...แต่ละคืนวันที่ผันผ่าน มีเรื่องราวหลากหลายให้ค้นหา ...วานนี้ พรุ่งนี้ มินำพา ...เพียงรู้ว่า ทำวันนี้ให้ดีก็เพียงพอ ...มีความสุขกับทุกจังหวะของชีวิต
Group Blog
 
All blogs
 

เมื่อจิตใจข้ามขีดจำกัดของร่างกาย



วันอาทิตย์เป็นวันที่ผมต้องเข้างานกะ เรียกได้ว่าอดนอนทั้งคืน แถมก่อนมาเข้างานกะตอนสองทุ่ม ผมยังไปวิ่งเก็บตัวเลขตามกระทู้ก่อน ไม่ต้องพูดถึงเย็นวันจ้นทร์ว่า ร่างกายจะเหลือพลังงานเท่าไหร่ วันจันทร์ก็ยังทำงานจนถึงห้าโมงเย็น ไม่มีการงีบหลับ ตอนเย็นวันจันทร์แค่วางแผนไปเล่นบาสเกตบอลอย่างเดียว เพราะไม่เหลือแรงวิ่งจริงๆ หลายคนคงถามผมอีกว่า..ทำไมไม่ท้าทายตัวเองเหมือนกระทู้ก่อนล่ะ...ครั้งนี้ผมประเมินแล้วขืนฝืนทำร่างกายมีความเสียหายมากกว่าแน่นอน เพราะพักผ่อนไม่พอ สภาพร่างกายต่างจากวันก่อนแบบคนละเรื่อง ประเมินแล้วไม่คุ้มแถมสภาพจิตใจวันนี้ ไม่เหลือกำลังจะสั่งร่างกายได้แน่นอน ก็เลยวางแผนทำอะไรที่ลดระดับการใช้พลังลง แต่ฟ้าดินไม่เป็นใจ ส่งฝนลงมาแบบไม่ลืมหูลืมตา ก็เลยพับแผน ขับรถกลับบ้าน แต่ก็ยังเข้าเล่นเนต หลับตอนห้าทุ่มครึ่ง ตื่นมาเจ็ดโมงเช้า ร่างกายเหมือนถูกทุบ แทบไม่อยากลุกเลย สมองไม่แล่นเลย ไม่สดชื่น แต่ต้องตื่นมาทำงาน จนเมื่อจบวัน....อากาศดีมากเลย วันอังคาร(เมื่อวานนี้) แต่งตัวเตรียมไปวิ่งกับมือถือคู่ใจพร้อมหูฟัง...
...ผมลองท้าตัวเองว่า สิบโลไหวไหม....เสียงใจตัวเองตอบมา..น่าจะไหว ก็เริ่มวิ่งไปเหมือนทุกที จนถึงระยะทางที่เคยวิ่งเป็นประจำเมื่อสัปดาห์ก่อน คือ 6.4 กม. ร่างกายเริ่มส่งสัญญาณว่า ถึงจุดที่เคยวิ่งถึงแล้ว น่าจะได้หยุดพักแล้วนะ แต่เสียงของจิตใจยังบอกว่า อีกรอบยังน่าสบายๆ ก็วิ่งต่ออีก จนครบรอบ ร่างกายส่งสัญญาณว่า ขาเริ่มแข็งทั้งสองข้างแล้วมาถึงขีดจำกัดแล้ว ถ้าจะวิ่งต้องลากขาแล้วนะ ใจผมยังยื่นคำขาดว่า "วิ่งต่อ" ตรงจุดนี้ที่ร่างกายมาถึงขีดจวนเจียนจะหยุดแล้วแต่ใจยังสั่งให้วิ่งต่อ ผมช่วยใจด้วยการเปิดเพลงที่เริ่มจังหวะคึกคัก และความหมายแบบอย่ายอมแพ้ อย่างเพลง"ความเชื่อ"ของบอดี้สแลม กับ"ผมไม่อยากแพ้"ของไอแซ็ก....ช่วยได้เยอะเลย เพลงกระตุ้นอารมณ์ให้คึกขึ้น วิ่งต่อไปได้อีก 2.4 กม. ช่วงที่วิ่งนั้นจิตใจที่ผ่านขีดจำกัดของร่างกายไปแล้ว แทบไม่รู้สึกเมื่อยอะไรเลยแต่ไม่ใช่ความรู้สึกเบาสบายเหมือนอย่างที่เขาบรรยายตอนที่เอ็นโดรฟินหลั่ง แต่ตอนนั้นมีแค่ร่างกาย,จิตใจและเสียงเพลงที่ได้ยินผ่านหูเท่านั้น จนเมื่อเหลือรอบสุดท้าย ต้องวิ่งอีกครึ่งรอบเพื่อให้ครบ 10 กม.จริงๆ อีกครึ่งรอบเป็นการวิ่งสไลด์ข้างสลับขวาซ้ายและวิ่งถอยหลัง จนครบรอบ.....ผ่านไปแล้วกับการวิ่งระยะทาง 10.4 กม....แล้วไปเล่นบาสเกตบอลต่ออีกหนึ่งชั่วโมง
....ประสบการณ์ตอนที่ใจจะข้ามขีดจำกัดนั้น ผมว่าสุดยอดเลยครับ และช่วงที่ยังต้องวิ่งด้วยร่างกายที่ถึงขีดจำกัดนั้นก็สุดยอด...การวิ่งนั้นเป็นบททดสอบที่มีแต่ตัวเราเท่านั้น...ร่างกายกับจิตใจ เป็นการแข่งขันที่ไม่เกี่ยวกับคนอื่นเลย....ผมไม่ได้อยากจะวิ่งมาราธอนหรอกครับ แค่อยากรู้ว่า ตัวเองจะมีปฏิกิริยายังไงกับขีดจำกัดของร่างกาย จะผ่านไปได้ไหม




 

Create Date : 06 สิงหาคม 2551    
Last Update : 6 สิงหาคม 2551 14:08:25 น.
Counter : 954 Pageviews.  

ณ ขอบเขตของจิตใจ



...เมื่อวานนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตที่วิ่งรวดเดียวได้ 10.4 ก.ม...ขาดอีกไม่เท่าไหร่ก็ใกล้ระยะการวิ่งมินิมาราธอนแล้ว..12 กม. เคยมองคนที่วิ่งมาราธอนว่า ร่างกายนี่สุดยอด แข็งแกร่ง ตอนนั้นเคยวิ่งแค่ 2 กม.แล้วเกิดอาการหอบเหนื่อยแบบใจจะขาด ไม่เคยคิดไม่เคยฝันเลยว่า ตัวเองจะวิ่งได้ถึงระยะ 10 กม.นี้กับเวลา 1 ชั่วโมงแบบนันสต๊อป แถมยังเหลือแรงไปเล่นบาสเกตบอลต่ออีกชั่วโมงกว่า....ผมไม่ได้บอกว่าตัวเองเก่งยังไงหรอก เพียงแต่อยากเล่าให้ฟังถึงอะไรบางอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา
...หนึ่งปีที่ผ่านมาก็แค่วิ่งรอบสนามรวมๆแล้วก็แค่ 2-3 ก.ม. เพราะตอนนั้นอยากได้สมรรถภาพร่างกายที่ดี เวลาเล่นบาสจะได้ไม่เหนื่อยมาก และเป็นกลยุทธือันหนึ่งในการเผาผลาญแคลลอรี่เพื่อควบคุมน้ำหนัก ก็เริ่มวิ่งมาสัปดาห์ละ 3 ครั้ง เริ่มจากครั้งละ 3 กม. จนอยู่ตัวแล้วลองเพิ่มมาเรื่อยๆจนถึง 5 กม.ได้ประมาณ 3-4เดือน ก็อยากรู้ว่าตัวผมเองจะวิ่งได้มากกว่านี้ไหม อาทิตย์ที่ผ่านมาเลยลองท้าตัวเองว่า...จะวิ่งรวมแล้วสัปดาห์นี้ให้ได้อย่างน้อย 30 กม. กับเวลาที่มี 5 วัน นั่นคือ วันละ 6 กม. แถมต้องวิ่ง 4 วันติดกัน แม้ดูจะเพิ่มจากวันละ 5 กม.มาเป็น 6 กม.ก็แค่ 20% แต่การวิ่งติดกันทุกวันนั้นเป็นเรื่องท้าทายสำหรับตัวผมเอง....สองวันแรกผ่านไปได้ฉลุยไม่เหนื่อยมาก พอวันที่ 3 ร่างกายออกอาการงอแง ปวดเนื้อเมื่อยตัวนิดหน่อย ไม่อยากวิ่ง แต่ผมก็ใช้ทั้งไม้นวมและไม้แข็ง แต่รู้สึกว่าผมชอบไม้แข็งมากกว่า เพราะตอนใช้ไม้นวมยังมีเสียงอ้อนต่อรองอยู่ พอยื่นคำขาดว่า"ต้องวิ่ง"เพื่อฝึกร่างกายและจิตใจ ก็ออกวิ่งรอบแรกนี่เสียงในใจบอกว่า จะไหวเหรอ ดูสิวิ่งช้าเสียแบบนี้ ปวดเนื้อปวดตัวด้วย พักสักวันเถอะ...แต่ใจผมบอก ต้องวิ่ง หยุดไม่ได้เด็ดขาด ก็วิ่งต่อจนถึงระยะครึ่งทางที่ต้องวิ่งคือ 3 กม.ก็เลยบอกตัวความขี้เกียจและอ่อนแอว่า...เห็นไหมวิ่งมาแล้วครึ่งทาง ยังสบายๆเลย วันนี้วิ่งจบแบบสบายแน่นอน แล้วก็จบครบตามเป้าหมาย....ได้บทเรียนว่า บางครั้งอย่าใจอ่อน ร่างกายคนเราพร้อมจะข้ามขีดจำกัดเสมอ
....วันที่สี่ ช่างเป็นวันที่เกือบถอนใจแล้ว เพราะรู้สึกร่างกายจะออกอาการปฏิเสธ วันนี้เป็นวันที่ทดสอบความเข้มแข็งของจิตใจอย่างดีเลย วิ่งไปจนถึงครึ่งทาง แต่ร่างกายรู้สึกออกอาการต่อต้านจริงๆ อยากหยุดวิ่งขึ้นมาดื้อๆ แต่จิตใจส่งคำขาดว่า"วิ่งต่อ"...ถ้าวิ่งไม่ไหวก็เดินเร็ว ถ้าเดินเร็วไม่ไหว ก็ต้องเดิน ถ้าเดินไม่ไหวก็ต้องคลาน..ไม่มีข้อต่อรองให้หยุด....ก็ยังประคองตัวเองให้วิ่งไปจนจบระยะทางได้ แต่การต่อสู้ในจิตใจมีตลอดทางเลย ต้องแข็งใจอย่างเดียว ยอมใจอ่อนไม่ได้
...สองวันต่อจากนั้นต้องหยุดวิ่ง เพราะเหตุว่าฝนตกกับมีธุระจำเป็นที่ต้องทำ
....วันสุดท้ายของสัปดาห์ ผมเหลืออีก 6 กม.ที่ต้องวิ่ง วันนี้ร่างกายดีกว่าสองวันก่อน เพราะได้พักมาสองวัน วิ่งสบายๆไร้ข้อต่อรอง ไม่มีเสียงออดอ้อน ...สำเร็จครับ 5 วันนี้ วิ่งรวมระยะทางได้ 32.8 กม. ไม่ใช่สามสิบ เพราะผมแอบวิ่งแถมอีกครึ่งรอบบ้าง รอบหนึ่งบ้าง
...เป้าหมายต่อไป เดี๋ยวเขียนอีกกระทู้แล้วกันครับ




 

Create Date : 06 สิงหาคม 2551    
Last Update : 6 สิงหาคม 2551 13:26:57 น.
Counter : 432 Pageviews.  

ผลการทดลองภาคต่อมา....นับเวลามาได้ 7 สัปดาห์กับน้ำหนักลดลง 5 กก.



มาเล่าถึงการทดลองที่ได้ทำต่อครับ....ผมมีโปรแกรมวิ่งแบบคาร์ดิโอตามบทควมก่อนหน้านั้น สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ส่วนวันที่เหลือในแต่ละสัปดาห์อีก 3 ครั้ง ก็จะเป็นการวิ่งจ๊อกกิ่งนาน 35-45 นาทีแล้วแต่เพลงที่ฟังครับ เฉลี่ย 40 นาที ส่วนแต่ละวันก็มีเล่นบาสเกตบอลต่ออีก 1-1.5 ชม. บางวันคึกมากก็ซ้อมเลย์อัพ จั๊มชู๊ต จนรู้สึกว่าขามันแข็งวิ่งไม่ไหว อีก 3 ครั้งต่อสัปดาห์.สรุปคือตอนเย็น ผมไปออกกำลังเกือบ2-2.5 ชม.พอกลับมาบ้าน ก็เล่นเวตน้ำหนักเบาๆ เน้นกล้ามเนื้อส่วนต้นแขน หัวไหล่อีก 10-15 นาที จากนั้นก็เล่นซิตอัพ กับท่าบริหารท้องอีก 15 นาที จบด้วยการวิดพื้น ท่าไหล่กว้าง กับท่าไหล่แคบ อีกชุดหนึ่ง(ชุดเล็ก).สัปดาห์ที่ผ่านมากำลังเพิ่มท่าSquatแบบไม่ใช้น้ำหนักเพิ่มอีก
...แต่ผมกลับมาเสียศูนย์กับการคุมอาหารช่วงมื้อเย็นอีก บางทีวันเว้นวันที่ปล่อยใจทานตามปากไปบ้าง แต่พยายามเน้นโปรตีนให้มากขึ้น พยายามลดแป้งกับน้ำตาล
...ผลที่เกิดขึ้นใน 7 สัปดาห์นี้คือ....น้ำหนักหายไป 5 กก. น้ำหนักคงตัวที่ 72 กก.น้อยที่สุดในรอบ 5ปีเลยครับ.....รอบเอวหายไปอีก 2 นิ้ว เหลือแค่ 34 นิ้ว(เมื่อ 5 ปีก่อน 44 นิ้วลดมาเหลือ 36 นิ้งอยู่หลายปี)....รู้สึกว่าตัวเองเฟิร์มขึ้นกว่าเดิม เวลาเล่นบาสแล้วผมเท็คตัวได้สูงกว่าเดิม และอาการปวดเข่าเวลาเล่นบาสติดต่อกันนานๆก็หายไป คงเป็นเพราะน้ำหนักลดลง แรงกระแทกเข่าเลยน้อยลง และกล้ามเนื้อขาที่เพิ่มมากขึ้นจากการวิ่ง.ผมได้ไปอ่านบทความ อ่านแล้วก็เศร้าครับ เขาบอกว่า น้ำหนักที่ลดลงจากการออกกำลังแบบคาร์ดิโอนั้น ถ้าเราหยุดการออกกำลังไปแล้ว น้ำหนักอาจเด้งกลับมาได้อีก คือต้องออกไปเรื่อยๆ....มุมหนึ่งก็ดีใจที่หาวิธีฝ่ากำแพงมาได้ แต่อีกมุมหนึ่งกลับวิตกว่า จะกลับไปเหมือนเดิมอีก....ผมไม่เอาแล้ว ไม่อยากกลับไปเหมือนเดิม.....ต้องหาวิธีอีกแล้วครับ เอาไว้เจอวิธีทดลองทำเองแล้วได้ผลยังไงจะมาเล่าให้ฟังอีก....




 

Create Date : 12 พฤศจิกายน 2550    
Last Update : 12 พฤศจิกายน 2550 0:22:54 น.
Counter : 332 Pageviews.  

ผลการลองลดน้ำหนักด้วยการทำคาร์ดิโอ...3กิโลใน3สัปดาห์



ผมเคยมีน้ำหนักถึง 97 กก. ด้วยความสูง 172 ซม.และพยายามหาวิธีลดหลายๆวิธีแม้แต่เดินไปคลีนิกลดน้ำหนักและใช้ยา แต่มันก็ไม่ใช่วิธีที่ผมทนไหว ยามันแรงเล่นเอาใจสั่นมากๆ ที่เล่ามานั้นเมื่อปี 2545.ผมใช้เวลาลดน้ำหนักด้วยการคุมอาหารและออกกำลังกาย ในเวลา 1 ปี ผมคงน้ำหนักมาได้ 77 กก.และก็ติดเพดานน้ำหนักนี้มาเกือบ 5 ปี.แต่ปัญหาหลักๆคือ หน้าท้องที่ยังมีก้อนไขมันอยู่ ผมก็ได้พยายามซิทอัพมาเป็นปี บางช่วงเช้า 100 ครั้ง เย็น 100 ครั้ง ก็ไม่ได้ผล ก็ทำบ้างเลิกบ้าง...จนเมื่อเดือนก่อน ผมได้เจอนิตยสารเล่มหนึ่งซึ่งดีมาก ชื่อว่า "Mens Health"...ได้แนะนำให้ทำคาร์ดิโอ ซึ่งจริงๆผมก็เคยได้ยินในรายการทีวีที่สัมภาษณ์แชมป์เพาะกายหญิงชาวไทย ที่พูดถึงในช่วงที่ต้องลดน้ำหนักต้องทำคาร์ดิโอ ผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ จนได้อ่านนิตยสารเล่มนี้....ในช่วง 3-4 อาทิตย์ที่ผ่านมา ผมเปลี่ยนโปรแกรมการออกกำลังใหม่ คือ วิ่งแบบทำคาร์ดิโอ สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง โดยพยายามวิ่งให้ได้ระดับกลางๆ นาน30-40 นาที ส่วนวันอื่นๆก็วิ่งแบบเรื่อยๆเฉื่อยๆวันละ 30-40 นาที ในหนึ่งสัปดาห์ผมจะได้ออกกำลังตอนเย็นประมาณ 5 ครั้ง เรื่องอาหารก็ไม่มีปัญหาเพราะคุมจนเป็นปกติ และผมได้เพิ่มโปรแกรมฝึกกล้ามเนื้อท้องแบบSix Pack ....ผลคือ น้ำหนักผมหายไปอีก 3 กก.และกางเกงที่ผมใส่มาทำงานทุกตัวมันหลวมหมด กะๆดูเอวน่าจะหายไป 1/2-1นิ้ว และห่วงยางรอบเอวมันนิ่มกว่าเดิม...ผมเจอปัญหาใหม่คือ ต้องไปหาซื้อกางเกงใหม่เกือบหมดเลย สะโพกก็กระชับมากขึ้น มีเพื่อนที่ทำงานหลายคนถามว่า ทำไมช่วงนี้ก้นมันแฟบลง ต้องยกความดีให้กับ Mens Health กับการทำคาร์ดิโอครับ....ในนิตยสารMens Healthนั้นยังมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยน่าอ่านอีกเยอะ ไม่ว่า ทำไมตอนลดน้ำหนักต้องทานมื้อเล็กวันละ 5-6 มื้อ หรือ ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ใหม่ๆเกี่ยวกับการลดน้ำหนัก อย่างที่เรามักลากท้องแห้งๆท้องว่างๆไปวิ่งไปออกกำลัง คุณรู้ไหมว่า นั่นเป็นการกำลังสลายกล้ามเนื้อ และเมื่อออกกำลังเสร็จ คุณก็รีบเติมพลังงานลง มันก็จะกลายเป็นไขมัน....ไม่ได้เชียร์ขายนิตยสารนะครับ ลองเปิดๆอ่านดูก่อนก็ได้




 

Create Date : 09 ตุลาคม 2550    
Last Update : 9 ตุลาคม 2550 21:36:09 น.
Counter : 1568 Pageviews.  

การฝึกยิงบาสด้วยเทคนิค BEEF


อ่านมาจาก "The Art of Shooting" By: George Lehmanและ"Time To Learn Correct Basketball Shooting Techniques and Fundamentals"
หน้าที่หลักของโค้ชกับผู้ฝึกสอน คือการสร้างนิสัยที่ดีและพัฒนาทักษะ โดยผ่านการฝึกซ้อมแล้วซ้อมอีก
จงจำไว้ว่า" Shooterที่เก่งนั้น ไม่ได้เป็นมาแต่กำเนิด แต่ได้มาด้วยการฝึกแล้วฝึกอีก"
หลักการของการยิงบอลที่ดี ย่อได้เป็น B-E-E-Fหมายถึง
1.Balance
2.Eyes on Target
3.Elbow Keeps the Basketball Straight
4.Follow Through

Balance-ตัวนี้หมายถึงสมดุลย์
ก้าวแรกของการยิงลูกคือ สมดุลย์.ดังนั้นการจัดท่าจึงสำคัญ ขาทั้งสองข้างต้องยืนอย่างสมดุลย์ซึ่งท่าที่ทำให้สมดุลย์คือการยืนให้เท้าข้างหนึ่งอยู่หน้าอีกข้างหนึ่ง ในท่านี้เราสามารถกระโดดยิงได้เร็วและดีกว่าท่าที่ยืนให้เท้าเสมอกัน.คนที่ถนัดขวาควรยืนให้เท้าขวาล้ำออกมา และให้ระยะห่างของเท้าอยู่พอควรประมาณหนึ่งช่วงไหล่ของคุณ ทิ้งน้ำหนักให้อยู่ระหว่างเท้าทั้งสองข้าง ศีรษะตั้งในตำแหน่งที่สมดุลย์เพื่อคุมสมดุลย์ของลำตัว ไม่ก้มไปหน้าเกินและไม่เอนไปด้านหลังเกิน หลังจากได้ท่าทางดังกล่าวแล้วถึงจะยิงได้โดยย่อเข่าเล็กน้อยเพื่อให้มีแรงส่งและ คุมศีรษะให้นิ่ง.แรงในการยิงนั้นจริงๆมาจากขาทั้งสองข้าง ไม่ใช่มาจากแขน.ในท่านี้จะเห็นว่า ร่างกายด้านที่ใช้ยิงจะอยู่ด้านหน้าและไหล่อีกด้านจะบิดออกไปด้านหลัง(คือร่างกายส่วนบนต้องบิดให้ด้านที่ยิงอยู่นำหน้า)จงจำไว้ว่า การยิงลูกบาสนั้นเป็นmuscle-memory reflex คือยิ่งคุณทำบ่อยเท่าไหร่ มันก็จะง่ายขึ้นเท่านั้น
...วิธีทดสอบว่า ท่ายืนถูกไหมนั้น หลังจากตั้งท่าแล้วให้ลองผลักที่หน้าอกแล้วดูว่าล้มไหม ถ้ายืนขาชิดกันจะล้มไปด้านหลัง


Eyes on Targetให้จับตามองแต่ที่ห่วงเพียงที่เดียว มุ่งความสนใจไว้แต่ที่ห่วง ถึงแม้ว่าจะปล่อยลูกไปแล้ว.การที่ใช้สายตามองตามลูกที่ยิงออกไปแล้วนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ


Elbow Keeps the Basketball Straight
ในการจับบอลนั้น ควรจับให้เต็มมือโดยไม่ใช้อุ้งมือ ในวิธีการยิงลูกมือเดียวนั้น มือที่ใช้ยิงควรอยู่ด้านล่างของลูกค่อนไปด้านหลังเล็กน้อย สำหรับอีกมือหนึ่งนั้นใช้ประคองลูกโดยวางมือค่อนไปข้างด้านหน้า.หลังจากนั้นก็เริ่มการบรรจุกระสุนโดยยกลูกบอลขึ้น ถ้าเราวางมือถูกต้องเราจะมองเห็นรอยย่นพับของข้อมือ.
..ถ้าท่าถูกต้อง มือ,ข้อศอก,แขน,เข่าและเท้าจะอยู่ในแนวตรงกัน โดยที่ข้อศอกจะต้องไม่กางออกไป ถ้าข้อศอกกางออกด้านข้างจะทำให้ยิงบอลไม่ตรง.ชี้ศอกออกไปยังห่วง ในท่าที่ศอกไม่กางออกนั้น นอกจากจะคุมบอลให้พุ่งออกเป็นเส้นตรงแล้วยังทำให้ลูกบอลวางบนมืออย่างเต็มลูก...ในการฝึกควรเริ่มฝึกจากระยะใกล้ๆห่วงก่อนเสมอ จนทำได้แล้วเพิ่มระยะห่าง


Follow Through
คือหลังจากยิงบอลไปแล้วให้สังเกตว่านิ้วชี้เป็นนิ้วสุดท้ายที่สัมผัสบอลโดยการยิงนั้นเป็นการใช้นิ้วขยับออกอย่างเร็วแล้วตามด้วยFollow through คือการที่ข้อศอกเหยียดออกพร้อมกับข้อมือหักพับตามการยิง ซึ่งเราจะเห็นว่าแขนและมือเราชี้พุ่งไปยังห่วง
นายแบบ คือ JJ Redick จอมยิงแห่งมหาวิทยาลัยดุ๊ก ซึ่งได้รับการยกย่องว่า ท่ายิงสวยเหมือนออกมาตามตำราเลย
เพราะการที่ยิงได้ตรงตามตำรา เลยทำลายสถิติการทำคะแนนต่างๆของมหาวิทยาดุ๊กเป็นว่าเล่นทั้งๆที่สถิติต่างๆ ไม่มีใครทำลายมานานแล้ว
ฝึกยิงให้แม่นตามLINKนี้
//www.owensworld.com/flashgames/play-429.htm









 

Create Date : 20 กุมภาพันธ์ 2550    
Last Update : 20 กุมภาพันธ์ 2550 14:05:07 น.
Counter : 6890 Pageviews.  


JazzLover
Location :
ลำปาง Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 11 คน [?]




หนุ่มราศีมังกร เลือดกรุ๊ปโอ ตัวโต ขี้ใจน้อย เหงาบ้างเป็นบางอารมณ์ และชอบหาเพลงมาฟังแก้เหงาประจำ...ฟังเพลงทุกประเภท
New Comments
Friends' blogs
[Add JazzLover's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.