ความไม่รู้เป็นลาภอันประเสริฐ

คนเลี้ยงควาย

ชายคนหนึ่งมีอาชีพเลี้ยงควาย ทุกวันนั้นอาศัยอยู่ตรงชายทุ่งคอยดูแลฝูงควาย
ด้วยความเบื่อหน่ายกับกิจวัตรประจำวันที่ซ้ำซากจำเจ

วันหนึ่งชายคนนั้นจึงนึกสนุก จึงแกล้งทำท่าทางตกใจ วิ่งหน้าตื่นเข้าไปในหมู่บ้าน
บอกว่า "ช่วยด้วย ช่วยด้วย รถถังมาแล้ว รถถังมาแล้ว"

ชาวบ้านได้ยินดังนั้นก็ตกใจ รีบหยิบฉวยเครื่องไม้เครื่องมือ กล้อง โทรศัพท์มือถือ ดอกไม้
โปสเตอร์ กระดาษ ต่างๆ วิ่งตามชายเลี้ยงควายไป หวังจะไปถ่ายรูปกับรถถัง ขอลายเซ็น มอบดอกไม้ ฯลฯ

แต่แล้วพอไปถึงก็ไม่เห็นมีรถถังแม้แต่คันเดียว แถมชายเลี้ยงควายยังหัวเราะชอบใจ
ที่สามารถหลอกชาวบ้านให้วิ่งมาตามคำโกหกตนได้

ชายเลี้ยงควายทำอย่างนั้นอยู่ หลายต่อหลายครั้ง ด้วยความสนุก คึกคะนอง แก้เซ็งไปวันๆ
หารู้ไม่ว่ามันเป็นการสร้างความผิดหวังให้ชาวบ้านมาก ที่ชาวบ้านไม่ได้พบกับรถถังจริงๆ เสียที

ต่อมา รถถังทัพใหญ่บุกเข้ามาจริงๆ เขารีบวิ่งด้วยตกใจไปหาชาวบ้าน
ขอแรงให้ไปช่วยกันต่อต้านการกระทำอันเป็นเผด็จการ แต่ไม่มีใครสนใจ
เพราะคิดว่าครั้งนี้ก็คงเป็นการโกหกเหมือนทุกๆครั้งที่ผ่านมา

สุดท้ายแล้วรถถังก็สามารถกระทำการยึดอำนาจได้อย่างง่ายดายโดย ปราศจากการต่อต้าน
แล้วชาวบ้านก็ทยอยกันออกมาหลังจากพบว่ารถถังมาจริงๆ ไม่ใช่การโกหกของชายเลี้ยงควาย


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า...........................




 

Create Date : 29 สิงหาคม 2551   
Last Update : 29 สิงหาคม 2551 2:58:21 น.   
Counter : 357 Pageviews.  

เทพารักษ์กับควายกินหญ้า

ควายป่าตัวหนึ่ง ขณะเข้าไปกินหญ้าซึ่งขึ้นอยู่ริมแม่น้ำเกิดเคี้ยวเอื้องทำเอาหญ้าหลุดจากปากตกหายลงไปในน้ำ
เนื่องจากควายว่ายน้ำไม่เป็นและนึกเสียดายหญ้ารสอร่อยกำนั้นเลยนั่งลงร้องไห้

เทพารักษ์มีความเมตตาสงสารได้ปรากฏกายขึ้นกล่าวปลอบโยน และลงไปงมหญ้ามาคืนให้
แต่คิดอยากจะลองใจควายนี้ ครั้งแรกจึงนำหญ้าสีทองขึ้นมาจากแม่น้ำแล้วถามว่า
"หญ้าสีทองนี้ใช่ของเจ้าหรือไม่"
"ไม่ใช่หรอกขอรับ หญ้าสีทองๆแบบนี้ข้าจะกินมันได้อย่างไรของข้าเป็นหญ้าธรรมดาๆ"

เทพารักษ์นึกพอใจแต่ยังคิดอยากจะทดสอบ อีกครั้ง
แสร้งดำลงไปค้นหาในแม่น้ำแล้วโผล่ขึ้นมาพร้อมกับหญ้าสีเงินในมือ
"หญ้ากำนี้ใช่ของเจ้าหรือไม่"
"ไม่ใช่หรอกขอรับ หญ้าสีเงินๆแบบนี้ข้าจะกินมันได้อย่างไรของข้าเป็นหญ้าธรรมดาๆ"

เมื่อเทพารักษ์นำหญ้าธรรมดามาคืนให้กับ ควาย ท่านได้ยกหญ้าสีเงินและหญ้าสีทองให้ด้วยเพื่อเป็นรางวัลในความซื่อสัตย์

ครั้นควายตัวนั้นได้ยินดังนั้น ก็ กลับกล่าวกับเทพารักษ์ว่า
"หามิได้ขอรับ ข้าไม่อาจจะรับหญ้าที่ท่านมอบให้ได้เลย ข้าขอไปหาหญ้ากอใหม่ดีกว่าครับ"

เนื่องจากควายตัวนั้น มีความศรัทธาในความศักดิ์สิทธิ์ และ อิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้น
ทำให้ควายไม่อาจจะรับสิ่งใดจากเทพารักษ์ได้ ด้วยความเจียมตัวในตนเอง
แล้วควายก็ได้เดินจากหนองน้ำนั้นไป


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า......................




 

Create Date : 29 สิงหาคม 2551   
Last Update : 29 สิงหาคม 2551 2:57:30 น.   
Counter : 332 Pageviews.  

เต่า กับ กระต่าย และ ควายตัวหนึ่ง

กาลครั้งหนึ่ง มีเต่าและกระต่าย ได้ตกลงกับว่าจะทำการวิ่งแข่งกัน และการแข่งขันนั้นก็ ได้มีควายตัวหนึ่งได้ขอเข้าร่วมด้วย

การ แข่งขันได้เริ่มต้นขึ้น กระต่ายก็ได้ออกวิ่งนำไปอย่างไม่รีรอใคร ออกวิ่งนำจนทิ้งทั้งสองอย่างไม่เห็นฝุ่น แล้วกระต่ายก็ลำพองใจที่สามารถทำระยะห่างอย่างเหนือชั้น จนทำให้เกิดความประมาท แล้วก็ ตัดสินใจที่จะนอนหลับใต้ต้นไม้ ด้วยความคิดที่ว่าไม่มีทางที่ทั้งสองจะไล่ตามตนเองทัน และถึงแม้ว่าจะ๔กไล่ตามทัน หรือถูกแซงกระต่ายก็ยังมีความเชื่อในศักยภาพของตนที่จะกลับมานำได้อีกในไม่ ช้า

เต่าเอง เมื่อเริ่มการแข่งขันก็ได้ออกเดินไปเรื่อยๆ ถึงแม้จะช้าแต่ทว่าก็ไม่ยอมที่จะหยุดเดินลงแม้แต่ก้าวเดียว ทั้งนี้เต่าเองก็ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าการไปให้ถึงเส้นชัย ถึงแม้ว่าจะแพ้กระต่าย แต่นั่นก็จะเป็นการพ่ายแพ้ที่ตนเองได้ทำอย่างสมภาคภูมิ เต่าก็เดินไปอย่างไม่ย่อท้อ ไม่ได้สนใจว่ากระต่ายจะหนีตนเองไปถึงไหนแล้ว หรือกระต่ายจะไปนอนหลับอยู่แถวๆไหน

ส่วนทางด้านควาย กลับเดินไปแทะเล็มหญ้าที่ข้างทางตรงจุดเริ่มต้นอย่างไม่แยแสใยดี ด้วยความลำพองใจที่ตนเองมีร่างกายที่อุดมสมบูรณ์กว่าสัตว์ทั้งสอง ตนจะแซงสัตว์อื่นๆเมื่อไร่ก็ได้ ในยามที่ตนต้องการ ควายจึงไม่คิดที่จะริเริ่มที่จะออกเดินหรือออกวิ่งเสียที หนำซ้ำควายยังก้าวถอยหลังลงคลองไปเล่นปักโคลน นอนแช่น้ำอย่างสบายใจ

จน กระทั่ง เต่าและกระต่ายต่างก็พากันเข้าเส้นชัย ไปจนเลิกราไปแล้ว ควายตนนั้นก็ยังคงไม่สำนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ยังคิดว่าตนเองนั้นเหนือกว่าสัตว์ตัวเล็กทั้งสอง จะแข่งเมื่อไร่ ก็ได้ ความไม่ตะหนักถึงศักยภาพที่แท้จริง ความหลงตัวเองของควายทำให้ ยากยิ่งต่อการเดินไปข้างหน้าได้

และข้อแก้ตัวน้ำขุ่นๆของควายก็ ไม่ได้ทำให้ มันได้เข้าใกล้เส้นชัย ขึ้นมาแม้แต่น้อย เพราะเมื่อวันหนึ่งที่เหล่าผู้อื่นเข้าชัยกันไปหมดแล้ว ควายก็จะกระหยิ่มยิ้มย่องแล้วบอกกับตัวเองว่า ไม่เป็นไร สัตว์ตัวอื่นจะไปถึงไหนก็ช่างเขา เรา เราก็พอใจในตำแหน่งแห่งที่เราอยู่ก็ดีอยู่แล้ว ว่าแล้วควายก็เกลือกกลิ้งต่อไปอย่างสบายใจ

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า..........................




 

Create Date : 21 ตุลาคม 2550   
Last Update : 21 ตุลาคม 2550 1:58:22 น.   
Counter : 403 Pageviews.  

Buffalo of the Cave

ควายฝูงหนึ่งได้ถูกจองจำอยู่ในถ้ำตั้งแต่ยังเยาว์ ถ้ำนั้นมีเพียงแสงอาทิตย์เล็ดลอดเข้ามาช่วยให้เห็นสิ่งต่างๆได้อย่างเลือนลาง ฝูงควายนั้นได้ถูกสนตะพายล่ามโซ่ตรวนไว้ให้ฝูงควายนั้นต้องหันหน้าเข้าหาผนังถ้ำตลอดเวลา ฝูงควายไม่สามารถจะหันหน้าไปทางอื่นๆได้เลย

ด้านหลังของฝูงควายจะมีขนาดใหญ่อยู่และที่ตั้งของกองไฟนั้น เป็นพื้นต่างระดับที่อยู่สูงกว่าคอกของเหล่าฝูงควาย พื้นที่ส่วนนั้นได้ถูกใช้เป็นเวทีของเหล่าชาวนาผู้ปกครองควาย เพื่อนำเอามาใช้สะท้อนเงาวัตถุและผู้คนมาแสดงภาพไปยังผนัง โดยภาพที่ปรากฏก็คือเงาที่พาดผ่านมาจากกองไฟ

เหล่าฝูงควายเห็นเงาต่างๆปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาตนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เหล่าควายนั้นก็ปักใจเชื่อว่านั่นคือ ความจริงของโลก และเงาเหล่านั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงหาใช่เงาไม่

เสียงพูดคุยของเหล่าชาวนาก็จะสะท้อนผนังถ้ำ เสียงสะท้อนทำให้เหล่าฝูงเชื่อว่าเสียงพูดเป็นของเงาที่ตนเองเห็น ภาพและเสียงที่เห็นเป็นความจริงอย่างปฏิเสธไม่ได้

เหล่าควายที่ถูกตรึงล่ามไว้ ไม่อาจจะขยับเขยื้อนไปไหนได้ ฝูงควายก็ทำได้ เพียงแค่เคารพเชิดชูบูชา ภาพเงาที่เกิดจากกองไฟ เสียงเงาที่เกิดจากผนังถ้ำ ด้วยตระหนักที่คิดว่านั่นคือความจริงและสิ่งเหล่านั้นอยู่เหนือกว่าตนเอง

จนมาวันหนึ่ง มีควายตนหนึ่งที่บังเอิญหลุดจากพันธนาการ สามารถเล็ดลอดหนีออกมานอกถ้ำได้ และได้ค้นพบความจริงอันน่าสพึงกลัวว่า สิ่งที่ตนรับรู้เสมอมาว่าคือความจริงนั้น ไม่ใช่ความจริงเลย จิตสำนึกยังคงบอกกับตัวควายเองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกถ้ำเป็นจริงน้อยกว่าในถ้ำ

ภายนอกถ้ำภาพที่ปรากฏต่อสายตาของควายตัวนั้น เป็นทุ่งหญ้าที่ทอดยาวไปสุดลูกหูลูกตา ต้นไม้ใบหญ้า แสงแดดและสายลม ภาพความจริงที่ไม่ใช่เกิดจากแสงของเงา ที่ประจักษ์ต่อสายตานั้นทำความขัดแย้งรุนแรงต่อระบบความคิดของควายตนนั้นอย่างมาก เพราะโลกแห่งความจริง มันช่างผิดไปจากที่รับรู้มาตลอดชีวิต

สิ่งที่ควายตัวนั้นทำ ก็คือ มันตัดสินใจ เดินเล็มหญ้าที่เต็มท้องทุ่งอย่างอิ่มเอมเปรมปรี แล้วก็ วิ่งเล่นไปบนทางที่ทอดยาว ชีวิตที่อิสระจากการถูกจองจำ ความจริงทั้งหลายที่ปรากฏต่อสายตา ทำให้ควายตัวนี้รู้สึกได้ถึงความสุขของการมีชีวิต ที่แตกต่างจากที่ผ่านๆมาในห้วงเวลาแห่งการจองจำ

และแล้วเมื่อใช้เวลาพักใหญ่ในการ หาความสุขต่อการใช้ชีวิตแล้ว ควายตัวนี้ก็ ตัดสินใจ กลับไปอยู่ในถ้ำตามเดิม

เนื่องจากทุ่งหญ้าที่กว้างใหญ่ ควายตัวนี้ไม่อยากให้ควายตัวอื่นๆมาแย่งกินหญ้าที่ตนเองพบก่อนตัวอื่น ตัวเองจะเก็บไว้กินตัวเดียวเรื่อยๆ ดีกว่า

และการใช้ชีวิตด้วยการคิดเองมันช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน กลับมาอาศัยอยู่ในถ้ำ เชื่อสิ่งที่ชาวนาบอก ย่อมดีกว่าเป็นไหนๆ เพราะยังไง ชาวนาก็ ย่อมคิดได้ดีกว่า ควายอย่างตน



ดัดแปลงจาก Allegory of the cave ใน The Republic," Book VII ของ เมธีปราชญ์ เพลโต
//en.wikipedia.org/wiki/Allegory_of_the_cave
//faculty.washington.edu/smcohen/320/cave.htm




 

Create Date : 08 กรกฎาคม 2550   
Last Update : 8 กรกฎาคม 2550 15:10:31 น.   
Counter : 348 Pageviews.  

1  2  

KongMing
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เล่าจื้อกล่าวว่า"ผู้รู้เขาคือปราชญ์"
และกล่าวอีกว่า"ผู้รู้เราคือปัญญาชน"
ณ ปากทางเข้าถ้ำวิหารเทพอพอลโล่แห่งเดลฟี
มีป้ายทองคำเขียนว่า "Know thyself" แปลว่า รู้จักตนเอง
"temet nosce" ภาษาลาตินที่Oracleกล่าวให้
Neo รู้จักตนเอง

สิ่งที่สำคัญที่สุดของคนเราอยู่ที่ คำกล่าวเหล่านี้
[Add KongMing's blog to your web]