หมายเลขอาจบอกถึงตำแหน่งของผู้เล่น ความดัง ความเก่ง ความหล่อ หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ทีมนั้นๆ จะยกสาเหตุขื้นมาพูดถึง เช่นเดียวกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เสื้อหมายเลข 7 นั้น ใช่ว่าใครจะใส่กันได้ง่ายๆ มันมีที่มาที่ไปของความป๊อปปูล่าร์ของหมายเลขนี้
นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มันจะต้องมีเหตุผลรองรับแน่นอนถึงทำให้ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ตัดสินใจมอบเสื้อตัวนี้ให้บรรดานักเตะตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน เรามาดูกันดีกว่าว่า 'ใคร' เคยใส่เสื้อหลายเลขนี้ให้กับแมนยูบ้าง
1. จอร์จ เบสต์ (1963-1974)
ชายผู้ที่ผมเกิดไม่ทันดูเขาเล่นสดๆ ในสนาม ชายผู้นี้คือซุปเปอร์สตาร์หมายเลข 7 คนแรกของปีศาจแดง เขาพาทีมคว้าแชมป์ลีก 1 ครั้ง และยูโรเปี้ยนคัพ 1 ครั้ง ก่อนย้ายออกจากทีมด้วยวัยเพียงแค่ 27 ปี และได้รับฉายาว่า 'เทพบุตรมหาภัย' ใครจินตนาการไม่ออกว่าจอร์จ เบสต์ เก่งขนาดไหน ว่างๆ ลองเข้า youtube และเสิร์ซชื่อของเขา แล้วคุณจะพบกับคำตอบนั้นแค่ปลายนิ้วคลิก คิดเอาเองแล้วกันว่า มีประโยคสุดคลาสสิกในวงการฟุตบอลวลีหนึ่งบอกเอาไว้ว่า "มาราโดนาก็ดี, เปเล่ อาจจะดีกว่า, แต่เบสต์นั้น ดีที่สุด(BEST)"
จอร์จ เบสต์ เสียชีวิตลงด้วยอายุ 59 ปี เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2548 ด้วยอาการปอดติดเชื้อ
.... ....
2. ไบรอัน ร็อบสัน (1981-1994)
คนนี้ก็อีกนั่นแหละที่ผมยังเกิดไม่ทัน อาจเรียกได้ว่าเขาผู้นี้ 'ร็อบโบ้' เป็นกัปตันทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสโมสร เขาอยู่กับทีมมาถึง 13 ปี ลงเล่นไปเกือบ 500 นัด ยิงไปทั้งหมด 99 ประตู ตัวเลขสวยสดงดงามเสียจริง และคว้าแชมป์อีกนับไม่ถ้วน เขายังเป็นเจ้าของสถิตินักเตะค่าตัวแพงที่สุดของอังกฤษในสมัยนั้น โดยย้ายจากเวสต์ บรอมวิช อัลเบียน มาอยู่กับทีม เมื่อปีค.ศ.1981 ด้วยค่าตัวราว 1.5 ล้านปอนด์
ไบรอัน ร็อบสัน วัย 52 ปี ปัจจุบันทำหน้าที่เป็นทูตสโมสรให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
.... ....
3. เอริค คันโตนา (1992-1997)
และแล้วก็มาถึงคนที่ผมเกิดทันได้ดูพอดี ชายคนนี้ไม่ใช่ผู้วิเศษ ชายคนนี้ไม่ได้มีอยู่ในนิยาย แต่เขามีอยู่จริง! เมื่อปีค.ศ.2000 เขาได้รับการโหวตจากแฟนๆ ของทีมให้เป็น 'นักฟุตบอลแห่งศตวรรษ' พวกเขาเรียกคันโตนาว่า 'เอริค เดอะ คิง' แฟนๆ เทิดทูนเขาแค่ไหน ก็คิดเอาเองแล้วกัน ขนาดวันที่เขากระโดด 'กังฟูคิก' ใส่แฟนบาลปากหมาของทีม คริสตัล พาเลซ แฟนๆ ยังไม่ว่าเขาสักคำ แถมยังสะใจอีกต่างหาก(ผมก็ด้วย) ก่อนการมาของเขา แมนยูกำลังทำผลงานได้ตกต่ำ แต่เขาขี้ม้าขาวเข้ามาเขียนเรื่องราวใหม่ทั้งหมด เพราะนอกจากจะเป็นคนยิงประตูระเบิดระเบ้อแล้ว เขายังเปิดบอลถวายพานให้เพื่อนทำประตูได้อีกด้วย จนเมื่อปีค.ศ.1997 เขาประกาศแขวนสตั้ดแบบช็อกแฟนบอล หลังพาทีมชวดแชมป์แค่ครั้งเดียวในรอบ 5 ปี
ในงานแถลงข่าวหลังเหตุการณ์กังฟูคิก กลุ่มนักข่าวพากันมารอสัมภาษณ์คันโตนา ซึ่งเขาได้เดินเข้ามานั่ง ก่อนจะพูดว่า "เมื่อนกนางนวลบินตามเรือประมง ก็เพราะพวกมันคิดว่าปลาซาร์ดีนจะถูกโดยนลงมาในทะเล" แล้วก็ลุกออกไปจากห้องทันที
ปัจุจบัน เอริค คันโตน่า วัย 43 ปี หันมาเอาดีทางด้านการแสดงกับภาพยนตร์เรื่อง Looking For Eric
.... ....
4. เดวิด เบคแฮม (1993-2003)
10 ปีเต็มที่อยู่ในถิ่นโอล์แทรฟฟอร์ด เบคแฮมก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ครั้งแรกใส่เบอร์ 24 ก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นเบอร์ 10 และเมื่อ 'ก็องโต' เลิกไป เฟอร์กูสัน เลือกให้หนุ่มเบคใส่เบอร์ 7 แทน จากนั้นเขาก็ไม่ทำให้แฟนบอลผิดหวัง จุดเด่นที่เป็นสัญลักษณ์ประจำตัวคือการเปิดบอลที่แม่นยำ และลูกยิงฟรีคิกที่มหัศจรรย์ ที่ยังไม่มีใครทำได้ดีเท่าจนถึงทุกวันนี้ เขาลงเล่นให้ทีม 265 นัด ยิงไป 62 ประตู คว้าแชมป์พรีเมียร์ชิพ 6 ครั้ง และยูฟ้า แชมเปี้ยนส์ ลีก 1 ครั้ง แต่ความเป็นซุปเปอร์สตาร์และภรรยา ทำให้เขามีปัญหากับเซอร์อเล็ก และย้ายไปค้าแข้งให้กับทีมยักษ์ใหญ่แดนกระทิงอย่าง รีล มาดริด พี่เบคนี่ยิ่งแก่ยิ่งหล่อว่าไหมครับ?
ปัจจุบัน เบคแฮม วัย 34 ปี เล่นให้กับสโมสรแอลเอ แกแลกซี่ ในเมเจอร์ ลีก ของอเมริกา
.... ....
5. คริสเตียโน โรนัลโด (2003-2009)
นาทีนี้ไม่มีใครไม่รู้จักเขา 'ไอ้เจ็ทโด้' จอมสับสยองโลก ครั้งแรกที่เล่นให้กับยูไนเต็ด โรนัลโด อยากใส่เบอร์ 28 แต่เป็นเฟอร์กี้มีมอบเบอร์ 7 ให้ ตอนนั้นท่านเซอร์คิดอะไร ไม่มีใครรู้ แต่ในที่สุดโลกก็ต้องทึ่งกับความสามารถ และความสำเร็จของเขา นักเตะที่ได้ชื่อว่าเก่งที่สุดในโลกคนนึงในชณะนี้ เขาพาทีมกวาดแชมป์ลีก 3 ปีรวด ในปีค.ศ.2007, 2008, 2009, และแชมเปี้ยนส์ ลีก ปีก่อน ก่อนที่จะย้ายไปล่าฝันกับ รีล มาดริด ในฐานะนักเตะค่าตัวแพงที่สุดในโลกที่เคยมีมา แฟนบอลอาจจะไม่ปลื้มกับการจากไปของเขา แต่สิ่งนึงที่ไม่มีใครกล้าปฏิเสธแน่ว่า นี่คือตำนานอีกบทหนึ่งในถิ่นเร้ด เดวิลส์
ปีที่แล้วโรนัลโด้คว้ารางวัล รองเท้าทองคำ(ดาวซัลโวสูงสุด), นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของฟิฟโปร, นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของฟีฟ่า, ผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำปีของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพอังกฤษ ซึ่งการันตีคุณภาพคับแก้วได้เป็นอย่างดี ปัจจุบัน โรนัลโด้ วัย 24 ปี มีค่าตัวแค่ 80 ล้านปอนด์เท่านั้นเอง!
.... ....
6. ไมเคิล โอเว่น (2009-20??)
'เบบี้ โกลล์' คือตำนานของคู่ปรับตลอดกาลอย่างลิเวอร์พูล ด้วยคาตัวที่ถูกแสนถูกเต็มที่ไม่เกิน 50,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ แถมยังมีออพชั่น 'จ่ายเท่าที่ลง' หรือ 'จ่ายเท่าที่ยิง' อีกต่างหาก นี่เป็นอีกตัวอย่างนึงที่พิสูจน์ให้เห็นถึงสายตาอันเฉียบคาดของเซอร์อเล็ก เฟอร์กูสัน ที่สำคัญโอเว่นตอบแทนความไว้ใจของเซอร์ ด้วยการลงเล่นเพีลงแค่ 2 นัดแรก แต่ทำได้ถึง 2 ประตู พูดถึงโอเว่นนั้นเขาเก่งแต่เด็กและใช้ร่างกายหักโหมมาตลอด ทำให้ต้องบาดเจ็บซ้ำซาก แต่แมนยูก็ยังลงเดิมพันกับเขา เพื่อที่จะให้โอกาสได้พิสูจน์ฝีเท้าว่ายัง 'มีดีพอ' นี่อาจจะเป็น 'รถไฟขบวนสุดท้าย' ของเขาก็ได้ จึงไม่แปลกที่จะบอกว่าฤดูกาลหน้าที่จะมาถึง อาจเป็นฤดูกาลที่สำคัญที่สุดในชีวิต ถ้าอาการบาดเจ็บไม่รุมเล้าและสามารถเค้นฟอร์มออกมาได้ เชื่อผมเหอะ ที่สุดแล้วมีชอยส์ให้โอเว่นเลือกเพียงแค่สองข้อ หนึ่ง-เขาอาจจะกลับมาเป็นเจ้าหนูมหัศจรรย์อีกครั้ง หรือสอง-เขาคงก้มหน้ารับสภาพและแขวดสตั๊ดไปอย่างเหงาๆ
โอเว่นจะเป็นอีกคนที่บันทึก 'ตำนาน' บทใหม่แห่งโอลด์แทรฟฟอร์ด ได้หรือไม่ โปรดติดตาม..
ถึงโอเว่นเคยอยู่ลิเวอร์พูล แต่ผมก็ไม่เคยเกลียดเขา สิ่งที่โอเว่นต้องการในเวลานี้ไม่ใช่ชื่อเสียงหรือว่าเงินทอง แต่มันคือ 'โอกาส' ที่เซอร์อเล็กซ์ หยิบยื่นให้ในวัยย่าง 30 ปี มันคือของขวัญที่สำคัญยิ่งกว่าสิ่งไหนๆ
“ราชาสตั๊ดเหินหาว” เดนิส ลอว์ เป็นนักเตะที่ยิ่งใหญ่ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีความสามารถรอบด้านสมเป็น “ราชาลูกหนัง” แห่งโอลด์ แทรฟฟอร์ด อย่างแท้จริง ในชีวิตการเป็นนักเตะของเขา มีทั้งความสุข สมหวัง ผิดหวัง ท้อแท้ เขาต่างได้ลิ้มรสความรู้สึกเหล่านี้มาแล้ว ครั้งที่เขายังเป็นผู้เล่นของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เขาเป็นผู้ยิงประตูชัยด้วยการตอกส้นส่งให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ร่วงลงไปเล่นในศึกดิวิชั่น 2
ลอว์ เกิดที่อเบอร์ดีน เข้าเรียนหนังสือที่ฮิลตัน ไพรเมรี่, คิตตี้บริวสเตอร์ จูเนียร์ และมาจบมัธยมฯในอเบอร์ดีน จากนั้นก็เบนเข็มเข้าสู่การเป็นนักเตะอาชีพให้กับทีมฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์ เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ปี 1957
ในเดือนมีนาคม ปี 1960 เขาย้ายไปอยู่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในราคา 55,000 ปอนด์ แต่ในเดือนมิถุนายน ปี 1961 เขาย้ายออกจากถิ่นเมนโรด ไปอยู่โตริโนของอิตาลีในราคา 110,000 ปอนด์
เดนิส ลอว์ ได้ย้ายมาเล่นในลีกของอังกฤษอีกครั้ง เมื่อแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยอมจ่ายเงินสูงถึง 170,000 ปอนด์ คว้าตัวเขามาร่วมทีมในเดือนกันยายน ปี 1962 นับเป็นสถิติที่สูงที่สุดในยุคนั้น และในเดือนกรกฏาคม ปี 1973 เขากลับไปเมนโรด อีกครั้ง ก่อนจะแขวนสตั๊ดหันไปเป็นผู้บรรยายฟุตบอลทางวิทยุในเดือนสิงหาคม ปี 1974
ช่วงที่อยู่กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เขาเป็นนักเตะยอดเยี่ยมของยุโรปปี 1964 ติดทีมชาติสกอตแลนด์ชุดใหญ่ 55 ครั้ง ยิงไป 30 ประตู, ชุดอายุต่ำกว่า 23 ปี 3 ครั้ง ยิงไป 1 ประตู ลงสนามให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 393 นัด ยิงไป 236 ประตู คว้าแชมป์ลีกกับทีมในฤดูกาล 1964/5 ,1966/7 และ เอฟเอ คัพ ในฤดูกาล 1962/3
สถิติที่ทำไว้กับฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์ ลอว์ ลงสนาม 81 นัดยิงไป 16 ประตู กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 66 นัด ยิงไป 30 ประตู เขาติดทีมชาติสกอตแลนด์เมื่ออายุเพียง 18 ปี ลงสนามในนามทีมชาติครั้งแรกพบกับเวลส์ ในเดือนตุลาคม ปี 1958 เขาเป็นนักเตะคนเดียวที่ถูกสมาคมฟุตบอลอังกฤษแบนไม่ให้ลงสนามเป็นเวลา 1 เทอม และในเดือนพฤษภาคม ปี 1961 เขาอยู่ในฐานะผู้เล่นศูนย์หน้าของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็ถูกพักไม่ให้ลงสนามเป็นเวลา 7 วัน เพราะได้รับใบเหลืองครบ 4 ใบ แต่เมื่อย้ายไปอยู่โตริโน่ในซัมเมอร์ปีนั้น และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าตัวเขามาร่วมทีมคำสั่งพักไม่ให้ลงสนามจึงถูกยกเลิกไป
บ๊อบบี้ ชาร์ลตัน “England’s Classiest Act.”
ถ้าจะเอ่ย ถึงยอดนักเตะของผู้ดีซักคน หลายๆคนคงนึกถึง บ็อบบี้ มัวร์, เจฟฟ์ เฮิร์ทส์,กอร์ดอน แบงค์ ฯลฯ ซึ่งนักเตะเหล่านี้ล้วนเป็นยอดนักเตะในตำนานของทีมชาติอังกฤษ แต่ยังมีอีกคนหนึ่ง ที่ถือว่าเป็นต้นแบบของวงการลูกหนังอังกฤษในยุคสุดยอด นั่นก็คือ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน ยอดนักเตะ ของทีมปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด และทีมชาติอังกฤษ รวมอยู่ด้วย
บ็อบบี้ ชาร์ลตัน เกิดเมื่อวันที่ 11 ต.ค. 1937 ที่แอชิงตัน ซึ่งช่วงนั้นฟุตบอลกำลังบูมอย่างมากในอังกฤษ และ ชาร์ลตันที่หลงใหลในกลิ่นสาบลูกหนังก็หมั่นฝึกฝน และได้เข้าฝึกฝนทักษะด้านลูกหนังที่โรงเรียน อีสต์ นอร์ธัมเบอร์แลนด์ ที่นี่เองที่ชาร์ลตัน สามารถฝึกปรือเชิงลูกหนังได้อย่างเต็มที่ ด้วยความสามารถที่เกินวัย ชาร์ลตัน ก็สามารถได้เป็นตัวแทนของโรงเรียนไปแข่งขันฟุตบอลรายการต่างๆ และลีลาความสามารถที่สูงตั้งแต่เด็ก ทำให้เขาเป็นที่ต้องตา ของ กุนซือคนเก่งของแมนฯยูไนเต็ด อย่าง แมตต์ บัสบี้
หลังจากนั้น ชาร์ลตัน ก็ได้เซ็นสัญญาเป็นนักเตะฝึกหัดของทีมปิศาจแดง ด้วยวัยเพียง 15 ปี ซึ่งตอนนั้นแมตต์ บัสบี้ กำลังสร้างรากฐานจากเยาวชนเพื่อครองความยิ่งใหญ่ โดยใช้สโลแกนในตอนนั้นว่า “บัสบี้ เบ็บส์ “ หรือ เด็กๆของบัสบี้ หลังจากนั้นเพียง 3 ปี เขาก็ได้กลายขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ของทีมแมนฯยูไนเต็ด และได้ลงสนามนัดแรกก็เอาชนะใจของแมตต์ บัสบี้ได้สำเร็จ ด้วยการยิง 2 ประตูชนะ ชาร์ลตัน ไป 4-2 และปีนั้นชื่อของชาร์ลตันเริ่มเป็นที่จับตามองมากขึ้น หลังจากช่วยพาทีมครองแชมป์ดิวิชั่นหนึ่งของอังกฤษ ได้สำเร็จ
ปีต่อมาเขาได้ลงเล่นถ้วยใบใหญ่สุดของยุโรป อย่าง ยูโรเปี้ยนส์ คัพ ซึ่งเขาก็สามารถพาทีมผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ ซึ่งตอนนั้นนัดชิงจัดขึ้นที่สนามเวมบลีย์ แต่ก็เกิดเหตุการณ์อันสลดขึ้น เมื่อทีมต้องไปแข่งขันรอบตัดเชือกที่ มิวนิค ตอนขากลับเครื่องบินเกิดเหตุขัดข้อง จนเกิดอุบัติเหตุ ทำให้นักเตะทีมแมนฯยูไนเต็ด ต้องเสียชีวิต ถึง 23 คน แต่ ชาร์ลตันถือว่าดวงแข็งมาก กลับรอดชีวิตมาอย่างปาฎิหาริย์ แบบไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆเลย เหตุการณ์ครั้งนั้นเกิดเมื่อวันที่ 6 ก.พ. 1958 เวลา 15.04 น.
หลังจากนั้น ชาร์ลตันก็ยังอยู่กับยูไนเต็ด ภายใต้การนำทีมของแมตต์ บัสบี้ แต่ฟอร์มการเล่นของชาร์ลตันก็ยังโดดเด่น จนทีมชาติอังกฤษ เรียกเข้าสู่ทีมเมื่อปี 1958 ภายใต้การทำทีมของ วอลเตอร์ วินเตอร์บอททอม ชาร์ลตันเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับ และปีนั้นอังกฤษได้ไปฟุตบอลโลกที่สวีเดน แต่แล้วอังกฤษก็ไม่ประสบความสำเร็จ ตกรอบแรกอย่างรวดเร็ว และชาร์ลตันเองก็ไม่มีส่วนร่วมในการแข่งขันครั้งนั้นเลย ซึ่งหลังจากนั้น วอลเตอร์ ออกมายอมรับว่าเขาเสียดายที่ไม่ให้ โอกาสชาร์ลตันลงสนาม 4 ปีต่อมา ชาร์ลตันยังเป็นกำลังสำคัญของทีมชาติอังกฤษ ลุยฟุตบอลโลก แต่ทีมของเขาก็จบแค่รอบ 8 ทีมสุดท้าย
ต่อจากนั้นชาร์ลตันกลับมาประสบความสำเร็จกับปิศาจแดงต่อ ด้วยการกวาดแชมป์ดิวิชั่นหนึ่ง ในปี 1965.1967 และแชมป์เอฟเอคัพ ปี 1963 หลังจากที่บัสบี้ ได้สร้างทีมใหม่ขึ้นมา โดยการนำของชาร์ลตัน เดนิส ลอว์ และ จอร์จ เบสต์ ทำให้ทีมปีศาจแดง กลายเป็นทีมเล่นได้สุดยอดในยุคนั้น และความสำเร็จของสโมสรนี่เองทำให้ ชาร์ลตัน ลงทำศึกฟุตบอลโลกปี 1966 ที่อังกฤษเป็นเจ้าภาพ ด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม และมีขุนพลเอกจากสโมสรชั้นนำทำให้ปีนั้น อังกฤษประสบความสำเร็จสูงสุด ด้วยการคว้าแชมป์โลกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ด้วยการชนะเยอรมันตะวันตกไป 4-2 ซึ่งผลงานการเล่นของชาร์ลตันโดดเด่นมากในปีนั้น และปี 1968 เขาก็สามารถนำทีมปิศาจแดง แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ยูโรเปี้ยนส์ คัพ เป็นครั้งแรกและเป็นทีมแรกจากอังกฤษอีกด้วยที่ได้แชมป์ใบโตของยุโรป
จากนั้น ชาร์ลตันก็ยังวนเวียนกลับการเล่นฟุตบอล จนกระทั่งในปี 1974 เขาตัดสินใจแขวนสตั๊ด และหันไปทำธุรกิจโรงเรียนสอนฟุตอล ต่อมาเมื่อปี 1984 ทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ได้เชิญ เขาเข้ามาเป็นผู้อำนวยการสโมสรและได้รับเกียรติให้เป็นบอร์ดของฟีฟ่า อีกทั้งอังกฤษ ยังแต่งตั้งให้ชาร์ลตันเป็นทูตกีฬาเดินทางไปทั่วโลกเพื่อเผยแพร่เกมลูกหนัง
ความภาคภูมิใจอีกอย่างหนึ่งของชาร์ลตัน ก็คือ การได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ เป็น เซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน จากพระราชวังบักกิ้งแฮม หลังจากสร้าชื่อเสียงให้กับสโมสรและประเทศชาติมายาวนาน นับว่าชาร์ลตันคือนักเตะแม่แบบของนักเตะอังกฤษขนานแท้เลยก็ว่าได้
จอร์จ เบสต์ (George Best)
วันเกิด 22 พฤษภาคม 1946
สถานที่เกิด เบลฟาสต์, ไอร์แลนด์
นักเตะเจ้าของฉายาปีกพ่อมด และเทพบุตรมหาภัย เขาเป็นอัจฉริยะลูกหนังคนหนึ่งของวงการฟุตบอล เป็นตำนานนักเตะหมายเลข 7 ของแมนฯยูฯ เป็นผู้เล่นชั้นยอดอีกคนหนึ่งที่ยังไม่เคยสัมผัสเกมฟุตบอลโลก
เริ่มต้นชีวิตการค้าแข้งด้วยการมาทดสอบฝีเท้ากับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปี 1961 โดยเริ่มเป็นเด็กฝึกหัดของสโมสร ลงเล่นในตำแหน่งปีก ซึ่งในสมัยนั้นผู้เล่นตำแหน่งปีกจะเป็นตำแหน่งที่สำคัญมากสำหรับทีม
ในปี 1963 ลงเล่นให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชุดใหญ่นัดแรกในเกมพบฟูแล่ม ด้วยวัย 17 ปี ในเดือนกันยายน และหลังจากเล่นให้แมนฯ ยูฯ ได้เพียง 15 เกมก็ถูกเรียกตัวติดทีมชาติ
เป็นนักเตะที่พาทีมแมนฯ ยูฯ คว้าแชมป์ดิวิชั่น1 ในฤดูกาล 1964-1965 และ 1966-1967 (แชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษ)
ในปี 1968 พาทีมแมนยูขึ้นเถลิงบรรลังค์แชมป์ยูโรเปี้ยนคัพภายใต้การคุมทีมของเซอร์แมทต์ บัสบี้ ด้วยการเอาชนะ เบนฟิก้า โดย ในเวลาปกติเสมออยู่ 1-1 และต่อเวลาพิเศษ แมนยูยิงได้อีก 3 ลูก โดยจอร์จ เบสต์เป็นผู้ทำประตูด้วย ในนาทีที่ 93 นับเป็นค่ำคืนที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตการเล่นฟุตบอลของเขาอย่างมาก
ได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมสมาคมนักข่าว และนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของยุโรปในปี 1968
จอร์จ เบสต์ เคยสร้างสถิติยิงประตูในนัดเดียวมากที่สุดถึง 6 ประตู ในการถล่ม นอร์ทแธมป์ตัน ทาวน์ 8-2 ในเกมเอฟเอคัพ รอบ 5
ในปี 1972 เขาตัดสินใจแขวนสตั๊ดด้วยวัยเพียง 26 ปี แต่แล้วในปี 1973 ก็กลับมาค้าแข้งอีกครั้ง แต่ด้วยความเป็นเพลย์บอยของเขาทำให้ในที่สุดแมนฯ ยูฯก็ตัดสินใจขายเขาทิ้งในปี 1974
ตั้งแต่ปี 1975-1980 เขาแต่งงานกับนางแบบสาว แองเจลล่า แมคโดนัลด์ เจมส์ และย้ายออกจากแมนฯ ยูฯ ไปค้าแข้งกับทีมเล็ก ๆ อีกหลายทีม และไปแขวนสตั๊ดอีกครั้ง ในเมเจอร์ลีกของ อเมริกา ชื่อ ซาน โฮเซ่ เอิร์ธเควคส์
แต่แล้วในปี 1983 เขาก็หวนกลับมาเล่นฟุตบอลอีกครั้ง กับทีม บอร์นมัธ แต่ลงเล่นอีกไม่นาน เขาก็ย้ายไปเล่นให้ทีมเล็ก ๆ อย่าง บริสเบน ไลออน และ ตัดสินใจ แขวนสตั๊ดถาวรในปี 1984 ด้วยวัย 38 ปี
ส่วนหนึ่งที่เบสต์ ตัดสินใจเลิกเล่นฟุตบอลหลายครั้ง เนื่องจากหมดเวลาส่วนใหญ่ไปกับการดื่มเหล้าเคล้านารี เที่ยวกลางคืน และหลงอยู่ในแสงสีของวงการบันเทิง แต่ถึงแม้จะยุติชีวิตนักเตะ เบสต์ก็ยังอยู่ในวงการฟุตบอล โดยทำหน้าที่เป็นนักวิเคราะห์ของสำนักข่าวให้กับสกายสปอร์ต
ในปี 1984 ถูกศาลตัดสินจำคุก 12 สัปดาห์ในข้อหาเมาแล้วขับรวมถึงทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ และถูกภรรยาแองเจลล่า ฟ้องหย่า หลังจากมีลูกชายด้วยกัน 1 คนคือ คาลัม
ในปี 1995 แต่งงานอีกครั้งกับ อเล็ก เพอร์ซี่ ซึ่งเป็นแอร์ โฮสเตส สาวสวย ซึ่งต่อมาภายหลังก็ต้องแยกทางกัน เพราะภรรรยาของเขาทนไม่ไหว กับการที่ เบสต์ กลับไปดื่มเหล้าจัด และมีคดีความมากมาย ทั้งเมาสุราอาละวาด เมาแล้วขับ และทะเลาะวิวาท
ได้รับการคัดเลือกเข้าสู่ Hall of Fame หรือหอเกียรติยศของ FIFA ในปี 2004
ด้วยความเป็นนักดื่มตัวยงที่สุดผลร้ายก็ย้อนคืนสู่สุขภาพของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2000 เบสต์ มีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพ จนกระทั่งต้องเข้ารับการผ่าตัดปลูกถ่ายไตในปี 2002 และถูกสั่งห้ามไม่ให้แตะของมึนเมาอีกแต่เจ้าตัวก็ยังไม่เชื่อฟังแอบดื่มเรื่อยมา
ในช่วง 2-3 ปีหลังสุขภาพของเบสต์ทรุดโทรมลงเรื่อยๆ ทำให้เข้าออกโรงพยาบาลอยู่หลายครั้ง จนกระทั่งครั้งล่าสุด เบสต์ ถูกส่งเข้ารับการรักษาตั้งแต่ในช่วงปลายเดือนตุลาคม48 ที่โรงพยาบาลครอมเวลล์ กรุงลอนดอน แต่ในที่สุดคณะแพทย์ก็ไม่สามารถยื้อชีวิต เบสต์ เอาไว้ได้เขาจากไปด้วยอาการปอดติดเชื้อ และผลกระทบจากโรคไต
ไบรอัน ร็อบสัน
รอย คีน
รอย คีน เกิดวันที่ 10 ตุลาคม 1971 ที่เมืองคอร์ก เขาเริ่มเข้าสู่วงการฟุตบอลกับ คอบห์ รัมเบลอร์ส ต่อมา ไบรอัน เคลาจ์ ได้ติดต่อและพาเขาย้ายไปเล่นให้กับ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ในขณะที่เขาอายุได้ 18 ปี โดยการลงสนามนัดแรกของเขาเป็นบทพิสูจน์ตัวเขาเองอย่างแท้จริง เมื่อทีมต้องไปเยือน ลิเวอร์พูล ทีมซึ่งได้แชมป์ลีกในปีนั้น และเขาก็จบฤดูกาลแรกที่เขาเล่นให้กับทีมแบบเต็มที่ กับการลงเล่นใน เอฟเอ คัพ นัดชิงชนะเลิศเป็นครั้งแรก ในปี ค.ศ. 1991 เมื่อเขาอายุได้ 20 ปี
จากฟอร์มการเล่นที่โดดเด่นของเขา ก็ไม่สามารถหลุดรอดผ่านสายตาของผู้จัดการทีมชาติไปได้ โดย แจ็ค ชาร์ลตัน ผู้จัดการทีมสาธารณรัฐไอร์แลนด์ในขณะนั้น เรียกเขาติดทีมชาติในเดือน พฤษภาคม ปี ค.ศ. 1991
ในฤดูกาลหลังจากนั้น น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ทีมของเขาก็พ่ายให้กับทีมยักษ์ใหญ่อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1 – 0 ในลีก คัพ รอบชิงชนะเลิศ อีกทั้งทีมต้องตกชั้นในฤดูกาลถัดมา ทำให้ในช่วงปิดฤดูกาลการแย่งชิงตัวเขาจึงเกิดขึ้น และผู้ที่สามารถเซ็นต์สัญญาได้ตัวเขาไปร่วมทีมก็คือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับค่าตัว 3.75 ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นค่าตัวที่แพงที่สุดของสโมสรและของทีมในเกาะอังกฤษเวลานั้น
ในระหว่างที่เขาเล่นให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทั้งทักษะ การขับเคลื่อน การตัดสินใจ และความมุ่งมั่นในเกมทำให้เขากลายเป็นนักเตะที่ไม่มีใครสามารถแทนที่ได้ ทำให้หลายคนต่างเปรียบเขากับอดีตนักเตะตำนานของทีมไบรอัน ร็อบสัน เลยทีเดียว
เขามีตำแหน่งเป็นถึงกัปตันทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งรับช่วงต่อจาก เอริค คันโตน่า หลังจบฤดูกาล 1996/97 เมื่อ ก็องโต้ ประกาศแขวนสตั๊ด แต่ก่อนเริ่มฤดูกาลแรกของการเป็นกัปตันทีมเพียงไม่กี่วัน เขากลับต้องพบกับอาการบาดเจ็บบริเวณหัวเข่า ทำให้ต้องพักเป็นระยะเวลานานทีเดียว
มีผู้เชี่ยวชาญหลายต่อหลายคนให้ข้อสังเกตว่า ฤดูกาลใดก็ตามที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สะดุด หรือโชว์ฟอร์มได้น่าผิดหวังนั้น มักสืบเนื่องมาจากการขาด รอย คีน และจากการบาดเจ็บของเขาในเดือนกันยายน ปี ค.ศ. 1997 ทำให้ทีมปีศาจแดงต้องพลาดแชมป์ในปีนั้น และทีมชาติของเขาเองก็ตกรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกในปี ค.ศ. 1998 ด้วย
ในฤดูกาล 1998/99 รอย คีน กลับมาลงเล่นด้วยความฟิตเหมือนเดิม และเขาสามารถช่วยทีมได้มากทีเดียว จนกระทั่งในรอบรองชนะเลิศ เอฟเอ คัพ เขาต้องถูกใบแดงไล่ออกจากสนามตามด้วยการถูกใบเหลืองในศึก แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ semi-final ที่พบกับ ยูเวนตุส ทำให้เขาไม่ได้ร่วมทีมในนัดแห่งความทรงจำที่ บาร์เซโลน่า อย่างไรก็ดี เขาสามารถกลับมาลงเล่นให้กับทีมได้ในนัดสุดท้ายของฤดูกาลที่พบกับ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ และขึ้นรับถ้วยแชมป์ พรีเมียร์ชิพ ในที่สุด
การเจรจาเซ็นต์สัญญากับเขาในฤดูกาล 1999/2000 ก็เริ่มขึ้นด้วยการประโคมข่าวต่างๆ นานาของสื่อ ทั้งข่าวที่ว่ากัปตันทีมผู้นี้ ปฏิเสธข้อเสนอของสโมสร จนกระทั่ง ก่อนเริ่มเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก กับ บาเลนเซีย ก็มีการประกาศออกมาว่าเขาเซ็นต์สัญญาฉบับใหม่กับสโมสรแล้ว ซึ่งหลังจากนั้นก็ดูเหมือนว่า เขาจะเล่นให้กับทีมเหมือนไม่มีอะไรหนักอกหนักใจอีกแล้ว
รอย คีน สามารถทำประตูให้กับทีมได้ถึง 12 ประตูในฤดูกาลนั้น ซึ่งครึ่งหนึ่งเป็นประตูที่ได้ในฟุตบอลถ้วยยุโรป และด้วยเหตุนี้เองทำให้เขาได้รับเลือกให้เป็น “นักเตะยอดเยี่ยมประจำฤดูกาล” โดยสมาคมฟุตบอลอังกฤษ หลังจากนั้น เขาก็ยังพาทีมคว้าแชมป์ พรีเมียร์ ลีก เป็นครั้งที่ 7 ของสโมสรในฤดูกาล 2000/2001
ทางด้านการลงเล่นให้ทีมชาติ เขาก็ลงเล่นนัดที่ 50 ให้กับทีมชาติ ด้วยชัยชนะเหนือ ไซปรัส 4 – 0 จากฟอร์มการเล่นของเขาช่วยพาทีมผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลโลก 2002 รอบสุดท้ายได้สำเร็จ โดยอยู่ในกลุ่มเดียวกับ โปรตุเกส และ ฮอลแลนด์ แต่เขาได้มีปัญหากับผู้จัดการทีมชาติ มิค แม็คคาธี่ย์ ทำให้ต้องถูกส่งตัวกลับประเทศและไม่สามารถลงเล่นช่วยทีมชาติได้ในขณะนั้น สื่อต่างก็ประโคมข่าวกันมากมาย ว่าเกิดอะไรขึ้น และทำนายกันว่าจะเกิดอะไรตามมา โดยหลังจากนั้นไม่กี่เดือน รอย คีน ก็ออกมาประกาศเลิกเล่นให้กับทีมชาติไอร์แลนด์ ในที่สุด
คีน โชคไม่ค่อยดีนักเมื่อต้องเข้ารับการผ่าตัดบริเวณสะโพก และต้องพักไปอีกหลายเดือนในช่วงต้นฤดูกาล และเมื่อเขากลับมา ก็ดูเหมือนว่าเขาจะสงบและใจเย็นขึ้นในการลงสนาม และแม้ว่าจะมีคำถามมากมายจากแฟนบอลและสื่อมวลชนว่า เขาจะอยู่กับทีมอีกนานแค่ไหน และจะย้ายออกไปเมื่อไหร่ แต่ รอย คีน เองก็ตอบคำถามนี้ด้วยตนเองว่า “ผมยังคงมีงานต้องทำที่นี่อีกอย่างน้อย 2 – 3 ปีนี่แหละ” ซึ่งนั่นก็คงสร้างความมั่นใจให้กับแฟนปีศาจแดง ได้ไม่น้อย
The HDR-SR10 Handycam camcorder delivers everything you need to shoot stunning Full HD 1920 x 1080 resolution video and 4 megapixel still images. With Hybrid recording technology, you can record to either an internal 40GB hard disk drive or removable Memory Stick Duo or Memory Stick Pro Duo media. A professional-quality Carl Zeiss Vario-Sonnar T* lens and ClearVid CMOS sensor (with Exmor technology) and Bionz image processor let you capture every detail in video and still images. Additionally, Face Detection technology helps everyone put their best face forward, while the Super SteadyShot optical image stabilization system helps ensure images remain sharp and true.
A powerful zoom for capturing close, detailed views of faraway subjects, this high-magnification beauty is the perfect choice for nature and sports shooters. Remarkably light and compact, it compresses the apparent distance between objects within the frame, giving stunning pictorial effects.