Bloggang.com : หญิงจ๊ะ - Carbon Credit : ห้ามปล่อยก๊าซพิษ ต่อไปแม้แต่ตด...คุณก็อาจต้องรับผิดชอบ

ปลูกป่ากับโครงการคาร์บอนเครดิต สร้างรายได้ให้กับชุมชน
บริหารจัดการโดย บริษัท ทรินิตี้ เอ็นเนอร์ยี จำกัด
ปฏิบัติการโดย สมาพันธ์ พลังงานสากล ICE และ สหพันธ์มิตร

ลิงค์บุคลากรขององค์การ ทรินิตี้

ปลูกป่า เพื่อการแก้ไขสภาวะโลกร้อน และสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรไย

ศูนย์ปฏิบัติการ ICE ส่งตัวแทนลงพื้นที่พบชุมชน และเกษตรกรผู้ปลูกป่า ทั่วราชอาณาจักรไทยสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรทุกพื้นที่
สมัครเป็นสมาชิก โครงการปลูกป่ากับคาร์บอนเครดิต ได้ที่ สมาพันธ์ พลังงานสากล ICE วันนี้

บริษัท ทรินิตี้ เอ็นเนอร์ยี จำกัด เป็นบริษัทที่รับบริหารจัดการ และดูแลผลประโยชน์ เกี่ยวกับการปลูกป่าให้กับชาวบ้าน เพื่อเข้าโครงการการซื้อขาย คาร์บอนเครดิต ปฏิบัติการโดย สมาพันธ์ พลังงานสากล ICE เราติดต่อขายคาร์บอนเครดิตให้กับประเทศที่รับซื้อโดยตรง
ผลประโยชน์ จากเจ้าของที่ดินที่ทำการปลูกป่า จะได้รับการปกป้องดูแลให้ความเป็นธรรมต่อผู้ปลูกป่าคือชาวบ้านโดยตรง โดยผู้ปลูกป่าจะต้องสมัครเข้าเป็นสมาชิก สมาพันธ์พลังงานสากล ICE เท่านั้น
ท่านจะได้รับการคุ้มครองจากทนายความระดับประเทศ ของสมาพันธ์ และการบริหารจัดการ การปลูกป่าของท่านให้เป็นธรรมในพื้นที่ของท่าน
เราปกป้องผลประโยชน์ให้กับเจ้าของที่ดินในการปลูกป่าโดยตรง เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อสมาชิกในชุมชน และต่อประเทศชาติ ในการปกป้องโลก และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในการลด ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อสิ่งแวดล้อมโลกอย่างยั่งยืน

ผลประโยชน์ที่ชาวบ้านจะได้รับจากการเข้าโครงการปลูกป่า
ท่านเจ้าของที่ดินที่ทำการปลูกป่า จะได้รับเงินจากทางโครงการ เป็นเงิน 20000 บาท ต่อไร่ ต่อปี เป็นเวลา 30 ปี
เงินจำนวน 20000 บาท เป็นค่าตอบแทนโดยประมาณ สามารถเพิ่มขึ้นถึง 30000 บาทต่อไร่ต่อปีได้ ถ้าตลาดซื้อขายเปลี่ยนแปลง และอาจมีแนวโน้มว่าราคาการรับซื้อขายคาร์บอนเครดิตนั้น จะสูงมากขึ้นอีกในอนาคต
ทางศูนย์ปฏิบัติการของเรา คิดค่าบริหารจัดการตลอดระยะเวลา 30 ปี เป็นจำนวนเงินไม่เกิน 20 % จากรายได้ต่อ 1 ไร่ต่อปีเท่านั้น

ติดต่อเราที่ ศูนย์ปฏิบัตการโครงการคาร์บอนเครดิต สมาพันธ์ พลังงานสากล ICE
ติดต่อ เอกสิริกุล นายกสมาพันธ์ หยุดวันเสาร ์- อาทิตย์ : โทรศัพท์ ออฟฟิต เวลา 9.00 น - 17.00 น 02 538 5660 FAX 02 514 1674

ทางสมาพันธ์ กำลังรับสมัครผู้จัดการโครงการประจำจังหวัด และตัวแทนจำนวนมาก เพื่อลงพื้นที่ในชุมชน

ปฏิบัติการกู้วิกฤตการณ์จากปัญหาโลกร้อน

ปัญหาโลกร้อน เป็นภัยอันตรายอย่างใหญ่หลวงต่อมวลมนุษยโลก จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขโดยเร่งด่วน
เป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือกันระหว่างประเทศ ต่อประเทศ ทำให้เกิดการซื้อขายในตลาดคาร์บอนเครดิต
จึงทำให้เกิดการแก้ไขสภาวะโลกร้อนด้วยการปลูกป่า และอาศัยประสิทธิภาพในการดูดซับซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ของป่าไม้

ด้วยกลไกจากพิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol)
หลายประเทศที่เป็นสมาชิกของอนุสัญญาแห่งสหประชาชาติ ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศ (UNFCCC : United Nation Framework Convention on Climatechang) ได้ร่วมมือกันจัดการประชุมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อแก้ปัญหาภาวะโลกร้อน ซึ่งการประชุมที่เห็นความร่วมมือ และเกิดผลอันเป็นข้อตกลงชัดเจนที่สุด คือ การทำข้อตกลงในพิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol)
พิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol) เป็นข้อกำหนดให้ประเทศภาคีสมาชิกต้องร่วมมือกันในการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะคาร์บอนไดออกไซด์จากโรงงานอุตสาหกรรมที่เป็นต้นเหตุของภาวะโลกร้อน โดยมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2549 เฉพาะกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว ส่วนกลุ่มประเทศกำลังพัฒนานั้น พิธีสารเกียวโตยังไม่ได้กำหนดให้มีหน้าที่ต้องลดปริมาณการปล่อยก๊าซ เรือนกระจก แต่ต้องรายงานปริมาณการก๊าซเรือนกระจกที่ปลดปล่อยในประเทศแต่ละปีเท่านั้น

ตลาดคาร์บอน...จุดนัดพบแห่งใหม่
การกำหนดข้อบังคับดังกล่าว ส่งผลให้ประเทศสมาชิกที่กำลังพัฒนา มีคาร์บอนเครดิตประเภทที่ “ลดปริมาณการปล่อยได้” ภายใต้โครงการกลไกการพัฒนาที่สะอาด (CDM project-bases carbon credit) ที่เข้ามาช่วยดูแลจัดการเรื่องการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ประเทศกำลังพัฒนาจึงมี “คาร์บอนเครดิต” ในลักษณะของสิทธิ์ในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่จะนำไปซื้อขายในตลาดคาร์บอน ได้
ส่วนประเทศที่พัฒนาแล้ว ถูกกำจัดสิทธิ์ในการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ให้อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด แถมยังต้องลดปริมาณการ ปล่อยก๊าซเรือนกระจกหรือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จึงเกิดขึ้นผ่านตลาดคาร์บอน แนวความคิดเรื่อง “คาร์บอนเครดิต” จึงได้ถือกำเนิด

คาร์บอนเครดิต ตามความหมายภายใต้พิธีสารเกียวโต คาร์บอนกลายเป็นสินค้าชนิดหนึ่ง (Commodity) ที่สามารถซื้อขายกันได้ในตลาดเฉพาะที่เรียกว่า “ตลาดคาร์บอน” (Carbon Market) ซึ่งวิธีการนั้นถ้าคิดง่ายๆ คือ หาปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ประเทศพัฒนาแล้วปล่อยเกินจากข้อกำหนดที่ตกลงไว้ใน พิธีสารเกียวโต หรือปริมาณก๊าซที่ไม่สามารถลดปริมาณการปล่อยได้ตามเกณฑ์ที่กำหนด เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียค่าปรับ จึงนำเงินไปซื้อสิทธิ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากประเทศกำลังพัฒนาเท่าจำนวน ก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกเกินกำหนด โดยประเทศที่กำลังพัฒนา จะสามารถนำสิทธิ์ในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ออกมาขายให้กับตลาดคาร์บอนเครดิตได้ โดยผ่านการ ควบคุมดูแลจากโครงการกลไกการพัฒนาที่สะอาด

ที่มาของเรื่อง ตลาดคาร์บอนเครดิต
ได้เกิดขึ้นเพราะ การเล็งเห็นว่าในแต่ละประเทศมีศักยภาพในการลดปริมาณก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์ไม่เท่ากัน ในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว อาจไม่สามารถลดปริมาณก๊าซได้ตามเกณฑ์ที่กำหนด จึงใช้วิธีการลงทุนหรือซื้อคาร์บอนเครดิตจากประเทศ ที่กำลังพัฒนา และมีปริมาณการ ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่าได้ หรือพูดให้ง่ายคือ “คนสร้างไม่ต้องลด คนลดไม่ได้สร้าง”
วิธีการดังกล่าว กลายเป็นการให้รางวัลกับผู้ที่สามารถจัดการให้สิ่งแวดล้อมดี ขึ้นจากเงินที่ได้จากการขายคาร์บอนเครดิต และลงโทษผู้ทำผิดที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมา หรือเป็นการลงโทษที่ได้รับการลดหย่อนโทษกว่าที่ควรได้รับ ซึ่งรูปแบบการขายคาร์บอนเครดิตในรูปโครงการปลูกป่า เป็นอีกวิธีที่ได้รับความสนใจอย่างมากเพราะนอกจากราคาไม่แพงแล้ว ยังหาซื้อได้ไม่ยากจากประเทศกำลังพัฒนา
และเมื่อป่าเป็น “สินค้า” เพื่อดูดซับคาร์บอน โดยมีเงินจำนวนมากเป็นแรงจูงใจ ส่งผลให้ประเทศกำลังพัฒนาหันมาสนใจการปลูกป่าพืชเชิงเดี่ยวที่โตเร็ว ไว้สำหรับขายคาร์บอนรองรับเงินที่มาจากการซื้อขาย ผลกระทบที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่กลายเป็นเรื่องใหญ่ที่นอกจากจะส่งผลกระทบโดยตรงกับทุกคน ยังส่งผลกระทบโดยตรงกับชาวบ้านที่ยังไม่มีที่ดินทำกิน เพราะจะถูกแย่งทรัพยากรเรื่องที่ดินทำกินจากนายทุน เพื่อนำที่ดินไปปลูกพืชเชิงเดี่ยว และนำไปสู่การรับเม็ดเงินมูลค่ามหาศาลจากการขายคาร์บอนเครดิต์
บอนเครดิต

ตลาดคาร์บอนคาร์บอนเครดิต

ตลาดคาร์บอนฯ ในต่างประเทศมีอยู่ด้วยกัน 2 กลุ่ม ใหญ่ คือ กลุ่มแรกเป็นตลาดคาร์บอนฯ ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินการภายใต้พิธีสารเกียวโต เป็นตลาดคาร์บอนที่มีตัวบทกฎหมายภายในประเทศกำกับดูแล (Regulated Market) เช่น ตลาดคาร์บอนฯ ในสหภาพยุโรป (EU ETS) ตลาดคาร์บอนฯภายใต้โครงการ CDM (CERs) เป็นต้น ตลาดคาร์บอนเหล่านี้มีการซื้อขาย “คาร์บอนเครดิต” เนื่องจากมีการกำหนดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศที่มีพันธกรณี ประเทศที่ต้องลดการปล่อยก๊าซตามพันธกรณีสามารถซื้อคาร์บอนเครดิตไปเพื่อ ชดเชยกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในประเทศตน สำหรับประเทศไทยก็มีส่วนดำเนินการในเรื่องการค้า CERs ภายใต้โครงการ CDM ข้อมูลล่าสุดในเดือนตุลาคม 2551 โครงการ CDM ที่ คณะกรรมการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกของไทยพิจารณาให้ความเห็นชอบและออกหนังสือรับรองโครงการแล้วมี 27 โครงการ

กลุ่มสอง เป็นตลาดคาร์บอนฯ แบบสมัครใจ (Voluntary Carbon Market) ที่เกิดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการ เริ่มขึ้นประมาณปี ค.ศ.1989 และมีการเติบโตอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่ปี ค.ศ.2002 เป็นต้นมา ตลาดคาร์บอนฯ ประเภทนี้อาจจะมีการซื้อขาย “Carbon Credit” หรือ “Carbon Offset” ก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประเภทของตลาด (Carbon Offset หมายถึง ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่จะต้องลดลงในแหล่งอื่น เพื่อชดเชยให้เท่ากับปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาในกระบวนการผลิตใน โรงงานหรือบริษัท หรือกล่าวได้ว่า Carbon offset นี้ จะทำให้เกิด Carbon neutral สำหรับผู้ซื้อ Carbon offset )

ตลาดคาร์บอนฯ แบบสมัครใจยังสามารถจำแนกออกเป็น 2 ประเภท คือ ประเภทแรก ตลาดที่มีการกำหนดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (หรือ Cap-and-Trade System) เช่น ตลาดคาร์บอนฯ ที่จัดการโดย Chicago Climate Exchange (CCX) ซึ่ง ถือว่าในขณะนี้เป็นตลาดเดียวที่เป็นตลาดสมัครใจแบบควบคุมปริมาณการปล่อยก๊าซ เรือนกระจก ประเภทที่สอง เป็นตลาดที่มีการตกลงซื้อขายแบบทวิภาคีระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย โดยอาจซื้อขายกันโดยตรงหรือผ่านระบบนายหน้าก็ได้

ในปัจจุบัน ตลาดคาร์บอนเครดิตของภาคสมัครใจมีสัดส่วนที่น้อยเมื่อเปรียบเทียบกับตลาดคาร์บอนฯ ตามพันธกรณีของพิธีสารเกียวโต (ในปี 2006 คิดเป็นร้อยละ 1.42 ของตลาดคาร์บอนฯ ทั้งหมด และเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 2.18 ในปี 2007) อย่างไรก็ดี ความต้องการซื้อในตลาดคาร์บอนฯ แบบสมัครใจก็เพิ่มขึ้นอย่างน่าสนใจ (ปริมาณการซื้อขายในปี ค.ศ. 2007 มีมากกว่า 2 เท่าของปี ค.ศ. 2006) เป็นที่คาดกันว่า ปริมาณการซื้อขาย Carbon Credit /Carbon Offset จะเติบโตในช่วงปี ค.ศ. 2010-2012 เป็นจำนวน 400-500 MtCO2e ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ตลาดคาร์บอนฯ แบบสมัครใจกลายเป็นที่สนใจของบุคคลทั่วไป ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน

บริษัท ทรินิตี้ เอ็นเนอร์ยี จำกัด และสมาพันธ์ พลังงานสากล ICE ได้ติดต่อประสานงานกับ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก อบก เพื่อให้เป็นบริษัท ผู้พัฒนาโครงการปลูกป่ากับคาร์บอนเครดิตเป็นรายแรกของประเทศไทย ที่ได้ขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และบริษัท ฯ กำลังเติบโต และก้าวหน้า ไปสู่พันธกิจในการแก้ไขสภาวะโลกร้อน และการเปลี่ยนแแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก ให้กลับคืนดีดังเดิม

การลงทุนในธุรกิจค้าขายคาร์บอนเครดิตกับการปลูกป่า สำหรับนักลงทุน นักธุรกิจและ
ผู้สนใจเข้าร่วมโครงการ
การลงทุนในธุรกิจ และโครงการทุกชนิดมีความเสี่ยง แต่การลงทุนเพื่อช่วยกู้วิกฤตโลกร้อน ได้ผลคุ้มค่าต่อมวลมนุษยโลก

ท่านที่ต้องการร่วมลงทุน หรือร่วมทุนกับธุรกิจการค้าขายในโครงการปลูกป่ากับคาร์บอนเครดิต
สมัครเข้าร่วมโครงการปลูกป่ากับคาร์บอนเครดิตในวันนี้ ก่อนที่จะไม่มีวันข้างหน้าไว้ให้กับลูกหลาน ในอนาคต
สามารถติดต่อ เพื่อขอเข้าร่วมลงทุนได้ที่ นายกสมาพันธ์ พลังงานสากล ICE เอกสิริกุล
โทรศัพท์ ออฟฟิต 02 538 5660 081 447 2678 : Fax 02 514 1674