ชีวิต คือ การเดินทาง
Group Blog
 
All blogs
 

<<ห้วยขาแข้ง>>

"อนุสาวรีย์สืบ นาคะเสถียร" อนุสาวรีย์ที่สะท้อนถึงบุคลิกของท่าน ที่ชอบแบกเป้ เดินป่า เก็บข้อมูลสัตว์ป่า ถ่ายรูป วาดภาพ และพี่เจ้าหน้าที่ได้บอกว่าใบหน้าของ สืบ นาคะเสียรได้หันไปทางผืนป่าส่วนใหญ่ของห้วยขาแข้งอีกด้วย ซึ่งเปรียบเสมือนว่าท่านยังคงเฝ้ามองและรักษาผืนป่าแห่งนี้อยู่ตลอดเวลา



"อนุสรณ์สถาน สืบ นาคะเสถียร" สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงการเสียสละชีวิตของ สืบ นาคะเสถียร อดีตหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง และสานต่อเจตนารมณ์อันแน่วแน่ในการอนุรักษ์ป่าไม้และสัตว์ป่า



"บ้าน สืบ นาคะเสถียร" บ้านที่เป็นทั้งที่พักและที่ทำงานของ สืบ นาคะเสถียร เมื่อครั้งที่ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ซึ่งยังคงสภาพเดิมไว้เหมือนเมื่อครั้งที่ยังมีชีวิต
เมื่อเดินจากอนุสาวรีย์ไปยังบ้านพักจะมีบันไดอยู่ 8 ขั้น ซึ่งพี่เจ้าหน้าที่ได้บอกว่าหมายถึง 8 เดือนที่ สืบ นาคะเสถียร ได้มาทำงานที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งแห่งนี้



วันที่ 1 กันยายน 2533 สืบ นาคะเสถียร ได้ตัดสินใจสละชีวิตตนเองเพื่อปกป้องชีวิตของผืนป่า สัตว์ป่า และเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าทุกคน หลังจากการตายของสืบ นาคะเสถียร ราวปีเศษ (9 ธันวาคม พ.ศ. 2534 ) องค์การยูเนสโก (UNESCO) ได้ประกาศให้ "เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร-ห้วยขาแข้ง" เป็น "มรดกทางธรรมชาติของโลก"
เขาจากไป....ก่อนที่จะได้เห็นความฝันที่เขาทุ่มเทความพยายามให้ขณะมีชีวิตอยู่กลายเป็นความจริง



ห้วยขาแข้งเป็นผืนป่าที่มีความหลากทั้งสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ซึ่งทางเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งได้จัดเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติไว้ 3 เส้นทาง คือทางเดินศึกษาธรรมชาติเขาหินแดง, ทางเดินศึกษาธรรมชาติเขาภักดี, ทางเดินศึกษาธรรมชาติบ้านของเสือ
ทางเดินศึกษาธรรมชาติบ้านของเสือ เป็นเส้นทางให้ความรู้เกี่ยวกับเสือโคร่ง ซึ่งในเส้นทางสามารถพบได้ทั้งรอยตีนเสือโคร่งและเสือดาว
รอยตีนเสือโคร่งนี้ทางเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฯได้ทำจำลองขึ้นมา เพราะโอกาสที่จะพบรอยตีนเสือโคร่งจริงๆแบบนี้คงยากมากๆ



ส่วนรอยตีนนี้พี่เจ้าหน้าที่บอกว่าเป็นรอยตีนของ"เสือดาว"
หุหุ..ดูยังไงเอ่ย ดูไม่เป็นเหมือนกันคะ



ป่าห้วยขาแข้งยังมีอะไรอีกมากมายให้เรียนรู้และควรค่าแห่งการรักษาไว้
ความหลากหลายและความอุดมสมบูรณ์นี้เป็นสิ่งที่ทุกคนควรอนุรักษ์ไว้ เพื่อให้ผืนป่าแห่งนี้เป็นทั้งมรดกไทยและมรดกโลกต่อไป
อย่าให้มีสัตว์ป่าตัวใดถูกทำร้ายอย่างเช่นช้างตัวนี้อีกเลย




 

Create Date : 30 มกราคม 2550    
Last Update : 30 มกราคม 2550 13:10:32 น.
Counter : 1162 Pageviews.  

ปีใหม่..ไปแอ่วเหนือมาเจ้า

29 ธ.ค. 49
ทริปปีใหม่ปีนี้เริ่มต้นออกเดินทางจากกรุงเทพฯตอน20.00 มุ่งหน้าสู่ จ.เชียงใหม่ เมื่อเริ่มไกลกรุงเทพฯไปเรื่อยๆอากาศก็เริ่มเย็นลงๆๆ...
30 ธ.ค. 49
ไปถึงเชียงใหม่ตอนประมาณ 6.00 แวะล้างหน้าแปรงฟัน อยากบอกว่าหนาวมากๆ แถมมีหมอกลงด้วย..จากนั้นก็เติมพลังกันด้วยอาหารเช้าแบบบุฟเฟต์ที่รีสอร์ทแห่งหนึ่ง..โปรแกรมแรกของทริปนี้ก็คือ ตลุยงานราชพฤกษ์..มีเวลาให้ประมาณ 4 ชั่วโมง พวกเราก็ต้องคำนวณเวลาว่าจะเที่ยวยังไงให้ครบ..ตอนหลังเลยตัดสินใจว่าไปเฉพาะโซนไฮไลต์ของงานก็แล้วกัน..เริ่มต้นที่หอคำหลวงเลย



อาจเป็นเพราะว่ายังเช้าอยู่มั้งคนเลยไม่เยอะอย่างที่คิด สามารถเดินชมความงามของหอคำหลวงนี้ได้สบายๆ..จากหอคำหลวงก็เดินไปยังสวนนานาชาติ สวนแรกที่ไปถ่ายรูปคือเนเธอร์แลนด์ คนมุงเยอะมากขนาดดอกไม้ที่มาปลูกไม่ใช่ทิวลิป แต่เป็นพังพวยนะ คนยังเยอะขนาดนี้..จากนั้นก็ไปสวนญี่ปุ่นซึ่งเป็นสวนที่ได้รางวัลด้วย ที่ได้รางวัลเพราะว่าสวนเค้าคงสภาพนี้ได้ตั้งแต่เปิดงานไม่ได้เปลี่ยนแปลงหรือลงดอกไม้ใหม่เลย..ภูเขาไปฟูจิก็เป็นภูเขาหญ้า แล้วก็มีปลาคราฟว่ายในบ่อ มีดอกไม้อีกเล็กน้อย .. จากสวนญี่ปุ่นก็เดินถ่ายรูปไปเรื่อยๆ บางประเทศก็ไม่ได้เข้าไปเพราะกลัวเวลาไม่พอ..อีกสวนที่ได้เดินเข้าไปก็คือสวนภูฏาน เป็นสวนที่มีความงามเป็นเอกลักษณ์อีกสวนนึง ต้องต่อคิวเข้าด้วยนะ ไปแถวไม่ยาวมาก..แล้วก็เนปาล ในสวนมีของที่ระลึกจากประเทศเนปาลมาขายด้วย แล้วก็ไปอีกสวนนึงที่ได้รางวัลคือเบลเยี่ยม งามแปลกตาจริงๆ ขอบอก!! เดินชมสวนนานาชาติเสร็จก็ขึ้นไปชมวิวบนหอคอย (รึป่าว) ขึ้นบันไดวนไปเรื่อยๆ สูงดี สามารถเห็นบรรยากาศบริเวณงานได้หมด..พอลงรู้สึกมองอะไรเริ่มดำๆไปหมด ตัวเบาโหวง หิวข้าวอย่างแรงงงง..แว๊กอาการนี้ ต้องหาของกินโดยด่วน เฮ้ออออ..อยากบอกว่า "เดินขึ้นภูกระดึงยังไม่เหนื่อยเท่าเดินงานราชพฤกษ์เลย".. เมื่อหาของกินใส่ท้องได้แล้ว ก็ไปดูพืชเขตร้อนซึ่งเป็นพวกกระบองเพชรพันธุ์ต่างๆ มีดอกด้วย สวยดี ชอบๆๆ..และแล้วก็มาถึง หนูทิวลิป ที่ทุกๆคนเฝ้าดูกัน ยืนต่อแถวประมาณ 15 นาทีได้ ถึงจะได้เข้าชม แล้วแต่ละรอบในการเข้าชมก็จำกัดเวลาด้วย พอเค้าเปิดให้เข้าเท่านั้นแหละ คนก็กรูกันไปตรงทิวลิปกันทันที ไปช่วงนี้โชคดีเพราะว่าเค้าพึ่งเอามาลง ทิวลิปเลยยังงามอยู่...เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก..ครบ 4 ชม.แล้วต้องออกเดินทางไปยังที่อื่นต่อแล้วสิ..มิน่าเค้าถึงบอกว่าถ้าจะเที่ยวงานราชพฤกษ์ให้ครบต้องมาอย่างน้อย 2 วัน..จากราชพฤกษ์ก็มุ่งหน้าไปยัง "โป่งเดือดป่าแป๋" ป้ายที่หน้าทางเข้า เขียนว่าห้ามนำไข่ลงไปต้ม 555555 สงสัยมีคนอยากพิสูน์เยอะ แต่ว่าร้อนจริงๆนะขนาดแค่เดินเข้าไปใกล้ๆยังสัมผัสได้ถึงความร้อนเลย...ยืนชื่นชมกับความอัศจรรย์ของธรรมชาติอยู่สักพัก ก็เดินทางต่อไปยัง "ปาย" คืนนี้เราจะพักกันที่นี่ เส้นทางจากโป่งเดือดไปปายนั้นสุดยอด โค้งเยอะจริงๆ ดีนะที่ไม่เมารถ คนขับก็ โห!! เข้าโค้งแต่ละทีไม่มีชะลอครับท่าน เหวี่ยงเป็นเหวี่ยง มันส์เจงๆๆๆ เออดีมาทริปนี้เหมือนได้เล่นเครื่องเล่นสวนสนุกไปด้วยตลอดทาง..ผ่านทางอันน่าตื่นเต้นมาถึงปายจนได้ ที่พักน่ารักดีติดริมแม่น้ำปาย แบบว่าเปิดประตูมาปุ๊บก็เจอปั๊บ..เสียอย่างเดียวเรามาถึงก็มืดแล้ว จะไปเห็นอะไรหว่า ?? อีกอย่างของที่พักที่นี่ที่ชอบมากก็คือ มี internet ในห้องด้วย หุหุ..ถูกใจจริงๆ..เอาของเก็บที่พักเสร็จก็ไปทานอาหารเย็นขันโตก ไม่รู้ว่าเพราะหิวหรืออะไร อาหารที่นี่อร่อยมากกกกก..ท้องอิ่มเสร็จก็ไปเดินเล่นที่ตลาดเย็นต่อ ได้แวะร้านมิตรไทยด้วย (ตามรอยรักจัง) คนเยอะมากกระแสหนังท่าจะแรง..เดินเล่นจนถึง 22.00 ก็กลับที่พัก หนาววววมากกกกก ดีนะที่มีน้ำอุ่น..ไม่งั้นอย่าหวังเลยว่าจะอาบน้ำ 555555..แต่ว่ากรรมมาบังหรือไรมิทราบ..อยู่ดีๆน้ำอุ่นเกิดเสียขณะกำลังอาบอยู่..เอาไงล่ะสบู่ก็ถูไปแล้วจะล้างออกยังไง..แว๊กกกกก น้ำเย็นเฉียบเลย แง๊ๆๆๆๆ เอาล่ะเป็นไงเป็นกัน 1 2 3 ลุย "ห น า ว สุ ด ๆ เ ล ย พี่ น้ อ ง"
31 ธ.ค. 49
ตื่นตั้งแต่ตี 4 เพราะว่าต้องไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่"ห้วยน้ำดัง"ให้ทัน ง่วงมากกก พอขึ้นรถปั๊บก็หลับปุ๊บ..แล้วก็มีเสียงบอก ถึงแล้ว ไมถึงไวจังเลยยยย พอก้าวเท้าลงจากรถเท่านั้นแหละ โอ๊วววว หนาวจริงๆ ครั้งนี้หนาวโหดด้วยเพราะว่ามีลมพัดมาตลอด ยังกะเปิดพัดลมเบอร์ 3 ก็รอๆๆๆๆ จนเห็นพระอาทิตย์ขึ้น...พอมีแสงพระอาทิตย์ความอุ่นก็เริ่มมาแทนที่...หลังจากดื่มด่ำกับแสงสุดท้ายของปีแล้ว เราก็กลับไปทานข้าวเช้าที่ปาย ขากลับแวะถ่ายรูปที่สะพานประวัติศาสตร์ท่าปายด้วย



สะพานในสายหมอก งามมากก...มื้อเช้ามื้อนี้กินข้าวซอย มาภาคเหนือทั้งทีไม่กินข้าวซอยได้ไง..กินเสร็จก็ไปร้าน all about coffee ตามรอยรักจังอีกแล้ว...คนเยอะมากๆ ไม่มีที่นั่งว่างเลย..จากนั้นก็ไปวัดหลวงกะวัดน้ำฮู ที่วัดน้ำฮูนี้เศียรของพระประธานมีน้ำซึมตลอดเวลา ทางวัดจึงมีการนำน้ำจากเศียรท่านมาทำน้ำมนต์ด้วย..จากนั้นก็ไปถ้ำลอด ซึ่งที่นี่มี 3 ถ้ำให้เข้าชม ได้แก่ถ้ำเสาหินอันนี้ทางเดินธรรมดาไม่สูงมาก..ถ้ำที่ 2 คือถ้ำตุ๊กตา เป็นถ้ำที่มีหินงอกหินย้อยรูปร่างคล้ายตุ๊กตาตั้งเรียงรายอยู่เป็นจำนวนมาก การไปถ้ำนี้ต้องเดินขึ้นบันไดสูง+ชันพอสมควร ส่วนถ้ำที่3 เป็นถ้ำ Unseen เชียวนะ คือถ้ำผีแมน ข้างในมีโลงผีแมนอยู่นับว่าเป็นโบราณวัตถุที่ล้ำค่ามากๆ...การจะไปทั้ง 3 ถ้ำนี้ต้องนั่งแพไม้ไผ่แล้วมีคนลากเข้าไป...จากถ้ำลอดก็ไปถ้ำปลา อยู่ในส่วนของอุทยานฯถ้ำปลา-ผาเสื่อ เป็นปลาพลวงที่อยู่ในถ้ำซึ่งมีน้ำลอดอยู่...ปลาแต่ละตัวอ้วนท้วนสมบูรณ์..แล้วก็ไปดูกระเหรี่ยงคอยาวต่อ..ซึ่งการจะไปยังหมู่บ้านกระเหรี่ยงนี้ต้องนั่งเรือหางยาวไปประมาณ 20 นาที อยากบอกว่าสุดยอด นั่งเรือยามเย็น ชมธรรมชาติไปเรื่อยๆ บรรยากาศแบบนี้หาไม่ได้ในกรุงเทพฯแน่นอน...



หลังจากท่องเที่ยวมาทั้งวัน เราก็จะมุ่งหน้าสู่ตัวเมืองแม่ฮ่องสอน ซึ่งเป็นที่ที่เราจะพักคืนนี้..ก่อนเข้าที่พัก ได้สักการะพระธาตุดอยกองมูกันก่อนซึ่งเป็นพระธาตุศักดิ์สิทธิ์แห่งเมืองแม่ฮ่องสอนนี้ แล้วก็ได้ปล่อยโคมลอยด้วย..ซึ่งมีความเชื่อว่าการปล่อยโคมลอยเป็นการปล่อยความทุกข์ความโศกสิ่งไม่ดีต่างๆให้ลอยออกไป..บรรยากาศพระธาตุยามค่ำคืนมีเสน่ห์แล้วความงามไปอีกแบบนึง...จากนั้นก็เข้าที่พัก ทานอาหารเย็นที่โรงแรม หัวข้อสนทนาของทุกโต๊ะในคืนนี้เท่าที่ได้ยินคือการระเบิดในกรุงเทพฯ..แล้วโทรศัพท์แต่ละคนก็ดังกันบ่อยมาก..กินข้าวเสร็จเลยเข้าไปดูข่าวสักพักแล้วก็ออกมาเดินตลาดเย็น เหมือนถนนคนเดินที่เชียงใหม่เลย ได้ไปดูหนองจองคำ แล้วก็ไปไหว้พระที่วัดจองคำ-วัดจองกลางด้วย..รู้สึกว่าวัดในแม่ฮ่องสอนส่วนใหญ่จะเป็นศิลปะพม่าซึ่งมีความงดงามมาก..ควรอนุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรมเหล่านี้ไว้ เพราะว่าที่ไหนเมื่อนักท่องเที่ยวเข้าไปมาๆแล้วสิ่งดีๆมักถูกกลืนหายไป..เป็นสิ่งที่น่าเสียดายมากๆ...คืนนี้กะว่าจะอยู่เคาท์ดาว์นสักหน่อยแต่ว่าหลับไปตอนไหนไม่รู้ตื่นมาอีกทีก็วันใหม่ไปแย้วววว
1 ม.ค. 50
สวัสดีปีใหม่จ้าาา...ปีใหม่ปีนี้เริ่มต้นที่"ปางอุ๋ง" ความงามท่ามกลางผืนน้ำและขุนเขา..แสงแรกของปีนี้งดงามมากๆๆ..



ปางอุ๋งเป็นที่ที่น่ามากางเต๊นท์นอนเป็นที่สุด แต่ไม่ควรมาช่วงหน้าเทศกาลเพราะว่าคนเยอะมากกก..จากปางอุ๋งก็ไปทานข้าวที่บ้านรักษ์ไทย ที่นี่บรรยากาศเหมือนมาเที่ยวที่เมืองจีนเลย คนที่ขายของส่วนใหญ่ก็เป็นคนจีน บางคนพูดไทยไม่ได้ เพราะฉะนั้นมื้อเช้าของเราก็คือ อาหารจีนยูนาน..มีขาหมู-หมั่นโถว, หมูพันปี, แกงจืด, ยำใบชา ฯลฯ จำชื่อไม่ได้ หุหุ..เหมือนไปนั่งกินข้าวอยู่ในโรงเตี๊ยมเลย (สงสัยดูหนังจีนมากไป 555)..



ท้องอิ่มเรียบร้อยก็ไปภูโคลนต่อ..ได้ลองพอกหน้าด้วย แบบว่าอยากรู้ง่ะว่าจะเป็นไง..ตอนพอกทุกคนหน้าเหมือนกันหมด ถ้าไม่ดูเสื้อนะไม่รู้เลยว่าใครเป็นใคร 555555..จากนั้นก็ไปถ้ำแก้วโกมล..ที่นี่ข้อห้ามเยอะมาก ห้ามเอากระเป๋าเข้าไป ห้ามใส่เสื้อกันหนาว เพราะกลัวจะไปโดนผลึกขณะเดิน ห้ามถ่ายรูป เค้าบอกแสงแฟลชก็มีผลด้วย เพราะว่าผลึกในถ้ำเริ่มหมดความงามแล้วและอาจมีพวกมือบอนไปจับด้วย...เสียดายความงดงามที่หายไป...และแล้วก็ถึงที่สุดท้ายของทริปนี้ก็คือ "ออบหลวง" หรือเขาหินจูบกันเป็นอีกหนึ่งความมหัศจรรย์ที่ธรรมชาติสร้างไว้



ถ้ามีเวลาเหมาะกับการมาล่องแก่งที่นี่มากๆ..มาถึงที่นี่ก็เย็นมากๆแล้วเลยได้เดินไปแค่สะพานที่ทอดระหว่างหินสองลูกนี้เท่านั้น ความจริงสามารถเดินเที่ยวต่อได้อีก ไว้โอกาสหน้าจะกลับมาใหม่นะ...หลังจากทานข้าวเย็นที่ออบหลวงเสร็จก็ออกเดินทางกลับกรุงเทพฯ
2 ม.ค. 50
ถึงกรุงเทพฯ 4.30 โดยสวัสดิภาพ..เอ๊ะทำไมเวลาไปเที่ยวเวลาช่างผ่านไปไวอย่างนี้..อิอิ




 

Create Date : 07 มกราคม 2550    
Last Update : 7 มกราคม 2550 20:26:27 น.
Counter : 710 Pageviews.  

"Happy New Year 2007"



สวัสดีปีใหม่เพื่อนๆชาว Bloggang ทุกๆคนค่า
ปีใหม่ปีนี้ขอให้มีความสุขมากๆนะคะ
สุขภาพร่างกายแข็งแรงๆๆค่า




 

Create Date : 04 มกราคม 2550    
Last Update : 4 มกราคม 2550 19:34:18 น.
Counter : 426 Pageviews.  

2 สาว..ตะลุย "ภูกระดึง"

14 ธ.ค. 49
การเดินทางของ 2 สาวเริ่มต้นที่หมอชิต พาหนะของเราคือ V.I.P. 24 ที่นั่ง (กรุงเทพ-เลย-เชียงคาน) ในตั๋วปั๊มไว้ว่ารถออกช่อง 4,6,8 พอไปถึงทำไมไม่ใช่หว่า เอ๊ะ หรือว่าเรามาเร็วไป ยืนรอสักพัก เห็นรถ กรุงเทพ-เชียงคานคันนึงจอดอยู่ที่ช่อง 12 เลยตัดสินใจเดินไปถาม เค้าบอกว่าคันนี้แหละขึ้นเลย เราก็อ้าว เห็นในตั๋วบอกจอด 4 6 8 นี่พี่ เค้าก็บอกว่าในตั๋วปั๊มไว้งั้นแหละ ความจริงช่องไหนว่างก็เข้าช่องนั้น เราอืมมมม ดีนะไม่เถรตรงรอให้ไปจอดตามช่องที่บอก ไม่งั้นรอจนเที่ยงคืนก็ยังไม่ได้ขึ้นรถ..22.00 รถเคลื่อนออกจากหมอชิต บ้าย บาย กรุงเทพ 3 วัน รถแวะจอดให้ทานข้าวที่สีคิ้วตอนประมาณ 1.20
ด้วยความที่ยังอิ่มอยู่เลยเอาตั๋วไปแลกโค้กกระป๋องแทน 2 ใบแลกได้ตั้ง 3 กระป๋องแน่ะ..555 ไม่อดโค้กบนภูแล้ว...

15 ธ.ค. 49
ประมาณ 5.00 รถก็พาเราสองคนมาถึงผานกเค้า ซึ่งจะเป็นจุดต่อรถไปยังภูกระดึง ลงรถปุ๊บก็เดินเอาของไปวาง ล้างหน้า แปรงฟัน อยากบอกว่าอากาศเย็นมากๆเลยขนาดไม่ใช่บนภูนะเนี่ย..ออกมาก็สั่งกาแฟร้อนป้าไป 2 แก้ว รอๆๆๆๆอยู่นานมาก กาแฟก็ยังไม่ได้เลยตัดสินใจไปเปิดตู้เย็นหยิบกาแฟกระป๋องมากินแทน โอ้ยๆๆอากาศเย็นแล้วมากินกาแฟเย็นอีกนี่เพิ่มความยะเยือกในตัวจริงๆ..ฟ้าเริ่มสว่างแล้วเลยเดินไปขึ้นรถสองแถวไปอุทยานฯกัน ค่ารถก็คนละ 20 บาท ตอนรถวิ่งนะ ลมพัด
หนาวสุดๆ...ไม่น่าเชื่อว่านี่คือเมืองไทย..กรุงเทพร้อนตับแตก...ถึงอุทยานฯเราก็เดินไปชำระค่าที่กางเต็นท์ 30 บาท/คน/คืน จากนั้นก็ไปซื้อบัตรสำหรับชั่งสัมภาระใบละ 2 บาท พอเขียนข้อมูลเสร็จก็ไปช่างกิโล ค่าลูกหาบกิโลละ 15 บาท ระหว่างที่รอชั่งของอยู่นั้น อยู่ดีๆก็มีคนเรียก ก่าแป๊ง เราก็เรียกใครอ่ะคงชื่อซ้ำกัน แต่ก็เงยหน้าไปมอง เฮ้ยยยย..ไม่น่าเชื่อจะเจอคนรู้จักที่ภูกระดึง โลกกลมจริงๆ เป็นรุ่นพี่ที่คณะนั่นเอง พี่เค้ามากะเพื่อนๆ 7 คน พี่ก็ถามว่าเรามากันกี่คน เลยไปว่า 2 พี่เค้าเลยชวนไปนอนที่บ้านเพราะเค้าจองไว้ บ้านพักได้ 10 คน แต่ว่าไม่รบกวนพี่ดีกว่า ขอบคุณค่า..พอจัดการทุกอย่างก็ออกเดินทางขึ้นภูกระดึง




แม้ว่าจะมาเป็นรอบที่ 2 แล้วความตื่นเต้นที่จะได้ขึ้นไปบนภูอีกครั้งนั้นไม่ต่างจากครั้งแรกเลยสักนิด..ออกเดินตอน 7.00 ก็เดินเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก ผ่านปางกกค่า เดินไปคุยไป แป๊บเดียวก็มาถึงซำแฮก..ไม่รู้ว่าคนตั้งชื่อซำนี่จะหมายถึงว่าซำแรกหรือว่าใครมาถึงซำนี้แล้วต้องแฮกๆๆ ก็ไม่รู้..ซำนี้เป๊บซี่เท่านั้น โด๊ปก่อนกระดึ๊บไปยังซำต่อไป
พอหายเหนื่อย หายเมื่อยก็เดินต่อไปเรื่อยๆ ผ่าน ซำบอน ซำกกกอก ซำกอซาง พร่านพรานแป ซำกกหว้า ที่ซำนี้แวะพักกินไข่ปิ้ง เพิ่มพลังสักหน่อย อยากบอกว่าอร่อยมากกก พอท้องอิ่มก็ออกเดินต่อ ลุยเดินเท่านั้นตอนนี้ เดินผ่าน ซำกกไผ่ ซำกกโดน ที่ซำกกโดนนี้เป็นซำเดียวที่มีห้องน้ำ เพราะฉะนั้นก็รีบเข้าซะ ซำนี้แวะกินแตงโมเหลืองด้วย อร่อยอีกแล้ว แตงโมหวานมากด้วย แต่เอ๊ะ..หรือว่าเพราะเหนื่อยเนี่ยเลยกินอะไรก็อร่อยไปหมด จากซำกกโดนก็ถึงซำแคร่ เป็นซำสุดท้ายก่อนถึงหลังแปและหลังจากซำนี้ทางจะปีนตลอดแล้ว ก็พาพี่chaokhaปืนๆๆๆๆแล้วก็ปืน ตั้งแต่เดินขึ้นมาจากตีนภูไม่นับตามซำนะ ไม่ได้นั่งพักเลย เดินลุยตลอด แต่ว่าเดินเรื่อยๆ ไม่ได้รีบมากมาย พอถึงหลังแปเท่านั้นแหละ สวรรค์ (หรือป่าว) นั่งพักสักหน่อยละกันม่ายยยไหวแล้นนนน นั่งอยู่ดีๆก็มีพี่คนหนึ่งเดินเข้ามาทัก หน้าคุ้นๆนี่ เลยหันไปดูอ้าว พี่ที่ไปดอยหลวงเชียงดาวด้วยกัน ไม่น่าเชื่ออีกแล้วครับท่านว่าจะเจอคนรู้จักที่นี่ มาภูกระดึงเจอคนรู้จัก 2 คน โลกใบนี้ช่างกลมเสียจริง พี่เค้าเลยบอกว่างั้นเดี๋ยวไปเจอกันที่ร้านนัดพบ เดี๋ยวคุยเรื่องเต๊นท์ให้ ขอบคุณฮับพี่.. พอหายเมื่อยก็ออกเดินต่อ อีกตั้ง 4 กิโลแน่ะกว่าจะถึงที่ทำการ ทางก็เป็นทรายอีก กินแรงจริงๆตอนเดิน แดดก็ร้อนเปรี้ยง เดินแล้วนึกถึงสมัยเรียนลูกเสือ เนตรนารีเลย
ช่วงเดินทางไกลอ่ะ ถ้ามีไม้พลองมาแบกอีกนิดนะใช่เลย กำลังเข้าค่ายลูกเสืออยู่แน่ๆ แต่แล้วความพยายาม+ความอดทนของสองสาวก็สำเร็จเรากระดึ๊บมาถึงที่ทำการจนได้..โอ๊ยยยย ไม่ไหวแล้ว ไปกินข้าวก่อนดีก่าาาา มื้อแรกบนภูคือเส้นหมี่ผัดซีอิ๊ว อิ่มอร่อยๆอย่างแรง กินเสร็จก็เดินไปเอาของที่ลูกหาบ พี่เค้าให้ที่ร้านเค้ากางเต๊นท์เรียบร้อยแล้ว อยู่ใกล้ๆกะพี่เค้าเลย ก็เอาของมาเก็บเป็นที่เรียบร้อย ภาระกิจต่อไปคือ อาบน้ำ ไม่อยากอาบเลย สารภาพความจริง แต่ไม่อาบก็ไม่ไหวอ่ะ พอน้ำโดนตัวนะยังกะน้ำแช่น้ำแข็งมาแน่ะแต่พออาบไปเรื่อยๆเริ่มชา ดีนะถูกสบู่นิดเดียวเลยล้างออกหมดอย่างรวดเร็ว
ไม่งั้นคงแข้งอยู่ในห้องน้ำแน่ๆ...




โปรแกรมเย็นนี้คือไปดูพระอาทิตย์ตกที่ผาหมากดูก ห่างจากที่พักไป 3 กิโล ก่อนเดินไปผาได้แวะไหว้พระที่ลานพระพุทธเมตตากันก่อน ตอนแรกกะว่าจะเดินไปสระแก้วด้วยแต่ว่าหาทางไปไม่เจอเลยไปผาหมากดูกเลยละกัน ระหว่างทางเดินก็เจอนักท่องเที่ยวกลุ่มนึงอายุก็มากเหมือนกันน่าจะประมาณ 30 ปลายๆ มีพี่คนนึงถือกระเป๋าเหมือนแบบใส่โน๊ตบุ๊คเลยแซวไปว่าพี่เอาโน๊ตบุ๊คขึ้นภูมาด้วยเหรอคะ พี่เค้าก็ฮาบอกเปล่าน้อง กระเป๋ากับแกล้ม..หุหุ สงสัยเอามากินตอนชมพระอาทิตย์ตก..สุนทรีเสียจริง..555..
พวกเราไปถึงผาเร็วเกิน เลยไปนั่งกินมันเผา+ข้าวเหนียวปิ้งรอ อยากบอกว่าอร่อยอีกแล้วววว..อากาศหนาวๆกินอะไรร้อนๆช่างสุขใจเสียจริงๆ พระอาทิตย์ตกที่ผาหมากดูกนี้คนไม่ค่อยเยอะสักเท่าไหร่ สงสัยไปดูที่ผาหล่มสักกันมั้ง...พอพระอาทิตย์ตกลับหายไปเท่านั้นแหละความหนาวเย็นเข้ามาเยือนอย่างทันที ทำให้ต้องรีบจ้ำกลับที่พักโดยด่วน พอถึงที่เต๊นท์เท่านั้นแหละ ไม่ออกมาอีกแล้ว นอนเลย เพราะว่าเหนื่อยมาก กลายเป็นว่าคืนแรกเรานอนกันตั้งแต่ 1ทุ่ม หลับสนิท




16 ธ.ค. 49
ตื่นมาอีกที 6 โมงเช้า ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นไม่ทัน ไม่เป็นไรมีพรุ่งนี้อีกวัน .. เช้านี้เลยเดินไปชมบรรยากาศยามเช้าที่แถวอ่างเก็บน้ำแทน พึ่งเคยไปครั้งแรกเหมือนกัน ไม่รู้ว่ามีมุมนี้อยู่ด้วย...โปรแกรมของวันนี้คือเดินเส้นน้ำตก ไปสระอโนดาต แล้วก็ไปดูพระอาทิตย์ตกที่ผาหล่มสักกัน..ออกเดินทางกันตอน 9.00 เดินกันเรื่อยๆ ไปกัน 2 คนได้บรรยากาศไปอีกแบบ น้ำตกแรกที่เจอคือน้ำตกวังกวาง น้ำไม่ค่อยมีเท่าไหร่ มีใบเปิ้ลแดงอยู่เล็กน้อย เอาน่าอย่างน้อยก็สมความตั้งใจแล้วนี่ อยากเห็นใบเมเปิ้ลแดง..จากน้ำตกวังกวางก็เดินไปน้ำตกเพ็ญพบใหม่ น้ำตกโผนพบ น้ำตกเพ็ญพบ และก็ไปแวะพักกินข้าวกลางวันที่น้ำตกถ้ำใหญ่ ภาพในความคิดที่น้ำตกนี้คือต้องมีใบเมเปิ้ลสีแดงร่วงลงมาบนโขดหินสีเขียว พอไปถึง เฮ้ออออ..มีใบเมเปิ้ลแดงอยู่เล็กน้อยส่วนใหญ่เหี่ยวหมดแล้ว เรามาช้าไป โขดหินก็ไม่ค่อยเขียวเท่าไหร่ ช่างเถอะกินข้าวดีกว่า มื้อนี้เป็นผัดกระเพราหมูสับ เค้าให้ข้าวมาแบบว่าเต็มถุงเลย เยอะมาก กะว่าไม่มีการบ่นว่าไม่อิ่มแน่ๆ กินข้าวเสร็จก็ถ่ายรูปสักเล็กน้อย




จากนั้นก็เดินทางต่อไปยังสระอโนดาต ตอนเดินไปสระนี้เห็นแฟนงอนกันด้วย ผู้ชายก็วิ่งไปวิ่งมาตามง้อ มีมาขอยืมโทรศัพท์พี่chaokhaโทรไปง้อแฟนอีก แต่ว่าแฟนปิดเครื่อง นึกในใจมันจะไปงอนที่ไหนก็งอนไปเถอะนี่บนภูกระดึงง้อกันทีวิ่งเป็นกิโลๆๆยังกะหนังอินเดีย เห็นแล้วเหนื่อยแทนจริงๆ พอลากสังขารถึงสระอโนดาตได้ก็นั่งพักกัน แต่พอจะเดินต่อนี่สิ ขาเริ่มแข็ง เส้นเริ่มยึด แต่ว่าไม่ได้ต้องเดิน ไม่งั้นอดดูพระอาทิตย์ตกนะ คราวนี้เลยพาพี่chaokha เดินแบบว่าไม่ต้องมีการหยุดพักกันแล้ว พักทีเดียวที่ผาหล่มสักเลย เดินกันแบบว่าแทบจะหมดแรงแล้วพอเห็นหลังคาร้านคาเท่านั้นแหละ สวรรค์โปรดจริงๆ รีบเดินด้วยแรงฮึดสุดท้าย ในที่สุดก็พาตัวเองมานั่งแหมะอยู่ ณ ร้านค้าได้ ของกินที่สั่งเป็นอย่างแรกเลยคือเป๊บซี่ นั่งพักกินนู่นกินนี่ได้พักใหญ่ก็ไปหาที่ชมพระอาทิตย์ตก คนนะเต็มไปหมดเลยโดยเฉพาะมุมมหาชน เลยไม่ได้ถ่ายรูปมุมนี้มา เดินหาทำเลอยู่พักนึงก็ได้มุมดีๆแล้ว คราวนี้ก็นั่งยาวจนพระอาทิตย์ตกเลย ชอบจังบรรยากาศยามเย็นแบบนี้...พอพระอาทิตย์ตกเสร็จก็รีบเดินกลับที่พักทันที ผ่านซำตามผาไม่มีการแวะพัก เดินรวดเดียวยิงยาวถึงที่พักเลย 9 กิโลใช้เวลาเดินประมาณ 2 ชม. สปีดเร็วมากไม่รู้ทำไปได้ไง ตอนเดินกลับนั้น อยู่ดีๆก็มีเสียงกรี๊ดดดดด ของน้องกระเทยกลุ่มหน้า คือว่าน้องเค้าเจองูเลื้อยผ่าน ตัวไม่ใหญ่ ผอมๆ น่าจะยังเป็นงูเด็กอยู่ ลายดำสลับขาว พอดีช่วงนั้นงงอยู่เลยควักกล้องออกมาถ่ายไม่ทัน แต่ก็ตลกน้องกลุ่มนี้ดี กรี๊ดกร๊าด ฮาๆ พอถึงที่พัก อาหารมื้อเย็นวันนี้คือมาม่าใส่ไข่ กินเสร็จก็เข้าเต๊นท์นอน คืนนี้นอน 22.00 กะว่าพรุ่งนี้จะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นให้ได้

17 ธ.ค. 49
ก่าแป๊งๆๆ ตี 5.45 แล้ว เฮ้ย จริงเหรอ แต่ว่าหนาวมากๆ ถ้าออกไปคงแข็งหน้าเต๊นท์แน่ๆ งั้นไม่ต้องไปดูหรอกนะ พี่chaokha อืมมมมก็ได้ แล้วก็นอนต่อ ตื่นมาอีกที 6.30ได้ เฮ้อ..ทริปนี้ไม่เห็นพระอาทิตย์ขึ้นสักวัน เอาน่าโอกาสหน้ามาใหม่ไม่พลาดแน่ๆ ตื่นมาก็ล้างหน้า แปรงฟัน ไปซื้อ postcard แล้วก็กลับมาเก็บของนั่งเขียน postcard กินขนมกะโค้กที่อุตสาห์แบกขึ้นมากัน พอได้เวลาก็ยกของไปชั่งเตรียมลงภู ตอนที่ต่อแถวรออยู่นั้น พี่chaokhaไปซื้อบัตรชั่งสัมภาระ เลยยืนอยู่คนเดียว พี่ข้างหน้าเค้า
เลยถามว่าน้องมาคนเดียวเหรอครับ เราก็นึกในใจหน้าเราดูเถื่อนขนาดกล้ามาคนเดียวได้เลยหรือนี่ เลยตอบไป มา 2 คนค่ะ พี่เค้าก็บอกว่าเค้ามา 4 คนก็ยืนคุยสักพัก พี่Chaokhaก็มา พอชั่งของเสร็จก็ไปเข้าห้องน้ำ ก่อนเดินลง ยืนรอห้องน้ำนานมาก สงสัยไปปล่อยของหนัก พอป้าเปิดประตูออกมาป้าก็รีบปิดทันทีแล้วบอกเราว่าส้วมเต็มนะเปลี่ยนห้องเถอะ .. โห สงสัยอั้นไว้หลายวัน พอปล่อยออกมาทีทำเอาส้วมเต็มเลย..55555..
เราเริ่มเดินลงตอน 10.00 เดินเรื่อยๆก็ผ่านไป 4 กิโลบนหลังแปแบบรวดเร็ว สงสัยว่าเราคงแข็งแรงขึ้นแล้ว ตอนเดินอยู่ก็มีคนมาทักว่าพรรคพวกหายไปไหนหมด เลยบอกมามี 2 คนนี่แหละคะ ก็คุยๆกัน เลยถามว่าพี่มาจากไหนเค้าบอกมาจากภูกระดึง เลยบอกไปว่า โหพี่มาไกล๊ ไกล ... ตอนเดินลงนี้เห็นคนทะเลาะกันด้วย คู่นี่ทะเลาะกันแบบโวยวายเสียงดังลั่นเลย น่ากลัวมั่กๆ อุตสาห์เที่ยวด้วยกันตั้งหลายวันดันมาทะเลาะกันวันลง เดินลงนี่เร็วกว่าขาขึ้นตั้งเยอะ เดินแป๊บๆ ผ่านไปซำนึงแหละ เราก็เดินสบายๆ ไม่รีบร้อนอะไรเพระาว่ารถออกตั้ง 21.45 แน่ะ เดินดูนู่นดูนี่ไปเรื่อยแป๊บเดียวก็มาถึงตีนภูแล้ว เร็วจริงๆ เดินลงมาเจอป้าย ขอให้สุขภาพแข็งแรง เข้าใจเขียน 55555 ก็เดินไปเอากระเป๋าแล้วก็อาบน้ำ แล้วก็ขึ้นรถสองแถวไปรอรถทัวร์ต่อ บนรถ 2 แถวนี้ก็ได้คุยกะพี่คนนึงเค้ามากัน 2 คนเหมือนกันแต่เป็นชายทั้งคู่ ก็คุยนู่นคุยนี่กันจนลงรถอ่ะ พี่เค้าแบกของขึ้นภูเอง กระเป๋าเค้าตั้ง 30 กิโล ไม่รู้แบกขึ้นได้ไง สุดยอดจริงๆนับถือ พอถึงร้านก็สั่งข้าวกินมื้อนี้กินอย่างราชา 555555 กินเสร็จก็นั่งดูทีวีไปเรื่อย เจ้าของร้านบอกเอาเสื่อมาปูนอนได้นะ แต่ไม่เอาดีก่าถ้านอนสงสัยตื่นอีกทีตอนเช้า พอ 21.45 รถทัวร์ก็มาถึง เตรียมเดินทางกลับกรุงเทพฯ บ้าย บาย ภูกระดึง ถ้ามีโอกาสจะกลับไปเป็นรอบที่ 3 นะ




 

Create Date : 21 ธันวาคม 2549    
Last Update : 21 ธันวาคม 2549 17:08:59 น.
Counter : 1359 Pageviews.  

ดอกไม้ ณ ดอยหลวงเชียงดาว

ช่วงนี้เมื่อปีที่แล้วมีโอกาสได้ไปเที่ยว "ดอยหลวงเชียงดาว" ซึ่งเป็นดอยที่มีความสูงเป็นอันดับ 3 ของประเทศไทย นอกจากความสูงจะเป็นอันดับต้นๆแล้ว ความโหดในการเดินขึ้นยอดดอยนั้นก็ไม่แพ้กัน
พืชบนดอยส่วนใหญ่เป็นพืชกึ่งอัลไพน์ บางชนิดสามารถพบได้แค่ที่ดอยหลวงเชียงดาวแห่งนี้ที่เดียวเท่านั้น ซึ่งเมื่อไปแล้วรู้สึกว่าต้องขอบคุณธรรมชาติที่ได้สร้างสิ่งที่งดงามและแปลกตาให้พวกเราได้ชื่นชม















ดอกไม้ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ถ้ามีโอกาสอยากให้ทุกคนได้ไปสัมผัสความงามและความอลังการของพืชพันธุ์+ดอกไม้ ณ ดอยหลวงเชียงดาว แห่งนี้




 

Create Date : 04 พฤศจิกายน 2549    
Last Update : 4 พฤศจิกายน 2549 17:15:15 น.
Counter : 2596 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  

ก่าแป๊ง
Location :
Tochigi Japan

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




<< หาที่ท่องเที่ยว >>
<< หาที่ถ่ายภาพ >>
<<หาคนไปด้วย >>
Friends' blogs
[Add ก่าแป๊ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.