|
ผู้หยิ่งทะนงที่น่าสมเพช
ในค่ำคืนธรรมดาของคนทั่วไป ฉันพบตัวเองยืนโดดเดี่ยวอยู่ภายใต้แสงดาวรางเลือน และจันทร์คล้ายส่งยิ้มเยาะเชือดเฉือนมาหาฉัน
ไม่รู้ว่าสายลมพัดนั้นหอบเอาละอองไอน้ำมาจากที่ไหนกัน หรือแท้จริงแล้วความเปียกชื้นนั้นออกมาจากเบ้าตาของฉันเอง
ฉันได้ยินเสียงหนึ่งจากภายในตัวฉันตั้งคำถาม สุดท้ายแล้วเธอมาได้เพียงเท่านี้เองหรือ?
ในวันที่เฉลยบทจบสุดท้ายของทุกสิ่งที่ผ่านมา อดีตที่เหมือนจะเคยประทับตรึงตรากลับตรึงตรวนพันธนาการทั้งหัวใจและจิตวิญญาณของฉันจนหมดสิ้น ฉันเพิ่งเข้าใจในวินาทีนั้น วันที่ไร้ความฝัน ไม่ต่างจากภัยมหันต์ของชีวิต
วันคืนผ่านเลยไป เหตุใดอุดมการณ์แห่งชีวิตจึงน้อยลดถดถอย ความคิดผัน ชีวิตเปลี่ยน คล้ายสิ่งที่เคยหวังตั้งใจกลายเป็นสิ่งเลื่อนลอย ผู้คนที่ฉันเฝ้าคอย ทุกคนต่างร้างลา หรือแท้จริงไม่มีใครลา แต่เป็นฉันเองที่ทอดทิ้งพวกเขา?
คำถามมากมายยังคงวนเวียน เชื้อไฟแห่งชีวิตเหมือนดับมอดทุกช่องทาง
ผู้หยิ่งทะนงที่เคยกล้าท้าทายชีวิตอันโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาบัดนี้หมดสภาพสิ้น ในวันที่ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับการพานพบ กิเลสตัณหา การผิดคำมั่นสัญญาต่อตัวเอง ทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจของคนอื่น การหมดสิ้นความหวัง และการค้นพบความขลาดเขลาของตัวเอง
หลังจากผ่านการถูกรุมล้อมด้วยผู้คนมากมาย สุดท้ายเมื่อต้องกลับมาต่อสู้ชีวิตคนเดียว ความโดดเดี่ยวก็กระโจนเข้าทำร้าย
ฉันเพิ่งเข้าใจความน่ากลัวของมัน มันกัดกินความพยายามและความฝัน และสุดท้ายฉันก็ลืมไปจนหมดสิ้นว่าความฝันของฉันคืออะไร ฉันกำลังใช้ชีวิตไปเพื่ออะไร แม้กระทั่งฉันคือใคร
ชีวิตที่ไร้พระเจ้าและไร้มิตรสหาย รวมทั้งปราศจากผู้เป็นที่รัก เหมือนกำลังขมขู่ให้ฉันดิ้นรนอยู่ในเขาวงกตอันแสนแคบ ความมืดมิดปิดล้อมตัวฉันตลอดเวลาแม้ตะวันจะฉายฉานมากเท่าใด
ความสับสนเป็นเหมือนวังวนแห่งปริศนาและความสิ้นหวัง บัดนี้ฉันกลัวการมีชีวิตพอๆ กับการกลัวความตาย ไม่มีสิ่งใดเข้ามาคลี่คลายคำถามมากมายและโซ่่ตรวนที่ผูกมัดใจ
นอกจากนั้น ฉันก็กลัวการถูกจองจำพอๆ กับการมีอิสระเสรีภาพ ฉันกลัวการทำบาปพอๆ กับการแผ่บุญกุศล และเกลียดการเป็นคนพอๆ กับการเป็นปิศาจ
ฉันคาดหวังให้เวลาช่วยเหลือ แต่แสงแห่งความหวังยังไม่ปรากฏสัญญาณสักที หรือมันเป็นเพราะฉันเองที่ทำลายความหวังไปสิ้นแล้วทั้งหมด? ชีวิตคล้ายระกำรันทด
คำพูดทั้งหมดที่ฉันสามารถเอ่ยได้ก็คือ ฉันเป็นคนที่น่าสมเพชที่สุดในสายตาของตัวเอง
และถ้าฉันเป็นนกมีปีกและมีเสรีที่จะบินไปยังที่แห่งไหนก็ได้
ฉันก็ไม่รู้ว่าจะบินไปสู่หนใด
Create Date : 13 กันยายน 2551 |
| |
|
Last Update : 13 กันยายน 2551 18:42:29 น. |
| |
Counter : 724 Pageviews. |
| |
|
|
|
ทำอย่างไร-เด็กไทยจึงจะรักการอ่าน?
เหตุผลที่ผมได้ยกประโยคคำถาม (ที่ดูกำลังจะกลายเป็นปัญหา) คลาสสิกนี้ขึ้นมา ไม่ได้เป็นเพราะว่าผมได้รับแรงบันดาลใจจากประโยคอันจำเจว่า ปัจจุบันคนไทยอ่านหนังสือกันปีละ xx บรรทัด หรือว่าผมมีส่วนได้ส่วนเสียในวงการธุรกิจหนังสือแต่อย่างใด แต่ว่าผมกำลังอยากจะฟังความเห็นของทุกๆ ท่านที่ได้เข้ามาเห็นข้อความนี้ อยากให้ทุกท่านได้ลองพยายามเกร็งเปลือกตาอย่าให้มันปิดในขณะที่ท่านกำลังจะอ่านสิ่งที่ผมนำเสนอข้างล่างนี้ แม้ว่าแลดูคร่าวๆ อาจจะดูยืดยาวและชวนเวียนหัวชวนหลับไปสักหน่อยก็ตาม แต่ผมก็อยากทราบและอยากฟังความคิดของท่านๆ รวมทั้งช่วยกันระดมหาวิธีแก้ปัญหาต่างๆ (ซึ่งดูเหมือนจะมีการพยายามแก้ปัญหากันมาหลายปีดีดักแล้วแต่ก็ยังทำกันได้ไม่สำเร็จ) หรือถ้าถ้าสุดท้ายหาวิถีทางไม่ได้ อย่างน้อยขอให้พวกเราได้มีส่วนช่วยเป็นเสียงเพียงเล็กน้อยในการกระตุ้นเตือนให้คนไทยรักการอ่านก็ยังดี หลังจากเกริ่นมายืดยาว ขอเริ่มละครับ ทักษะการสื่อสาร
ถ้าแบ่งทักษะการสื่อสารเป็น 4 อย่าง ก็จะได้เป็น ฟัง พูด อ่าน เขียน
แล้วถ้าจะจับคู่ว่าอะไรเกี่ยวข้องกันมากที่สุด ก็คงจะได้เป็น ฟัง-พูด กับ อ่าน-เขียน
จริงๆ แล้วเราอาจจะพูดได้ว่า อ่าน กับ เขียน นั้นเป็นสิ่งๆ เดียวกันเลยด้วยซ้ำ แต่นั่นเดี๋ยวเรามาว่ากันอีกทีหนึ่ง
เปรียบเทียบกับสมัยก่อน
เราต้องยอมรับความจริงกันว่าเด็กไทยปัจจุบัน (ซึ่งความจริงก็คือคนไทยโดยส่วนมากนั่นแหละ) ไม่รักการอ่าน หากจะเปรียบเทียบกับคนรุ่นก่อน ในยุคเก่า สื่อและเทคโนโลยีมีน้อย หนังสือ จึงดูเหมือนเป็นไม่กี่ช่องทางที่จะทำให้คนสามารถหาความรู้ ติดตามข่าวสาร หาความบันเทิง หรือแม้กระทั่งนำมาเป็นหัวข้อในวงสนทนาหรือจะได้สามารถเข้าร่วมวงสนทนาได้ (ในกรณีที่เป็นข่าวสารหรือวรรณกรรม)
พอมาปัจจุบัน การเติบโตของเทคโนโลยีทำให้มีสื่อและเครื่องบันเทิงต่างๆ มากขึ้น เรากำลังมีโทรทัศน์ วิทยุ เครื่องเกม โทรศัพท์มือถือ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต
เวลาว่างของคนปัจจุบันจึงสามารถผลาญไปได้ด้วยสิ่งต่างๆ มากมาย รวมถึงชีวิตประจำวันเราก็ต้องพึ่งสื่อหลากหลายรูปแบบ หนังสือจึงไม่ได้เป็นช่องทางเดียวในการติดต่อกับสังคมอีกต่อไป การณ์ยังกลับกลายเป็นว่า การอ่านหนังสือจะกลายเป็นการตัดตัวเองขาดออกจากสังคมอีกต่างหาก
ด้วยการเติบโตของสิ่งต่างๆ มากมายเหล่านี้เอง ทำให้คนอยู่ในสภาวะ ข้อมูลท่วม และ สมาธิสั้น ข้อมูลและการสื่อสารมากมายได้ไหลล้นท้นถั่งเข้าสู่พวกเราโดยไม่อาจห้ามปราม และสุดท้ายต้องยอมจำนนกับกระแสเชี่ยวกรากของเทคโนโลยีและวัตถุนิยม
การอ่านสำคัญอย่างไร?
ถึงแม้หลายคนจะอยากหลีกเลี่ยง แต่เราก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า องค์ความรู้บางอย่างสามารถหาได้จากการอ่านเพียงเท่านั้น
พูดในแง่การศึกษาหาข้อมูลและความรู้, อย่างง่ายที่สุด, หากเราจะต้องการศึกษาตำราเรียนสักวิชา การอ่านดูจะเป็นวิธีเดียว เพราะไม่ว่าจะมีการอัดเลคเชอร์เพื่อมาฟังหรือการดูสารคดี สุดท้ายแล้ว การอ้างอิงและการจดบันทึกก็ต้องทำออกมาเป็นรูปลักษณ์ของตัวหนังสืออยู่ดี และการอ่านก็เป็นวิธีการเดียวที่จะเข้าถึงตัวหนังสือเหล่านั้นได้
ในแง่การสื่อสาร, เราไม่อาจปฏิเสธได้อีกเช่นกันว่าวิธีการสื่อสารด้วยการฟัง-พูดนั้น ตื้นเขิน หากเป็นการสนทนาที่เป็นหัวข้อง่ายๆ สั้นๆ ในชีวิตประจำวัน ฟัง-พูด ก็เป็นหนทางที่เหมาะควร แต่ถ้าหากเราต้องสนทนาเรื่องที่ซับซ้อน ยืดยาว และต้องการการเรียบเรียงหรือการจัดระบบความคิดมาก การอ่าน-เขียนดูจะเป็นหนทางที่เหมาะสมกว่า (เพราะเรามีเวลาเตรียมตัว เรียบเรียงและจัดระเบียบข้อมูลก่อนจะถ่ายทอด ต่างกับการพูดคุยธรรมดาที่มีข้อจำกัดหลายๆ ประการทั้งเวลา สถานที่ และอื่นๆ)
ที่ผมได้กล่าวไปข้างต้นว่า การอ่าน-เขียน เหมือนเป็นสิ่งเดียวกันก็เพราะว่า ในแง่การสื่อสาร หากต้องการสื่อความคิดโดยเราเป็นผู้เริ่มสื่อ เราจะต้อง อ่าน ความคิดของตัวเองเสียก่อน แล้วจึงค่อยเรียบเรียงออกมาเป็นตัวหนังสือ (หรือเรื่องบางเรื่องก็ซับซ้อนขนาดดึงแค่ข้อมูลดิบๆ คร่าวๆ จากในหัวมาจดลงกระดาษให้เห็นภาพแล้วจึงค่อยเรียบเรียงอีกทีก็ยังมี)
ดังนั้น จะเห็นได้ว่าการอ่าน-เขียนนั้นสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ออก
นอกจากนั้น การอ่าน-เขียนนั้น คือการที่สมองได้ทำงานอยู่กับ การจัดระบบระเบียบข้อมูล ตลอดเวลาหนึ่งๆ ไม่ว่าจะเป็นการเรียบเรียงข้อมูลในหัวเพื่อเขียน หรือการอ่านแล้วตีความ ย่อยข้อมูล และเรียบเรียงข้อมูลเข้าหัวตัวเอง เมื่ออ่านบ่อยๆ และสมองได้ฝึก คิด บ่อยๆ เราก็สามารถเรียก (แบบภาษาชาวบ้าน) ได้ว่า ฉลาดขึ้น
นอกจากนี้ การอ่านยังจำเป็นต้องมีวิจารณญาณ อ่านหนังสือให้แตก และอ่านอย่างหลากหลาย รวมถึงสามารถวิเคราะห์สังเคราะห์ได้
การอ่านอย่างหลากหลายก็เหมือนการได้เปิดตัวเองเข้่าสู่โลกแบบต่างๆ เราจะได้เห็นมุมมองต่างๆ มากขึ้น และเมื่อเกิดการอ่านอย่างมีวิจารณญาณพร้อมกับการอ่านอย่างหลากหลายแล้ว เราจะมี มิติทางความคิด มากขึ้น
มิติทางความคิดมาก กับ ใจกว้าง นั้นผมว่าใกล้เคียงกัน การอ่านมากได้รับข้อมูลมาก ได้ตกตะกอนข้อมูลมาก เกิดมิติทางความคิดมาก แยกแยะสิ่งต่างๆ ได้มาก ได้รับรู้มุมมองต่างๆ มาก จะทำให้เราเข้าใจสิ่งต่างๆ มากขึ้น เข้าใจความหลากหลายในโลก และมีแนวโน้มที่จะทำให้เรา ยอมรับ ความหลากหลายและสามารถเปิดใจได้กว้างขึ้น (แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นเช่นนี้ร้อยเปอร์เซ็นต์) และถ้าหากมนุษย์ในโลกสามารถเปิดใจยอมรับกันได้แล้วล่ะก็ ลองคิดดูสิครับว่าโลกนี้จะน่าอยู่มากขึ้นขนาดไหน
สุนทรียภาพในการอ่าน
สำหรับ วรรณกรรม นั้น ไม่ใช่หนังสือที่บันทึกประวัติศาสตร์อย่างโจ่งแจ้งหรือเป็นแหล่งรวบรวมวิชาความรู้อย่างตำราเรียน แต่ว่าวรรณกรรมนั้น ในแง่ความบันเทิง, ต้องการการอ่านอย่างดื่มด่ำ ต้องการการอ่านอย่างมีอารมณ์ร่วม ละเมียดละไมในรสภาษา และละเอียดอ่อนกับความงามของมัน ในแง่นี้แล้ว วรรณกรรมไม่ต่างอะไรไปจากเครื่องมือขัดเกลาจิตใจมนุษย์ ช่วยให้จิตใจมีความละเอียดอ่อนมากขึ้น
นอกจากนี้ วรรณกรรมยังมีหน้าที่อื่นนอกจากสร้างสุนทรียภาพอีก วรรณกรรมนั้นโดยส่วนมากจะเป็นสารอย่างหนึ่งจากผู้เขียนถึงผู้อ่าน ไม่ว่าจะเป็นการสะท้อนภาพปัญหาสังคมหรือปัญหาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ การกระตุ้นให้ผู้อ่านเกิดจิตสำนึกอะไรบางอย่างขึ้นมา และแน่นอนว่าวรรณกรรมที่ดีหลายชิ้นต้องการจะส่งสารบางอย่างให้มนุษย์ช่วยกันทำให้โลกน่าอยู่ขึ้น
ซึ่งแน่นอนว่า ยิ่งผู้อ่านอ่านมามาก มีประสบการณ์การอ่านสูง อ่านอย่างแตกฉาน และสามารถวิเคราะห์เรื่องราวได้ ก็ยิ่งทำให้อ่านได้อย่างเข้าใจสารมากขึ้นและเกิดสุนทรียภาพในการอ่านมากขึ้น
ปัญหาเกี่ยวกับการอ่านในปัจจุบัน
(นี่คือรายการของปัญหาเท่าที่สมองน้อยๆ ของผมจะคิดได้ในปัจจุบันขณะนี้ หากท่านใดรู้อะไรเพิ่มรบกวนช่วยกันบอกด้วยครับ)
- ปัญหาสำคัญอันดับแรกเลยคือ การอ่านหนังสือไม่แตก หากไม่ได้รับการฝึกฝนหรือขัดเกลาดีๆ แล้วเกิดมีคนประเภทอ่านหนังสือไม่แตกตลอดชีวิตขึ้นมา เขาคนนั้นแม้ว่าจะอ่านหนังสือกี่พันกี่หมื่นเล่ม เขาก็จะไม่มีวันเข้าใจสารในหนังสือนั้นๆ ได้เลย และต่อให้เราจัดงานหนังสือทุกเดือนและคนแห่กันมาซื้อหนังสือมากแค่ไหน ถ้าคนส่วนใหญ่ยังอ่านหนังสือไม่แตก นอกจากคุณค่าของหนังสือจะลดลงแล้ว อาจยังก่อให้เกิดการตีความหนังสือผิดและก่อให้เกิดปัญหาอีกหลายอย่างตามมาได้
- ปัญหาเกี่ยวกับการปลูกฝังการอ่านให้กับเด็กนักเรียน : บ่อยครั้งในโรงเรียนที่เด็กรู้สึกเหมือนถูกยัดเยียดและถูกบังคับให้อ่าน ทั้งตำราและวรรณกรรม ถ้าเด็กจะอ่านก็เพื่อให้เอาไปทำข้อสอบได้ (คิดดูสิว่ามันน่าเศร้าขนาดไหนที่อ่านวรรณกรรมอย่างเคร่งเครียดเพื่อจดจำรายละเอียดและเอาไปเก็งข้อสอบ...) นอกจากระบบการศึกษาปัจจุบันไม่ใส่ใจให้เด็กเห็นความสำคัญของการอ่านอย่างชัดเจนแล้ว ยังทำให้การอ่านกลายเป็นยาขมสำหรับเด็กอีกด้วย
- ปัญหาระดับระบบการศึกษา : จากที่เห็นกันมานาน เรากำลังเน้นการท่องจำและการอ่านอย่างงมงาย หากให้พูดอย่างสัตย์จริง ผมขอเรียกการเรียนประวัติศาสตร์แบบที่เรากำลังทำกันอยู่โดยส่วนใหญ่ว่า เป็น การอ่านแบบงมงาย ที่ไม่เปิดโอกาสให้ซักถามหรือสงสัยต่อข้อมูล บ่อยครั้งที่ให้จดจำรายละเอียดโดยแยกขาดจากบริบทสังคมปัจจุบันและศาสตร์อื่นๆ รวมทั้งบังคับให้เชื่อฝังใจในข้อมูลตามตำราอย่างไม่มีข้อโตแย้ง (ผมขอไม่พูดเรื่องการ make ประวัติศาสตร์ หรือประวัติศาสตร์ชาตินิยมก็แล้วกัน เดี๋ยวยิ่งยาว...)
นอกจากนี้ ข้อสอบ ที่มีคุณค่าเพียงการวัดผลการศึกษาตามความต้องการของระบบ ก็ยิ่งก่อให้เกิดปัญหาเรื้อรัง ข้อสอบปรนัยนั้นเป็นการ block ความคิดสร้างสรรค์และทัศนะส่วนบุคคลที่ได้ผลชะงัดที่สุด สิ่งถูก-ผิด มีให้เลือกเพียงใน 4 ตัวเลือกเท่านั้น! ทั้งๆ ที่แท้จริงแล้วสถานการณ์หลายอย่างในสังคม ไม่มีข้อใดถูกที่สุดหรือผิดที่สุดเพียงข้อเดียว เพราะมันสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องมาจากประวัติศาสตร์และบริบทต่างๆ อันซับซ้อนมากมาย ทว่าเด็กนักเรียนกลับถูกบังคับให้ เลือก สิ่งถูกผิดเพียงข้อเดียวอยู่เกือบตลอดเวลา รวมทั้งมีน้อยครั้งที่จะได้รับโอกาสให้แสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่ (และที่น่าเศร้าก็คือ ผมได้ยินมาว่า วิชาการอ่านแบบมีวิจารณญาณของมัธยมศึกษานั้น คำถามในหนังสือเป็นแบบปรนัย ให้อ่านเรื่องสั้นแล้วตอบคำถามซึ่งเป็นคำถามวิเคราะห์ แต่ดันมีคำตอบเป็นตัวเลือกแบบ ข้อใดถูกเพียงข้อเดียว มาให้เสียนี่...)
- ปัญหาเด็กเกลียดการอ่าน : อย่างกล่าวมาข้างต้น ว่าการเติบโตของเทคโนโลยีทำให้เด็กปัจจุบันมีอะไรให้ทำมากมาย มีการสื่อสารอย่างฟุ่มเฟือย ข้อมูลท่วม และสมาธิสั้น (จะมีเด็กกี่คนที่ตั้งใจอ่านบทความยืดยาวเปลืองพลังงานสมองในอินเทอร์เน็ต) และเมื่อการอ่านไม่ได้ถูกปลูกฝังและเด็กไม่เห็นความสำคัญตั้งแต่ต้น กิจกรรมที่ต้องตั้งสมาธิอย่างอ่านหนังสือจะถูกละเลยและถูกมองเป็นยาขมไป
- ปัญหาการอ่านไม่หลากหลาย : แม้ไม่ถึงขั้นรุนงแรง แต่การอ่านหนังสือหากเป็นไปอย่างหลากหลายก็จะช่วยให้เห็นโลกในหลายแง่มุมมากขึ้น
- ปัญหาผู้ใหญ่ไร้วิสัยทัศน์ : เมื่อผู้ใหญ่ในบ้านเมืองหลายคนไม่รักกการอ่านและมองไม่เห็นความสำคัญของการอ่าน จึงยากที่จะเกิดการแก้ปัญหาและการส่งเสริมการอ่านอย่างจริงจัง (รวมถึงการมัวแต่ด่ากันอยู่ในสภาโดยที่ไม่ลงมือทำอะไรให้มันดีขึ้น)
- ปัญหาระดับครอบครัวและระดับสังคม : พ่อแม่ พี่น้อง เพื่อนฝูง ล้วนมีผลกระทบสำคัญต่อความรู้สึกรักการอ่านเป็นอย่างยิ่ง
- การส่งเสริมการอ่านในโรงเรียนหลายๆ ที่นั้นเป็นเพียง trend และทำโดยละเลยจิตใจของนักเรียน ถ้าพูดกันจริงๆ แล้ว ระบบการศึกษาทั้งระบบนั่นแหละ ที่ใส่ใจกับทฤษฎีและมุ่งเน้นการรับใช้ระบบมากเกินไปจนละเลยความสุขของผู้เรียน และไม่ใส่ใจจะมอบอิสระเสรีทางความคิดให้กับผู้เรียน
- ฯลฯ ซึ่งคงมีอีกมากมายแต่ ณ ตอนนี้ผมยังนึกไม่ออก
สรุป
เนื่องจากว่ามันเป็นประเด็นที่ซับซ้อนมาก ผมจึงทำได้เพียงลิสต์ความคิดออกมาเป็นหัวข้อคร่าวๆ ได้แบบนี้เพียงเท่านั้น ต้องขออภัยหากมันไม่ครอบคลุม หรือมีช่องโหว่ หรืออ่านยาก
ทีนี้ผมอยากลองฟังความเห็นของทุกท่านว่าทุกท่านมีความเห็นกับปัญหานี้อย่างไร และท่านมีแนวทางแก้ปัญหาที่ได้ลองคิดไว้ในหัวหรือไม่
ทั้งหมดนี้เพื่อจะให้ทุกคนรักการอ่าน
และสุดท้ายการอ่าน
จะทำให้โลกนี้ดีขึ้น...
Create Date : 06 พฤษภาคม 2551 |
| |
|
Last Update : 6 พฤษภาคม 2551 22:50:58 น. |
| |
Counter : 496 Pageviews. |
| |
|
|
|
| |
|
|
ommyz |
|
|
|
|
|
|