Group Blog
 
All Blogs
 

MACD; King of Indicators (Is it True??)











Facebook page มาแล้วนะครับติดตามกันง่ายๆเลย

มีเวลาว่างระหว่างวันก่อนไปเขียนอะไรที่ดูเป็นวิชาการขอเอาใจนักเทคนิคเคิ้ลก่อน
วันนี้เรามาลองดูสุดยอดอินดิเคเตอร์ที่นักเทคนิคทุกคนต้องรู้จักนั้นคือ MACD(Mac-Dee)หรือเจ้า แม็กดี นั้นเองทำไมผมถึงบอกว่าเป็นสุดยอด เพราะว่าร้อยละ70%  เท่าที่ผมสังเกตุในชาร์ทของนักเทคนิคมากมายมักจะมีเจ้านี้อยู่วันนี้เรามาลองพูดถึงตัวนี้กันดูครับว่ามันดีอย่างที่ตาเราเห็นไหม

บทความต่อไปนี้ผมจะพูดถึงมุมมองของผมเท่านั้นนะครับอาจจะแตกต่างจากมุมมองของคนอื่นใช้วิรณญาณในการอ่านนะครับ

ขอเกริ่นและให้เครดิตกับเจ้าของคือ นาย  Gerald Appel ผู้คิดค้น MACD หรือชื่อเต็มๆก็คือ  moving average convergence/divergence 

Gerald Appel  คือคนนี้ครับ


โดยที่เค้ามีความคิดที่จะใช้เจ้าแม็กดีนี้วัดทิศทาง และความแข็งแกร่งของเทรนด์ครับ
ส่วนลักษณะของเจ้าอินดิเคเตอร์ตัวนี้ ตามชื่อเลยครับ moving average convergence/divergence  มันก็คือการนำ Moving Average มาใช้ประโยช์นนั้นเองซึ่ง MACD จะมีส่วนประกอบหลักๆอยู่ 3 อย่างนั้นคือ
  1. Signal Line (เส้นสีเหลืองในรูปครับ)
  2. MACD Line (เส้นสีฟ้าในรูปครับ)
  3. Histogram (แท่งๆครับ)
หน้าตาเป็นแบบนี้ครับ



เรามาดูสูตรของแม็กดีกันก่อนดีกว่า (Period ที่ผมจะใช้ก็เป็น Default นะครับคือ 12,26,9)
MACD 
Calculation
(1) อันดับแรกเราต้องคิดเจ้าเส้น MACD Line ก่อนครับ สูตรของมันคือ Fast - Slow หรือว่า 12-26 จาก Default period ที่ตั้งนั้นเองครับ ไอเจ้า Period นี้มันก็คือการคำนวณมาจากเส้นค่า เฉลี่ย Exponential Moving Average(กลับไปอ่านการคำนวณใด้ที่นี้ครับ) การคิดง่ายมากครับถ้าขี้เกียจคิดอะไรยุ่งยากเรา่ก็ใส่ Exponential Moving Average เข้าไปในชาร์ทครับ ค่าเท่ากับ MACD ที่เราจะตั้ง สมมติ 12กับ26 เราก็ใส่เข้าไป ทีนี้เราก็เอา ราคาที่เจ้า2เส้นเนี้ยมาลบกันครับ โดยทีใช้เส้น 12-26 ดูตัวอย่างตามภาพครับ


ให้ดูวันที่ผมเอาเมาส์จิ้มไปนะครับ 2015-01-27 แล้วดู EMA ข้างบนค่าของ
12 Period EMA คือ 1554.8370 และ 26 Period EMA คือ 1541.9978 ทีนี้เรา
ก็เอามาลบกันครับ ก็จะใด้ค่า MACD Line ข้างล่าง ครับ ที่ 12.8392 มันก็เป็นฉะนี้แล

(2) อันดับต่อมาครับเส้นสีเหลือง หรือSignal Line นั้นเอง เจ้านี้ก็คิดง่ายๆอีกครับ
ก็แค่ใช้ค่าของ MACD Line พล็อตใหม่ให้เป็น EMA ที 9 Period(Default) หรือจะค่า
อะไรก็ใด้ตามแต่ใจจะชอบครับทีนี้มันก็มี 2 เส้นละครบองค์ประกอบครับ
ทีนี้ไอตัวแท่งๆนั้นหรือว่า ฮิตโตแกรมนั้นยังคงคอนเซปลบๆกันครับ ก็คือเอาเส้น
MACD Line มาลบ Signal Line ก็จะใด้แท่งๆครับ
ตัวอย่างก็คือ (กลับไปดูรูปด้านบนครับ)ในวันที่ผมจิ้มเอาใว้นั้น
ค่า MACD Line อยู่ที่ 12.8392 และ Signal Line อยู่ที่ 1.5301 เอามาลบกันก็จะใด้ค่า
ของเจ้าแท่งฮิสโตแกรมที่ 11.3091 ครับ ทีนี้ก็จะเห็นแล้วใช่มั้ยครับว่า
ไอดำน้ำดำดินต่ำกว่า0เหนือ0คืออะไร ก็เพราะว่า ถ้าเส้น MACD ตัดกับเส้น Signal ก็
จะทำให้ค่าของฮิสโตแกรมเป็น + นั้นเองครับส่วนเวลาที่ ส่วนค่า 0 ในหน้าต่างอินดิเคเตอร์
ก็คือส่วนต่างของ Exponential Moving Average ข้างบนครับถ้าเส้นข้างบนตัดกันนั้นก็คือ
ช่วงที่ MACD Line ตัด 0 ใน MACD นั้นเอง

เป็นอันจบ ง่ายยยนิดเดียวไม่มีอะไรซับซ้อน (มั้งงง) ครับลักษณะการใช้อันนี้ก็แล้วแต่คนจะ
ชอบนะครับ จะตัด 0 หรือจะ Convergence/Divergence ตามชื่อไปก็ใด้ครับ

โดยส่วนตัวผมไม่ค่อยใด้ใช้เท่าไรนักครับแค่เฉพราะ Moving Average ก็เพียงพอแล้ว
สุุดท้ายทำไมผมถึงต้องมาเขียนวิธีการคำนวนให้มันวุ่นวายเพราะว่าจากที่ผมสังเกตุหลายๆที่หลายๆคน มักจะดูแค่ ตัด0 ไปๆมาๆ ไม่ใด้ใส่ใจว่ามันคืออะไรเค้าบอกให้ทำตามระบบก็ทำไป ผมจึงอยากเตือนและเน้นตรงนี้ครับว่าสถิติมันก็คือสถิติ มันจะถูกจะผิด มีโอกาสเป็นไปใด้เสมอเลยไม่อยากให้ใช้ วิธีการตามอง สมองจำ แล้วทำตาม เค้าบอกว่าตัวนี้บอกเทรน บอกสวิงก็ทำตามอย่างเดียวผมว่ามันน่าจะผิดจุดในการใช้เทคนิคเคิ้ลสำหรับผมนะครับและมันไม่ทำให้พัฒนาหรือต่อยอดไปใด้เลย ที่ผมกล้าพูดเพราะผมเคยอยู่ในลักษณะนั้นเป็นระยะเวลาหนึ่ง จนเข้าใจว่ามันต้องเข้าใจก่อนว่าอุปกรณ์ที่เราเอามาใช้มันมีดีอะไร มันเกิดมาจากอะไร แล้วเราจึงจะเอามันมาพัฒนาระบบ Trading System; (Algorithm)ของเราครับ

ใว้พบกันโอกาศหน้าใน อินดิเคเตอร์ตัวต่อไปครับ และบทความอื่นๆ
สุดท้ายขอขอบคุณ Credit รูปภาพจาก Google และพอร์ทของผมเอง Streaming Tisco; TradingView  ครับ
สุดท้ายสามารถติดตามง่ายๆใด้ที่
Facebook Page ครับผม
ขอบคุณครับ
Mr Sparta 
Smiley




 

Create Date : 18 กรกฎาคม 2559    
Last Update : 18 กรกฎาคม 2559 14:14:04 น.
Counter : 901 Pageviews.  

Portfolio and Market update









ก่อนไปอัพเดดตลาดและพอร์ทผมเพิ่มช่องทางใหม่ในการติดตามนะครับ สามารถติดตามผมใด้ทางเพจ https://www.facebook.com/Mr-sparta-160253037711780/  ครับผม

ในการเขียนครั้งนี้เป็นมุมมองของผม 100% ไม่มีผิดมีถูกนะครับ (เดาเพื่อตัวเองล้วนๆครับ)


ผมจะ Update จากที่มีในพอร์ทผมตัวหลักๆนะครับถ้าใครต้องการเห็นมุมมองของผมต่อตัวไหนสามารถส่งมาใด้เลยนะครับ

เริ่มจากตลาดบ้านเราก่อนนะครับ



โดยส่วนตัวผมมองค่อนข้างแปลกกกกกกว่าชาวบ้านเค้าเลยช่วงนี้กระแส 1500 จุดมาแรงมากครับโดยมุมมองของผมเองนั้นมองว่าหลายๆปัจจัยยังไม่พอที่จะหยุดยั้งปู่ของเราอาจจะมีการหน่วงกระทบจากน้ำมันบ้างเล็กน้อย
: ด้วยเทคนิคเคิ้ลของผมยังคิดว่าความผันผวนยังไม่พอที่จะเกิด Reverse ครับหุ้นไทยหลายๆตัวก็ยังอยู่ในพอร์ทผมต่อไปโดยเฉพาะ ETF(Exchange Traded Fund) ที่ผมเลือกที่จะเทรดก่อนเสมอๆก่อนทีผมจะเลือกไปเทรด Single Stock
โดยส่วนตัวตลาดบ้านเราผมเทรดด้วยกลยุทธRebalanceซะอย่างเดียวครับเลยไม่ค่อยใด้ใส่ใจมากนัก ร่วงก็ดีไม่ร่วงก็ดีครับ (โอกาศหน้าผมจะเขียนถึงเทคนิค Rebalance ที่เป็นกลยุทธหลักของผมครับ)
ข้อมูลอื่นๆประกอบการตัดสินใจครับ





ส่วนต่อมาที่มีในพอร์ทผมตอนนี้คือค่าเงินค่าเงิน AUD ครับ



ยังคงถือต่อไปครับเป้าหมายยังอีกซักพักนึงหลังจากกระดึบขึ้นมาหน่อยความผันผวนระยะสั้นผมไม่ค่อยใด้ใส่ใจเท่าไรครับ จะไปใส่ใจในระหว่างวันที่เทรด Active มากกว่าใช้ในการตัดสินใจเลือกตัวที่จะเข้าไปเทรดครับ

ต่อมาทองครับ



ในทองผมยังไม่ใส่ใจมากครับปรับต้นทุนไปใด้ค่อนข้างมากแล้วที่เหลือๆผมก็คงปล่อยไปตามเป้า จะมีเทรดเรื่อยๆซื้อๆขายๆตามความผันผวนระยะสั้นครับ

มาดูตัวที่ผมเฝ้าติดตามครับ GBP ครับ



รอจังหวะอาจจะแหย่ซัก 1 Position ครับตอนนี้ยัง No comment ครับ

อัพเดดพอร์ท Mr Sparta Project กันบ้างครับ 





% เดือนนี้ตกใจน่าใจหายเหมือนกันครับเกินความคาดหวังไปบานโขเลย
และยังรักษา Relative Drawdown ใด้ที่ 10.17% ยังไม่มีอะไรต้องปรับครับ กลยุทธทุกอย่างยังตามเดิม

ดึกแล้วจบการอัพเดดเพียงเท่านี้ครับ

Smiley




 

Create Date : 18 กรกฎาคม 2559    
Last Update : 18 กรกฎาคม 2559 1:41:48 น.
Counter : 611 Pageviews.  

Introduction to Portfolio Structure Part 1




ติดตามบทความใหม่ๆต่อเนื่องใด้ที่ Facebook Page เลยครับ


สวัสดีต้อนรับหยุดยาวสำหรับบางคนครับ ในช่วงวันหยุดนี้ขออัพอะไรที่ค่อนข้างวิชาการซักหน่อย

บทความที่ผมจะเขียนต่อไปนี้ไม่ใด้มีข้อบังคับกำหนดที่จะต้องตามนะครับเพียงแค่เป็นแนวทางเท่านั้น
ซึ่งจะทยอยเขียนลงบนบล็อคต่อไปในการวางแผนรูปแบบต่างๆนอกจากวางแผนแบบ**ตามตำรา**ครับ

เท่าที่ผมติดตามเวปไซท์ต่างๆ มีหลายๆคนที่กำลังจะเข้าตลาดแต่ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไง
วันนี้ผมจึงขอเกริ่นเรื่องการเริ่มต้นการลงทุน การจัดพอร์ทเพื่อเป็นแนวทางให้หลายๆคนนะครับ

ขั้นตอนแรกของการเริ่มลงทุนทุกคนควรจะต้องพิจรณาตัวเองก่อนครับว่าเราเป็นกลุ่มคนประเภทไหนเช่น อายุเท่าไร รายได้เท่าไร มีเงินเก็บสำรองมากพอแค่ไหน สามารถแบ่งมาลงทุนใด้มากน้อยแค่ไหน เป้าหมายการลงทุนคืออะไร ระยะเวลาที่ต้องการแค่ไหน เพื่อจะใด้เป็นจุดกำหนดระยะการลงทุนครับ ยกตัวอย่างเช่นผม ต้องการมีเงินจำนวน xxx ก่อนผมจะหยุดทำงานที่อายุ 50 ปี เราจึงสามารถคำนวนเป้าหมายการลงทุนใด้ครับ ว่าเราจะออมเงินเดือนละกี่บาท (ส่วนกลุ่มต่อไปนี้โดยส่วนตัวของผมคิดว่ามันขึ้นอยู่กับสกิล,ความรู้, และประสบการณ์ของแต่ละคนด้วยครับ มันก็จะเปลี่ยนรูปแบบไปเรื่อยๆตามเลเวลของผู้ลงทุน และสามารถพลิกแพลงไปใด้ไม่มีอะไรตายตัวครับ จะพยายามอธิบายในบทความต่อๆไป)
        • การออกแบบพอร์ทฟอลิโอของเราให้เหมาะสม เช่น สินทรัพย์ที่จะถือ ครองควรมีอะไรบ้าง
        • และวางกลยุทธในรูปแบบต่างๆ
        • ความเสี่ยงแค่ไหนที่รับใด้เทียบกับผลตอบแทนที่คาดหวัง (Risk:Return trade off)
โดยการ (Portfolio Optimization) ซึ่งคือการจัด
สัดส่วนของทรัพย์สินที่ถือของในพอร์ทฟอลิโอของเราครับ

ทีนี้เรามาดูกันครับว่าตามตำราแล้วการแบ่งโดยสากลเค้าแบ่งกันยังไง


แบบที่ 1 Conservative Portfolio (อารมร์ Play safe)
จุดประสงค์หลักของรูปแบบนี้คือการปกป้องคุณค่าของทรัพย์สินครับ และยังมีการคาดหวังผลตอบแทน (Capital growth) จากตราสารทุน ; หุ้น ด้วยครับ
โครงสร้างจะหน้าตาประมาณนี้ครับ
Conservative Portfolio Structure
70-75% Fixed Income Securities
15-20% Equties (ตราสารทุน) กลุ่มผู้นำตลาด (Blue Chip)
5-10% Cash (เงินสด)

(บางคนอาจงง Fixed Income Securities คืออะไร ยกตัวอย่างให้เห็นภาพก็เช่น พันฐบัตร รัฐบาล, หุ้นบุริมสิทธิ(Preferred Stock)
บางคนอาจจะงงอีกว่า ไอหุ้นบุริมสิทธิคืออะไรชื่อประหลาดจัง หุ้นบุริมสิทธิหรือ Preferred Stock นั้นคือตราสารทุนชนิดนึงครับ คล้ายๆหุ้น(common stock) นั้นแหละครับแต่เจ้าบุริมสิทธินี้มันอยู่ใน Fixed Income Securities เพราะว่าเป็นหุ้นที่ผู้ซื่อจะใด้รับเงินปันผลเสมอๆแม้ว่าในงวดนั่นจะมีนโยบายงดปันผลก็ตามถือเป็นรายจ่ายของบริษัทและ อีกประการนึงคือผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิสามารถเรียงร้องเงินคืนใด้ถ้าบริษัทนั้นเกิดเลิกกิจการไปครับ ส่วนข้อเสียก็ มีสิทธิของการเป็นผู้ถือหุ้นน้อยกว่าผู้ถือหุ้นสามัญ(Common Stock) บางบริษัทนับเสียงน้อยกว่าน้อยกว่าครึ่ง บางบริษัทไม่สามารถออกเสียงใด้เลยครับ ผมว่าเดี๋ยวมันจะยาวไปใว้เป็นโอกาศหน้าจะเขียนพวกย่อยๆดีกว่า)



ส่วนที่ 2 คือ Moderate Aggressive Portfolio (บู๊ๆหน่อย)
ในรูปแบบนี้จะเหมาะสมกับนักบู๊ที่รับความเสี่ยงและคาดหวังผลตอบแทนมากขึ้นครับ หน้าตาจะแบบนี้
35-40% Fixed Income Securities
55-60% Equties
5-10 %   Cash

คืนนี้ขอจบที่ 2 สไตร์นี้ก่อนนะครับ

น่าจะพอทำให้เริ่มเห็นทางเดินสำหรับผู้เริ่มต้นมากขึ้นนะครับแล้วพบกันใหม่กับ Introduction to Portfolio Structure Part 2


ขอบคุณ Credit รูปภาพจาก Google




 

Create Date : 17 กรกฎาคม 2559    
Last Update : 18 กรกฎาคม 2559 18:11:07 น.
Counter : 1087 Pageviews.  

Poker & Trading







วันนี้ขอนอกเรื่องเทรดจะมาพูดถึงความเหมือนแต่แตกต่างกับการเทรดครับ

ถ้าพูดถึง Poker คงมีน้อยคนที่ไม่รู้จักครับ เป็นกีฬาชนิดนึงที่ผมชอบซึ่งรองลงมาเป็น Snooker 

วันนี้ผมอยากจะบอกว่ามันเป็นสุดยอดเครื่องมือในการฝึกฝนหลายๆอย่างที่เกี่ยวข้องกับการเทรด

ยกตัวอย่างหลายๆคนที่มีทั้งฝีมือด้านการเทรด และ Poker 
  •  David Einhorn, Hedge fund manager (Greenlight Capital)
  • Andy Frankenberger อดีตเทรดเดอร์สังกัด JP Morgan
  • Phil Laark, Professional Poker player เคยเข้า wall street ผลงานไม่ธรรมดาในการเทรดเช่นกัน แต่ผันตัวเองมาเป็น Poker player ในท้ายสุด



ทำไมผมถึงบอกว่าเป็นสุดยอดเครื่องมือในการฝึก(ผมก็พิมพ์เวอร์ๆไปเท่านั้นแหละครับ Smiley แต่สำหรับผมมันฝึกให้ผมมากมายจริงๆ)

ผมจะยกตัวอย่างที่จะช่วยพัฒนาในมุมของผมดูครับผมขอพูดถึงตัวผู้เล่นก่อนนะครับ
  • การคิดเชิงคณิตศาสตร์ มีตรรกะ ทั้งการวางแผน การวางกลยุทธ รวมถึงการคำนวนความน่าจะเป็นต่างๆ(ใช้ทั้งความคุ้นชินและการคำนวนสถิติในสภาวะกดดันสูงเมื่อเล่นอยู่บนโต๊ะจริงๆ)
  • ฝึกความอดทน ทำไมถึงฝึกความอดทนก็เพราะว่าถ้าเล่นกันจริงๆ(ไม่นับตามพวกFacebookนะครับ) ในบางครั้งเราอาจจะต้องรอไพ่(Hand)ที่เราสามารถเล่นใด้จริงๆ**พวกไพ่ความน่าจะเป็นสูงหรือไพ่ใหญ๋ เช่น Aces, AK(Suited), AQ(Suited), 9-10(Suited)** ในบางครั้งรอเป็นชั่วโมงครับแถมต้องจ่าย Blind ฟรีๆก็หลายครั้ง (ชาวเทคนิคเคิ้ลน่าจะรู้จักดีนะครับอาการนี้ รอสัญญาณตั้งนานพอมาโดน Stoploss อีก)
  • ฝึกใจเราให้เย็นในสถานการณ์ที่โหดร้ายไม่สติแตกซะก่อนหรืออาการ Tilt อย่างที่บอกข้างบนบางทีรอมานานพอมือที่เล่นได้มาไพ่บนบอร์ดไม่สวยอีก เสียตังฟรี หรือจะโดนฺBad beat ก็ตามเปรียบเสมือนเรา Cut loss ถึงแม้บางครั้งจะถือ AA ก็ตาม ซึ่งจะสอนให้เรารู้ว่าไม่มีอะไร Perfect ความมั่นใจในตลาดก็เช่นกันมั่นใจแค่ไหนทุกอย่างจะ Perfect แค่ไหนก็ตามเราก็ต้องพร้อมจะยอมแพ้หรือหมอบไพ่ที่ดีที่สุด (Fold) เมื่อถึงเวลาสมควรโดยที่สภาวะจิตใจจะต้องไม่ฟุ้งซ่านซะก่อน
  • Money Management, Risk Management ส่วนสำคัญในการเล่น Poker คือการคอนโทรลหน้าตักหรือ bankroll ให้ใด้แม้จะถึงช่วงที่ตกต่ำที่สุด(โชคร้ายสุดๆเล่นยังไงก็แพ้) เปรียบเสมือนเราเทรดในตลาดต้องมีการคำนวนหน้าตักเราเช่นกัน ว่าเราจะวางโครงสร้างพอร์ทเราอย่างไร Position sizing ขนาดไหน
  • การให้ความสำคัญถึง Risk:Reward ในหลายๆครั้งเราต้องคำนึงถึงความน่าจะเป็นผนวกกับเงินบนหน้าตักเราและบนโต๊ะ(Pot)ว่าคุ้มพอที่จะหงายไพ่ใบต่อไปไหมเช่นเดียวกับตลาดเราเข้าเทรดโปรดักซ์ตัวหนึ่งเงินที่เราวางลงไปมันคุ้มไหมถ้าเกิดเหตุที่อยู่นอกเหนือจากการวิเคราะห์ของเรา
ส่วนตัวในบางมุมมองของผม Poker ยากกว่าเทรดซะอีก
ยกตัวอย่างเช่นการเทรดในตลาดมีเม็ดเงินมหาศาลหมุนเวียนไปๆมาๆพูดง่ายๆคือเรามีโอกาศทำกำไรตลอดเวลามีเคร่ืองมือเพียบพร้อมทั้ง Future, Option เล่นใด้ทั้ง2ฝั่งอีกตะหาก ถ้าเทียบกับ โป๊กเกอร์แล้วเม็ดเงินบนโต๊ะมีจำกัดเช่น Buy-in เข้ามา 6 คนคนละ 10,000 บาท บนโต๊ะมี 60,000 บาทถ้าเล่นๆกันอยู่แล้วลุกไปเท่ากับว่าเงินจำนวนหนึ่งหายไปทันทีอัตราส่วนลดลงเยอะมากๆๆ(เสียแต่ว่าจะลุกเพราะหมดตัวนะครับเงินก็จะไปอยู่กับอีกคน) แต่แล้วคนที่ใด้เงินของอีกคนไปลุกหล่ะ จบกันทีนี้ หายไปถึง 20,000 บาทเกือบครึ่งของเงินบนโต๊ะ แต่ในตลาดหุ้นนั้นถึงแม้ว่าบริษัทๆนึงจะปิดตัวไปก็จะยังมีมาใหม่และมีตัวเลือกอื่นๆอีกเยอะมากๆผู้เล่นในสนามก็มีเงินหลั่งไหลเข้ามาเรื่อยๆซึ่งผลกระทบน้อยกว่าอย่างเห็นใด้ชัด และเรื่องเครื่องมือ ถ้าโป๊กเกอร์เราขาลงจริงๆดวงกุดสุดๆ เราจะไป Short ดวงตัวเองก็ไม่ใด้Smiley ทำใด้แค่อดทน อดทนให้มันผ่านไป ริจะไปบลัฟเขาอาจจะเจ็บตัวหนักกว่าเดิม

สิ่งที่สำคัญสำหรับทั้งสองอีกอย่างมากๆคือความสม่้ำเสมอคงเส้นคงวา(Consistency) อย่างชาวเทคนิคเคิ้ลก็ต้องสร้างจุดนี้ขึ้นมาเช่น ระบบเทรดที่ใช้จะต้อง Win > 70% แต่ก็ต้องเข้าใจด้วยว่าไม่มีระบบไหนจะยั่งยืนใด้ตลอดเวลาหรืออาจจะมีบางช่วงใช้ไม่ใด้ เช่นเดียวกับช่วงเวลาดวงกุดในโป๊กเกอร์นั้นแหละครับไพ่ดีสุดๆแต่ก็ยังแพ้ 

ส่วนสำคัญอีกเรื่องคือไม่สามารถทำนายอนาคตและคู่ต่อสู้ใด้เราไม่มีทางรู้ว่า Flop จะมีอะไรบ้าง Turn และ River จะเปิดมาเป็นยังไงซึ่งตัวแปลเยอะมากกว่าตลาดมากนัก ในตลาดมีแค่ ไม่ขึ้นก็ลง 2 ทางเท่านั้นซึ่งจะรวมไปถึงการวางกลยุทธต่างๆครับเช่น ในโป๊กเกอร์จะเรา Bet ยังไงหรือจะใช้ทริค Check-Raise ถ้าเราใด้เริ่มก่อนเป็นการวางกลยุทธล่วงหน้าเหมือนกันกับในการเทรดครับเราต้องวางกลยุทธล่วงหน้าเสมอกับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นบนความน่าจะเป็นต่างๆ

โป๊กเกอร์และบางตลาดที่มีการจับคู่สัญญาเป็น Zero sum game ครับถ้าเราใด้อีกคนหมด หรือที่เรียกกันว่า The winner take all มันสนุกส์ตรงนี้แหละครับ Smiley

และทั้งสองอย่างนี้ต้องการความอดทนในการสร้างพอร์ทขึ้นมาครับต้องค่อยๆบิ้วกันขึ้นไปถ้าพรวดๆไปโดยที่อยู่บนความเสี่ยงที่ไม่เหมาะสมจุดจบของทั้งคู่ก็จะลงเอยเหมือนกัน

พอจะเห็นภาพลางๆมั้ยครับ 

สรุปการเล่นโป๊กเกอร์นั้นไม่ใด้ทำให้คนเราเทรดเก่งขึ้นมานะครับ แต่มันจะฝึกสกิลในบางส่วนอ้อมๆขึ้นมาเพราะลักษณะหลายๆอย่างคล้ายๆกันครับ
จบสำหรับวันนี้ครับ

Smiley





 

Create Date : 15 กรกฎาคม 2559    
Last Update : 15 กรกฎาคม 2559 10:03:40 น.
Counter : 601 Pageviews.  

Moving Average Part 1







วันนี้มีเวลาว่าง ก่อนนอนมีหลายๆคนที่ชอบศึกษาเรื่อง Technical Analysis หรือ Chart Analysis และจะหนีไม่พ้นการใช้ Indicator ต่างๆในวันนี้จึงขอเสนอ Tool ชนิดนึงหรือ Indicatorที่นิยมกันทั่วโลก นั้นคือ Moving Average

ก่อนเข้าเรื่องกันผมอยากจะอธิบายเรื่องเกี่ยวกับ Chart Analysis และการใช้ Indicator เบื้องต้นนั้นคือ โดยคนส่วนมากจะมองว่า เจ้าอุปกรณ์เหล่านี้มีใว้สำหรับให้สัญญาณในการเข้าซื้อหรือขาย (Buy,Sell signal) แต่สำหรับตัวผมเองไม่แนะนำเอามากๆกับการใช้ Indicator เหล่านั้นมาใช้ในทางนั้นโดยที่ไม่รู้ถึงความเป็นมาของเจ้าตัวที่เอามาใช้ ประการแรกเลย เจ้าอุปกรณ์พวกนี้มันเกิดขึ้นมาจาก สูตรทาง คณิตศาสตร์ หลักทางสถิติ โดยใช้การคำนวนด้วยสูตรต่างๆเหล่านี้จึงออกมาหน้าตาเป็นกันแบบที่เห็น เรื่องนี้ผมจะพยายามค่อยๆเขียนลงไป จุดประสงค์คือเพื่อทบทวนความจำตัวเองด้วย บางครั้งอะไรไม่ได้ใช้นานๆมันก็เริ่มลืมๆไปแล้วบ้าง

เพราะฉะนั้นผมอยากเน้นย้ำอีกครั้งว่า ทุกครั้งที่มองข้อมูล สถิติ เหล่านี้ อย่ามองว่ามันเป็นสัญญาณการซื้อขายเพียงอย่างเดียว เพราะจุดนั้นมันเป็นจุดสุดท้ายของการสร้างระบบ หรือ อัลกอริธึ่มขึ้นมา ยกตัวอย่าง ราคาตัดขึ้นเหนือเส้น Moving Average = buy >> คำถามคือ ทำไมถึงซื่้อ !!! เพราะมันราคาหรือข้อมูลที่เกิดขึ้นมาใหม่มันอยู่เหนือ Average ของมันเท่านั้นเองหรือ ง่ายซะจริงเชียว
*** ผมไม่ได้จะหมายความว่าทำแค่นี้ไม่ได้ แต่มันต้องผสมผสานกับหลักอื่นๆเช่น
การวิเคราะห์หุ้น หรือ โปรดักซ์ที่เราเข้ามาเทรดก่อน และ Money management  เป็นต้น *** เรื่องนี้ขอข้ามไปก่อนวันนี้จะขอพูดถึงเจ้าตัว Moving Average อย่างเดียวก่อน
และขอย้ำอีกทีว่าอย่าลืมนะครับไม่มีอุปกรณ์ชิ้นไหนสามารถ บอกทิศทางว่าราคาจะขึ้นหรือลงใด้ นาทีข้างหน้า หรือชั่วโมงข้างหน้า เพราะ อนาคตไม่สามารถเอามาใส่ในสูตรใด้ครับ ผมก็ไม่ค่อยจะเก่งเลขเท่าไร แต่ความเข้าใจง่ายๆนั้นตามประสาความรู้น้อยแบบผม คือ ถ้าเรารู้ว่า 1+1=2 ไม่ว่าจะ + กี่ครั้งมันก็จะใด้ 2 แต่ถ้าเราไม่รู้ว่า 1+ กับอะไรมันก็จะหาคำตอบไม่ใด้ ทุกอย่างในนี้จึงขึ้นกับคำว่า Expected 


ผมจะขอพูดถึงตัวหลักๆก่อนนะครับนั้นคือ Simple Moving Average(SMA) และ Exponential Moving Average(EMA)

เริ่มกันที่ Simple Moving Average เจ้านี้คือการหาค่าเฉลี่ยแบบเบสิคสุดๆครับ
เอาvalueข้อมูลมารวมกันแล้วหารด้วยจำนวนtotal
เช่น (ตัวอย่าง SMA, Period 10, Apply to close)

Close Price = 6,8,10,12,14,16,18,20,22,24
Mean = (6+8+10+12+14+16+18+20+22+24)/10
= 15
เพราะฉtนั้นถ้าเราเอาไปพล็อตเป็นกราฟเจ้าเส้นนี้จะเริ่มที่ 15
ทีนี้หลักการที่มันจะ Moving ไปก็คือขยับไปเรื่อยๆเมื่อมีข้อมูลใหม่เข้ามาเช่น 
เก่า
Close Price = 6,8,10,12,14,16,18,20,22,24
Mean = (6+8+10+12+14+16+18+20+22+24)/10
= 15
ใหม่ 
Close Price = 6,8,10,12,14,16,18,20,22,24,26
Mean = 6+(8+10+12+14+16+18+20+22+24+26)/10
= 17
ซึ่งข้อมูลตัวแรก Value 6 จะถูกแทนที่ด้วยตัวใหม่ต่อท้ายมาคือ 26 ทำให้ค่าเฉลี่ยสูงขึ้นเจ้าเส้นนี้ก็จะวิ่งขึ้นไปตามราคาที่สูงขึ้นครับ

ทีนี้น่าจะเริ่มมองเห็นว่าเส้นนี้มันไม่ได้เป็นเส้นวิเศษที่ราคาเหนือเส้นแล้วจะขึ้นหรือใต้เส้นแล้วจะลงแต่ต้องบอกว่ามันถูกทำให้ขึ้นหรือถูกทำให้ลงด้วยข้อมูลที่เกิดขึ้นมาต่างหากครับSmiley

ทีนี้มาดูสูตรของคู่หูกันบ้างคือเจ้า Exponential Moving Average หรือ EMA วิธีการหาเจ้านี้มีหลายขั้นตอนครับ
วิธีการหา EMA, Period 10, 
ขั้นแรกเราต้องหา SMA มาก่อน(ผมขอใช้ค่าจากด้านบนเลยนะครับ =15)

ขั้นต่อมาเราคำนวน Multiplier
 (2/(period + 1) ) ก็จะออกมาเป็น (2/(10+1)) =  0.1818 (18.18%)

ขั้นที่3 ครับ หาค่าของ EMA คือ
EMA= (Closing - EMA(previous day)) x multiplier + EMA(previous day)
ส่วนเจ้าPrevious day เนี้ยถ้าคำนวนแต่แรกจะไม่ใด้ครับเราจึงต้องคำนวน SMA มาก่อนและนำมาใช้แทนในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งที่เราเริ่มคิด EMA ครับ
ดังนั้นการที่เรียกว่า EMA นั้นเร็วกว่า SMA เพราะว่ามันให้น้ำหนักกับราคาปัจจุบันมากกว่านั้นเองครับ

ทีนี้เรารู้แล้วว่าเจ้าเส้นนี้มันไม่ได้พิศดารอะไรเพราะฉะนั้นไม่มีทางที่มันจะทำนายอนาคตใด้ครับ

วันนี้ดึกแล้วขอจบเพียงเท่านี้ก่อน จะมาต่อกับเจ้าเส้นนี้โอกาศหน้าครับ




 

Create Date : 14 กรกฎาคม 2559    
Last Update : 18 กรกฎาคม 2559 16:43:20 น.
Counter : 582 Pageviews.  

1  2  3  

Mr Sparta
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เม่าตัวเล็กๆตัวหนึ่ง
Friends' blogs
[Add Mr Sparta's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.