป็นที่โล่ง โดยการตัดไม้ออกแต่ในที่สุดแล้วธรรมชาติก็สามารถที่จะเอาชนะถาวรวัตถุที่ถูกสร้างจากมนุษย์ ต้นไม้ที่เกาะกุม ชอนไชไปเรื่อยๆ ไปยังส่วนต่างๆของปราสาท ช่วยให้บรรยากาศของปราสาทตาพรหมดูลึกลับ สวย ไม่เหมือนปราสาทที่อื่นๆ
ที่ปราสาทตาพรหมมีต้นไม้อยู่ ๒ ชนิด ต้นที่ใหญ่ที่สุดเรียกว่า ต้นสะปง หรือภาษาไทยเรียกว่า ต้นสำโรง เป็นต้นไม้ยืนต้นเนื้ออ่อน รกของมันจะดุดน้ำใต้ดินเข้าลำต้นทำให้นกดูป่อง พอง ส่วนพันธุ์ไม้อีกพันธุ์หนึ่งเป็นไม้เลื้อยขึ้นอยู่ตามหน้าบัน ทับหลังหรือตัวปราสาท หลังคา ลักษณะเป็นไม้พุ่ม ไม้ล้มลุก บ้างก็แห้งตายคาอยู่ บ้างก็ยังเขียวสดอยู่
เกิดจากการที่นกมาขับถ่ายมูลที่มีเมล็ดของพันธุ์นี้ทิ้งไว้ บริเวณใดของปราสาทที่มีน้ำขังอยู่มีตะไคร่น้ำที่ให้ความชุ่มชื้น ก็สามารถทำให้เมล็ดพันธุ์เติบโตเป็นต้นได้ ทั้งไม้เล็กและไม้ใหญ่ต่างเติบโตตามสภาวะที่เอื้ออำนวยรากของไม้ใหญ่ที่แทรกชอนไชไปบนแผ่นศิลา เพื่อจะหาที่ลงดินเกิดเป็นรูปทรงคล้ายหนวดปลาหมึกเกาะกุมองค์ปราสาททำให้ช่วยประคองยึดตัวปราสาทไม่ให้พังลงมาได้
เจออีกแล้ว คลื่นมหาชน วัยรุ่นกันตรึม เร็กเก้สกา เจ้าถิ่นเพียบ
หน้าบันและทับหลัง ตามปรางค์ปราสาทและโคปุระ มีภาพสลักล้วนแต่เกี่ยวกับพุทธประวัติ นิกายมหายานเป็นส่วนใหญ่น่าเสียดายว่าภาพสลักบางภาพได้ถูกดัดแปลงให้เป็นภาพเกี่ยวกับศาสนาฮินดูไปในที่สุด ได้แก่พระพุทธรูปหรือพระพุทธเจ้าที่ถูกสกัดให้เป็นศิวลึงค์ในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๘ ที่ทรงเลื่อมใสในศาสนาฮินดู
ทางเข้าสู่ปรางค์ประธานจะอยู่ทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตกเช่นเดียวกับในหลายๆ ปราสาท ทว่าปัจจุบันมีถนนตัดผ่านทั้ง ๒ ทิศ นักท่องเที่ยวนิยมเข้าทางทิศตะวันตก ถ้าเป็นไปได้ควรจะเข้าทางโคปุระทางทิศตะวันออก อันเป็นคตินิยมของผู้สร้างปราสาททุกแห่งของขอมถัดจากบรรณาลัยจะได้พบวิหารเล็กๆ ซึ่งใช้เป็นที่ประกอบพีธีของพวกพราหมณ์ ซึ่งวิหารนี้จะมีการจุดไฟบูชาตลอดทั้งวันทั้งคืน ภูมิสถาปัตย์เช่นเดียวกับปราสาทพระขรรค์ ปรางค์ทางด้านทิศเหนือได้พังทลายลงมาหมดแล้ว เห็นแต่เพียงซากของเสา หน้าบันและทับหลังทับกันระเกะระกะ
งดบรรยายให้ดูความยิ่งใหญ่อลังการกันไปอย่างเงียบๆ.....อีกมุมหนึ่งของปราสาท
ทางก่อนจะเข้าโคปุระชั้นที่ ๓ จะพบต้นสะปงขนาดใหญ่ ขึ้นปกคลุมตรงส่วนกลางของปราสาทแห่งนี้ ลำต้นขึ้นอยู่บนหลังคา โดยมีรากโอบอุ้มตัวปราสาทอยู่ก่อนจะไชลงพื้นดิน เป็นมุมที่นิยมมาถ่ายมาก
หน้าบันที่อยู่ถัดจากปรางค์ประธาน เป็นภาพเรื่องรามเกียรติ์ตอนพระลักษณ์ พระราม และนางสีดาถูกขับไล่ออกจากเมือง จะเห็นพระรามเสด็จออกโดยมีม้าเป็นพาหนะ มีไพร่ฟ้าประชาชนตามส่งเสด็จที่สะดุดตาและแปลกคือภาพสลักข้างเสากรอบประตูของโคปุระชั้นที่ ๓ ด้านทิศตะวันตก มีภาพสลักคล้ายไดโนเสาร์อยู่ ๑ ตัว เมื่อเดินมาสุดทางที่จะออกปราสาทตาพรหม ก็จะพบโคปุระซึ่งมีลักษณะคล้ายทางเข้าสู่กำแพงเมืองนครธมแห่งเมืองพระนครนั่น คือภาพใบหน้าของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรทั้ง ๔ ทิศ อยู่เหนือโคปุระนั้น
รากของต้นสะปง รุกรานอย่างสวยงาม
บรรยากาศร่มรื่นไปด้วยไม้ใหญ่อายุเป็นร้อยๆปี
การเดินทางสนุกมาก ระหว่างทางขากลับลุงดาร์กี้พาเราออกนอกเส้นทาง ทุกคนใจไม่ดี
ทุกคนเตรียมพร้อม เอาวะเป็นไงเป็นกัน พาขับไปได้สักพักก็ถึงตลาด สามล้อสกายแล็ป
กำลังชิดขวาเบรคสนิืท ลุงดาร์กี้ส่งน้ำอะไรให้พวกเราดื่มอยู่ในถังท้ายจักรยาน จ๊าาาากกก...เบียร์หรือแฟ๊บ..วะ
ลุงดาร์กี้บอก Angkor Beer เวลคัมดิ้ง ...อ่ะ.อ่ะ เวลคัมก็คัม...สัมผัสแรกเหลือบไปเห็นถัง
มีตุ๊กกี้ ตะกาบ พี่เหลือมอยู่หรือเปล่า กรูจะรอดไหมวะ ทุกคนไม่รอด เสร็จลุงดาร์กี้ทุกราย โดนมอมกลับโรงแรมไม่ถูก
อะไรอยู่ในถังมั่งก็ไม่รู้ อือ..อึอ
การเดินทางครั้งนี้ ต้องขอขอบคุณลุงดาร์กี้ พี่น้องชาวกัมพูชาที่ทำให้คำว่ากลัวหายไปจากใจพวกเราไม่รู้สึกถึงเรื่องราวที่ไม่ดีต่อกัน
ที่นี่บอกตามตรงปลอดภัย ยังมีอะไรน่าเที่ยวอีกเยอะ ใกล้ๆ บ้านเรา ตกเครื่องสามารถเดินกับได้สบายๆๆ เลย
Create Date : 28 มิถุนายน 2554 |
Last Update : 28 มิถุนายน 2554 9:49:35 น. |
|
11 comments
|
Counter : 4399 Pageviews. |
|
ขอตามมาเที่ยวปราสาทตาพรหม ด้วยคนค่ะ
ขอให้มีความสุขกับการทำงานนะคะ