สหายไม่จำเป็นว่าเป็นคนดีแค่ไหนหรือไม่ดีเพียงไร ขอแค่เป็นสหายที่นับเป็นสหายต่อกันก็ย่อมเกื้อกูลกันไม่มากก็น้อย
Group Blog
 
All Blogs
 
เจาะลึกเรื่องของการวิ่ง

สวัสดีครับสำหรับบทนี้
เราจะมาว่ากันถึงเรื่องการพิถีพิถันกับการวิ่งนะครับ


อันดับแรกสิ่งที่คุณต้องมีก่อนเหนือสิ่งอื่นใดเลย คือความห้ามดื้อครับ
จากประสบการณ์ตรงของผม ตัวผมเองในแรกเริ่มของชีวิตที่เข้าสู่เส้นทางนี้
ในสมัยแรกๆนั้นตัวผมเองเป็นคนที่ดื้อมากครับ
ดื้อและบ้าพลัง คิดว่าตนเองนั้นแข็งแกร่งครับ พอตัวเองวิ่งได้อึดขึ้นและเร็วขึ้น
ผมก็ตะบี้ตะบันวิ่งใหญ่เลยครับวิ่งชนิดหามรุ่งหามค่ำ
วิ่งวันละสองรอบ แถมยังมีการเดินมาราธอนในรอบค่ำอีก
ส่วนการยกเวท นี่ผมยิ่งดื้อไปใหญ่เลยครับ ยกลูกใหญ่ๆร้องย๊ากๆ
ยกในน้ำหนักระดับที่หน้าแดงลมออกหู เส้นเลือดปูดกว่าจะได้แต่ละที
เล่นน้ำหนักที่ฮาดร์คอมาก ใช้น้ำหนักพวกชนิดที่ยกได้6ครั้งแล้วแทบล้มลงไปกอง
แถมในครั้งท้ายๆแรงมันเริ่มไม่มี ก็ใช้วิธีการโกงครับทั้งกระชากทั้งสวิง
ใครเตือนก็ไม่ฟัง หลงคิดว่าตัวเองมหัศจรรย์ คิดว่าตัวเองมีพลังวิเศษอะไรทำนองนั้นครับ
555 นึกถึงตัวเองสมัยก่อนแล้วตลก


แล้วพอตัวเองทำได้และไม่เห็นจะบาดเจ็บอะไรก็ได้ใจครับ ฝึกมันแบบนั้นติดต่อกันหลายเดือนเข้า
สุดท้ายความกรอบมาเยือนครับ เริ่มบาดเจ็บง่ายและเริ่มมีอาการเรื้อรังรักษาหายยากขึ้นไปทีละจุดครับ
ทั้งเอ็นข้อศอก เอ็นโฟร์อามร์ หัวไหล่ กล้ามเนื้อหน้าอกและหลัง ค่อยๆพังไปทีละอย่าง
ซึ่งแต่ละส่วนหายช้ามากรักษากันเป็น4เดือนขึ้นไป
และถ้าเป็นในส่วนของข้อต่อและกระดูกนี่ยิ่งนานเลยครับ
ส่วนหน้าแข้ง ข้อเท้าและเอ็นหัวเข่านี่ไม่ต้องถามถึงครับ
ผมเจอมาหมดทุกอาการ แถมยังมีหน้าไปแข่งงัดข้อ คัดเอาผู้ชนะของแต่ละสัปดาห์แล้วนำมาแข่งกัน
ในรอบสุดท้าย ผมสะสมมาจากรอบอื่นๆ แขนผมระบมจากรอบอื่นๆมามากแล้ว และยังไปเจอกับแชมป์ในสัปดาห์สุดท้ายเข้าให้อีก
เรียบร้อยครับเอ็นแขนผม กว่าจะฟื้นฟูได้ใช้เวลาเกือบ2ปีครับ



มันเป็นบทเรียนราคาแสนแพงของไอ้หนุ่มไฟแรงในเวลานั้นเลยทีเดียว
ต้องมานั่งดูคนอื่นเขาฝึกเข้มกันและตัวเองต้องซมเลียแผลรักษาร่างกาย
จิตมันหงุดหงิดมากและกลุ้มใจมากครับ ร่างกายเสื่อมถอยเพราะไม่ได้ฝึกเข้ม และมันทำให้ผมรู้ว่ามันไม่ได้เหมือนชกมวยที่แผลหายกันในไม่กี่สัปดาห์ แต่เอ็นและกระดูกนี่ขอบอกเลยครับว่ามันหายช้าแบบหนักใจกันไปเลยครับ


ดังนั้น
ผมจะบอกว่าร่างกายคนเรานี้มันมีรูปแบบการสะสม สะสมแบบเงียบๆโดยที่เราไม่รู้สึกตัว
และแสดงอาการออกมาเมื่อสาย ขอให้ระวังเอาไว้อย่าได้ซ้ำรอยผมครับ


ซึ่งทุกวันนี้ผมก็ยังเห็นคนมาใหม่ไฟแรงทำแบบผมกันมากมาย ก็ไม่รู้จะเตือนกันอย่างไรครับ


สำหรับการวิ่งนั้นมันเป็นสิ่งที่คุณต้องทำมันสม่ำเสมอและทำมันบ่อยยาวนาน ต้องพึ่งพามันอีกนานครับ
ดังนั้นต้องถนอมหัวเข่าหน้าแข้งข้อเท้าเอาไว้มากๆ หากมีอาการเสียวแปร๊บหรือบาดเจ็บระบมเล็กน้อย
ให้หยุดวิ่งเลยครับและ ชิงพักไว้ก่อนเลยหลายๆวัน
แล้วพิจราณาปรับปรุงโปรแกรมให้ เบาลงบ้างสักช่วงครับ


ย้ำครับว่าสำคัญมากๆ แม้แต่มือโปรที่ฝึกกันอย่างถูกวิธีและระมัดระวัง ก็ยังมีพลาดเลยครับ
เพราะของแบบนี้มันคือการสะสม คุณไม่เจอวันนี้แต่จะเจอวันหน้าแน่นอน
สิ่งที่คุณทำวันนี้มันส่งผลได้แน่นอน


เอาล่ะครับสำหรับเรื่องต่อมาคือ
ขอให้คุณตรงไปที่ร้านขายรองเท้าเลยครับ 
รองเท้านี่ละคือสิ่งสำคัญมากๆคือหัวใจหลักที่จะถนอมขาและเท้าของคุณ
ทุกวันนี้ผมเห็นเยอะมากกับคนที่ใช้รองเท้าแบบผิดๆครับ
บางคนใช้รองเท้าผ้าใบนันยาง บางคนใช้รองเท้าบาส บางคนใช้รองเท้าแบบพวกนักวิ่งเร็ว
เอามาวิ่งแถมไม่วิ่งธรรมดา
วิ่งแบบคาร์ดิโอสูตรต่างๆปรับสปีดไปมากันมันส์ไปเลยครับ


ขอให้คุณเลือกรองเท้าให้ถูกต้อง
รองเท้ามันมีหลายชนิดมากมาย ไม่ว่ารองเท้าลำลองสันทนาการทั่วไป รองเท้าเล่นบาส
รองเท้าเล่นบอล
ซึ่งรองเท้าประเภทอื่นๆไม่เหมาะที่จะเอามาวิ่งในโปรแกรมครับ
อาจใช้วิ่งแบบอาทิตย์ละครั้งหรือนานๆทีได้ แต่ไม่เหมาะจะเอามาเข้าโปรแกรมเต็มรูปแบบ


ส่วนรองเท้าวิ่งนี่ก็ดันมีประเภทต่างๆแยกออกไปอีกครับ
มีทั้งแบบวิ่งแข่งวิ่งเร็ว มีทั้งแบบวิ่งมาราธอน 
ซึ่งการเลือกรองเท้านั้น ก็ต้องเลือกให้ถูกครับ
บางคู่นั้นออกแบบมาสำหรับท่าวิ่งแบบเน้นสปีด
ออกแบบมาสำหรับท่าวิ่งลงปลายเท้า ลงกลางเท้า ลงในท่าต่างๆว่ากันไปตามจุดประสงค์ครับ
รวมทั้งต้องพิจราณาสไตล์การวิ่งของเราด้วยครับ ว่าเรามักจะวิ่งด้วยความเร็วประมาณไหน
วิ่งนานแค่ไหน  ซึ่งวัสดุพื้นรองเท้าก็จะออกแบบกันออกมาเพื่อสิ่งเหล่านี้ครับ


เหมือนเสตอร์เหมือนเฟืองของรถ จะเอารอบจัดหรือจะเอาแรงม้าจะเอาแรงต้นจะเอาความแรงหรือจะเอาความเร็วก็ว่ากันไป


ซึ่งรองเท้าที่ซัพพอทร์ข้อเท้ามากๆ นั้นมักจะวิ่งได้ช้าหน่อยและหนักหน่อยครับ
ส่วนพวกที่วิ่งได้เร็วได้คล่องแต่ไม่เหมาะที่จะวิ่งนานก็จะใช้แบบบางๆ มีการทำมุมกลมกลืนไปกับเท้า
และไม่ค่อยเซฟในภาวะฉุกเฉินสักเท่าไหร่
ส่วนรองเท้าวิ่งมาราธอนก็จะเน้นที่ความเบา ความคล่อง และทำมุมรักษาข้อเท้า
เน้นให้วิ่งได้นานๆ แต่ก็ไม่นิ่มไม่นวลสุดยอดเท่าใด
ในขณะพวกรองเท้าใช้วิ่งออกกำลัง ที่ไม่เน้นผลแข่งขัน
ก็มักจะไปเน้นที่พื้นหนานุ่มและมีการออกแบบรูปร่างสรีระที่สร้างความสบายให้เท้า
และรักษาความปลอดภัยรองรับแรงกระแทก และการพยุงตัวที่จะสะท้อนไปถึงหัวเข่าครับ


แต่บางทีมันเซฟเราหลายจุดก็ทำให้ไม่สะดวกในจุดประสงค์อื่นๆครับ ยิ่งพวกที่มีเซฟรอบข้อนี่บางทีไม่เหมาะในภาวะกระทันหันครับ
 เช่นจู่ๆเห็นคนเล่นบอลแล้ววิ่งไปเตะบอลกับเขาอันนี้มีโอกาสรองเท้าพลิกได้ง่ายๆครับ
มันเหมาะกับท่าวิ่งที่คงที่ มากกว่าครับ
ยิ่งสบายมากยิ่งวิ่งได้นานขึ้น แต่อาจจะเกะกะเรื่องความคล่องตัว หรือการเปลี่ยนแปลงท่าร่างครับ


พวกรองเท้าแบบที่ใช้วิ่งตามฟิสเนทหรือวิ่งออกกำลังตามสวนสาธารณะ
ก็จะมีการออกแบบตื้นลึกหนาบางกันไปให้คุณเลือกสรรว่า
จะลดความสามารถในเรื่องใดและเอาไปเพิ่มให้เรื่องใด
คุณจึงต้องเข้าใจก่อนว่าตัวเองวิ่งแบบไหนเหมาะกับคู่ไหนครับ
ดังนั้นรองเท้าที่จะมาใช้ ต้องพิจราณาอย่างรอบคอบครับ
หรือใครจะซื้อหลายคู่ตุนเอาไว้ใช้ตามจุดประสงค์ของวันก็ได้ครับ


ส่วนเรื่องราคานั้นผมบอกได้เลยว่าถ้าคุณไม่ได้ร่ำรวย
หรือถ้าคุณเป็นคนประหยัดและต้องการใช้เงินอย่างคุ้มค่า
ก็ไม่จำเป็นต้องไปเลือกรองเท้าแพงรองเท้าสวยครับ
แต่โดยมากรองเท้าประสิทธิภาพดีๆก็มักจะมีราคาค่อนข้างพอสมควรครับ


แต่จากประสบการณ์การวิ่งของผม ผมบอกได้เลยว่าผมเชื่อมั่นว่าตัวเองเป็นนักทดสอบความทนของรองเท้าวิ่งครับ ยี่ห้อไหนที่คิดว่าของตัวเองแน่ทนมากเอามาให้ผมลองเลยครับ
เพราะผมแทบไม่เจอคู่ไหนเลยที่มันทนมือทนเท้า
นิวบัลล้าน ไนกี้ อาดิดัส พูม่า นี่มาเถอะครับอยู่กับผมไม่นานผมทำพังเป็นคู่ๆ
เพราะผมใช้มันคุ้มมากครับ ใช้ทำหลายกิจกรรมการฝึกมาก
ทำให้ตอบได้เลยว่า รองเท้าสวยงามคงสภาพยืนยาวแทบไม่มีในโลกครับ


ดังนั้นถ้าคุณไปเลือกคู่สวยงามราคาแพงมา หรือมีปุ่มนั่นมีปุ่มนี่มีแอร์มีช๊อคก็ว่ากันไป
ยังไงมันก็พังครับ โดยเฉพาะการเอามาใส่วิ่งซึ่งสำคัญมาก แค่ว่าไม่ต้องพังมากแค่มันสึกมันหรอนี่ก็ต้องเปลี่ยนแล้วครับเพราะมันส่งผลได้มากกับการวิ่ง และถ้าคุณเป็นคนที่ต้องวิ่งเป็นสำคัญด้วยแล้ว รองเท้ามันก็เหมือนดอกยางรถแข่งที่สึกหรอลดทอนประสิทธิภาพนิดหน่อยก็ต้องเปลี่ยนกันไปเลยครับ ดังนั้นวางแผนไว้ด้วยครับว่า จะจัดงบให้กับแผนการใช้รองเท้าอย่างไร บางยี่ห้อโฆษณาว่าของตัวเองมีโหนกมหัศจรรย์
มีระบบนั่นนี่ มันดีก็จริงแต่มันก็พังครับคุณต้องได้เปลี่ยนคู่ใหม่แน่นอนในไม่ช้า
อันนี้พูดให้ฟังสำหรับคนที่จะเอามาฝึกอย่างเข้มข้นเป็นจริงเป็นจัง ไม่ได้เอาไว้ใส่เที่ยวนะครับ


และทั้งนี้ทั้งนั้นมันต้องเหมาะสมกับสรีระของเท้าคุณด้วยครับเพราะเท้าคนเราไม่เหมือนกัน
ตั้งแต่พื้นเท้าที่ระนาบกับพื้นไม่เหมือนกัน ไปจนถึงรูปร่างเท้าครับ
อันนี้ต้องลองใส่ดูด้วยตัวเอง


สำหรับเรื่องต่อมาก็คือท่าวิ่งครับ
การใช้ท่าวิ่งที่ดีนั้น หลักๆเลยก็คือ การกระจายน้ำหนักครับ
เวลาลง เท้าลงไปควรให้มันกระจายน้ำหนัก ได้หลายมุม และรองรับกันเป็นขั้นเป็นตอน
อย่าให้จุดแคบๆจุดเดียวรองรับน้ำหนักครับ
สิ่งนี้ต้องอาศัยสมาธิครับ  อย่ามัวแต่เหนื่อยจนสมองสับสน ขาดสติในการจับจังหวะเด็ดขาดครับ
ฝึกจากวิ่งช้าๆในท่าที่ถูกต้องให้มัน ฝังลงไปในจิตใต้สำนึกเป็นระบบสัญชาติญาณออโต้ให้ได้ครับ


การกระจายน้ำหนักหมายถึง ลงเท้าให้เต็มเหลี่ยมมุมครับ
สมมุติว่าในการวิ่งของคุณ ใช้จุดประสงค์ในการวิ่งที่ใช้ท่าลงเท้าแบบไหนก็ควรให้มันช่วยกันรับแรงกระแทก
ให้ได้มากที่สุดในพื้นที่ที่กำหนดของฝ่าเท้าครับ


และลำดับต่อมาคือ ถ่ายเทแรงกระแทกเป็นจังหวะขั้นตอนครับ
คือจุดใดที่ลงถึงพื้นก่อน ก็ควรจะมีจุดต่อมารองรับแรงกระแทกต่อ
ก็ควรหาจุดให้มันแท๊คทีมกันให้มากที่สุดส่งถ่ายน้ำหนักให้มากที่สุด
อย่างเช่นคุณจะใช้ท่าวิ่งแบบ  กลางเท้าบริเวณใกล้ส้นเท้าลงพื้นก่อน
ก็ควรให้มันเรียงลำดับถ่ายแรงกระแทกกันต่อเนื่องครับ คืออย่าพึ่งรีบยกเท้าออก
แต่ให้มันส่งต่อ น้ำหนักไปที่กลางฝ่าเท้า จากนั้น ปลายเท้าก็เข้ามารับน้ำหนักต่อ
เป็นกระบวนการส่งต่อน้ำหนักที่เกื้อกูลกัน ในระยะเวลาสั้นๆชั่วพริบตาครับ
และแรงกดที่จะตามมา ในส่วนของข้อเท้า ส่งต่อไปที่หน้าแข้ง และหัวเข่า
พยายามให้มันทำมุมส่งต่อแรงกระแทกกันเป็นขั้นตอนและลื่นไหลที่สุดครับ
และควรฝึกทำให้ถูกต้องใน ลักษณะแบบสบายๆตามธรรมชาติ ไม่เกร็งด้วยนะครับ


ส่วนแรงส่งในการพยุงขาเพื่อที่จะยันขาส่งแรงก้าวเพื่อจะก้าววิ่งต่อไปนั้น
ก็ใช้หลักฟิสิกส์แบบเดียวกันครับ คือส่งแรงถีบแรงค้ำยัน อย่างกระจายตัวเป็นขั้นตอน
และเต็มเหลี่ยมมุม ไม่มีอาการของการแบกภาระแรงกดแรงยันไปที่จุดแคบจุดเดียว


รวมไปถึงการปล่อยแรงผ่านในจังหวะก้าว ของเท้าที่สวิงไปข้างหลังก็พยายามทำให้มันนิ่มนวลครับ
เท้าที่ก้าวไปข้างหน้า ควรยกหน้าขาในระดับพอดีที่ไม่รู้สึกว่ามันเกิดการแบกรับ
 และสบายกล้ามเนื้อนะครับ แต่ก็ควรยกหน้าขาให้สูงในระดับนึงอันจะช่วยทำมุมแรงกระแทกได้ดีขึ้นครับ
รวมไปถึงการเตรียมกระบวนการยืดแรงส่งด้วยครับ


และพยายามใช้ท่าวิ่งที่ปลอดภัยไว้ก่อนเป็นดีที่สุดหลีกเลี่ยงท่าที่พลิกแพลงโลดโผน
สำหรับเรื่องท่าวิ่งหรือลักษณะการวิ่ง อันนี้ผมไม่อยากชี้ชัดกฏตายตัว
เพราะว่าคนเรามีสรีระแตกต่างกันไปครับ
สิ่งที่ดีที่สุดคือตั้งใจฟังเสียงร่างกายของคุณครับว่ามันตอบสนองดีหรือป่าว



ส่วนท่านใดที่ใช้การปรับสปีดไปมา ก็ต้องควรตระหนักด้วยว่าสปีดที่ใช้นั้น เกินขีดจำกัดของท่าวิ่งนั้นหรือไม่
เพราะบางทีท่าวิ่งเดิมมันไม่ซัพพอทร์ กับการวิ่งเร็วก็ต้องปรับเปลี่ยนไปตามแนวโน้มครับ
เพราะไม่งั้นมันจะเหมือนขับรถเร็วลากเกียร์ต่ำครับ เฟืองพังเอาได้ง่ายๆ


สิ่งสำคัญต่อมาก็คือ
พลังจิตครับ อันนี้ต้องอิงกับเรื่องของจิตวิทยาเล็กน้อยครับ
เวลาคุณวิ่งคุณต้องฟังร่างกายตัวเองด้วยว่ามันไหวไหมกับระดับนั้นๆที่คุณทำ
อะไรคือร่างกายไหว อะไรคือถอดใจอันนี้ต้องแยกให้ออกนะครับ
อะไรคือร่างกายไม่ไหว อะไรคือจิตใจฝืนสังขารหรือแม้แต่สะกดจิตให้ตัวเองอึดเกินขีดอันนี้ก็ไม่ดีครับ
มีสิทธิน๊อคเอาง่ายๆ ระบบเลือดระบบปอดระบบหัวใจจะสุขภาพไม่ดีเอานะครับ


พลังจิตต่อมาคือ พลังจิตป้องกันการถอดใจ สำหรับในกรณีที่ร่างกายคุณไหวแต่มันอยากจะถอดใจ
อันนี้คุณต้องระวังการครุ่นคิดครับ พยายามนึกถึงแรงใจต่างๆ และทำใจเป็นสมาธิ
ไม่เก็บเสียงที่มันร่ำร้องอยู่ในใจ "ว่าเหนื่อยจังโอ๊ยเหนื่อย"
ไม่เก็บเสียงเหล่านั้นมาครุ่นคิดสะกดจิตตัวเองครับ
ยิ่งคิดมันจะยิ่งเต็มหัวและมันจะยิ่งขยายอิทธิพลในจิตใจ
อันเป็นผลจากการคลุกคลีหมกมุ่นกับเสียงของมันครับ
มันจะทำให้คุณควบคุมสภาวะจิตตัวเองไม่ได้ และประสาทรับรู้ความเมื่อยล้า
เหนื่อยเหน็ดจะดันทะลึ่งทำงานดีเป็นพิเศษ
มันจะสำรวจได้คมชัดและเอามารุมเร้าใส่ตัวคุณให้ถอดใจครับ


ในทางกลับกันคุณหันมาเพ่งกระแสจิตแต่แง่บวก มันจะทำให้คุณใจแกร่งขึ้นครับ



สำหรับประเด็นต่อมาที่คุณควรทำคือ
ใช้กระบวนการร่างกายให้ถูกต้องแล้วมันจะสนับสนุนคุณ
เช่น พยายามหายใจให้เป็นจังหวะที่เหมาะสมครับ
ศาตร์ของศิลปการหายใจนั้น มีคิดค้นกันมากมายครับ ทั้งวูซู ไทเก๊ก คาราเต้ และวิทยาศาสตร์
การหายใจนั้นถ้าเจาะลึกซึ้งมันมีหลายสไตล์และมันให้ผลที่ต่างกันครับ


แต่พื้นฐานนี้พยายามหายใจให้พอดี และพอเพียง รวมทั้งสม่ำเสมอเป็นจังหวะครับ
พยายามขัดแต่งมันไปเรื่อยๆจนพบ
รูปแบบที่มันให้ผลดีรู้สึกดี และจดจำมันตั้งสมาธิควบคุมมันให้ติดเป็นนิสัยครับ
จะทำให้ประสิทธิภาพการวิ่งของคุณเยี่ยมขึ้นมากครับ



ส่วนที่เหลือ ก็ว่ากันไปตามหลักของวิทยาศาสตร์เลยครับ


คือก่อนวิ่งคุณควรมี การยืดเส้นการหมุนการเขย่าการสะบัด ที่ถูกต้องและวอมร์ร่างกายให้อบอุ่น
และเดินเพื่อวอมร์อัพ ให้เส้นสายมันเตรียมพร้อม ก่อนสัก3ถึง5นาที
และค่อยๆเริ่มวิ่งช้าๆก่อนให้เริ่มชินตัวก่อนจะเพิ่มความเร็ว
และในขณะที่คุณเริ่มวิ่งนั้น หากต้องการเปลี่ยนแปลงความเร็ว คุณไม่ควรใช้ภาวะกระทันหัน
แต่ควรใช้การเรียงลำดับความเร็ว ค่อยเร็วขึ้น
รวมไปถึงเมื่อคุณใกล้จะวิ่งครบ ก็ให้ค่อยๆใช้ความเร็วต่ำลง เป็นจังหวะ
และแต่ละจังหวะควรทำในเวลาที่พอสมควร
จากนั้นค่อยๆทำการคลูดาวน์ ลดระดับคามเร็วไปจนถึงเดินเร็ว และเดินช้าตามลำดับ
อันนี้สำคัญมากและย้ำว่าต้องทำ เพราะระบบหัวใจและเลือดไหลเวียนในตัวอาจปรับสภาพไม่ทัน
ทำให้เกิดอาการ ช๊อตได้ล้าได้เวียนหัวหน้ามืดได้ ส่งผลให้วันต่อไปเพลียได้ หรือแม้แต่ช๊อคจับไข้ได้
หรือแม้แต่คนที่หัวใจล้มเหลว หรือคนที่เส้นเลือดสมองแตกก็มีมาแล้ว
หากร่างกายอ่อนแอวิ่งเข้มข้นและไม่ยอมทำคูลดาวน์ จะมีผลเสี่ยงมาก
และที่สำคัญวันไหนคุณร่างกายเพลีย ล้า หรือวันไหนนอนน้อย
หรือแม้แต่คนที่มีโรคประจำตัว วันไหนไม่สู่ดีความดันไม่ดี
ก็อย่าวิ่งเด็ดขาด ไม่งั้นผลดีจะกลายเป็นผลร้าย วิ่งอยู่ดีๆล้มฟุบ มีให้เห็นกันมานักต่อนักแล้ว


และหลังวิ่งเสร็จอย่ารีบดื่มน้ำทันที ควรจิบเล็กน้อย และค่อยๆให้ร่างกายหายใจปรกติและปรับอุณภูมิ
หลังจากนั้นคุณจำเป็นต้องทานน้ำ เพื่อหลีกเลี่ยงอาการโอเวอร์เทรนของร่างกาย
ถ้าทานน้ำแล้วยังล้าแบบผิดปรกติ หน้ามืดใจสั่นร่างกายโหย
อันนี้ต้องพึ่งเครื่องดื่มเกลือแร่ หรือพวกน้ำหวานที่มีกลูโคสชนิดดูดซึมไว


และหากคุณเป็นคนที่ลดน้ำหนักแบบคุมอาหารมากๆและออกกำลังกายหนัก ขอให้ตระหนักไว้เลยว่า
หลังวิ่งเสร็จ หากอากาศรอบข้างค่อนข้างเย็น
คุณต้องสวมเสื้ออุ่นๆทันที เพราะร่างกายของผู้ฝึกแบบนี้จะมีภูมิต้านทานน้อยมากเป็นหวัดง่าย
รวมทั้งร่างกายที่อุ่นจากการวิ่งมาเจอกับอากาศที่แตกต่างจะทำให้ร่างกายส่งผลตอบโต้ได้
จึงควรค่อยๆปรับตัวกับอากาศภายนอกเป็นสำคัญอีกด้วย



เอาล่ะครับทั้งหมดที่ผมว่ามานี้
ขอเพียงใส่ใจกับความสำคัญในเรื่องต่างๆและปฏิบัติตาม
เท่านี้คุณก็จะมีร่างกายแข็งแรงพร้อมรับการฝึก ในวันต่อๆไปกับร่างกายที่สุขภาพดีแข็งแรง
ได้แล้วครับ


ขอให้มีสุขภาพที่แข็งแรงกันถ้วนหน้านะครับ






Free TextEditor


Create Date : 07 ธันวาคม 2552
Last Update : 7 ธันวาคม 2552 3:15:21 น. 3 comments
Counter : 595 Pageviews.

 
ข้อมูลดีมีประโยชน์ หาอ่านยากมากๆ ค่ะ ขออนุญาติแอ๊ดคุณตึ๋งฯ เป็นเพื่อนบล๊อคเลยนะคะ ทอยเป็นคนที่ชอบวิ่งออกกำลังเป็นประจำเลยค่ะ ก็พยายามหาข้อมูลรองเท้า การวิ่งที่ถูกวิธีอยู่เสมอ ขอบคุณข้อมูลดีๆ ของคุณตึ๋งนะคะ คิดว่าตอนนี้ทอยก็ได้เวลาต้องเปลี่ยนรองเท้าวิ่งอีกแล้วค่ะ..


โดย: ToY (tiny ) วันที่: 7 ธันวาคม 2552 เวลา:5:47:09 น.  

 
พี่เป้นคนเท้าแบ หารองเท้าใส่ยากมาก โชคดีที่มีเว็บหนึ่งไม่เสียค่าส่ง แถมถ้าไม่พอใจส่งเปลี่ยนคู่ใหม่ หรือส่งคืน โดยไม่เสียค่าส่งอีก แรกๆส่งเปลี่ยนอยู่4-5คู่ ทุกยี่ห้อ จนกระทั่งมาเจอยี่ห้อ Asics ค่ะ มีแบบกว้างพิเศษด้วย ใส่แล้วตลกมากบานเชียวแต่สบายเท้า มีเจลซัพพอร์ทพื้นและส้นอยู่ภายใต้รองเท้าด้วย ไม่ต้องไปหาวื้อมาเสริมให้น่ารำคาญ พี่เลยสั่งมา 2แบบ และสั่งมาให้สามี และเพื่อนๆอีก ติดใจกันใหญ่เพราะพวกเราล้วนแล้วแต่สทีนบาน สทีนแบ ส่วนคุณสามีสทีนอูม...อิอิ

ผลิตในประเทศจีน แต่ส่งมาขายในอเมริกา ซึ่งคุณภาพต้องดี มิเช่นนั้นถูกส่งคืน เพราะของที่นี่เขาจะรับประกันคุณภาพของสินค้า ถ้าใช้แล้วเกิดชำรุดส่งเปลี่ยนหรือคืนได้ ดังนั้นของที่อเมริกาสั่งมาขายคุณภาพต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง...

เคยอ่านเพื่อนๆที่เมืองไทยก็บ่นเรื่องรองเท้าพังง่าย เนื่องจากด้อยคุณภาพ ยี่ห้อดังๆทั้งนั้น แถมราคาก็แพง เรียกว่าเอาเปรียบผู้บริโภค แต่ที่นี่ใส่กันจนเบื่อยังไม่พังเลย...


โดย: ยายหนูAK วันที่: 7 ธันวาคม 2552 เวลา:7:47:18 น.  

 
ขอบคุณมากครับผม


โดย: วาซุตะคุง v( ^o^ )v วันที่: 8 ธันวาคม 2552 เวลา:9:34:35 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ตึ๋งนิวเครียร์
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add ตึ๋งนิวเครียร์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.