มาทำผิวให้เรียบเนียน นุ่มนวล สดใส ลูบไล้ทีก็ลื่นปรื้ดๆ
สบายดีไหมค่ะ ผู้อ่านทุกท่าน

ช่วงนี้เดี๋ยวฝน เดี๋ยวร้อน ดูแลตัวเองกันด้วยนะจ้ะ

จากบทความที่ผ่านมาเราก็พูดเกี่ยวกับการดูแลสภาพเส้นผมกันไปบ้างแล้ว (ตอนนี้ผู้เขียนใช้กะทิสดสระผมมันเลิศมาก ปลายผมไม่แห้งกระด้างเลย เพราะได้รับน้ำมันและไขมันจากน้ำกะทิไปเต็มๆ เพื่อนๆ อย่าลืมทำกันนะ)

วันนี้เรามาพูดถึงการดูแลผิวพรรณกันบ้างดีกว่า เพื่อนๆ บางคนสงสัยว่า ทำไมบางคนผิวพรรณถึงเนียนเรียบสวยจัง บางคนผิวก็กระดำกระด่าง บางคนบอกว่าฉันก็ออกกำลังกายนะ แต่ทำไมผิวมันเหี่ยวตามแรงโน้มถ่วงโลกจังเลย ไม่มีความชุ่มชื่น ผิวไม่ใสเหมือนคนอื่น เพราะว่าเรามัวแต่สนใจรูปร่างแต่ลืมคิดบำรุงผิวพรรณกันไงค่ะ เอาแต่ออกกำลังกายเอาไขมันส่วนเกินออก แต่เซลล์ผิวที่เสื่อมแล้ว (ที่เราเรียกว่าขี้ไคล แต่จริงๆมันก็ขี้เรานี้แหละ) ไม่เคยถูกกำจัดออกไป อย่าไปคิดว่าพวกเซลล์ผิวที่ตายแล้ว มันจะหลุดไปง่ายๆ ตอนเราอาบน้ำหรือโดนลมแรงๆ นะค่ะ เราต้องขัดออกค่ะ บางคนก็ใช้หินขัด บางคนก็ใช้ใยบวบ แต่ถ้าเอาแบบเห็นผลไปเลยว่าหลุดลอกชัวร์ ๆ ก็ไปทำสปาขัดผิวกันเลยตามร้านสปา

ประโยชน์ของการขัดผิวนอกจากช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่าเพื่อเผยผิวใหม่แล้ว ยังช่วยกระตุ้นระบบการไหลเวียนเลือดในตัวเราด้วยค่ะ แต่อย่าขัดกันจนเห็นเลขนะ จากจะเผยผิวสวยกลายเป็นเผยผิวเยินแทน

จากบทความที่แล้วเราคุยกันว่าน้ำกะทิสามารถเอามาหมักผมสระแทนแชมพูได้ ดังนั้นบางคนก็อาจจะไปซื้อมะพร้าวขูดมาแล้วใช่ไหมค่ะ คราวนี้เราซื้อทีขีดสองขีด พอมาคั้นน้ำเสร็จก็เหลือทิ้ง เพราะจะเก็บมะพร้าวขูดไว้นานก็เหม็นเปรี้ยว ดังนั้นเราอาจจะทำสวยตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้ากันในคราวเดียวเลยก็ได้

ดังนั้นวันนี้เราจะนำมะพร้าวขูด (ควรจะบอกแม่ค้าว่าขอเป็นมะพร้าวปลอกเปลือกนะค่ะ จะได้มะพร้าวเนื้อขาวๆ ส่วนดำๆ มันจะบาดผิวบอบบางของเราค่ะ) มาขัดผิวกันค่ะ

ส่วนผสม : มะพร้าวขูด (ขอเนื้อขาวๆ ค่ะ) ปริมาณขึ้นอยู่กับขนาดร่างกายเราค่ะ เน้นว่าขัดได้ทั่วตัว
               น้ำมันมะพร้าว จะสกัดร้อนหรือเย็นก็ได้ 2 ช้อนโต๊ะ (จะได้ช่วยรักษาความชุ่มชื้นขณะขัด ผิวจะได้ไม่แห้งเกินไป)
               วิตามินอี (เดี๋ยวนี้เค้าก็มีขายเป็นเม็ดๆ ตามร้านขายยาหรือตามร้านขายอุปกรณ์เสริมสวย) จะช่วยการเพิ่มความชุ่มชื้นและทำให้ผิวสวยขึ้น เพิ่มวิตามินให้กับผิวเรา 
               ตัวเสริม เจลว่านหางจระเข้ หรือ โยเกิร์ต ปริมาณไม่ต้องมากไป เพราะเราจะเน้นเนื้อมะพร้าวค่ะ แต่จะไม่ใส่ก็ได้ไม่ว่ากัน



นำส่วนผสมทั้งหมดมารวมกันขยำให้เนื้อเข้ากัน แต่จริงๆ มันจะไม่เกาะตัวกันค่ะ มันจะออกร่วนๆ ถ้าเราไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะเราทำสปาโฮมเมดเอง จะเอาแบบเนื้อเนียนติดกัน ก็ต้องมีสารตั้งต้นทางเคมีมาช่วย ซึ่งอาจจะยุ่งยากและไม่ตรงคอนเซ็ปของเราที่อยากจะทำสปาเอง

พอคลุกเคล้าเข้ากันก็เอาไปอบค่ะ (ไม่ใช่ ไม่ได้มาสอนการทำคุ้กกี้รสมะพร้าวนะจ้ะ) ถึงมันจะหอมหวานก็เถอะ เราก็เตรียมตัวด้วยการอาบน้ำค่ะ ถ้าใช้น้ำอุ่นก็ให้มันออกร้อนนิดๆ ให้รูขุมขนเปิดมากขึ้น พร้อมรับการบำรุง แค่ให้ร่างกายโดนน้ำให้ทั่ว แล้วก็จ้วงตักมะพร้าวขึ้นมา ถ้ามันดูร่วนๆ เกินไปก็เติมน้ำหรือโยเกิร์ตก็ได้ แล้วก็ถูวนกลมๆ บริเวณร่างกายเราค่ะ เอาให้โดนทุกอณูของร่างกาย ที่เน้นให้นวดวนเป็นวงกลม เพราะจะได้เป็นการกระตุ้นทำให้ระบบเลือดไหลเวียนได้ดีขึ้นด้วย โดยเฉพาะคนที่มีปัญหาเรื่องต้นขาต้นแขนที่มีไขมันพอกพูน ควรจะเน้นนวดวนนานหน่อยให้ไขมันแตกตัวค่ะ พอนวดไปเรื่อยๆ น้ำกะทิก็จะออกมาค่ะ แต่อย่าให้ฝืดไปนะ เดี๋ยวผิวจะแดงเป็นรอยได้

หลังจากสครับทั้งตัวแล้ว ก็ทิ้งไว้สัก 5 นาที แล้วก็ยืดเส้นยืดสายในห้องน้ำนั้นแหละค่ะ เพราะร่างกายถูกนวดถูกเค้น กล้ามเนื้อก็ผ่อนคลายลง หลังจากนั้นก็ล้างออกด้วยน้ำสะอาดเน้นอุ่นหน่อยค่ะ แต่ไม่ถึงกลับร้อนมาก ร่างกายจะได้ผ่อนคลายมากขึ้น เช็ดตัวให้แห้งสะอาด ถ้าใครชอบมะพร้าวมาก ก็ลงน้ำมันมะพร้าวไปเลยค่ะ แต่ถ้าคิดว่ามันจะเยิ้มไปก็ลงโลชั่นบำรุงผิว แค่นี้เพื่อนๆ ก็จะได้ผิวที่สะอาด นุ่มนวลสดใส ชุ่มชื่นขึ้นค่ะ

แนะนำให้ทำอาทิตย์ละครั้งก็พอค่ะ เพราะถ้าทำมากผิวอาจจะเกิดอาการแพ้ แต่ถ้าใครคิดว่าผิวแข็งแรง จะทำอาทิตย์ละ 2 ครั้งก็ไม่ว่ากันค่ะ

เป็นไงบ้างสูตรนี้ หวังว่าไม่ยากเกินไปนะ ถ้าใช้แล้วดีก็บอกต่อๆ กันไปนะค่ะ

ฝากติดตามผลงานเค้าไปเรื่อยๆ นะจ้ะ

คืนนี้ ราตรีสวัสดิ์ ฝันดีทุกคนค่ะ

วิ ณัชชา






Create Date : 22 มิถุนายน 2558
Last Update : 22 มิถุนายน 2558 19:52:35 น.
Counter : 662 Pageviews.

0 comment
ผมเงางามมีชีวิตชีวา ด้วยกะทิสด
ครั้งนี้เรายังติดใจในคุณงามความดีของมะพร้าว แต่วันนี้ไม่ได้ใช้น้ำมันมะพร้าวแล้ว เราจะใช้มะพร้าวขูดมาคั้นเป็นน้ำกะทิแล้วมาหมักผมแทน  ช่วงนี้จะให้ความสนใจกับสภาพเส้นผมและหนังศรีษะเป็นพิเศษ เพราะถ้าเรามีผมนุ่มสลวยเงางาม ก็จะทำให้บุคลิกภาพเราดีขึ้น สุขภาพผมดีมีชัยไปกว่าครึ่ง อีกอย่างไม่อยากไปทำสปาผมแพงๆ ที่เราก็ไม่รู้ว่าเค้าเอาอะไรมาใส่บนหัวกบาลของเรา

ดังนั้นทำเองง่ายกว่าไม่ยุ่งยากด้วย แค่เราคั้นน้ำกะทิมา อย่างเราอยู่บ้านนอกก็ไปหาซื้อตามตลาดสด จริงๆ ในกรุงเทพฯ หรือในเมืองหาซื้อมะพร้าวขูดไม่ยากนะ แต่เวลาคั้นจะต้องใช้น้ำอุ่นนะ น้ำกะทิจะได้ออกมาเยอะๆ ส่วนถ้าใครไม่มีเวลา จะหาซื้อกะทิกล่องยี่ห้ออะไรก็ได้ แต่ขอให้เป็นน้ำกะทิแท้ 100 % จ้ะ



เป็นไงสีสันน่าทานเนอะ ขาวนวลเชียวแต่เราจะเอามาหมักผมกันเหมือนเคย คราวนี้กะทิล้วนๆ ไม่มีสิ่งอื่นเจือปน เพราะน้ำกะทิมีส่วนประกอบของน้ำมัน และไขมัน ที่จะคืนความชุ่มชื้นกลับมาที่เส้นผมและหนังศรีษะของเราได้ (บางทีวันไหนอยากใช้แทนแชมพูก็ดีนะค่ะ เพราะเราจะได้พักหนังศรีษะและเส้นผมจากสารเคมีกันบ้าง)

วิธีการใช้ก็ไม่ยาก แค่นำน้ำกะทิที่ได้มาชโลมให้ทั่วศรีษะ (เน้นนวดบำรุงที่หนังศรีษะ โดยเฉพาะโคนผม) ทิ้งไว้ 20 - 30 นาที (แล้วแต่ความอดทน ถ้าคนไหน ไม่ชอบกลิ่นกะทิ ก็หาซื้อน้ำมันหอมระเหยเลือกกลิ่นที่เราชอบมาใส่ได้ค่ะ ประมาณ 3 - 5 หยด เพื่อมากลบกลิ่นกะทิ) อย่างเราไม่ค่อยมีปัญหากับกลิ่นกะทิ แค่ต้องเป็นกะทิสด อย่าให้มีกลิ่นเหม็นหืนเหม็นเปรี้ยว เพราะจากที่ผมจะสวย กลายเป็นหัวเน่าแทน หลังจากนั้นก็ล้างน้ำสะอาดตามค่ะ (ถ้าที่บ้านมีน้ำอุ่นก็จะดีมากเป็นการกระตุ้นไขมันและน้ำมันจากน้ำกะทิอีกทางหนึ่ง) ล้างให้สะอาดเลยนะค่ะ 

ถ้าชอบฮาร์ดคอร์ ก็ไม่ต้องใช้แชมพูหรือครีมนวด แต่ถ้าใจยังไม่กล้าพอก็ใช้ได้ค่ะ แต่เน้นแบบไม่ต้องมีสารเคมีมาก แรกๆ ผมเราจะไม่ได้ลื่นปรื้ดๆ เหมือนเราใช้แชมพู หรือครีมนวดที่เค้าโฆษณากันแต่พอเราบำรุงบ่อยๆ เส้นผมเราจะกลับมานุ่มสลวย เงางาม มีชีวิตชีวาค่ะ (ใช้ธรรมชาติบำบัดหนังหัวกันเถอะเรา)  ควรทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ง่ายๆ แบบนี้ก็ไม่จำเป็นต้องไปเสียเงินให้กับร้านซาลอน ที่ชอบคิดค่าทำสปาผมแพงๆ ค่ะ

ไว้ครั้งหน้าเราจะมาบอกอีกทีว่าน้ำมันหอมระเหยมีประโยชน์อะไรกับเราบ้าง

ครั้งนี้ขอตัวไปฝึกโยคะ ก่อนนะ แล้วจะไปอัพความคืบหน้าใน blog healthy จริงๆ นะ ใครใคร่อ่านก็ตามมาโลด

พบกันใหม่ค่ะ สวัสดี

วิ ณัชชา





Create Date : 20 มิถุนายน 2558
Last Update : 20 มิถุนายน 2558 15:48:14 น.
Counter : 2999 Pageviews.

0 comment
อยากให้เต่าขาวเรียบเนียนทำไงดีอ้ะ
ช่วงนี้เค้าว่ากันว่า คนจีนกำลังฮิตอวดขนรักแร้กันแล้วเซลฟี่ส่งเข้าประกวดระดับชาติกันเลย เราเลยคิดว่าสาวไทยคงยังไม่ใจกล้าขนาดนั้นกันใช่ไหมค่ะ ที่จะส่งตัวเองเข้าประกวดนางงามขนรักแร้ดกดำ เทรน์ใหม่สุดสะพรึง

ส่วนมากสาวไทยทั้งน้อยและใหญ่ เราจะวิตกจริตกับผิวใต้วงแขนมากกว่า เวลาใส่เสื้อกล้ามแขนกุดก็ไม่กล้าที่จะชูมือขึ้นแล้วหมุนๆ หรือวาดแขนสูงๆ อวดชาวบ้านชาวช่องเหมือนคนอื่น โดยเฉพาะเวลาต้องห้อยโหน รถไฟฟ้าเอย สองแถวเอย เพราะมั่นใจแล้วว่าจักกะรู้ (รักแร้ หรือ เต่าของเรา) ไม่ได้เนียนขาวเรียบเหมือนนางแบบโฆษณาหรือดาราที่เค้าสามารถอวดผิวใต้วงแขน วันนี้เลยขอแนะนำสูตรทำให้ผิวใต้วงแขนเราจะเนียนเรียบและขาวใสขึ้น มาชมกันเร็ว.....

เริ่มต้นเราก็มาเตรียมส่วนผสมกันก่อนเลยนะค่ะ วันนี้เราจะมีนางเอกสามใบเภามาช่วยกัน ขัดเกลาเต่าของเราให้เนียนเรียบกันค่ะ

ส่วนผสม : น้ำมันมะพร้าว 1 ช้อนโต๊ะ , น้ำมะขาม 1 ช้อนโต๊ะ , น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ



สามวัตถุดิบนี้ก็สามารถทำให้เราผิวใต้วงแขนขาวกระจ่างเนียนเรียบได้จริงหรอค่ะ ไม่อยากจะเชื่อ งั้นเรามาสืบกันเลยดีกว่าค่ะ

มะขาม : เป็นพืชที่มีคุณค่าสูงส่ง ทำไมมันช่างดีอะไรปานนี้โดยเฉพาะกับผิวพรรณ เราจะพูดในส่วนของเนื้อมะขามกันนะ  เพราะมะขามมีวิตามินซีสูง ช่วยบำรุงผิวพรรณที่คล้ำเสียให้สวยใสขึ้น ลดรอยหมองคล้ำ ในสปาเค้าจะนิยมมาใช้ทำทรีทเม้นท์ เอามาขัดๆ ถูๆ ตามรักแร้ ขาหนีบ ตาตุ่ม ส่วนไหนที่มันดำๆ คล้ำๆ ก็เอามะขามนี้แหละค่ะ มาขัดๆ ถูๆ กันให้สนุกไปเลย  และยังนำไปสกัดเป็นกรดผลไม้ (AHA) ที่ตามสถานเสริมความงามเค้าใช้กันนั้นแหละค่ะ และมะขามยังมีกรดอินทรีย์ที่ช่วยชำระล้างคราบสกปรกคราบมันออกจากรูขุมขนและผิวหนังของเราได้อย่างดี สรรพคุณเลอเลิศขนาดนี้ จะช้าอยู่ใย (แต่ถ้าใครอยากจะรู้มากขึ้นสรรพคุณของมะขามว่ากินกันทั้งต้นทั้งใบจะได้อะไรบ้างก็ไปหาอ่านตามกูเกิ้ลได้นะจ้ะ)

น้ำมันมะพร้าว : ต้องเป็นแบบสกัดเย็นเท่านั้นนะค่ะ ถึงจะได้ประโยชน์เต็มๆ ถ้าสกัดร้อนนั้นจะเหมาะกับการใช้บำรุงผิวพรรณอย่างเอามานวดตัว เวลาตากแดดก็จะผิวเนียนแทนนิดๆ เหมาะกับสาวๆ ที่อยากจะมีผิวสีแทนเปรี้ยวๆ ไรงี้ มาต่อกันที่น้ำมันมะพร้าว จะรู้ได้ไงว่าสกัดเย็นหรือร้อน ก็ต้องดูจากฉลากสินค้าค่ะ (ต้องรักการอ่านกันบ้างนะค่ะ ณ จุดนี้) แต่วิธีง่ายๆ ค่ะ น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นจะมีสีใสเหมือนน้ำค่ะ ส่วนสกัดร้อนบางทีสีก็จะออกน้ำตาลค่ะ น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นจะมีกรดลอริค (Lauric Acid) สูง ซึ่งมีประโยชน์กับร่างกายค่ะ โดยเฉพาะผิวพรรณก็จะนุ่มเนียนขึ้น เรียบขาวเนียน  ใครที่อยากจะลองทานก็ได้นะ มีประโยชน์แต่ควรอ่านเพิ่มเติมว่าควรทานหรือใช้อย่างไรเพื่อความปลอดภัยของท่านเอง

น้ำผึ้ง : นี้ก็ที่สุดเหมือนกัน สรรพคุณเลอค่า เราสรุปง่ายๆว่าน้ำผึ้งมีสารต้านอนุมูลอิสระ มีวิตามินบี วิตามินซี อุดมไปด้วยเกลือแร่ แร่ธาตุฟอสฟอรัส กรดอะมิโน แคลเซียม สรุปสั้นๆ ว่าช่วยทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งขึ้น ชุ่มชื้น และช่วยสมานผิวได้ดี ใครที่ชอบโกนขนรักแร้หรือถอนก็น่าจะชอบตรงนี้นะค่ะ

วิธีการ : ไม่ยุ่งยากค่ะ แค่ ขยำเนื้อมะขามเปียกกับน้ำอุ่นให้ได้น้ำมะขามออกมา ส่วนเมล็ดก็ทิ้งไปเป็นปุ๋ยธรรมชาติ แต่ถ้ามันมีเปลือกติดบ้างก็อย่าคิดมาก เพราะเราเน้นการพอกค่ะ ไม่ได้เน้นขัด แต่ถ้าใครกลัวเปลือกมะขามบาดผิว ก็นั่งเลือกเอาเปลือกออกก็ได้ค่ะ หลังจากนั้นก็เอามาผสมกันค่ะ ทั้งสามตัว คนจนเนื้อเข้ากัน จะได้กลิ่นเปรี้ยวของมะขาม(ไม่ใช่เปรี้ยวกลิ่นตัวนะ) กับกลิ่นหอมมัน ๆ ของน้ำผึ้งกับ น้ำมันมะพร้าวค่ะ



วิธีใช้ : ก็นำส่วนผสมที่ได้มาพอกกับรักแร้ของเราค่ะ แต่ต้องเป็นรักแร้ที่ผ่านการทำความสะอาดและเช็ดให้แห้งแล้วนะค่ะ หลังจากนั้นก็พอกทิ้งไว้สัก 20 นาที ทำก่อนนอนก็ได้ค่ะ หลังจากนั้นก็ล้างทำความสะอาดตามปกติค่ะ ก็จะได้รักแร้เนียนๆ เรียบๆ ขาวใสขึ้น เหมือนรักแร้เด็กน้อย หรือตอนเราละอ่อนขนรักแร้ยังไม่ขึ้นนั้นแหละค่ะ

ทำสักอาทิตย์ละ 2-3 ครั้งแล้วแต่ความขยันของผู้อ่านนะค่ะ

ส่วนผู้เขียนก็จะเตรียมทำมั้งค่ะ ว่าจะทำทุกอาทิตย์เลย ต่อไปเวลายกจักกระแร้ก็ไม่อายชาวบ้านเค้าแล้ว (เตรียมปล่อยพลังคลื่นเต่ากันค่ะ)

บ๊ายๆ

วิ ณัชชา

ปล. ถ้าเพื่อนๆ คนไหนมีปัญหาตรงขาหนีบดำ ต้นคอดำคล้ำ หรือข้อพับต่างๆ ก็ใช้สูตรนี้ไปเลยค่ะ ไหนก็ทำแล้ว ถ้าผสมไว้เยอะอย่าทิ้งเอามาใช้กับส่วนอื่นๆ นอกจากรักแร้ของเราก็ได้ค่ะ




Create Date : 19 มิถุนายน 2558
Last Update : 19 มิถุนายน 2558 19:28:18 น.
Counter : 683 Pageviews.

0 comment
ผมไม่มีน้ำหนักเลยอ้ะ ร่วงอีกต่างหาก แถมความเงางามอย่าถามหา นี้มันไม้กวาดดอกหญ้าบนหัวฉันชัดๆ
สวัสดีค่ะ ทุกๆ คน

วันนี้จะชวนสาวๆ มาอ่านข้อความที่ป้าขอโม้เกี่ยวกับความสวยความงามกันดีกว่า เพราะตอนนี้กำลังจะหัดมาใส่ใจตัวเองมากขึ้น เรื่องสุขภาพร่างกายนั้นสำคัญแต่ความสวยความงามก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน บางคนที่เคยเห็นๆ ร่างกายอย่างฟิตและเฟิร์มแต่หน้าตาผิวพรรณกับเหี่ยวย่น อาจจะเพราะลืมคิดไปว่า พอเราออกกำลังกายมันก็ช่วยให้สุขภาพแข็งแรง แต่ผิวพรรณถ้าเราไม่บำรุงหรือดูแล มันก็เหี่ยวย่นตามแรงโน้มถ่วงโลกเป็นธรรมดา ยิ่งอายุมาก ยิ่งมีเพื่อนมาอยู่ร่วมกันตรึม ไม่ว่าจะพี่ตีนกา น้องริ้วรอย ป้ากระฝ้า ไม่รู้จะมาเยี่ยมกันทำไมพวกแขกไม่ได้รับเชิญ

ดังนั้นถ้าเราสามารถดูแลร่างกายพร้อมกันบำรุงผิวพรรณรวมทั้งใบหน้าด้วยก็จะเป็นการยิงนกหนึ่งตัวใช้ปืนสองนัด (ไม่ช่ายยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ขำไหมเนี๊ยะมุกนี้ คิดมาตั้งนาน)

และบทความที่เราจะเขียนต่อไปเรื่อยๆ (ถ้าไม่ขี้เกียจ และมีเวลามาเม้าท์มอย) เราจะเน้นการสวยจากธรรมชาตินะ จะไม่มีการมาพูดเกี่ยวกับการทานอาหารเสริมหรืออะไรที่มันเกี่ยวกับสารเคมี เพราะเราเน้นปลอดภัยไว้ก่อนจ้ะ จริงๆ มันก็เป็นความรู้ชาวบ้านนี้แหละ แต่เราเป็นพวกต้องพิสูจน์ บางทีไปอ่านสูตรตามเว็บสุขภาพความงามมาหลายๆ ที่ ก็เลยเอามาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับตัวเอง แล้วผู้อ่านบางท่านก็อาจจะนำไปใช้ได้ เอาให้เหมาะกับการใช้ชีวิตของเรา บางทีก็ไม่ต้องไปเป๊ะมาก บางอย่างถ้ามันหาซื้อไม่ได้ลำบากเราก็อาจจะอ่านไว้ถ้ามีโอกาสก็ค่อยทำ แต่อะไรที่มันหาได้ตามท้องตลาด ห้างสรรพสินค้าแล้วไม่แพงมาก มีกำลังซื้อและขั้นตอนไม่ยุ่งยากมาก ก็สนับสนุนให้ทำกัน

ดังนั้นเราเลยตั้งชื่อ blog ของเราว่าเป็นการทำสปา @home คือทำกันเองก็ได้ ที่บ้าน จะในห้องนั่งเล่นระหว่างนั่งดูละคร หรือในห้องนอน ห้องน้ำ เอาที่เราสะดวก ทำให้เป็นนิสัย ส่วนมากก็ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง ทำบ่อยๆ ความสวยก็อยากจะมาอยู่กับเราเอง

ส่วนวิธีการจะทำให้ลูกเป็ดขี้เหร่เป็นหงษ์สวยๆ เลิศ ๆ มันก็ต้องใช้เวลา อีกอย่างเราก็ต้องเอาสวยเท่าที่ธรรมชาติจะสรรสร้างให้เราได้ แต่แบบขัดหน้าไปขัดหน้ามา ดั้งโด่งเฉยเลย อันนี้พี่คงไม่สามารถ เพราะถ้าทำแบบนั้นได้ พี่ก็คงจะขัดมันทุก ห้าวินาที เอาเป็นว่าให้หน้าไร้สิว ไร้ฝ่า ตีนกาไม่มาก่อนวัยอันควร ผิวพรรณเนียนเรียบผุดผ่องเป็นยองใย สิวไม่ขึ้นก้นขึ้นหลัง ก็น่าจะเป็นที่พอใจในลำดับหนึ่ง ส่วนใครจะไปทำอะไรเพิ่มเติมให้มันงามขึ้น อันนี้ก็แล้วแต่เลยค่ะ

อีกอย่างผู้อ่านบางท่านก็ต้องทำความเข้าใจนะค่ะว่า ผู้หญิงใครๆ ก็อยากสวย พอสวยก็ต้องห้ามหยุดสวยอีก (มันช่างเหนื่อยแท้) แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ได้ลำบากลำบนขนาดนั้น คิดซะว่าทำไปก็ได้ดีกับตัวเราเองแถมเป็นบุญให้กับคนรอบข้าง เห็นเราปุ๊บมีความสุขปั๊บไม่ใช่ตกในสภาพเห็นเราปุ๊บเกิดความสะพรึงขนหัวลุกปั๊บ อันนี้เหมือนเราทำบาปเลยนะเค๊อะ (คือบทความเราไม่ได้ให้มาบ้าความสวยความงามโดยไม่ต้องไปทำมาหากิน หรือประมาณส่งเสริมให้คนอยากมีผิวขาวราวกับหลอดฟูลออเรซเซนต์ คือเราเน้นสวยแบบหญิงไทยค่ะ ใช้สมุนไพร ใช้ธรรมชาติเข้าช่วย เผื่อเด็กสมัยนี้จะได้หัดมานิยมสมุนไพรไทย มากกว่าพวกทานคอลลาเจนผงหรือพวกเน้นทานน้ำเขียวๆ เพื่อเอาคลอราฟิลด์เข้าร่างกาย เลยงงๆ ว่าเราเป็นมนุษย์หรือต้นไม้กันแน่)

ส่วนบางคนก็ยอมเป็นแม่บุญทุ่ม ซื้อไปเลยค่ะเครื่องสำอางค์แพงๆ จะหลายพันหลายหมื่น เพราะคิดว่าใช้ของแพงมันก็คงจะช่วยกลบปิดบังร่องรอยอารยธรรมของเราได้ แต่ไม่จริงค่ะประวัติศาสตร์มันก็จะต้องถูกเปิดเผยค่ะ มันก็จะมีร่องรอยแตกลายงาค่ะ ถ้าเราไม่คิดจะซ่อมแซมพื้นฐานใบหน้า หรือผิวเราก่อน ดังนั้น เรามาร่วมใจกันค่ะ มาปฎิวัติรัฐประหาร พิชิตความแก่หรือริ้วรอยที่พึงประสงค์กันดีกว่า อย่าให้มันมาครอบงำเราเร็วเกินไปนัก

โอ๊ยๆ ๆ ร่ายซะยาว (ติดชอบเม้าท์มอย) เรามาดูสูตรที่เราจะทำกันวันนี้ดีกว่า เรามาขย้ำหนังหัวเราเล่นกันดีกว่า

สูตรนี้ขอให้ชื่อว่า น้องอัญชัน จระเข้ฟาดห้าง ศิษย์มะกอกน้อยยยยยย

(อะไรกันเนี๊ยะ นี้มันสูตรความงามหรือค่ายมวยที่ไหนกันนี้)

ถ้าอ่านชื่อสูตรดีๆ เราก็จะรู้แล้วหละว่า ส่วนผสมในการหมักหนังหัวเราให้กลับมาชุ่มชื้นอีกครั้ง พร้อมผมใหม่ที่จะขึ้นมาดกดำ และเงางามมีชีวิตชีวาลดการหลุดร่วงของเส้นผม และทำให้ผมมีน้ำหนักเด้งดึ้ง นั้นทำง่ายมากนะค่ะ

ภาพประกอบจ้าาาาา



สูตร : ดอกอัญชัณ 15-20 ดอก , ว่างหางจระเข้  1 กาบ , น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ 1 ช้อนโต๊ะ

สูตรนี้สำหรับคนผมยาวแบบเราก็จะเน้นว่านหางใหญ่หน่อย กะปริมาณว่าสามารถหมักได้ทั้งหัวให้ชุ่มฉ่ำกันไปเลย (ส่วนใครผมสั้นหรืออยากจะเน้นส่วนไหนมากกว่าก็ลองปรับประยุกต์กันได้ค่ะ อย่าไปซีเรียสมากนะ)

วิธีการ :

1. ดอกอัญชัณ เราก็เทน้ำอุ่นๆ ใส่ลงไปแล้วก็ขยำๆ ปู้ยี่ปู้ยำ กันไปให้สาแก่ใจ ให้น้ำออกมาเป็นสีฟ้าเข้ม บางคนใส่เยอะหน่อยก็จะได้ออกสีม่วงๆ แล้วแต่ชอบเลยค่ะ (แต่แนะนำว่าถ้าพรุ่งนี้ต้องไปเดทหรือต้องทำงาน แนะนำให้ใส่ถุงมือพลาสติกนะ ไม่งั้นพวกเธอก็จะเป็นนางพญาเล็บม่วงไปเลย ฮาๆ) แต่ถ้าไม่ทันแล้วเลอะเล็บไปหมดก็อย่ากลัวค่ะ มันไม่ใช่หมึกซึมจากปากกา มันคือสีธรรมชาติแค่วันสองวันก็หายแล้วค่ะ หลังจากนั้นก็เอาเศษซากความเสียหาย (ดอกอัญชันออกให้เหลือแต่น้ำ เราเอาเศษดอกไม้ส่วนนี้มาเขียนคิ้วเป็นชินจังก็ได้ค่ะ แต่อย่าทิ้งไว้นานเดี๋ยวมันจะไม่จางหายง่ายๆ เวลาล้างออก เค้าว่าทาไว้คิ้วจะเข้มขึ้น ทาๆ ไปเถอะค่ะ เสียดายของ เรายังทาเลยทิ้งไว้แค่ 5 นาทีก็พอ

2. ว่างหางจระเข้ ของดีคุณค่าแห่งการคู่ควร เป็นพืชที่มีประโยชน์มากเลยนะ เหมือนจะแบบใช้ดมใช้ทาในกาบเดียวกัน 555 จะนำมาทำปั่นเป็นน้ำผลไม้ก็ได้ จะเอามาทาผิวเวลาแผลโดนไฟไหม้ หรือขาดความชุ่มชื้น สารพัดประโยชน์จริง แต่คราวนี้เราเอามาใช้กับหนังหัวเราค่ะ ทำให้ชุ่มชื้นแล้วทำให้ผมเรามีน้ำหนักขึ้นมาด้วย (มันยอดมากจริงๆ นะ) เราก็แค่เอาไปปั่นค่ะ ให้กระจุยกระจายไปเลย ก็จะได้น้ำว่างหางจระเข้พร้อมเสริฟค่ะ

3. น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ เราเน้นแบบ Extra Virgin กันไปเลย ไหนก็อยากสวยแล้วยอมลงทุนกันหน่อยเถอะ (บางคนบ่นว่าแพง) เดี๋ยวนี้เค้าก็มีแบบขวดเล็กขายกันแล้ว มีหลายยี่ห้อ ที่เค้าเอามาทำอาหารกันนั้นแหละค่ะ ไม่ต้องไปเสียดายเงินเพราะเก็บไว้ได้นานข้ามปีกันไปเลย หรือถ้ากลัวใช้ไม่หมดก็เอามาทำกับข้าวก็ได้ พวกสลัด พาสต้า อะไรแบบนี้ แต่ถ้ามันไม่ได้จริงๆ ก็หาซื้อที่ร้านขายของแถวบ้านก็ได้น่าจะมีขาย แต่เป็นน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์หรือสังเคราะห์อันนี้ พิจารณากันเอาเองนะค่ะ



ถ้าทำตามที่บอกก็จะออกมาหน้าตาสีสันสวยงาม น่ารับประทาน แต่เราไม่ทานค่ะ เราหยิ่ง เราจะเอามาละเลงหัวเล่นๆกันค่ะ ฮาๆ (โรคจิตมาก)



เราก็เอาของดีทั้ง 3 มาผสมกันค่ะ จะได้หน้าตาแบบนี้ มันๆ เยิ้มๆ อาจจะดูไม่น่าภิรมย์ กลิ่นอาจจะไม่หอมหวาน แต่มีคุณค่ากับศรีษะ (กบาลของเรา) ก็ควรค่าแก่การทำค่ะ

หลังจากนั้น ก็แล้วแต่คุณผู้อ่านเลยค่ะ ว่าจะทำตอนไหน บางคนก็จะทำตอนดูละครหลังข่าว (ช่วงนี้เรื่่องไหนเด็ดมั้ง ไม่เคยดูแต่ชอบไปอ่านตามกระทู้บางขุนพรหม) เอาที่เราสะดวก เพราะเราต้องหมักทิ้งไว้ 20 นาทีค่ะ ให้คุณค่าจากธรรมชาติล้วนๆ ซึมซาบเข้าหนังศรีษะของเราทุกอณู เน้นชโลมให้ทั่วนะค่ะ ตั้งแต่หนังศรีษะจรดปลายผม แต่ที่สำคัญควรทำหลังจากสระผมให้สะอาดแล้ว ให้ฝุ่นผงความสกปรกที่เกาะติดหนังหัวและเส้นผมของเราได้หลุดไปก่อน หลังจากนั้น เราก็หมักไว้เลยค่ะ ใช้แทนครีมนวดผมไปเลย

หลังจากผ่านไป 20 นาทีก็ไปล้างออกค่ะ ล้างให้สะอาดให้สีฟ้าๆ ม่วงๆ หมดไปเลยนะค่ะ ส่วนใครที่ทนกลิ่นน้ำมันมะกอกไม่ไหว ก็อาจจะแอบใช้เซรั่มบำรุงผมตามเวลาเช็ดผมหมาดๆ เพื่อผมจะได้หอมขึ้น บางทีเราก็ต้องยอมอดทนนะค่ะ ไม่หอมแต่มีประโยชน์ ดีกว่าหอมฟุ้งแต่ทำศรีษะเราพัง (ตอนเราลองทำเองก็แอบหวั่นใจเพราะเป็นคนติดครีมนวดผมมาก คือถ้าใช้แต่แชมพู แล้วไม่ใช่ครีมนวดนี้ นรกชัดๆ เลย ไม่ชอบมาก ผมพันกันแก้ไม่ออกเซ็ง แล้วนี้จะเอาเจ้าสูตรนี้มาแทนครีมนวด นึกสภาพไม่ออกเลย แต่พอหลังจากล้างออกชอบมาก ผมไม่พันกันเลย เพียงแต่มันจะหนักๆ ผมหน่อย แต่ที่สำคัญผมไม่แห้งพัน ชี้ฟู เลิศอ้ะ รักเลยสูตรนี้)

แล้วก็ปล่อยให้แห้งค่ะ ถ้าไม่อยากรอก็เป่าผมแบบลมเย็นๆ นะ จะหน้าพัดลม หรือใช้ไดร์เป่าผมก็ได้ เพื่อหนังศรีษะจะได้ไม่อับชื้น โดยเฉพาะพวกที่อยากจะทำก่อนนอนเพราะไม่งั้นนอนผมเปียกๆ ก็ไม่ดี ไม่สบายหัว แถมอาจจะมีรังแคกับเป็นหวัดก็ได้

ทำอาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง อยากบอกว่าแจ่ม ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำเลย ไม่ได้แหละต้องทำเพื่อผมที่เป็นที่รักจะได้ไม่จากเราไป รู้สึกเลยว่าผมดีขึ้น เพียงแต่อาจจะหัวมันๆ ไปหน่อย ฮาๆ เพราะน้ำมันมะกอก แต่เราก็เน้นทำเวลาอยู่บ้านก็ได้ ไม่ได้ไปไหน เราว่าถ้าทำต่อเนื่องไปสักเดือนผมที่เคยแตกปลาย หรือชี้ฟูจะมีน้ำหนักขึ้น เพราะเส้นผมเกิดการปรับสภาพและที่สำคัญผมที่ขึ้นใหม่ก็แข็งแรง และไม่เป็นรังแคด้วยเพราะหนังศรีษะมันชุ่มชื้นขึ้น และเส้นผมก็ไม่หลุดร่วงง่าย ทำไมมันดีอย่างนี้เนี๊ยะ (เลิฟๆ)

เค้าเอารูปมาฝากนะ จะหาว่าหลอกลวง ทำกันเลยสดๆ ทำไปอัพข้อมูลกันไปเลย


สภาพก่อนบูรณาการ ทำไมผมมันช่างขาดความสามัคคีกันเช่นนี้ ชี้ซ้าย ชี้ขวา แอบเซ็ง



ตอนหมักทิ้งไว้ 20 นาที ระหว่างหมักถ้าไม่ได้อาบน้ำ แบบนั่งดูละคร ดูข่าว ให้เอาผ้าขนหนูมาซับบริเวณคอไว้ก็ดีนะ เพราะน้ำมันจะหยดติ๋งๆ เลย



หลังเสร็จสิ้นพิธีการ รู้สึกเลยว่าผมไม่พันกัน เพราะปกติเวลาใช้ครีมนวดยี่ห้อดีแค่ไหนเวลาสางผม มันจะมีผมหลุดมาเป็นกระจุก แต่ครั้งนี้ลองสางแรงๆ แบบกระตุกหนังศรีษะ มีหลุดมาแค่เส้นสองเส้นเอง ของเค้าดีจริงๆ อ้ะ


สุดท้ายหวังว่าบทความเราจะเป็นประโยชน์กับท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อยนะ ขอย้ำนะว่าเราทำเองจริงๆ ไม่ได้ไปตู่ เอารูปคนอื่นมาลง เพราะอยากสวยสุขภาพดี ต้องเริ่มต้นที่ตัวเราค่ะ

ไว้เจอกันอีกนะค่ะ

บ๊าย ๆ

วิ ณัชชา

ปล. คุณหนุ่มๆ ก็นำสูตรนี้ไปใช้ได้นะ จะได้มีผมดกดำขึ้น แถมผมมีน้ำหนัก เจอของดีก็อยากจะบอกต่อๆ กันไปค่ะ


















Create Date : 16 มิถุนายน 2558
Last Update : 18 มิถุนายน 2558 18:34:34 น.
Counter : 638 Pageviews.

0 comment

สมาชิกหมายเลข 1650500
Location :
สุราษฏร์ธานี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]



จากสาวเมืองกรุงหนีความสับสบวุ่นวายมาติดเกาะ แล้วก็ค้นพบว่าเกาะพะงันนี้มันสวรรค์บนดินชัด ๆ เลยไม่ไปไหนแหละ ฉันจะตั้งรกรากที่นี้ เลยอยากจะแชร์การใช้ชีวิตที่นี้ กินอยู่ ทำงาน เที่ยวเล่น เป็นชาวเกาะ ให้เพื่อนๆ ได้รับรู้ว่า ชีวิตนี้มันน่ารื่นรมย์ยังไง