สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นดีเสมอ
Group Blog
 
All Blogs
 

ถอดรหัสรวย "เถ้าแก่น้อย-ปัญญ์ปุริ"

think big ฝันให้ไกลไปได้ทั่วโลก

ถอดรหัสรวยเถ้าแก่น้อย-ปัญญ์ปุริ


สัมมนาคืนกำไรของประชาชาติธุรกิจปีนี้จัดขึ้น 3 ครั้งเหมือนเดิม
แต่ละครั้ง (ไม่ได้โม้นะ)น่าสนใจมาก จริงๆ นะเออ
ไม่งั้นจะมีคนล้นหลาม ไม่มีที่นั่ง ต้องยืน 555 (เพราะฟรีนั่นเอง)
ยังไงก็แล้วแต่ แต่ละหัวข้อน่าสนใจ หลายคนขึ้นเวทีนี้ที่แรก
หลายคนเคยมาที่นี่ และไปที่อื่นมาแล้ว แต่ไม่เคยพูดหัวข้อนี้
1 ใน 3 เรื่อง และเป็นหัวข้อแรก เชิญ 2 คนหนุ่ม (มาก) เจ้าของแบรนด์ดังมาไขรหัสลับของความสำเร็จ

ทุกครั้งเหมือนเคย เนื้อหายาวเต็มอิ่ม ตามอ่านได้ใน "ประชาชาติธุรกิจ"

ที่ดึงมาให้อ่านเขียนลงในมติชนสุดสัปดาห์ เป็นฉบับย่อส่วนแต่คัดแต่เนื้อๆ เน้นๆ (ฮา)



หนุ่มน้อยหน้าใสนิ๊งนี้มีชื่อว่า "เถ้าแก่น้อย"...ไม่ใช่ๆ ชื่อแบรนด์


ตัวเล็กคิดใหญ่ โดยต่างมีความมุ่งมั่นที่จะปลุกปั้นสินค้าสัญชาติไทยแท้ขึ้นมาหยัดยืนบนเวทีโลกสำหรับ 2 แบรนด์ไทยไม่ธรรมดา สาหร่ายทอด“เถ้าแก่น้อย” และผลิตภัณฑ์สปาหรู “ปัญญ์ปุริ”

แบรนด์หนึ่งเป็นที่รู้จักแพร่หลายในหมู่ผู้บริโภค อีกแบรนด์จำเพาะเจาะตลาดเฉพาะลูกค้ากระเป๋าหนัก

เมื่อเร็วๆ นี้ ผู้ก่อตั้ง และเจ้าของทั้ง 2 แบรนด์ไทยไม่ธรรมดามาขึ้นเวทีสัมมนาคืนกำไรของนสพ.ประชาชาติธุรกิจเพื่อบอกเล่าเรื่องราวที่น่าสนใจในหลากหลายแง่มุม ในธีม "คิดบวก 360 องศา-ฝันให้ไกลสู้ได้ทั่วโลก"

สิ่งที่เหมือนกันของ “อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์"เจ้าของสาหร่ายทอดแบรนด์ดัง “เถ้าแก่น้อย" และ“วรวิทย์ ศิริพากย์” เจ้าของผลิตภัณฑ์สปาหรู "ปัญญ์ปุริ" คือ แรงสนับสนุนจากครอบครัว

เป็นเรื่องของ “กำลังใจ”ล้วนๆ ไม่เกี่ยวกับเงินทุนใดๆ ทั้งสิ้น

“วรวิทย์”เล่าว่า ครอบครัว คุณพ่อเป็นข้าราชการ คุณแม่มีธุรกิจค้าขาย แต่ตั้งแต่เด็กๆ มาแล้วด้วยความเป็นเด็กเรียนดีมาตลอด ครอบครัวจึงค่อนข้างไว้ใจ และให้อิสระในการตัดสินใจเมื่อคิดพลิกชีวิตจากผู้บริหารมืออาชีพมาทำธุรกิจเอง

จุดหักเหสำคัญสำหรับ เขามาจากเหตุการณ์ 9/11 เครื่องบินพุ่งชนตึกเวิร์ลด์เทรดที่อเมริกาเมื่อหลายปีก่อน

“วรวิทย์”บอกว่า ระหว่างวิ่งออกจากตึกเวิร์ลด์เทรด สิ่งที่แว่บขึ้นมาในหัวคือ คำถามที่ว่า “ยังไม่ได้ทำอะไรอีกตั้งเยอะ ยังไม่อยากตาย ถ้าผ่านตรงนี้ไปได้ ก็อยากทำอะไรที่อยากทำ และชอบบ้าง”

เหตุการณ์วันนั้นจึงเป็นจุดเปลี่ยนชีวิต

“ช่วงนั้นผมเอาชีวิตไปผูกกับอนาคตที่ว่า ทำงานหนักไป พรุ่งนี้คงได้ดีกลับมา เงินเดือนเยอะ อายุ 23-24 ได้เดือนละ 2-3 แสน แต่พอเจอ 9/11 ก็ได้คิด รู้สึกว่า มีบางด้านที่อยากทำแล้วไม่ได้ทำ คือด้านครีเอทีฟจึงสอบชิงทุนไปเรียนที่อิตาลี เกี่ยวกับการบริหารแบรนด์สินค้าหรู”

ลาออกจากงานทิ้งเงินเดือนเรือนแสนไปเรียนต่อ มาลงเอยที่ “ปัญญ์ปุริ”ได้แรงบันดาลใจจากตอนทำวิทยานิพนธ์ก่อนจบที่อิตาลี

“ผมทำทีซิสเรื่องขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ก็คิดว่าอะไรที่ประเทศไทยน่าจะทำได้ดี คือธุรกิจบริการ และสปา คนไทยคุ้นเคยกับสมุนไพร ทีซิสออกมาอ.ที่สอนพอใจมาก แต่ตอนนั้นก็ยังไม่ได้คิดเปิดบริษัท จนมาเจอเพื่อนที่มีโรงงานผลิตสกินแคร์ แต่ไม่มีแบรนด์ ผมมีความรู้เรื่องการตลาด ชอบใช้โปรดักต์พวกนี้จึงคิดว่า น่าจะสร้างแบรนด์เอง"

แบรนด์ปัญญ์ปุริเป็นภาษาบาลีสันสกฤต 2 คำ คือปัญญ์ หมายถึงปัญญา และปุริ หมายถึงเมืองศักดิ์สิทธิ์

“วรวิทย์”แนะนำผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ปัญญ์ปุริ โดยนำสินค้าไปออกงานเทรดแฟร์ มีผลิตภัณฑ์สปา ตั้งแต่ศรีษะจดเท้า ครั้งแรกก็ได้ออร์เดอร์จากต่างประเทศทันที

“การทำสินค้าไฮเอ็นด์ต้องเตรียมงานให้พร้อม ช่วงแรกจึงลงทุนกับภาพลักษณ์ กับบูทกับแพ็กเกจจิ้งมากๆ พอเริ่มมีออร์เดอร์ก็เริ่มขยับขยาย ตลาดในประเทศก็เข้าไปทำโปรโมชั่นในห้างหรู และใช้เวิร์ด ออฟเมาท์ เรามั่นใจในคุณภาพสินค้าของเรา รู้จักใครโทร.หาหมด ให้มาช่วยดูช่วยซื้อ ในที่สุดก็ได้ไปตั้งเคาน์เตอร์เล็กๆ ที่เซ็นทรัลชิดลม และเกสรพลาซ่า ”

ปัจจุบันสินค้าของ “ปัญญ์ปุริ”มีไปวางขายอยู่ใน 21 ประเทศทั่วโลก ในหลายประเทศได้เข้าไปอยู่ในห้างหรู เทียบเคียงสินค้าแบรนด์ดังระดับโลก เช่น ที่ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น หรือในอเมริกาก็ได้รับเลือกเป็นสินค้าแนะนำในนิตยสารของพิธีกร ชื่อดัง “โอปรา วินฟรีย์”

แม้แต่ดารานางแบบระดับโลก “ซินดี้ ครอฟอร์ด”ก็ยินดีให้ “ปัญญ์ปุริ”ใช้ชื่อไปอ้างอิงเพื่อประชาสัมพันธ์สินค้าได้

สำหรับ“เถ้าแก่น้อย-อิทธิพัทธ์“หนุ่มน้อยวัยอายุ 23 ปี ต่างออกไป เพราะเขา ไม่ใกล้เคียงเด็กเรียนเก่งแม้แต่น้อย

โดยเจ้าตัวออกปากเองว่า สมัยเรียนม.ปลาย แทบไม่ค่อยได้เรียน เพราะติดเกมออนไลน์!

“เขา” ไม่ใช่เด็กติดเกมธรรมดาๆ แต่สามารถหาเงินจากการเล่นเกมได้เดือนละหลายหมื่นถึงหลักแสนบาท!!

“มีรายได้จากการเล่นเกมตั้งแต่ ม.4 ม.5 ไม่ได้ขอเงินป๊ากับม้าแล้ว เดือนหนึ่งได้ 2-3 แสน พอเริ่มเล่นเกมหาเงินได้ ก็รู้สึกมีไฟขึ้นมา ได้เงินสบายๆ ตอนเช้าเล่นเสร็จก็ไปเรียนตอนเที่ยง ซึ่งไม่ดี คุณพ่อคุณแม่บอกว่า เล่นได้แต่ต้องไปเรียนนะลูก แต่บางทีผมก็โดดเรียนมาเล่นเกมบ้าง”

มาถึงจุดหักเห เมื่อเกมออนไลน์เริ่มเสื่อมความนิยม หาเงินไม่ได้เหมือนเคย ประกอบกับธุรกิจที่บ้านโดนผลกระทบจากวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 จึงได้คิดว่า ต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยครอบครัว

“ตอนนั้นอายุ 18 ปี ยังไม่ได้ตัดสินใจว่า จะไม่เรียน แค่คิดว่า ต้องทำอะไรช่วยทางบ้าน ตอนเริ่มต้นธุรกิจ ผมมีสองทุน ทุนแรกคือ ทุนที่สะสมจากการเล่นเกม อีกทุนเป็นทุนจากทางบ้าน ซึ่งไม่ใช่เงิน แต่เป็นทุนทางใจ”

“เถ้าแก่น้อย”บอกว่า มีวันนี้ได้ เพราะครอบครัวให้โอกาส ไม่ว่าจะตอนตัดสินใจทำธุรกิจ หรือตอนตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัย

“ป๊าม้าไม่เคยห้าม พี่สาวก็ให้กำลังใจ ตอนนี้ผมอายุ 23 ถ้าไม่ได้กำลังใจจากครอบครัวคงไปไม่รอด”

แม้จะโด่งดังจากสาหร่ายทอด แต่ใครจะรู้บ้างว่า “เถ้าแก่น้อย” ไม่ได้ขายสาหร่ายทอดมาก่อน ?

สินค้าตัวแรก คือ เกาลัดคั่ว


“สาหร่อยทอด”เป็นสินค้าตัวถัดมาที่เกิดขึ้น เพราะความบังเอิญ เช่นเดียวกับชื่อแบรนด์


“วันหนึ่งผมขับรถไปรับเพื่อน พอเข้ามานั่งในรถ เขาก็นั่งกินสาหร่ายไม่พูดไม่จา ผมเลยขอชิมบ้างก็ชอบ เอามาให้แม่ลองชิมก็ชอบ เลยคิดว่า ทำไมไม่เอามาขายที่ร้าน ปรากฏว่าขายดีมาก บางสาขาขายดีกว่าเกาลัดด้วยซ้ำ”

ส่วนชื่อแบรนด์ “เถ้าแก่น้อย”ได้ไอเดียมาจากคำพูดของ “พ่อ”

“วันนั้น ผมนัดห้างไว้ว่า จะเอางานไปเสนอ กำลังจะออกจากบ้าน พ่อคุยโทรศัพท์อยู่หันมาเห็นพอดีเลยคุยกับเพื่อนแซวผมว่า ลูกอั๊วกำลังจะเป็นเถ้าแก่น้อยแล้ว พอไปถึงห้าง เขาให้กรอกใบสมัครว่า จะขายอะไร มีคนขายกี่คน ชื่อร้านอะไร ผมก็คิดว่า เรายังไม่มีชื่อร้าน จะใช้ชื่ออะไรดี นึกอยู่ 5 วินาที ก็เขียนไปว่า ร้านเถ้าแก่น้อย”

ช่วงที่ “เถ้าแก่น้อย”ยังขายเกาลัดคั่ว “อิทธิพัฒน์”เรียนอยู่มหาวิทยาลัยปี 1 แต่เรียนได้เทอมเดียวก็ตัดสินใจลาออกมาทำธุรกิจเต็มตัว

“พี่สาว และแม่บอกว่า ให้เรียนไปก่อนทำงานไปด้วย บอกว่า ต้องอดทน แต่ตอนนั้นผมขยายแฟรนไชส์ มีประมาณ 10 ที่แล้ว ก็รู้สึกว่า แบกโหลดไม่ไหวจึงดร็อปเรียนมาทำธุรกิจเต็มตัว เพราะเป็นสิ่งที่ชอบ

เมื่อยอดขายสาหร่ายไปได้ดีก็คิดว่า จะนำไปฝากขายที่อื่นด้วย เพื่อเพิ่มยอดขาย แต่ช่วงแรกแบรนด์ไม่เป็นที่รู้จัก ร้านค้าไม่ค่อยสนใจจะวาง และเชียร์ให้ลูกค้าซื้อเท่าไร

มาแจ้งเกิดเป็นเรื่องราวเมื่อเขาสามารถนำ “เถ้าแก่น้อย”ไปวางขายในร้านเซเว่นอีเลฟเว่นทุกสาขาได้สำเร็จ

“วันหนึ่งนั่งดูทีวี ได้ยิน คำว่า ป่าล้อมเมือง คิดว่า ผมคือเมือง น่าจะมีต้นไม้เยอะๆ คือร้านสะดวกซื้อจึงลุยเข้าไปเสนอที่เซเว่นฯ นั่งรอหลายชั่วโมงมาก ก็ไม่ได้เจอฝ่ายจัดซื้อเลยฝากของไว้ และโทร.ไปตามทุกวัน โทร.อยู่ 2-3 อาทิตย์ในที่สุดเขาก็บอกว่า ของคุณขี้เหร่ ดูไม่ดี”




“อิทธิพัฒน์”ใช้เวลา 2 เดือน กลับมาปรับปรุงสินค้าของตนเองใหม่ ตั้งแต่แพ็คเกจจิ้ง การออกแบบโลโก้เถ้าแก่น้อย และรสชาติของสาหร่ายทอด เมื่อมั่นใจว่า ดีแล้วจึงกลับไปที่เซเว่นอีเลฟเว่นอีกครั้ง

และครั้งนี้ก็ไม่ผิดหวัง

“เราสนใจสินค้าคุณมากเลย คุณพร้อมจะขายกับเราไหม 3 พันสาขาทั่วประเทศ”

“อิทธิพัฒน์”บอกว่า เขาอึ้งไปประมาณ 10 วินาที ขณะที่ในใจก็คิดว่า ต้องทอดสาหร่ายกี่แผ่น ใช้คนกี่คน มีเงินทำไหม แต่ที่สุดก็ตอบว่า “พร้อมครับ”

ทุนก้อนแรกของสาหร่ายทอด “เถ้าแก่น้อย” ได้มาจากการตัดใจขายแฟรนไชส์ “เกาลัด”ที่มีอยู่เดิม แม้จะเสียดายเพราะเป็นธุรกิจแรกของตนเอง แต่เมื่อต้องเลือก และมองเห็นอนาคตที่สดใสรออยู่ข้างหน้า “อิทธิพัฒน์”ก็ไม่ลังเล

วันนี้ (ปี 2551) สาหร่ายทอดแบรนด์ “เถ้าแก่น้อย”ไม่ได้ขายเฉพาะในประเทศไทย แต่มีไปวางอยู่ในหลายประเทศและมียอดขายผ่านหลักพันล้านบาทแล้วด้วย

ในปีหน้า “อิทธิพัฒน์”ยังตั้งเป้าไว้สูงถึง 2,000 ล้านบาท ซึ่งหนุ่มน้อยวัยยังไม่เต็ม 24 ปี มั่นใจมากว่า “ฝันให้ไกล ไปได้ทั่วโลก”ของเขา ไม่ใช่เรื่องที่ไกลเกินเอื้อมแม้แต่น้อย หากตั้งใจจริง








 

Create Date : 29 ธันวาคม 2551    
Last Update : 29 ธันวาคม 2551 15:36:21 น.
Counter : 3206 Pageviews.  

"วิกฤต=โอกาส"ศุภชัย เจียรวนนท์

"วิกฤต=โอกาส"

มุมคิดของซีอีโอมนุษย์คิดบวก"ศุภชัย เจียรวนนท์"
ไม่ใช่ "ทรูแฟนเทเชีย"นะ




คิดแบบซีอีโอทรู "วิกฤต=โอกาส"

สถานการณ์บ้านเมืองเริ่มคลี่คลายลงบ้างแล้วทำให้คนไทยยิ้มออกขึ้นมาบ้าง แต่ความไม่แน่นอน คือความแน่นอน นาทีนี้จึงยังไม่มีใครแน่ใจได้ว่า จะไม่มีอะไรมาทำให้บรรยากาศการเมือง และเศรษฐกิจเขม็งเกลียวขึ้นมาอีก

ภาคธุรกิจสื่อสาร แม้จะเป็นเรื่องจำเป็น และมักได้รับผลกระทบหลังสุดยังเริ่มออกอาการ ทั้งจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่โทร.น้อยลง และโทร.ไม่นานเหมือนก่อนรายได้จากบริการโรมมิ่งยังลดน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญด้วย

ค่ายอื่นโดนพิษเศรษฐกิจบั่นทอนรายได้ แต่กลุ่มทรูอาจต้องเหนื่อยกว่าใคร(อีกครั้ง) เพราะไม่ใช่แต่ต้องรับมือกับเศรษฐกิจถดถอยยังมีคิวขายหุ้นเพิ่มทุนหาเงินมาจ่ายหนี้ และเพื่อขยับขยายการลงทุนในช่วง ต้นปีหน้าด้วย

แม้จะหนักหนาสาหัสสากรรจ์ แต่แม่ทัพกลุ่มทรู "ศุภชัย เจียรวนนท์" บอกว่าแผนงานต่างๆ ที่วางไว้ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

ด้วยว่า เดินสายกลาง ยึดหลักพอเพียง

"เรื่องเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวทางที่ทรูเข้าใจและยึดหลักนี้มาตลอด หลังปี 1977 ซึ่งเราประสบปัญหามากจากการลงทุนเกินตัวมีหนี้สินล้นพ้นตัววิกฤตครั้งนั้น"

"ทำให้เราเข้าใจวิถีเศรษฐกิจพอเพียงอย่างลึกซึ้ง และปฏิบัติมาตลอด 10 ปีแล้ว ทำอย่างต่อเนื่อง จนวันนี้หนี้ของเราลดลงไปเยอะ ธุรกิจก็เติบโตตามลำดับทุกปี ทำอะไรก็จะทำไปตามกำลังความสามารถ"

"ในยามที่เราไม่ดีแล้ว ถ้าคิดถึงแต่เรื่องไม่ดี ก็คงไม่มีกำลังใจ ถ้ามองว่า ยังมีโอกาสที่เรื่องดีๆ จะเกิดขึ้นก็จะรักษาความพอดีได้ หรือในยามดีมากๆ คิดถึงแต่เรื่องดีโดยไม่คิดถึงความเสี่ยงเลย ก็จะไม่สมดุล"

"ศุภชัย" บอกว่า กับเศรษฐกิจในปีหน้าที่ทุกคนบอกว่า อาจได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลก และจากสถานการณ์การเมืองบ้าน ถ้ามองในทางที่ดี เชื่อว่า ปีหน้าการเมืองบ้านเราจะเข้มแข็งขึ้น และเป็นโอกาสของเราเหมือนกัน เพราะประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ๆ อย่างจีน, รัสเซีย หรือแม้แต่อินเดียก็ได้รับผลกระทบมาก ดังนั้นจึงควรมองว่า จะส่งออกอะไร ไปยังจีนได้บ้าง

มีคนเขาบอกว่า ถ้าคนจีนกินข้าวเพิ่ม วันละ 1 คำ ข้าวที่ผลิตในประเทศไทยทั้งหมดยังไม่พอ

ในจังหวะแบบนี้ต้องมองว่า จะทำอย่างไรให้ธุรกิจและเศรษฐกิจไปได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นประเด็นที่กลุ่มทรูต้องมองด้วย

ในแง่การลงทุนที่จะเกิดขึ้นใหม่ "ศุภชัย" มองว่า ต้องให้เหมาะสมกับความเป็นไปได้ในตลาด ต้องดูให้พอดี ไม่ลงทุนเกินกว่าที่ตลาดจะเป็นไป

"แผนเพิ่มทุนของกลุ่มทรูก็ยังเหมือนเดิม เป้าหมายเรื่อง 3G ก็ยังเหมือนเดิม เพราะประเทศไทยยังขาดแคลนการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต เศรษฐกิจจะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่เรายังขาดแคลน และมีความต้องการใช้การสื่อสารในยุคโลกาภิวัตน์"

ฉะนั้นในแง่ของการลงทุนยังเป็นเรื่องจำเป็น โดยกลุ่มทรูตั้งเป้าไว้ว่า จะเปิดบริการโทรศัพท์มือถือ 3G บนคลื่นความถี่ 850MHz ให้ได้ภายในไตรมาส 2 ปีหน้า

สำหรับเงินลงทุนยังบอกไม่ได้ว่าจะเป็นเท่าไร แต่จะอยู่ในกรอบเดิมของแผน 3 ปี ที่ 1-1.2 หมื่นล้านบาท สำหรับการขยายโครงข่าย 2G และ 3G ซึ่งสัดส่วนการลงทุน 2G จะลดหลั่นลงไป

กับตลาดบรอดแบนด์ยังเติบโตต่อเนื่อง ในปีนี้ก็อยู่ประมาณ 20% เป็นลูกค้าของทรูประมาณ 7 แสนราย

"ทุนของโลกไม่ได้หายไป ในตลาดไทยก็ยังมีอยู่บ้าง เพียงแต่อัตราการเติบโตหรือการกล้าตัดสินใจจะน้อยลง แต่เชื่อว่าทุกอย่างน่าจะดีขึ้น ประเทศไทยตอนนี้มีเงินสำรองสะสมประมาณ 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ถ้าเอามาลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานจะกระตุ้นการเพิ่มขึ้นของ GDP ได้ 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ถ้ารู้จักใช้ในช่วง 2 ปีนี้ การเติบโตก็น่าจะดีขึ้น หมายความว่า ขณะที่คนอื่นเขาหยุดนิ่ง แต่เรายังเดินไปข้างหน้าได้ ในวันที่ทั้งโลกฟื้นกลับขึ้นมา เราก็จะมีความแข็งแกร่งมากขึ้น"

บิ๊กบอสกลุ่มทรูกล่าวต่อว่า นี่อาจเป็นจังหวะของเรา เป็นโอกาสของเรา เรียกว่า คือวิกฤตที่เป็น "โอกาส" ไม่ใช่ว่าเราจะสิ้นไร้ไม้ตอก อย่างจีนมีเงินสำรอง 3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ แต่ส่งออกลำบาก และก็ต้องทุ่มเงินมาลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน อุตสาหกรรมการผลิต เพราะเชื่อว่า GDP ปีหน้าจะโตไม่ต่ำกว่าเดิม โดยจะเน้นที่การบริโภคในประเทศ ซึ่งถ้าโตขึ้น ก็จะมาเสริมการส่งออกของบ้านเราได้

ฉะนั้นถ้าเราวางแผนให้ดี ทั้งตลาดในจีน รัสเซีย อินเดีย ทุกตลาดจะเอื้อกับไทย

"เศรษฐกิจไม่ได้พังไปทั้งโลก จุดที่พังมากที่สุด คือภาคการเงินเท่านั้นเอง"

กลับมาที่อุตสาหกรรมโทรคมนาคม "ศุภชัย" มองว่า ปีหน้าก็ยังโตอยู่ เนื่องจากอุตสาหกรรมสื่อสารเป็นเรื่องของโครงสร้างพื้นฐาน เป็นความต้องการขั้นพื้นฐานที่ยังเติบโตอยู่ เพราะยังขาดแคลน ไม่ว่าจะเป็นเคเบิลทีวี บรอดแบนด์ หรือโทรศัพท์มือถือยังขยายตัวได้อีกยังไม่ถึงขั้นอิ่มตัว แต่อาจโตช้าลงบ้าง

อย่างไรก็ตาม จากสภาพเศรษฐกิจ ใน ปีหน้ากลุ่มทรูคงต้องพยายามควบคุมค่าใช้จ่ายในทุกด้าน แต่ไม่มีแผนลดคนอย่างแน่นอน

ปล.ตีพิมพ์ในประชาชาติธุรกิจ เซ็กชั่น"ไอซีที"ฉ.6ธ.ค.2551




 

Create Date : 08 ธันวาคม 2551    
Last Update : 8 ธันวาคม 2551 12:19:25 น.
Counter : 889 Pageviews.  

คมคำคมคิด “ธนินท์ เจียรวนนท์”

ดองเค็มไว้นานมั่ก
ตั้งกะถอดเทป และตัดฉับๆ ลงในนสพ.ไปแล้วก็ไม่ได้ทำอะไรกับข้อมูล
หลายวันก่อนนึกขยันเลยเก็บมาเขียนใหม่ เขียนร้อยไปเรื่อยๆ จนเสร็จ
ไม่ได้กะว่าจะลงที่ไหน

ที่นี่ที่แรก อิอิ

หลายปีก่อนโน้น สมัยทำงานใหม่ๆ เคยมีโอกาสติดสอยห้อยตามพี่ๆ ในกองบก.ไปนั่งทานข้าวไปคุยไปกับเจ้าสัวธนินท์ที่ตึกทรู (ทีเอสมัยโน้น)

เจ้าสัวหน้าใสนิ๊ง ดูเป็นคนใจดี๊ดี เพราะมีรอยยิ้มติดมุมปากเสมอๆ ทำให้เด็กตัวเล็กๆ อย่างเราตอนโน้น ไม่กลัว ไม่เกร็ง

ถัดนั้นมาอีกกี่ปีจำไม่ได้ ได้เจอกันอีกแบบเฉียดๆ ไม่กี่ครั้ง ทุกครั้งก็มีภารกิจที่จะต้องตามถามโน่นนี่นั่น และทุกครั้งที่ได้จังหวะถาม แม้เพียงไม่กี่วินาที ไม่กี่นาที ก็จะได้คำตอบ พร้อมรอยยิ้ม แบบคนที่มีอารมณ์ดีอยู่เป็นนิจ

ไม่ถึงปีเจอกันอีกแว๊บๆ ไม่ได้คุย เพราะอยู่ไกลๆ เจ้าสัวหน้าใสนิ๊งกว่าเดิมอีกอ่ะ

เรื่องบรรทัดถัดไป เขียนร้อยเรียงมาจากปาฐกถาของเจ้าสัวที่พูดในวันเปิดช่องข่าว 24 ชม. "ทีเอ็นเอ็น"ของทรูวิชั่น

ยาวหน่อยนะ...

คมคำคมคิด “ธนินท์ เจียรวนนท์”
บริหารคน บริหารธุรกิจสไตล์ซี.พี.
มุมมองการพัฒนาเศรษฐกิจไทย


ในโอกาสเปิดสถานีข่าว 24 ชั่วโมง TNN ทางช่อง 7 เคเบิ้ลทีวี “ทรูวิชั่นส์”9 กันยายน 2551 ที่ผ่านมา “ธนินท์ เจียรวนนท์”ประธานกรรมการบริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์(ซี.พี.) ได้แสดงปาฐกถาในหัวข้อ“มุมมองการพัฒนาเศรษฐกิจไทย”

โดยได้แสดงความคิดความเห็นต่อสถานการณ์บ้านเมือง โอกาสของประเทศไทยในเวทีโลก ตลอดจนแนวคิด และมุมมองในการบริหารคน บริหารธุรกิจเครือซี.พี. มีรายละเอียดดังต่อไปนี้

ยึด 3 ประโยชน์ลงทุนทั่วโลก

“เจ้าสัวธนินท์”พูดถึงแนวทางการลงทุนของเครือเจริญโภคภัณฑ์ในประเทศต่างๆ ว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา เครือซี.พี.ได้เข้าไปลงทุนใน 12 ประเทศ โดยใช้วิธี “3 ประโยชน์”

คือ ประชาชน ประเทศ และบริษัท

”ประชาชนในประเทศนั้นต้องได้ประโยชน์ บริษัทต้องได้ประโยชน์ ถ้าบริษัทไม่ได้ประโยชน์เศรษฐกิจ

ธุรกิจของบริษัทไม่รู้เอาเงินที่ไหนมาจ่ายผู้บริหาร ถ้าประเทศนั้นไม่มีประโยชน์ ก็คงไม่ต้อนรับเรา และต้องช่วยสร้างคนในประเทศที่ไปลงทุนด้วย”

สำหรับเครือซี.พี.ถือว่า เติบโตขึ้นมาได้จากประเทศไทย ผืนแผ่นดินไทย ที่มีพระมหากษัตริย์เป็นเจ้าของประเทศจึงต้องเทอดทูนพระมหากษัตริย์ และตอบแทนแผ่นดินไทย ถ้าทำได้ ผลจะย้อนกลับมา ซึ่งไม่ใช่กับเครือซี.พี.เพียงบริษัทเดียว

“ถ้าประเทศไทยน่าอยู่อุดมสมบูรณ์ เราก็อยู่อย่างมีความสุข ผมไปหลายประเทศ ไม่มีประเทศไหนอยู่แล้วมีความสุขเท่าประเทศไทย ไปลงทุน ไปทดลองอยู่มาบ้างหลายประเทศ ยังไงก็สู้ประเทศไทยไม่ได้”

“เจ้าสัวซี.พี.”ย้ำว่า ในโลกนี้ไม่มีที่ไหนอยู่แล้วมีความสุขเหมือนเมืองไทย เพราะคนไทยมีความจริงใจ และต้อนรับแขก แต่ต้องไม่ลืมด้วยว่า ประเทศไทย

ประกอบด้วย “ทหาร”เป็นรั้วของชาติ มี“ตำรวจ”ช่วยรักษาความปลอดภัย และมีข้าราชการที่มีความรู้ประเทศจึงพัฒนามาได้ถึงวันนี้

สำหรับมุมมองต่อประเทศไทยในเรื่องเศรษฐกิจ “ธนินท์”กล่าวว่า ไทยเป็นประเทศที่เสรีที่สุดในโลกแล้ว แม้วันนี้จะวุ่นวาย แต่ต้องสงบลงแน่นอน เพราะคนไทย “รู้แพ้ รู้ชนะ” ถึงจุดหนึ่งจะประนีประนอมกันได้

“วุ่นวายกว่านี้คงไม่มีแล้ว ทุกครั้งปฏิวัติต่างประเทศก็มองว่าเราไม่ได้ทำอะไรให้เสียหายมาก ผมยังมองว่า ประเทศไทยเต็มไปด้วยโอกาส วันนี้เสียหาย เรื่องการท่องเที่ยว แค่ชั่วคราว ที่ผมได้ตัวเลขมา ทั่วโลกมาเที่ยวไทย 15 ล้านคน อยู่เมืองไทย 9 วัน เป็นเงิน ปีละ 4.5 แสนล้าน”

ต่างประเทศเรียกธุรกิจท่องเที่ยวว่า เป็น“อุตสาหกรรมที่ไม่มีปล่องไฟ” คือ ไม่ทำให้สิ่งแวดล้อมเสียหาย ไม่ต้องซื้อวัตถุดิบ มีเงินเข้าประเทศเน็ตๆ 100%

“น้ำมันบนดิน” ขุมทรัพย์ไม่มีหมด

“เราเสียหาย แต่ผมเชื่อมั่นว่า ชั่วคราว ในระยะยาวประเทศไทยเรามีน้ำมันบนดิน”

“น้ำมันบนดิน”สำคัญกว่า “น้ำมันใต้ดิน” เพราะบ่อน้ำมันใช้แล้วหมดเช่นเดียวกับ “ก๊าซ”อย่างเร็ว 50 ปี อย่างช้า 100 ปี อย่างสหรัฐอเมริกาไม่มีนโยบายใช้น้ำมันของตนเอง แม้จะมีน้ำมันมากเป็นอันดับ 2 หรือ 1 ของโลก ก็เพราะน้ำมันใช้แล้วหมด

ประเทศที่มี “น้ำมัน”ต้องกำไรมาก และขายน้อย เพื่อเก็บให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ ไม่ใช่ขายมาก กำไรน้อย เพราะน้ำมันใน “บ่อ”มีหมด ใครก็คิดเป็น แต่กับ“น้ำมันบนดิน”หมดก็ปลูกใหม่ได้ ถ้าระบบชลประทานดีจะปลูกได้ถึง 3 รอบต่อปี และมีคุณภาพดีด้วย

“เรามี 67 ล้านไร่ ที่ปลูกข้าวอยู่ ได้ข้าวสาร 20-28 ล้านตัน ขายออกนอก 9 ล้านตัน ก็เป็นที่ 1 ของโลก ถ้ารัฐบาลสนใจทำตามพระราชดำริ ต้องทำเขื่อนน้ำ ทำชลประทานในพื้นที่ 25 ล้านไร่ ทำให้ 25 ล้านไร่ ผลิตข้าวออกมามากกว่า 67 ล้านไร่ ลงทุนไปเถอะ ไม่กี่ปีคืนทุน เป็นเงินต่อเงินทำให้ผลผลิตมั่นคง ไม่กลัวแห้งแล้ง ไม่มีฝนก็ปลูกได้”

ถ้าระบบชลประทานดี พืชจะได้รับอาหารสม่ำเสมอ ไม่ขาดน้ำ เหลืออีก 42 ล้านไร่ ปลูกยาง ปลูกมันสำปะหลัง ปลูกอ้อยก็ได้ และต้องคิดต่อด้วยว่า ทำอย่างไรถึงจะเพิ่มผลผลิตได้อีก

“ ถ้าปลูกอ้อยทำให้มีความหวานเพิ่มขึ้นได้อีก ต้นทุนก็จะถูกลง ผลิตเอธานอลแทนน้ำมันได้เลย”

ส่งเสริม “คนดี”โชว์ฝีมือ ถึงเก่งก็ผิดได้
“เจ้าสัวธนินท์”ย้ำว่า ประเทศไทยเต็มไปด้วยโอกาส แต่รัฐบาลต้องมีนโยบายในการบริหารจัดการที่ถูกต้องด้วย โดยยกตัวอย่างว่า สมัยก่อนประเทศที่ส่งข้าวออกนอกมากที่สุด คือ พม่า ไม่ใช่ไทย แต่เพราะนโยบายปิดประตูประเทศของรัฐบาลทำให้ข้าวหายไปจากตลาด


ประเทศด้อยพัฒนาหรือกำลังพัฒนามักละเลยชาวนา ชาวไร่ สนใจคนในเมือง มักไปกดราคาคนยากจน ให้คนจนสนับสนุนคนเมือง ถ้าประเทศไทยทำเช่นนี้จะร่ำรวยได้ยังไง

มีคำพูดโบราณบอกว่า ถ้ายากจนจะมีเพื่อนสนิทตามมาอีก 2 คน คือโง่ และอายุสั้น

เพราะถ้าต้องหาเช้ากินค่ำจะไม่คิดถึงการส่งเสริมให้ลูกหลานไปเรียนหนังสือ ตามด้วยความเจ็บป่วย สุขภาพไม่แข็งแรง และอายุสั้น

วิธีแก้ต้องแก้ที่ “ฐาน”ไม่ใช่ที่ปลายเหตุ

และต้องส่งเสริมให้ “ข้าราชการ” ซึ่งเป็นคนเก่ง มีความรู้สูงได้มีโอกาสแสดงฝีมือ ไม่ใช่ออกกฎหมายให้ทุกคนเป็นผู้ร้ายไว้ก่อน ทำเช่นนั้นจะทำให้คนเก่ง ไม่กล้าทำอะไร เพราะไม่ทำ ก็ไม่ผิด

“ที่ถูกคือให้กม.บังคับให้ข้าราชการทุกคนเป็นผู้ดี และค่อยจัดการกับคนไม่ดี ถ้าออกกฎมาว่า เป็นผู้ร้ายจะจับผิดทุกคน ผมกล้าพูดว่า ผู้ดีไม่กล้าทำอะไร”

มากกว่านั้น การบริหารคนของเจ้าสัวธนินท์ยังยึดหลักว่า ถ้าทำ“ผิด”โดยไม่ตั้งใจผิดต้องอนุโลม และต้อง“อภัย”

“ผมบริหารบริษัท ใช้หลักอภัย ถ้าทำผิดโดยไม่ตั้งใจ และรู้ว่าผิด ผมจะให้งานกับพนักงานหรือ

เจ้าหน้าที่คนนั้นๆ ทำต่อ เพราะผิดเป็นครู ถ้าย้ายเขา สุดท้ายเสียเงินเปล่า เสียค่าเล่าเรียนเปล่า คำว่าอภัยในปัจจุบันหายไปจากสังคมไทย ซึ่งอันตรายมาก ถ้าใช้คำว่า อภัย สังคมไทยจะน่าอยู่”
ที่“น่ากลัว”ที่สุด คือคนเก่งทำผิดแล้วไม่รู้ว่าผิด

“คนเก่งผิดแล้วรู้ผิด เงินเสียไป ผมรับรองว่า คืนกลับมาเป็นสิบเท่า เพราะต่อให้เก่งยังไงก็มีทางผิดได้อย่าไปเข้าใจว่า ข้าราชการเราไม่เก่ง เก่งนะ จบฮาร์วาดก็มี และมีผลงาน แต่คนดีไม่กล้าทำ เพราะถ้าไปช่วยนายธนินท์ แม้สตางค์ไม่ได้ คนนอกจะมองว่า ต้องมีอะไร อย่างนี้อย่าช่วยดีกว่า ดังนั้นต้องแก้ ให้คนเก่งกล้าทำ กล้าช่วย กล้าสนับสนุนนักธุรกิจ”

นักธุรกิจเป็นเครื่องมือหาเงินเข้าประเทศได้ ขนาดประธานาธิบดี และนายกรัฐมนตรีทั่วโลกสมัยนี้ยังต้องทำหน้าที่ “เซลส์แมน”

“ประธานาธิบดีอเมริกาไปทุกประเทศ ต้องไปขายสินค้าเกษตร เพราะสินค้าเกษตร ยิ่งกว่าทองคำ ยิ่งกว่าน้ำมัน เป็นอาหารของเครื่องจักรก็ได้ อาหารมนุษย์ก็ได้”

“ธนินท์”บอกว่า อาหารมนุษย์สำคัญกว่าเครื่องจักร เพราะมนุษย์สร้างได้ทุกอย่าง

อะไรจะเกิดขึ้นกับประเทศไทย ถ้า “ผู้ผลิตอาหารมนุษย์”ยากจน เลือกตั้งก็ต้องซื้อเสียง เพราะมองไม่เห็นอนาคต ไม่รู้ว่า เลือกไปทำไม

“คนที่มีรายได้สูง ให้เงินไป รับ แต่ไม่ลงให้ ก็เสียเปล่า แต่คนจน ยิ่งจนยิ่งมีสัจจะ ถ้ารับปากแล้วต้องลงให้ จะถูกผิดไม่รู้ เพราะความรู้เขาน้อย ไม่ได้คิดถึงมะรืน มะเรื่อง ปีหน้า เดือนหน้า เขาคิดวันนี้ เงินจะมาจากไหน มายังไง”

ย้ำ 2 สูง-อย่ากลัวเงินเฟ้อ กลัว “เงินฝืด”
ทุกรัฐบาลไม่เคยพูดถึง “รายได้”ขั้นต่ำของเกษตรกรว่า ควรเป็นเท่าไร พูดถึงแต่ “รายได้”แรงงานขั้นต่ำในเมือง

“ไต้หวัน ปี 1960 จนกว่าเมืองไทย 8-10 เท่า ผมไปช่วงนั้นเป็นมหาเศรษฐีเลย ยิ่งกว่าญี่ปุ่น บอกเป็นนักธุรกิจไทยจะยกย่องมา แต่วันนี้เราถอยมาเหนือกว่า อินโดนีเซียบ้าง แต่แย่กว่ามาเลเซีย และกำลังไปเข้าแถวอยู่กับพม่า เขมร และลาว”

“ธนินท์”มองว่า รัฐบาลควรมีนโยบายส่งเสริมให้ธุรกิจไทยไปลงทุนในต่างประเทศเช่นเดียวกับที่มี“บีโอไอ”ส่งเสริมให้ต่างประเทศมาลงทุนในเมืองไทย

“นักธุรกิจต้องมีบทบาทที่จะสร้างภาษี สร้างงบประมาณ กำไรมาก ภาษีก็เก็บได้มาก”

อย่างไรก็ตาม ต้องอย่าลืมทำให้ “คนส่วนใหญ่”มีรายได้ และกำลังซื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกษตรกร

สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของ“เงินเฟ้อ “ คือ มีเงินแต่ซื้อของไม่ได้ เงินเป็นเศษกระดาษ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ของมีเหลือ แต่เงินไม่พอ

“อย่างข้าวเปลือกรัฐบาลประกาศว่า 14 บาท รู้ไหมว่า ปกติโรงสีซื้อ 7-8 บาท เกวียนละ 7-8 พันบาท อยู่ๆ ราคาขึ้นเท่าตัว แต่น้ำมันขึ้นมา 4 เท่า ผมเป็นเจ้าของโรงสี ซื้อเต็มโกดัง 7 พันบาท เงินที่มีซื้อได้ครึ่งเดียวเพราะราคาขึ้นเท่าตัว ถ้ารัฐบาลไม่คิดถึงตรงนี้ ไม่ปล่อยกู้ให้โรงสี ราคาข้าวเปลือกจะไม่สูงแน่ เพราะมีที่เก็บ แต่ไม่มีเงิน”

ประเทศที่กำลังพัฒนา สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ “เงินฝืด”ไม่ใช่ “เงินเฟ้อ”

“ญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงวันนี้ของแพงที่สุดในโลก เงินเดือนสูงที่สุดในโลก รายได้ต่อหัวต่อคนสูงกว่าอเมริกา แต่เพราะของแพงทำให้คนญี่ปุ่นเก็บเงิน ไม่มีดอกเบี้ยก็ยังเก็บ เพราะเสียดายเงินเราน่าจะศึกษาจากญี่ปุ่นว่า เขาสร้างชาติยังไง 2 สูง ได้ประโยชน์อย่างไร”

“ธนินท์”ย้ำว่า ไม่มีประเทศเจริญแล้วที่ไหนไม่ใช้ทฤษฎี “ 2 สูง”
2 สูง คือเงินเดือนสูง ราคาสินค้าสูง

“ของ 4 บาท อย่าไปซับไดซ์ให้เหลือบาทเดียว แต่ให้เอาเงิน 3 บาท ไปขึ้นเงินเดือน เขาจะรู้เองว่าต้องซื้อเท่าไร เหลือเก็บเท่าไร ถ้าคนเลี้ยงไก่เท่าทุน ไม่มีกำไร รัฐก็ไม่มีภาษี”

ในโลกนี้รัฐบาลที่จนที่สุด คือ ญี่ปุ่น เพราะไม่เก็บภาษีจนคนไม่มีกำลังใจ
“มนุษย์แปลกมาก มีเงินหมื่นอยากมีสองหมื่น ถ้าเป็นหนี้หมื่น มีโอกาสเป็นหนี้สองหมื่นก็ไม่เป็นไร อย่าไปเข้าใจผิด ของแพง เราก็ใช้สองสูง พอเกษตรกรมีรายได้ดี สินค้าเกษตรสูงขึ้น ธนาคารก็กล้าปล่อยเงินให้ เทคโนโลยีจะเกิดขึ้นตามมา”

ตลาดของในโลกนี้คือของเรา

วันนี้เกษตรกรกำไรน้อยมาก เสี่ยงสูงมาก รถแทรกเตอร์ยังใช้คันเล็ก และเปลืองน้ำมัน ขณะที่ในบางพื้นที่ยังต้องใช้ควาย แต่พื้นที่ของซี.พี. 80-90 % ใช้อุปกรณ์ทันสมัยได้แล้ว เช่น การเลี้ยงไก่เมื่อนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยทำให้ผลผลิตสูงขึ้น ต้นทุนถูกลงทำให้ราคาลง มีประสิทธิภาพดีขึ้น และแข่งกับทั่วโลกได้

เจ้าสัว“ธนินท์”กล่าวว่า ต้องส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นเกษตรอุตสาหกรรม นำเทคโนโลยีทันสมัยมาใช้เพิ่มผลผลิต พร้อมกับให้ความสำคัญกับการพัฒนา“คน” ในแต่ละสาขาอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นในธุรกิจโรงแรม โรงพยาบาล การท่องเที่ยว หรือแม้แต่เกษตรอุตสาหกรรมต่างต้องการทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพ

ไม่ใช่ส่งเสริมให้คนไทยไปขายแรงงาน เพราะคงแข่งกับพม่า หรือเวียดนามไม่ได้

“เกษตรกรต้องใช้เทคโนโลยีช่วยเพิ่มผลผลิต ถ้าทำได้สู้น้ำมันได้ เพราะเรามีน้ำมันที่ใช้ไม่มีวันหมด มี
บ่อน้ำมันที่เพิ่มได้ทุกปี เพียงแต่นำไบโอเทคโนโลยีเข้ามาช่วย ผมเชื่อว่า เมืองไทยยังเต็มไปด้วยโอกาส”

และต้องมองว่า ตลาดคือโลก วัตถุดิบที่ไหนถูกให้ซื้อที่นั่น เพื่อผลิตสินค้าไปขายทั่วโลก เพราะถ้ามองแต่วัตถุดิบของเมืองไทยไม่พอแน่
ถ้าตลาดของในโลกนี้คือของเรา ต้องเติมด้วยว่า วัตถุดิบของในโลกนี้ก็ของเราเหมือนกัน

คนเก่งในโลกนี้ก็เหมือนกัน ถ้าใช้ได้ไปเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ อย่าจำกัดตนเอง ถ้ามีคนเก่งในโลกนี้ต้องเชิญมา อย่ามองเขาเป็นต่างชาติ

ไม่ว่าเป็น “แมวดำหรือขาว” จับหนูเป็น ก็พอ









 

Create Date : 04 ธันวาคม 2551    
Last Update : 7 ธันวาคม 2551 20:20:36 น.
Counter : 3409 Pageviews.  

We will never be perfect "ซิกเว่ เบรกเก้ "

"Message from CEO"

คนในดีแทค ฟอร์เวิร์ดจม.อิเล็กทรอนิกส์ที่ซิกเว่ เขียนถึงพนักงานในบริษัทมาให้ หลังจากประกาศลาออกจากตำแหน่ง"ซีอีโอ ดีแทค"เรียบร้อยแล้ว

ลาออกเพื่อไปรับตำแหน่งที่ใหญ่กว่าเดิม ใน"เทเลนอร์ เอเชีย" แม้ไม่ได้ไปไหนไกล เพราะสำนักงานก็อยู่เมืองไทย แต่แน่นอนว่า อะไรๆ คงไม่เหมือนเดิม

อยู่ด้วยกันมานานๆ เป็นธรรมดาที่ย่อมมีความผูกพัน แม้จะเป็นองค์กรที่บอกกับใครต่อใครว่า "ชิน"กับการเปลี่ยนแปลงสักแค่ไหนก็ตาม

ที่สำคัญ เมื่อ "เขา"ต้องเปลี่ยน เราก็จำเป็นต้องเปลี่ยนด้วย อ่ะนะ

...ไม่รู้คนใหม่มา...จะดีเหมือนกับ จะเหมือนกับคนเดิมไหม

ได้ยินมาว่า พนักงานจำนวนไม่น้อยร้องไห้กระจองงองแงที่รู้ว่า นายเก่าอารมณ์ดีดี๊ที่อยู่ด้วยกันมาหลายปี จะต้องลาจาก

คนปากปู นอกบริษัท(ฮา) ได้ยินเข้าบอกก็เม้าท์ต่อตามประสาว่า "ร้องไห้"เพราะห่วงตัวเอง อ่ะนะ (ไม่เจอกะตัวไม่รู้หร้อก)

"ทุกคนเข้าใจการเปลี่ยนแปลง อยากเปลี่ยนแปลงโลก แต่ไม่อยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง"...ลีโอ ตอลสตอยเข้าว่าไว้ 555


Dear Dtac friends

As you may have heard already today, I have got a new job as CEO of Telenor Asia, and I will therefore have to leave as Dtac CEO. The change will happen September 1, and a new CEO will come in.

His name is Tore Johnsen. I can guarantee you that he is a very good man. I have known him for 10 years, he is a friend, and I am very sure that he will continue to build Dtac the way we have built it together.

Actually, I am not really leaving Dtac. In my new job I will be responsible for following up Dtac as a Board director and as a shareholder, and even though I also will be responsible for 3 more companies in Asia, Dtac will definitely be closest to my heart.

I am therefore not saying goodbye.

I have been with you since October 2002. Frankly, I have enjoyed every single day. You have all given me so much, and thanks to you all,

I am a better person and a better leader today then when I came to Dtac.

The one thing I am the most proud of, is the change I have seen in all of you. You have heard me many times talking about my job as “a coach”.

I have tried to coach you as best as I can, because I knew that one day I would have to do something else. Dtac is in my view a much, much better company today. Not because of technology or marketing or promotions or finance.

But because the quality of the Dtac people is so much better today. It has been tough times, it has been many changes, it has been tears, sweat and headaches.

But there has also been fun, passion, action and lots of learning. We will never be perfect, I hope Dtac actually never will be perfect, because then it's not fun and challenging anymore.

I have asked you to change so many times. And you have taken it as a positive challenge. I admire you all for this positive thinking. Now it is time for me to do a change,

and I will also try to meet my change with the same positive thinking as you did. And this is the test to all of you, if you can carry on and continue everything we have build up together without me as your CEO,

well then my friends, we have all succeeded, and Dtac has become a Great Company.

I am not saying goodbye, and on Monday is back to business. September is still many weeks ahead, and we have more work to do.

I will continue to work hard every day in the coming weeks, and together will continue our fight.

Have a nice weekend to all of you.

Sigve




 

Create Date : 17 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 17 กรกฎาคม 2551 16:35:53 น.
Counter : 682 Pageviews.  

"ศุภจี สุธรรมพันธุ์"ผู้หญิงของยักษ์สีฟ้า

"เราต่างมีแสงสว่างในตัวเอง" เป็นชื่อหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่ฉันชอบมาก ถึงมากที่สุด

แสงสว่างในชีวิตคนเล็กๆ ที่ถ่ายทอดออกมาจากปลายปากกาของพี่หนึ่ง-วรพจน์ พันธุ์พงศ์ อ่ะนะ เรียกชื่อเล่นเหมือนรู้จักเป็นการส่วนตัว...ป่าวนะไม่รู้จักหรอก)

กับบางเรื่องในเล่มนี้ แม้จะรันทดท้อ และมีร่องรอยของความทุกข์เจือจางอยู่เกือบตลอดเรื่อง ไม่รู้ทำไม อ่านจบแล้วกลับมีความรู้สึกชุ่มชื่น

ชอบคำนิยามของถนนข้าวสารที่พี่หนึ่งบอกว่า คือถนนสายสั้นที่มีความฝันยาวที่สุดในโลก

หรือกับการตั้งข้อสังเกตุของที่ตั้งของศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย

ไม่ว่าศูนย์วัฒนธรรม หรือจูเลียน่า....โพไซดอน...เอ็มมานูเอล...ใครจะมาก่อนมาหลัง แต่น่าคิดว่า ทำไมบังเอิ๊ญบังเอิญมาตั้งอยู่บนถนนเส้นเดียวกันไปได้ ...วัฒนธรรม และนางงามในตู้กระจก...

ใครไม่เคยอ่าน แนะนำ เล่มนี้สุดยอด

หน้าปกชอบนะ ยังจำได้ติดตาม ปกขาวดำ...

อยากดูมะ...

นี่ไง


จริงๆ ที่จู่ๆ เขียนถึงเรื่องนี้ ไม่ได้มีแรงบันดาลใจมาจากหนังสือเล่มนี้ตรงๆ
แต่นึกถึง ทั้งในฐานะหนังสือเล่มโปรด และเพราะเพิ่งไปคุยกับคนๆ หนึ่งมา

พลัง และความมุ่งมั่นเหลือเฟือในตัวผู้หญิงคนหนึ่ง มีอะไรบางอย่างที่ทำให้นึกถึงหนังสือเล่มนี้ แม้ว่า แสงสว่างในตัวเธอจะเจิดจ้ามาก มาก

หลายวันก่อน ชื่อคุณแต๋ม-ศุภจี สุธรรมพันธ์ ปรากฎเป็นข่าวพาดหัวตัวไม้ในหนังสือพิมพ์ธุรกิจฉบับหนึ่งในฐานะตัวเต็ง "แคนดิเดต เอ็มดี"แบงก์ทหารไทย

เห็นข่าวนี้แล้วไม่แปลกใจ ในแง่ความสามารถ ไม่มีอะไรต้องสงสัย...

ตำแหน่งปัจจุบันของคุณแต๋ม-ศุภจี รองประธานกลุ่มธุรกิจทั่วไป "ไอบีเอ็ม อาเซียน"

ดูแลธุรกิจของไอบีเอ็มใน 10 ประเทศอาเซียน

เป็นคนไทยไม่กี่คนที่ก้าวขึ้นมาถึงระดับนี้

และเป็น "ผู้หญิง"

"หญิง-ชาย"อาจไม่ใช่เรื่องสำคัญ

ไม่ต่างนัก แต่ต้องยอมรับว่า ผู้ชายที่ก้าวขึ้นมาถึงระดับนี้ว่าน้อยแล้ว ผู้หญิงยิ่งน้อยกว่า

ก่อนหน้าที่จะก้าวขึ้นมาคุมตลาดอาเซียนของยักษ์สีฟ้า

คุณแต๋มก็เป็น"เอ็มดี"(หญิง)คนแรกของ "ไอบีเอ็ม ไทยแลนด์" ตอนก้าวขึ้นมารับตำแหน่งนี้ เมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้นก็อายุ 30 เศษๆ

น้อยมั่ก...กับตำแหน่งเบอร์ 1

ไม่เก่งจริง ไม่แน่จริง คงไม่ได้ก้าวมาถึงวันนี้ได้หรอกเนอะ

คุณแต๋ม เป็นคนที่มีพลังเหลือเฟือ ใครได้มีโอกาสคุยด้วยจะไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมเธอถึงก้าวขึ้นมายืนในตำแหน่งนี้ได้

คนบางคนมีพลังเหลือเฟือจริงๆ ความกระตืนลือร้น และพลังบางอย่างยังส่งผลมาถึงคนรอบข้างได้อย่างไม่น่าเชื่อ

คนที่มีความเป็น"ลีดเดอร์ชิป"คงเป็นอย่างนี้เอง



กับตำแหน่ง (ว่าที่)เอ็มดีแบงก์ทหารไทย ไม่ธรรมดาเลย ก่อนหน้าโน้นคุณแต่มก็เคยถูกทาบทามให้สมัครเป็น เอ็มดี "ทีโอที"มาแล้วครั้งหนึ่ง

เธอไม่ได้ปฏิเสธข่าวครั้งกระโน้น แต่พูดพลางหัวเราะไปพลางว่า "ตอนนั้นอายุยังไม่ถึง"

กับแคนดิเดตเอ็มดี แบงก์ทหารไทย ก็ยังไม่ใช่

"ทำไมถึงปฏิเสธ?"ฉันไม่แน่ใจว่าคำถามนี้ ฉัน หรือพี่ๆ ที่นั่งในวงทานข้าวกลางวัน วันนั้นถามขึ้น

"ยังรัก และผูกพันกับไอบีเอ็ม ที่สำคัญยังอยากที่จะเป็นตัวอย่างให้กับน้องๆ ในไอบีเอ็ม เพราะหลังจากนั่งในตำแหน่งเอ็มดีไอบีเอ็ม ไทยแลนด์ ได้ 4 ปีครึ่งแล้วก็จะต้องไปทำงานในระดับอาเซียน"

...อาเซียน?...คนในไทยอาเซียน? (บอกไปแล้วว่า ปัจจุบันคุณแต๋มนั่งเป็นรองประธานกลุ่มธุรกิจทั่วไป ของไอบีเอ็มอาเซียน)

"อยากสร้างมาตรฐานใหม่ว่าหลังจากนั่งเป็นเอ็มดีแล้วยังมีเส้นทางที่จะเติบโตต่อไปได้ และอยากทำให้ดีเพื่อเป็นฐานให้กับคนไทย ให้ต่างชาติเห็นศักยภาพของคนไทย"

คนไทยที่ก้าวขึ้นมาถึงระดับนี้ได้ยังไม่มี....(น่าชื่นชมเนอะ)



"ในช่วงที่บ้านเรามีเหตุการณ์อย่างนี้ ในฐานะคนไทยก็ได้มีโอกาสอธิบายให้ต่างชาติเข้าใจ และมั่นใจกับเมืองไทยว่า ไม่มีอะไรรุนแรง เพราะต่างชาติดูจากข่าวแบบผิวเผินอาจจะรู้สึกไม่ดี"

หน้าที่ความรับผิดชอบทำให้คุณแต่มต้องเดินทางตลอดเวลา หลังไปประจำการอยู่ที่สิงคโปร์มานานถึง 9 เดือน แม้ตอนนี้จะมานั่งทำงานในเมืองไทยแล้ว แต่ก็ยังต้องเดินทางเสมอๆ

เรียกว่าใน 1 อาทิตย์ มีเวลาที่เมืองไทยแค่ 1-2 วันเท่านั้น

"ถ้าคนไม่ชอบเดินทางคงลำบากเหมือนกัน"เธอว่าอย่างนั้น พวกเราทั้งหมดที่นั่งฟังก็เห็นด้วย

อึ้ง ทึ่ง กับความสามารถ และพลังเหลือเฟือของคนไทยคนหนึ่ง และผู้หญิงคนหนึ่ง

ยังรู้สึกถึงแสงเจิดจ้าที่สว่างไสวนั้นได้อยู่เลย (ไม่ได้เว่อร์นะ)

คนบางคนมีพลังเหลือเฟือ ที่ส่งผ่านมาถึงคนอื่นได้อย่างไม่น่าเชื่อ

"เฮ้ย นี่เราจะมัวเอ้อระเหยอยู่อย่างนี้จริงๆ อ่ะ"ฉันถามตัวเองขึ้นมาแว๊บหนึ่ง เมื่อนึกถึงบทสนทนาในวันนั้น

เมื่อตัวอักษรตัวท้ายๆ บนบล็อกนี้จบลง ทุกอย่างคงกลับเข้าสู่โมดปกติ เหมือนที่เคยเป็นมา

เรามักปล่อยให้แสงสว่างในตัวของเราเองส่องแสงวับๆ แวมๆ แบบเดิมต่อไป

ไม่เจิดจ้า ร้อนแรง แต่อบอุ่น (นะ)






 

Create Date : 24 มิถุนายน 2551    
Last Update : 25 มิถุนายน 2551 15:18:26 น.
Counter : 1654 Pageviews.  

1  2  3  4  

cherydnk
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add cherydnk's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.