Group Blog
 
All Blogs
 

Trading System & Technical Analysis [Introduction Part]



สามารถติดตามเพิ่มเติมใด้ที่ Facebook Page นะครับ

สวัสดีครับ วันนี้กลับมาสู่เทคนิคเคิ้ลกันครับ ผมพยายามจะสลับไปสลับมาจะใด้ไม่เบื่อกันนะครับ

ก่อนอื่นสำหรับคนที่ใหม่มากๆ ว่ากันง่ายๆครับ Trading System คืออะไร มันก็คือ การซือขายอย่างเป็นระบบ แปลแบบอนุบาลเลยครับ Smiley ก็คือ จะประกอบไปด้วย กฏ, ตัวแปล, และการตัดสินใจ มารวมกันก็จะทำให้เกิดจุดซื้อขายขึ้นมานั้นเองครับ ยกตัวอย่างเช่น เราตั้งกฏใว้ว่าถ้าราคาผ่า่น EMA period 99 และปิดเหนือเส้นใด้ เราจะทำการเข้าซื้อโปรดักซ์ตัวนั้น แค่นี้แหละครับง่ายๆ ซึ่งถ้าจะลงลึกมันก็แบ่งออกไปใด้หลายสไตร์ด้วยกันครับ แต่ในวันนี้อยากให้ทุกคนทำความเข้าใจกับ การซื่อขายอย่างเป็นระบบและ การวิเคราะห์ด้วยเทคนิคก่อนครับ ซึ่งการวิเคราะห์ด้วยเทคนิค ถ้าที่เคยเห็นกันโดยมากเช่น Price Action รูปแบบแท่งเทียน เทรนไลน์ หรืออะไรก็แล้วแต่ ตรงนี้ต้องบอกก่อนเลยครับผมอาจจะเขียนออกมาในรูปแบบที่ไม่ค่อยจะเหมือนใคร แต่มันเป็นสิ่งที่ผมคิดว่าหลายคนปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป เหมือนกับว่าทุกคนเปิดหนังสือมาหาว่าการวิเคราะห์ด้วยเทคนิคทำยังไง แต่ไม่มีใครสนใจว่าการวิเคราะห์ด้วยเทคนิคมันมาจากอะไร ซึ่งโดยปรกติที่ใช้ๆกัน ไม่ว่าจะเป็นการตี เทรนไลน์ หรือแนวรับแนวต้าน กระแสของกลุ่มที่ใช้เทคนิคแบบนี้(ซึ่งเยอะมาก) มักจะยึดติดกับการทำนาย ทีนี้ มันเริ่มเพี้ยนแล้วครับ วิเคราะห์ด้วยเทคนิคมันเป็นการนำ Historical Prices มาประกอบการตัดสินใจไม่ว่าจะทำเป็นแนวรับแนวต้านหรือรูปแบบราคาต่างๆ ซึ่งคนหลายคนมองข้ามไปว่า แนวรับแนวต้านพวกนี้มันไม่ใด้ถูกกำหนดมาว่า ราคาจะวิ่งมาชนแนวนี้แล้วมันต้องหยุด หรือมันจะเป็นยังไง โดยส่วนตัวผมมองว่า แนวรับแนวต้านที่สมควรมาร์คใว้เป็นจุดตัดสินใจไม่ใช่แนวรับแนวต้านที่ราคาแกว่งไปแกว่งมาเล็กๆน้อยๆตามความผันผวนระยะสั้น แต่ให้มองว่าแนวต่างๆที่จะเกิดขึ้นใด้ต้องมีผลกระทบสำคัญต่อโปรดักซ์ตัวนั้น เช่นว่า ถ้าราคาสินค้า xxx ต่ำลงไปจนถึงจุดนี้ขนาดนี้จะทำให้คนตกงานเยอะ บริษัทใหญ่ๆหลายแห่งจะอยู่ไม่ใด้(สมมตินะครับ) นั้นจะเป็นจุดที่เราควรจะให้ความสนใจเป็นแนวรับจริงๆครับ ทีนี้ลองไปดูรูปแบบอื่นกันบ้างเช่น แท่งเทียนที่เป็นยอดนิยมมากเช่น Pin bar หางสั้น หางกุด ดาวตก อะไรพวกนี้ สำคัญมากสำหรับผมครับ เพราะว่าจริงๆแล้วที่หลายๆคนนำไปใช้ ผมไม่ใด้ถึงกับจะบอกว่ามันผิดหลัก แต่แค่เท่าที่ผมศึกษามาบ้างไม่เคยเห็นผู้คิดค้นหรือ นาย ฮอมมะ เค้าเคยพูดถึงเลยว่า เกิดหน้าตาแบบนี้แล้วราคาจะกลับตัว แต่นายคนนี้กลับให้ความสำคัญกับจิตวิทยา และเขียนแท่งเทียนนี้ออกมาเพื่อบรรยาย อารมณ์ของตลาดแต่คนส่วนใหญ่ที่นำมาใช้ในปัจจุบันนี้กลับนำมาใช้เฉพาะค่าสถิติเช่น เห็นว่าราคากลับตัวเพราะเกิดพินบาร์บ่อย ก็จำใว้ว่า เห้ย พินบาร์มา ระวังกลับตัว ทำให้เป็นจุดที่น่ากระแทก Stop loss มากๆพอโดนกิน Stop กันก็จะออกมาบอกว่า เอ้ย เทคนิคเคิ้ลมันเชื่อไม่ใด้ มันหลอกลวง แต่ผมกลับมองว่ามันน่าจะเกิดจากการที่นำไปใช้ผิดกับจุดประสงค์ที่ผู้คิดค้นเค้าสร้างขึ้นมามากกว่า

เมื่อพูดกันถึงหลักสถิติ เป็นปัจจัยสำคัญในการเทรดด้วย Technical ล้วนแล้วแต่มาจากหลักสถิติ ไม่ว่าจะ EMA,MACD, และRSI โดยส่วนนี้ผมจะค่อยๆมากล่าวถึงในบทความถัดๆไปนะครับ (ผมใด้เขียนถึง Moving Average(MA) กับ MACD ไปแล้วครับ) 
ด้วยการที่เราจะสร้างระบบเทรดออกมาด้วยสัญญาณเทคนิคเคิ้ลทางสถิติเนี้ยผมคิดว่าเราควรจะเข้าใจถึงหลักสถิติของแต่ละตัวก่อนด้วยครับ เช่นว่าเราจะซื่อเมื่อราคาขึ้นยืนเหนือ Moving Average ใด้ เพราะเชื่อว่าจะเป็นเทรนขาขึ้น ลองคิดเล่นๆดูครับว่า ราคาอยู่เหนือ MA คืออะไร มันก็คือ ราคาขึ้นมากกว่าค่าเฉลี่ยของตัวมันเอง ถ้าราคาขึ้นไปอีก มันก็ต้องดึงค่าเฉลี่ยตัวมันเองขึ้นไปแน่นอน คุ้นๆมั้ยครับถ้าใครเคยอ่าน Dow Theory มาบ้างคงจะพอนึกกันออก กับประโยคนี้ Trends exist until definitive signals prove that they have ended  ถ้าเทรนมันขึ้น มันก็จะขึ้นอยู่งั้นแหละครับจนกว่ามันจะหยุดขึ้นไม่สูงไปกว่าเดิม เมื่อมันลงมันก็จะลงไปเรื่อยจนกว่ามันจะลงน้อยกว่าเดิม เหมือนกับที่ผมบอกไปข้างบน ถ้าเทรนมันขึ้น ราคามันเองก็จะขึ้นไปเรื่อย ดึงค่าเฉลี่ยขึ้นไปเรื่อย ไม่ต่างจากกันเลยครับ คนจึงนำค่าเฉลี่ยมาใช้เป็นจุดตัดสินใจ และยังมีอีกหลายเทคนิคเช่น Mean Reversal 

ถ้าให้พูดถึงระบบเทรดที่ค่อนข้างดังอยู่พักนึงก็คงจะหนีไม่พ้น Turtle System เดี๋ยวผมจะมาพูดถึงแบบเต็มๆในฉบับเต็ม แต่วันนี้ขอเกริ่นใว้ก่อนว่า ระบบนี้หลายคนนำไปใช้เพราะคิดว่ามันเป็นสุดยอดระบบเทรดทำกำไรใด้แบบแทบจะพลิกจากยาจกเป็นเศรษฐีกันเลย แต่เปล่าเลยผลที่ใด้คือหลายๆคนทิ้งไปเพราะว่า ทน Whipsaw ไม่ไหวบ้างก็หมดพอร์ทซะก่อนเพราะตามใช้แต่ Donchian Band แต่สิ่งที่ทำให้ระบบเทรดนี้ค่อนข้างเหนือกว่าระบบเทรดทั่วไปนั้นคือ มีการใช้ความผันผวนมาเป็นจุดเด่นครับเช่น การวาง Position Size และกฏต่างๆเพื่อลดปัญหาเมื่อพอร์ทเจอ Drawdown หนักๆ โดยส่วนตัวของผมเองนั้นผมก็ให้ความสำคัญกับความผันผวนค่อนข้างมาก ถึงมากๆเลยครับถ้าจะเทรดด้วยเทคนิคอย่างเดียว

หมดแรงแล้ว
พบกันใหม่กับบทความต่อไปครับ ขอบคุณครับ




 

Create Date : 26 กรกฎาคม 2559    
Last Update : 26 กรกฎาคม 2559 23:37:46 น.
Counter : 691 Pageviews.  

Portfolio Rebalancing Strategy







  ก่อนไปเริ่มกันสามารถติดตามกันใด้ที่ Facebook Page นะครับ

สวัสดีครับหลังจากที่เคยใด้พูดถึงเรื่องการจัดพอร์ทฟอลิโอไปแล้วสำหรับคนที่ยังไม่ใด้อ่านสามารถกลับไปอ่านก่อนใด้นะครับที่ Introduction to Portfolio Structure Part 1

หลังจากไปอ่านมาคงพอนึกภาพการจัดพอร์ทโดยทั่วไปออกกันแล้วนะครับวันนี้ผมจึงขอพูดถึงกลยุทธนึงทีผมชอบมากและเป็นกลยุทธหลักของผมเลยทีเดียวนั้นคือ Portfolio Rebalancing เริ่มแรกมาดูกันก่อนเลยว่า Rebalance มันคืออะไรมันคือการจัดส่วนส่วนของ Asset ในพอร์ทเราครับลองยกตัวอย่างเอาแบบง่ายๆนะครับ สมมติว่าในพอร์ทเรามีมูลค่า 100,000 บาท แบ่งไปซื้อ 
Stock A 50% Stock B 50% ง่ายๆแบบนี้แหละครับจะใด้นึกภาพกันออกง่ายๆก็แบ่งออกเป็นเงิน 50,000 บาท กับ 50,000 บาท


ทีนี้การ Rebalance ก็คือถ้าเราเริ่มลงทุนไปแล้ววันดีคืนดี Stock A ปรับตัวขึ้นมาทำให้มูลค่าขึ้นมาที่ 55,000 บาท ณ สถานภาพพอร์ทเราตอนนี้ก็จะเป็นแบบนี้

Cash = 0
Product  A = 55,000
Product B = 50,000

เราก็ขาย Product A ทิ้งไปเพื่อตบมูลค่าที่มันล้นมากลับเข้าไปครับ เราขาย Product A ไป 5,000 บาททีนี้น้ำหนักพอร์ทจะกลับมาอยู่ที่เดิม

Cash = 5,000
Product  A = 50,000
Product B = 50,000

ทำให้เราใด้ 5,000 บาทมาเป็นเงินสดกำใว้ก่อนครับทีนี้ต่อมาวันดีคืนดี Product B ลดมูลค่าลงเหลือ เหลือ 48,000 บาท เราก็เอาเงินสดเข้าไปเติมครับ

Cash = 5,000 Cash = 3,000
Product  A = 50,000 Product A = 50,000
Product B = 48,000 Product B = 50,000

เรายังมีเงินสดเหลือใว้และมูลค่าพอร์ทเรายังเท่าเดิมครับ พอเห็นความต่างมั้ยครับ
ทีนี้เมื่อเข้าใจ Concept แล้ว
เราก็สามารถวางกลยุทธใด้ว่า Product A และ B จะต้องเป็น Negative Correlation หรือเราจะ เทรดด้วย Cash 50% Product A 50% ก็ทำใด้ครับตรงนี้ก็พลิกแพลงกันไปครับ จะทำกับ Product กี่ตัวนั้นก็ตามใจเลยครับ

และข้อดีของการทำ Rebalance ก็คือ เราสามารถ diversify หลักทรัพย์ของเราเพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นด้วยครับ และยังสามารถเข้าตามตำรา ซื่้อถูกขายแพงอีกด้วย เพราะมันบังคับให้เราซื่อครับเช่น

กฏมูลค่าพอร์ทของเราจะต้องแบ่งท่ากับ 50-50 สมมติงบ 100,000 บาทนะครับ
ราคาเริ่มต้น 10 บาท ซื่อ Product A 5000 หน่วย

เริ่มต้น@10บาท >> ราคาขึ้นไปที่@12บาท
Cash 5 = 50,000  Cash = 50,000
Product A = 50,000 Product A 60,000

เราจึง Rebalance ไปเป็น โดยการขายไปประมาณ 400 หน่วย 
Cash = 54,800
Product A = 55,200

และต่อมาราคาลดจาก 12บาทเหลือ 10 บาทเท่าเดิมทำให้พอร์ทเราเป็นแบบนี้
Cash = 54,800
Product A 46,000

เราก็เอาเงินสดซื้อคืนเข้าไปครับที่ ราคา 10บาทพอร์ทเราก็จะกลับมาหน้าตาแบบนี้ครับ
Cash = 50,800
Product A = 50,000

เท่ากับว่า Product A เราสร้างกระแสเงินสด ใด้ 800 บาท ทำให้ต้นทุนในการถือ 5000 หน่วยที่ราคา 10 บาท จะเหลือเพียง 49,200 ครับหรือเทียบเท่าเราซื่อ ณ ราคา 9.84 บาทครับ ทางเลือกอื่นก็เราจะเอา Cash นี้ไปเทรดตัวอื่น หรือเราจะวางกลยุทธแบบนี้หลายๆตัวก็ทำใด้ครับ

หวังว่าจะเป็นประโยช์นและช่วยให้เกิดไอเดียในการลงทุนใด้นะครับ
ขอบคุณครับพบกันกับบทความฉบับหน้าครับ
อย่าลืมฝากติดตามเพจ ใด้ที่ Facebook Page นะครับสามารถเมสเซจมาคุยกันใด้ 24/7 เลยครับ





 

Create Date : 22 กรกฎาคม 2559    
Last Update : 22 กรกฎาคม 2559 0:20:57 น.
Counter : 1450 Pageviews.  

ตกรถ ติดดอย ทำยังไงดี





ติดตามผลงานอื่นๆผมใด้ที่ Facebook Page



วันว่างๆ ก่อนออกไปทำบุญ ผมเห็นกระแสยังมาแรงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ ครั้งที่ผม Update Portfolio & Market และผมใด้พูดถึง SET ตลาดบ้านเราไปแล้ว วันนี้ผมขอพูดถึงอีกครั้งในอีกแง้มุมนึง สำหรับตัวผมเอง Mr sparta โดยเฉพาะครับ โดยมุมมองของผมในทุกๆตลาดเลย แต่ตอนนี้กระแสมาแรงมากๆจากหลายกลุ่มที่ว่า SET จะ ลง จะ 1500 หรือจะ 1700 ซึ่งหลายๆคน ก็ทำให้ตัดสินใจไม่ใด้ว่า เอ๊ะ ถ้าจะซื้อตอนนี้ จะติดดอยไหม ราคาอะไรๆก็แพงเหลือเกิน หรือมันจะขึ้นอีก ถ้าไม่ซื้อเดี๋ยวก็ตกรถ โอ้ย เสียดายตายเลยถ้าไป 1600-1700 ผมจึงอยากขอเสนอมุมมองของผมครับ ซึ่งด้วยตัวผมเองก็ต้องเชื่อตัวเองหล่ะครับ ฮ่าๆ มุมมองของผมคิดว่ามันยังไหว ผมก็ยังถือ แต่ด้วยความปลอดภัยก็ตัดสินใจปล่อยไปบางส่วนเพื่อลดต้นทุน ซึ่งในจุดนี้ผมเลยอยากให้มองด้านกลยุทธมากขึ้นครับ ในตลาดการลงทุนมันเป็นเรื่องของโอกาสอยู่แล้วครับ ซึ่งสำหรับผมเองถ้ามีโอกาสมาก็ต้อง Bet ครับมากน้อยก็แล้วแต่ความมั่นใจ แล้วแต่ความน่าจะเป็นทีนี้ก็ว่ากันไปตามบุคคลครับ

ซึ่งผมก็อยากให้หลายๆคนลองดูมุมมองใหม่ๆครับเช่น คนที่อยากจะซื้อเพราะกลัวตกรถ ก็ลองคิดต่อครับ ถ้าไม่ซื้อตอนนี้ แล้วมันขึ้นจริง จะทำยังไงครับจะทนรอใด้ไหม ไม่รู้ว่ามันจะลงมาถึงจุดที่คุณคิดว่ามันถูกสำหรับคุณใด้อีกไหม แต่คนที่หลัวจะติดดอย ก็ลองเหมือนกันครับ ถ้าคุณซื้อแล้วคุณติดดอยจริง คุณจะทำยังไงต่อ คุณจะมีการป้องกันความเสี่ยงยังไง กลยุทธคุณจะวางแบบไหนเพื่อรักษาพอร์ทคุณให้อยู่รอดปลอดภัยใด้หรือมีอัตราความเสี่ยงน้อยที่สุด

ลองคิดเล่นๆดูครับ บางคนไม่กล้าซื้อตอนนี้ พอมันกระดึบขึ้นไปอีกสูงกว่าเดิม แต่ตอนนั้นทนความโลภของตัวเองไม่ไหวจึงไปเข้าซื่อจุดที่สูงขึ้น คราวนี้ถ้ามันไม่ขึ้นต่อดอยสูงกว่าเดิมอีกส่วนคนที่อดทนรอซึ่งคิดว่ามันจะลงถ้ามันขึ้นบ้าพลังไปอีกยาวๆ คุณจะทำใจอย่างไรครับแล้วมันไม่ลงมาถึงจุดที่คุณคิดว่ามันเหมาะสม (ซึ่งไอจุดเนี้ยมันไม่มีหรอกครับในความเป็นจริงมันอยู่ที่ตัวคน ซึ่งมองแล้วว่ามันถูกสำหรับคนคนนึงแต่ไม่ใด้ถูกสำหรับอีกคนนึงก็เป็นใด้ครับ) แล้วมันก็ดีกขึ้นไปอีกแล้วไม่กลับมาอีกเลย คุณจะกล้าขึ้นไปซื้อมั้ยครับ

ด้วยส่วนตัวของผมเองผมก็เข้าใจครับว่าจุดนี้เป็นจุดยากที่จะตัดสินใจด้วยเหตุผลที่ว่าไปข้างบนนั้นแหละครับ เพราะว่าอะไร ก็เพราะตลาดมักเป็นแบบนี้เสมอๆครับ ถ้ามันง่ายคงไม่มีคนจนหรือคนขาดทุนแน่ครับ แล้วสมัยนี้แล้วมันมีอุปกรณ์มากมายที่ช่วยให้เราวางกลยุทธป้องกันความเสี่ยงใด้มากขึ้น เช่น Future, Option ผมคิดว่าตัวผมควรจะใช้มันให้เป็นประโยช์นครับ(ซึ่งผมคิดว่าเจ้าTools พวกนี้มันถูกออกแบบมาแบบนี้แหละครับ ไม่ใด้เอามาเก็งขึ้นเก็งลง ในสายตาผมนะครับ)

สรุปแล้วในตัวผม ผมคิดว่ามันถูก ผมคิดว่ามันแพง เป็นแค่มุมมองส่วนตัวของผมครับ ถึงผมจะมองว่ามันแพงในบางครั้งแต่เมื่อมีโอกาสผมต้อง Bet ในอัตราส่วน ผลตอบแทน รวมถึงการป้องกันความเสี่ยงที่เหมาะสมครับ สิ่งที่ผมจะไม่เข้าไปยุ่งเด็ดขาดนั้นคือสิ่งที่ผมไม่สามารถควบคุมความเสี่ยงใด้ (Risk management) แต่ในเมื่อผมยังควบคุมใด้ไม่มีอะไรต้องกลัวครับ สำหรับผมแล้ว โอกาสมาต้องคว้าครับ เปรียบเสมือน Poker เหมือนกันครับเมื่อมีโอกาสเราต้องกล้า Bet แต่เมื่อแพ้เราต้องกล้า Fold ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นจุดแข็งในการลงทุนของผมครับที่ผมกล้าหมอบ (ไม่ใช่แค่การลงทุนใน SET นะครับผมสวนตัวผมมองว่าความเสี่ยงยังน้อยถ้าเทียบกับโปรดักซ์ตัวอื่นๆ)

หวังว่าจะเป็นประโยนช์นะครับ โชคดีในการลงทุนครับ




 

Create Date : 20 กรกฎาคม 2559    
Last Update : 20 กรกฎาคม 2559 15:17:10 น.
Counter : 359 Pageviews.  

Introduction to Foreign Exchange Market a.k.a. Forex Market






ติดตามช่องทางใหม่ใด้โดยง่ายผ่านทางFacebook Page

พิมพ์เกือบเสร็จแล้วไฟตกSmiley

สวัสดีครับ เมื่อวันก่อนผมใด้พูดถึงตลาดหุ้นและกองทุนรวมไปแล้วและวันนี้ผมขอพูดถึงตลาดที่ผมคิดว่าคนไทยจำนวนไม่น้อยยังไม่เข้าใจในตลาดนี้ดีพอถึงค่อนข้างแอนตี้ตลาดนี้พอสมควรทั้งยังบอกเป็นการพนันต่างๆนาๆ นั้นก็คือ Foreign Exchange Market หรือ FOREX นั้นเองครับ 

ผมขอเกริ่มสำหรับคนที่ไม่รู้จักก่อนเลยตลาด FOREX คือตลาดที่ทำการซื้อขาย ค่าเงิน  นั้นเองครับ เป็นตลาด OTC (Over The Counter) ตลาด OTC ก็คือ นักลงทุน จะซื้อๆขายๆผ่าน อินเตอร์เน็ตครับ เจ้าตลาดค่าเงินนี้เป็นตลาดที่ใหญ่ และ มีสภาพคล่อง(Liquidity) สูงที่สุดครับ สภาพตลาดก็ถูกขับดันจากหลายอย่างครับ เช่น เศรษฐกิจ (Economic), ดอกเบี้ย(Interest Rate), และ การเก็งกำไรในระยะสั้น (Speculation) และตลาดค่าเงินยังเปิดทำการ 24/5 หรือ เปิดทุกวันตลอดเวลายกเว้น เสาร์-อาทิตย์ครับ

การซื่อขายค่าเงินจะทำการซื่อขายเป็นคู่ครับ(Pair Trade) เช่นคู่ค่าเงิน EUR/USD ค่าเงิน ยูโรต่อดอลล่า สหรัฐ ครับโดยในการซื้อขายมีหลักการจำง่ายๆครับคือ ค่าเงินตัวหน้าเป็นฐาน มีค่าเท่ากับ 1 เสมอส่วนค่าเงินตัวหลังราคาจะอยู่บนกระดานเพื่อใช้ซื่อค่าเงินตัวหน้า
ยกตัวอย่างครับ EUR/USD @ Price 1.1 = เราต้องใช้เงิน $1.1 ในการซื่อเงิน 1 ยูโร ครับ จำง่ายๆแค่นี้แหละครับ

ในการเปิดสัญญาจะมี 2 อย่างเหมือน Future ครับคือ Long&Short
Long ก็คือ ซื้่อ เล่นขาขึ้นนั้นแหละ
Short ก็คือ ขาย เล่นขาลงนั้นเอง
คิดง่ายๆ จะทำอะไรดูตัวหน้าครับ Long(buy) EUR, Short(Sell) EUR

ขนาดสัญญาในการซือขายในตลาดนี้จะแบ่งหลักๆใด้แบบนี้ครับ

1 Lot = 100,000 Units (Standard)
0.1 Lot = 10,000 Units
0.01 Lot = 1,000 Units

แต่ในบางกรณีโบรคเกอร์บางแห่งก็เพิ่มออบชั่นเข้าไปคือ 0.001 lot = 100 units ครับหรือที่คนไทยเรียกกันว่าบัญชี Cent นั้นเองครับ

คิดราคาการซื่อขายยังไง??

ยกตัวอย่าง ผมต้องการซื้อเงิน EUR ด้วย USD หรือ EUR/USD จำนวน 1 Lot ที่ราคาบนกระดาน(สมมติ) 1.5 นั้นหมายถึงว่า
1 Lot of EUR/USD = 100,000of EUR(Unit) = unit * price = USD นั้นคือผมต้องใช้เงิน $150,000 ในการซื่้อ 100,000 Unit ของ EUR ครับ เงินจำนวนนี้คือจำนวนเงินซื้่อขายจริงครับ

แต่ในตลาดนี้จุดเด่น และเป็นจุดที่สำคัญมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆซึ่งทำให้หลายๆคนมองตลาดนี้ในแง้ลบนั้นคือ

Leverage

ซึ่งในตลาดค่าเงินนี้เป็นตลาดที่เทรดบน Leverage หรือตลาดมาร์จิ้น (Margin)นั้นเองครับเจ้า Leverage ในสายตาของผมคือ Credit ครับเช่นเราตั้ง Leverage ที่ 1:10 นั้นหมายความว่า เงินเรา 1 ซื้อของ 10 เป็นการเพิ่มอำนาจการซื่อขายของเงินเรา 10 เท่า(แล้วแต่จะตั้งนะครับจะเป็น 1:10,1:100,1:500 ก็ใด้ในตลาดนี้ซึ่งให้สูงมากๆ)
ในจุดนี้ทำให้คนเราลืมไปว่าต้นทุนที่ใช้จริงๆมันเท่าไรแล้วใช้ Leverage โดยที่ไม่รู้หน้าตักตัวเองเลยทำให้เมื่อตลาดเกิดความผันผวน(Volatility) ในระยะสั้นขึ้นมาคนเหล่านั้นก็เจ๊งไปโดยปริยาย ซึ่งการที่เจ๊งด้วยรูปแบบนี้ผมมองว่าคนเหล่านั้นไม่เข้าใจในตัวนี้จริงๆครับ ไม่สามารถมาอ้างใด้ว่าเป็นการพนัน เพราะตัวเองยังไม่รู้หน้าตักตัวเองเลยหรือที่เค้าเรียกกันว่า Over trade และในที่จริงตลาดค่าเงินโดยเฉลี่ยวิ่งวันนึงราวๆ 1%+- เองนะครับ ก็ถือว่าไม่ใด้เยอะว่ามั้ยแต่มันก็เป็นเพราะเจ้านี้อีกนั้นแหละที่มันทำให้ กำไร/ขาดทุน มันดูเยอะแยะซะจริง

เรามาลองดูตัวอย่าง Position Size และ Leverage กันครับ
ยกตัวอย่างเช่นบัญชีของผมตั้ง Leverage ใว้ที่ 1:10 
และผมใด้เข้าไปซือค่าเงิน EUR ด้วย USD หรือซื้อ EUR/USD นั้นแหละครับที่ขนาดสัญญา 1 Lot ณ ราคาที่ 1.5(สมมติ) ในความเป็นจริงผมต้องใช้เงินในการวางเปิดสัญญา ที่ $150,000 เพื่อซื่อ 100,000 Units(EUR) ถูกมั้ยครับ
แต่เมื่อมี Leverage เข้ามาตามที่ผมเลือกใว้คือ 1:10 นั้น = ว่าผมจ่ายเพียง 1 เอา 10เท่าของ1
เงินจริงใช้ที่ $150,000 แต่ด้วย Leverage แล้วผมจ่ายจริง(Margin)เพียงแค่ $15,000 เพื่อซื้อ 100,000 Units(EUR) ครับ
สมการคิดง่ายๆครับ (Price * Contract Size(Unit))/Leverage

ทีนี้เราจะเห็นแล้วว่าเราจ่ายจริงน้อยมากๆ ซึ่งทำให้คนเราไม่ได้นึกถึง Profit/loss ที่จะเกิดขึ้นเมื่อราคาแกว่งตัวทำให้เจ๊ง(Margin call) เอาง่ายๆครับ

เพราะฉนั้นเบื้องต้นถ้าให้ผมแนะนำในการเข้ามาในตลาดนี้ครับ ควรจะใช้ Leverage ให้น้อยที่สุด 1:1 ใด้ยิ่งดีครับ(คือการวางเงินเปิดสัญญาเต็มจำนวนนั้นแหละครับ)ซึ่งมันต้องการเงินทุนสูงมากในการเปิดสัญญา ไม่เหมือนกับที่ใช้ Leverage 1:1000 เทรดบนเงินทุน $10 แค่เริ่มก็ Over ไปไหนต่อไหนแล้วจริงมั้ยครับเพราะฉะนั้นจะมาบ่นไม่ใด้นะครับว่าตลาดมันการพนัน - -*(แอบบ่น)

และอีกเรื่องคือตลาดมันโหดกว่าหุ้น สำหรับผมมองว่ามันไม่ใด้โหดกว่าหุ้นเลยครับมันก็เหมือนเรื่องที่ผมพูดไปข้างบนนั้นแหละมันมี Leverage และยังมี2ทางอีกตะหาก สำหรับมือใหม่ก็อยากจะให้ศึกษาตรงนี้ดีๆก่อนครับส่วนใหญ่เข้ามาก็ไปควานหาเทคนิคเทรด(Trading System)กันซะละซึ่งผมมองว่ามันไม่ใด้ช่วยอะไรเลยครับ เทคนิคมันก็คือเทคนิคเสริมประสิทธิภาพในการเทรด แต่เบสิคยังไม่ใด้จะไปรอดได้อย่างไร . . . .

และอีกเรื่องที่ผมอยากจะเตือนใว้ก่อนคือ Broker ครับในตลาดนี้อย่างที่บอกว่าเป็น OTC ซึ่งมันอันตรายครับ เดียวเรื่องนี้ผมจะพยายามรวบรวมโบรคเกอร์ที่ผมเคยใช้และคิดว่าดีพอในการจะฝากเงินมา รีวิวให้ครับ

วันนี้ผมขอจบเบสิค กับตลาดนี้ก่อนแล้วกันนะครับ เสียใจพิมพ์ไปเยอะมากรอบแรกแต่ไฟตก T-T

พบกันใหม่รอบหน้าครับ อย่าลืมติดตามใด้ที่ช่องทางใหม่ง่ายๆและสะดวกยิ่งขึ้นที่ Facebook Page

ขอบคุณครับ





 

Create Date : 20 กรกฎาคม 2559    
Last Update : 20 กรกฎาคม 2559 2:04:12 น.
Counter : 498 Pageviews.  

Investment For Beginner [First Chapter]







ประกาศก่อนเริ่ม ทุกท่านสามารถติดตามใด้ง่ายขึ้นที่ Facebook Page ครับ คลิก เลย


ทุกวันนี้ยังมีผู้คนมากมายที่ต้องการจะลงทุน แต่ไม่รู้จะเริ่มอย่างไรต้องขอเกริ่นก่อนว่าในทุกๆวันนี้คนเราอยู่ด้วยการลงทุนมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นพนักงานขับรถ, พนักงานออฟฟิส, พนักงานรักษาความปลอดภัย อาชีพเหล่านี้ก็คือการลงทุน เป็นการลงทุนด้วยเรี่ยวแรงของผู้ลงทุนเพื่อแลกมาด้วยทรัพย์สิน หรือเงินเดือนและเริ่มมีคนมากขึ้นเรื่อยๆที่มองหาการลงทุนด้วยวิธีทางอื่น ซึ่ง ณ ตอนนี้ที่ผมคิดใด้มีแค่ 2 ทาง ทางแรกก็คืออย่างที่ใด้กล่าวไปการลงทุนด้วยแรงของเราเองเพื่อแลกทรัพย์สินมา หรือ อีกทางก็คือลงทุนด้วยทรัพย์สินของเรา เพื่อให้ทรัพย์สินเหล่านั้นทำงานแทนเรา เพื่อเป้าหมายแตกต่างกันออกไป แต่กลุ่มคนที่เข้ามาในโลกแห่งการลงทุนด้วยทรัพย์สินมักไม่พ้น Financial Freedom(อิสระภาพทางการเงิน), Wealth(ความมั่งคั่ง), Retirement(ใช้ยามเกษียณ), หรือจะเป็นการป้องกันทรัพย์สิน(เงิน)ของเราต่ออัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นทุกวัน(Inflation) ด้วยเป้าหมายเหล่านี้หลายๆคนจึงเลือกมาลงทุนด้วยทรัพย์สินของตัวเองซึ่งมีหลากหลายทาง เช่น ลงทุนในหุ้น(Stock),พันธบัตร(Bond), กองทุนรวมต่างๆ(Mutual Fund), อสังหาริมทรัพย์(Real Estate), ตราสารอนุพันธ์(Derivative), หรือจะเป็นโลหะมีค่าต่างๆ(Precious Metal) ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถตอบสนองนักลงทุนใด้

ก้าวแรกที่จะต้องการลงทุนนั้นจะต้องถามตัวเองก่อนครับว่าเราต้องการอะไร เป้าหมายเราคืออะไร เช่นตัวผมเอง ผมต้องการทุกอย่างที่กล่าวมาข้างบน Smiley กลับมาพูดถึงการลงทุนต่างๆก่อน การลงทุนต่างๆก็มีจุดดีจุดเด่นจุดด้อย หรือเหตุผลในการถือครองต่างๆกันไป ก็อยู่ที่ตัวนักลงทุนจะเลือกตามความเหมาะสม 
เขียว = เสี่ยงน้อย, เหลือง=ปานกลาง,เหลืองแดง=เสี่ยง,แดง= เสี่ยงสูง

การฝากเงิน >> พันธบัตรรัฐบาล >> หุ้นกู้ >> หุ้นสามัญ >> ตราสารอนุพันธ์
กองทุนรวม

Asset class ก็ใด้แบ่งใว้คร่าวๆประมาณนี้ครับ มีใว้ตามความเหมาะสมของนักลงทุนแต่ละคน เสี่ยงมากเสี่ยงน้อย รีเทิร์นมากรีเทิร์นน้อย ตรงนี้ผมคงบอกอะไรไม่ใด้อยู่ที่ตัวบุคคลล้วนๆ ครับเพราะว่าจะพวกนี้จะเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ตามทักษะ ตามประสบการณ์ของที่จะพัฒนาไปเรื่อยๆครับและตามกลยุทธที่เราวางใว้

ในวันนี้ผมขอเริ่มจากตัวฮิตๆในบ้านเราก่อนละกันครับ ตัวแรกคือการลงทุนใน หุ้น (Stock) ซึ่งเป็น Asset ที่มีความเสี่ยงค่อนข้างสูง กว่า Money market(ตลาดเงิน) ครับ
ปูพื้นสำหรับคนที่ไม่ใด้ศึกษาด้านนี้มาเลย เจ้าหุ้น นี้ก็คือหุ้นครับ Smiley หุ้นที่ซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์คือการที่ บริษัทที่ต้องการเงินออกขายหุ้นให้แก่ประชาชนเพื่อนำเงินเหล่านั้นไปลงทุนตามนโยบายบริษัท ขยายกิจการ อะไรก็ว่าไปครับ ซึ่งผู้ซื่อหุ้น เปรียบเสมือน เจ้าของร่วม กันกับบริษัท และถ้าบริษัทมีกำไรขึ้นมาก็จะนำเงินมาแบ่งกับผู้ถือหุ้นครับในทางด้านส่วนต่างของราคาเมื่อบริษัทเติบโต ราคาหุ้นก็สูงขึ้น หรืออีกทางสำหรับบางบริษัทที่มีนโยบายออกปันผล ก็จะจ่ายเงินส่วนนี้ให้แก่นักลงทุนครับ

ส่วนอีกอย่างนึงทีฮิตและเติบโตขึ้นเรื่อยๆ คือกองทุนรวม(ขอเป็นกองทุนรวมก่อนกองทุนอื่นๆโอกาศหน้าครับ) กองทุนรวมคือเครื่องมือในการลงทุนสำหรับนักลงทุนรายย่อยที่มีเม็ดเงินลงทุนจำกัด จึงต้องมีการระดมทุนเหล่านั้นให้มาเป็นก้อนเดียวกัน และนำไปซื่อหลักทรัพย์ต่างๆ นักลงทุนจะใด้หลักฐานการลงทุนเหมือนการซื้อหุ้น นั้นคือ หน่วยลงทุน (Unit Trust) เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันความเป็นเจ้าของๆเงินที่ใด้ร่วมลงทุนไป โดยทั่วไปจะผ่านทางบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆเป็นการจัดตั้งกองทุนขึ้นมาและมีการบริหารงานโดยผู้จัดการกองทุน (Fund Manager) นักลงทุนจะใด้ผลตอบแทนจากส่วนต่างของมูลค่าทรัพย์สินของกองทุน (Net Asset Value) หรือ NAV และบางกองยังมีนโยบายปันผลอีกด้วย
และ ยังมีแยกออกมาสำหรับเป้าหมายตามที่นักลงทุนต้องการโดยเฉพราะ เช่น LTF(Long Term Equity Fund) ภาษาไทยคือ กองทุนรวมหุ้นระยะยาวววววว จุดประสงค์หลักคือการหนุนเม็ดเงินในตลาดทุนไทยครับโดยมีการจูงใจนักลงทุนมากกว่ากองทุนรวมคือ ลดหย่อนภาษี นั้นเองงงงง(บางคนหวังสิ่งนี้สิ่งเดียว ผิดมหันต์ครับใว้โอกาสหน้าผมจะมาเขียนถึง)
และนโยบายการลงทุนของ LTF คือลงทุนในหุ้นสามัญที่จดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยไม่น้อยกว่า 65% ส่วนจะไปลงทุนในกลุ่มไหน ยังไงแล้วแต่นโยบายครับรวมไปถึงนโยบายปันผล จะมีหรือไม่มี ก็ต้องไปดูเอาในหนังสือชีชวนของกองทุนที่สนใจครับ ผมขอพูดคร่าวๆไม่ใด้เจาะลึกนะครับเพราะในข้อมูลบางอย่างต้องไปเทียบกันเอาเองตามนโยบายของแต่ละกองทุนครับ
ข้อแตกต่างระหว่าง LTF และกองทุนรวมทั่วไปคือ

1. LTF ลดหย่อนภาษีใด้ โดยมีข้อแม้ต้องถือครบอายุปฏิทิน 5 ปี และเงื่อนไขใหม่ หลังจากปี 2560 ต้องถือทั้งหมด 7 ปี ปฏิทินครับ
2. ห้ามขายเกิน 2 ครั้งต่อปี
3. ไม่สามารถนำไปเป็นหลักประกันหรือโอนใด้
4. ลงทุนสูงสุดไม่เกิน 15% ของเงินได้ และ ไม่เกิน 500,000 บาท
5. กำไรส่วนต่างจากการขายคืน (Capital Gain) ไม่ต้องเสียภาษี แต่ต้องห้ามเกิน 15%  

ส่วนอีกตัวก็คือ RMF(Retirement Mutual Fund) ภาษาบ้านเกิดคือ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ เป้าหมายมีใว้สำหรับออมเงินระยะยาววววววววว ใว้ใช้หลังเกษียณ เปรียบเทียบๆคล้ายๆ กองทุนบำเหน็จบำนาญของข้าราชการ (Government Pension Fund) หรือบางบริษัทจะมี กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ(Pension Fund) 
อธิบายกฏคร่าวๆของเจ้า RMF กันครับ

1. เมื่อเริ่มลงทุนแล้วต้องซื่ออย่างต่อเนื่องอย่างน้อยปีละครั้ง
2. ผู้ลงทุนจะขายคืนใด้ก็ต่อเมืออายุครบ 55 ปี
3. ลงทุนขั้นต่ำที่ 3% ของเงินได้/ปี หรือ  5,000 บาท แล้วแต่อันไหนต่ำกว่า
4. RMF ไม่มีนโยบายปันผล
5. ใช้ลดหย่อนภาษีใด้โดยทำตามเงื่อนไขครบ (ลดหย่อนภาษีใด้ไม่เกิน 15% ของเงินได้ในภาษีปีนั้น)
6. ไม่สามารถนำไปเป็นหลักประกันหรือโอนใด้

เจ้า RMF นี้เป็นการลงทุนระยะยาวววววววววววววมากครับ เค้าจึงออกนโยบายให้เพื่อลดความเสี่ยงต่อเงินลงทุน เพราะว่า ถ้าเกิดเราลงทุนในหลักทรัพย์ชนิดเดียวระยะยาวววววจนเกินไปอาจโดนความผันผวนในช่วงเวลาครบพอดีอาจซวยใด้ ดังนั้นเค้าจึงอนุญาติให้นักลงทุนสามารถโยกเงินไปๆมาๆใด้ จากกองหุ้น ไปกองพันฐบัตร ใด้โดยไม่ถือว่าเป็นการขายคืนครับ

และสำหรับบางคนมีการลงทุนหลายส่วนเช่น เป็นข้าราชการ ก็จะมี กบ ข(กองทุนบำเหน็จบำนาญ ข้าราชการ คงยังไม่ลืมกันนะ) หรือเอกชน PVD (ลืมยังสำรองเลี้ยงชีพอะ) และประกันชีวิตแบบบำนาญ

ถ้ามีพวกนี้จะต้องเอามารวมกันกับเงินที่ลงทุนใน RMF และจะต้องน้อยกว่า 15%ของเงินใด้ และต้องน้อยกว่า 500,000 บาท

วันนี้ขอจบเพียงเท่านี้ก่อนครับ

พบกันใหม่กับ Investment For Beginner ฉบับต่อไป อย่าลืมติดตามช่องทางใหม่ได้ที่ Facebook Page คลิก ถ้าเป็นประโยนช์ต่อผู้อ่านโปรดแชร์ต่อเพื่อเป็นประโยนช์ต่อผู้อื่นนะครับ
คืนนี้ลาไปก่อน ขอบคุณครับ





 

Create Date : 19 กรกฎาคม 2559    
Last Update : 19 กรกฎาคม 2559 1:36:09 น.
Counter : 1182 Pageviews.  

1  2  3  

Mr Sparta
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เม่าตัวเล็กๆตัวหนึ่ง
Friends' blogs
[Add Mr Sparta's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.