All Blog
**Review** The Shock of the Fall - Nathan Filer
The Shock of the Fall



Title : The Shock of the Fall
Author : Nathan Filer
Genre : Fiction / Contemporary / Mental Illness
Published : May 9th 2013 by Harper Collins

เรื่องย่อ : 
ผมจะเล่าให้คุณฟังว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะมันคงเป็นวิธีที่ดีที่จะแนะนำให้คุณรู้จักกับพี่ชายของผม เขาชื่อว่าไซม่อน ผมคิดว่าคุณต้องชอบเขาแน่ๆ ผมเองก็เหมือนกัน แต่อีก 2 หน้าต่อจากนี้..เขาจะตาย และหลังจากนั้น..เขาก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป...

รีวิว + สปอยล์ : 
เพิ่งอ่านจบเมื่อกี้เลย รีบมารีวิวไว้ก่อนเดี๋ยวลืม ฮ่าๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าของเด็กหนุ่มที่ชื่อ แมททิว เขามีปัญหาทางจิต(ยังไม่ถึงขั้นบ้าพูดจาไม่รู้เรื่อง) เพราะช็อคกับการสูญเสียพี่ชายของเขา เรื่องมันเกิดเมื่อแมททิวชวนพี่ชายออทิสติกออกไปเที่ยวเล่นตอนกลางคืนขณะฝนตก เพื่อไปดูศพของตุ๊กตาที่ถูกฝังอยู่ริมหน้าผา แล้วมันก็เกิดอุบัติเหตุขึ้น แมททิวลื่นล้มจนไซม่อนต้องช่วยแบกกลับแคมป์ทั้งที่ตัวเองก็ร่างกายไม่แข็งแรง ในที่สุด..ไซม่อนก็จากไปเพราะเหตุการณ์คราวนั้น แมททิวโทษตัวเองมาตลอดว่าเขาเป็นสาเหตุให้ไซม่อนตาย และรู้สึกผิดเพราะว่าตอนนั้นเขาไม่ได้ร้องไห้เสียใจอย่างที่ควรจะเป็น เรื่องยิ่งแย่เมื่อเจคอบเพื่อนสนิทคนเดียวของแมททิวขอย้ายออกจากหอเพื่อไปดูแลแม่ที่ป่วย อาการของแมททิวเริ่มหนักขึ้น เขาเริ่มเห็นภาพหลอนของไซม่อน ได้ยินเสียงในหัวตลอดเวลา ในที่สุด..เขาก็ถูกจับส่งร.พ. แมททิวได้รับการรักษาด้วยการให้ยา แต่เขาก็อ้วกออกมาทุกครั้ง อาการภาพหลอนก็ยิ่งเป็นบ่อยขึ้น เขาเห็นไซม่อนอยู่ทุกๆที่ ทั้งใต้เตียง ริมหน้าต่าง ในห้องน้ำ จนวันหนึ่ง..เขาตัดสินใจจะจบเรื่องโดยการหนีออกจากร.พ.ไปที่หน้าผาแห่งนั้นเพื่อฆ่าตัวตาย เขาจะไปอยู่กับไซม่อน แล้วพวกเขาก็จะได้เล่นด้วยกันตลอดไป...

อีกเพียงก้าวเดียว..แมททิวก็จะได้ไปอยู่กับไซม่อน แต่โชคยังเข้าข้าง เมื่อแอนนาเบลเด็กสาวที่ฝังศพตุ๊กตาไว้เมื่อหลายปีก่อนมาช่วยไว้ และเล่าให้ฟังว่าที่ฝังไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์ให้กับแม่ที่ตายไป และนั่นก็ทำให้เธอรู้สึกปล่อยวาง เมื่อฟังจบแมททิวจึงเกิดความคิดที่จะจัดงานเพื่อเป็นอนุสรณ์ครบรอบ 10 ปีการจากไปของไซม่อนบ้าง หลังจากกลับจากหน้าผานั้น แมททิวถูกรักษาในระบบที่เข้มข้นกว่าเดิม แต่คราวนี้เขายอมกินยาตามที่หมอสั่ง แล้วภาพหลอนไซม่อนก็ค่อยๆหายไป แมททิวจัดงานอนุสรณ์ให้ไซม่อนด้วยตนเอง แม้จะไม่ใช้งานที่เพอร์เฟ็กท์ แต่ก็เป็นงานที่ดีที่เดียว ทุกคนต่างพูดถึงเรื่องเมื่อสมัยเด็ก มีทั้งเสียงหัวเราะ หยดน้ำตา และความเงียบที่ยังคอยติดตามมมาไม่ห่าง...

แมททิวได้รับการรักษาอย่างจริงจัง และแล้ว..เขาก็ได้กลับบ้านอย่างที่หวังไว้ แต่แมททิวก็รู้ว่าสักวัน..ยังไงเขาก็ต้องกลับเข้าไปอีก เพราะโรคนี้และตัวเขาต่างก็หมุนวนไปไม่มีวันจบ...

ประโยคจบ (เราชอบมาก) : 
So I’ll stack these pages with the rest of them, and leave it all behind. Writing about the past is a way of reliving it, a way of seeing it unfold all over again. We place memories on pieces of paper to know they will always exist. But this story has never been a keepsake – it’s finding a way to let go. 

I don’t know the ending, but I know what happens next. I walk along the corridor towards the sound of a Goodbye Party. But I won’t get that far. I’ll take a left, then a right, and I will push open the front door with both hands.

I have nothing else to do today.

It’s a beginning.

การเล่าเรื่อง : เล่าในมุมมองแมททิว เริ่มต้นตั้งแต่แมททิวยังเหมือนคนปกติ จนเริ่มเพี้ยนสติแตก ตอนอ่านนี่แบบ..นี่กูกำลังอ่านไดอารี่ของคนบ้าอยู่ใช่มั้ย - - เรารู้สึกว่ามันเรียลจริงอะไรจริง 55+ ถ้าใครชอบ The Perks of Being a Wallflower แนะนำให้อ่านค่ะ คล้ายๆกัน แต่เครียดกว่าเยอะ
ภาษา : ศัพท์ไม่ยาก แต่ว่าแต่ละประโยคมันลึกซึ้ง (หรือว่าแมทมันบ้าก็ไม่รู้ 55+) ต้องใช้เวลาในการอ่าน และทำความเข้าใจเยอะหน่อย แล้วๆๆ..ที่ใช้ฟอนต์พิมพ์ดีด เพราะว่าในหนังสือแมทก็ใช้พิมพ์ดีดเหมือนกัน พอใช้คอมฟอนต์ก็เปลี่ยน พอเป็นจดหมายฟอนต์ก็เป็นลายมือ
ความรู้สึกหลังอ่าน : T^T มันสะเทือนใจอะ 55+ ไม่คิดว่าคนๆนึงจะเสียใจกับการจากไปของคนที่รักได้ขนาดนี้(เรายังไม่เคยมีฟีลนี่)ตอนอ่านนี่เครียดตลอด ไม่รู้ว่ามันจะจบยังไงกันแน่ ถ้าจบเศร้านี่ช็อคเลยนะ 555+
คะแนน : 5/5 

**แมททิวป่วยเป็นโรคschizophrenic  เป็นความผิดปกติทางจิตอย่างหนึ่งซึ่งทำให้มีการแตกแยกของกระบวนการคิดและการตอบสนองทางอารมณ์ ส่วนใหญ่แสดงอาการเป็นหูแว่ว หวาดระแวง หลงผิดแบบแปลกประหลาด หรือมีการพูดและการคิดที่เสียโครงสร้าง และมักนำไปสู่การสูญเสียความสามารถในการเข้าสังคมหรือการประกอบอาชีพ มักเริ่มแสดงอาการในวัยผู้ใหญ่ตอนต้น โดยมีความชุกตลอดชีวิตอยู่ที่ประมาณ 0.3-0.7% การวินิจฉัยทำโดยการสังเกตพฤติกรรมและรายงานประสบการณ์ที่ได้จากตัวผู้ป่วยเอง





Create Date : 29 พฤศจิกายน 2557
Last Update : 29 พฤศจิกายน 2557 21:31:45 น.
Counter : 1124 Pageviews.

2 comment
**Review** Yesterday - Haruki Murakami
Yesterday - Haruki Murakami


Title : Yesterday
Author : Haruki Murakami
Genre : Fiction / Short stories
Published : June 9th 2014 by The New Yorker

เรื่องย่อ : 
 ทานิมุระ นึกย้อนไปตอนที่เขายังเป็นวัยรุ่น ตอนนั้นเขามีเพื่อนแปลกๆอยู่คนหนึ่งชื่อ คิตะรุ คิตะรุชอบพูดภาษาคันไซ ทั้งๆที่ตัวเองเกิดในโตเกียว และเรื่องราวก็เกิดขึ้นเมื่อคิตะรุร้องเพลง Yesterday ของวง The Beatles

Yesterday
Is two days before tomorrow,
The day after two days ago.

รีวิว + สปอยล์ : 
 ทานิมุระ ย้ายเข้ามาเรียนที่ม.วาเซดะ ในโตเกียว เขาเริ่มทำงานพาร์ทไทม์ที่ร้านคอฟฟี่ช็อบข้างม. และเขาก็ได้พบกับคิตะรุ เด็กหนุ่มที่เกิดและเติบโตในโตเกียว แต่กลับจริงจังกับการเรียนพูดภาษาคันไซ โดยอ้างว่ามันก็เหมือนกับเรียนภาษาอังกฤษหรือฝรั่งเศสนั่นแหละ ทานิมุระเลยรู้สึกว่า..ว้าว โตเกียวนี่มันกว้างใหญ่จริงๆ ยังมีอีกหลายเรื่องที่เขาไม่รู้นะเนี่ย คิตะรุเล่าว่าแรงบันดาลใจในการเริ่มเรียนภาษาคันไซก็เพราะตัวเองเป็นเเฟนคลับทีมเบสบอลชื่อ ฮันชิน ไทเกอร์ คิตะรุพูดภาษาคันไซทั้งที่โรงเรียน บ้าน แม้กระทั่งในฝันเขาก็ยังพูดภาษาคันไซ ผิดกับทานิมุระที่คิดว่า การพูดภาษาคันไซในโตเกียวเป็นเรื่องน่าอาย และตัวเขาเองก็อยากเปลี่ยนเป็นคนใหม่จากเมื่อตอนม.ปลายด้วย...

 ทานิมุระได้ยินคิตะรุร้องเพลง Yesterday ครั้งแรกตอนที่คิตะรุกำลังอาบน้ำ ทั้งสองคนเถียงกันเรื่องที่คิตะรุไปเปลี่ยนเนื้อร้องใหม่ แต่แน่นอนคิตะรุไม่แคร์หรอก ก็เขาร้องในบ้านของตัวเองนิ ทานิมุระเล่าว่าคิตะรุชอบอาบน้ำนานๆเพราะความคิดดีๆมักเกิดขึ้นตอนนั้น แต่แทนที่จะอาบน้ำนานๆ สู้เอาเวลาไปอ่านหนังสือสอบเข้ามหาลัยไม่ดีกว่าเรอะ! ซิ่วมาตั้ง 2 ปีแล้วทำไมไม่จริงจังซักที ซิ่งคิตะรุก็ให้เหตุผลว่าขาดเเรงบันดาลใจ...

 คิตะรุมีแฟนที่รู้จักกันมานานตั้งแต่เรียนชั้นประถมชื่อว่า เอริกะ คิตะรุและเอริกะตกลงกันว่าจะไม่เดทกันจนกว่าคิตะรุจะสอบเข้ามหาลัยได้ ทั้งคู่เลยได้แค่คุยกันทางโทรศัพท์ และพบกันเพียงอาทิตย์ละครั้ง แต่อยู่ๆวันหนึ่งคิตะรุก็ถามทานิมุระขึ้นมาว่า เฮ้ย ทำไมนายไม่ลองเดทกับแฟนฉันมั้งล่ะ (WHAAAT?! - -*) ถ้าลองแล้วไม่เสียใจแน่นอน การันตีเลย คิตะรุเล่าว่า ตัวเองกับเอริกระรู้จักกันมาตั้งนาน ไม่แปลกที่พวกเขาสองคนจะคบกัน ใครๆก็คิดแบบนั้น ทั้งพ่อแม่ เพื่อน ครู ถ้าเขาสอบเข้ามหาลัยได้ เรื่องก็คงจะแฮปปี้เอนดิ้ง แต่เขากลับสอบตก ทุกอย่างก็เลยเหมือนจะแย่ลงเรื่อยๆ ในขณะที่เขาเรียนพิเศษเพื่อสอบเอนทรานซ์ เอริกะเองก็กำลังมีชีวิตใหม่ในรั้วมหาลัย แล้วบางทีก็อาจจะเจอผู้ชายคนใหม่แล้วก็ได้ คิตะรุรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง แต่อีกครึ่งหนึ่งในตัวเขากลับรู้สึกสบายใจที่ชีวิตไม่ได้เป็นไปแบบที่คนอื่นคิดไว้ อย่างเพื่อนสมัยเด็ก คบกันเป็นแฟน สุดท้ายก็แต่งงาน มีชีวิตคู่สุขสม มีลูกสองคน โอ้ ลัลล้า คิตะรุคิดว่ามันคงดีกว่าถ้าลองแยกกัน แล้วถ้าเขาสองคนขาดกันไม่ได้จริงๆ พวกเขาก็คงจะกลับมาคบกันเหมือนเดิม...

 หลังจากทานิมุระฟังจบก็สรุปได้ว่า คิตะรุมองว่าการที่อะไรๆก็ง่ายไปซะหมด นั่นแหละคือปัญหา - -* แต่ทำไมตัวเขาจะต้องไปเดทกับแฟนเพื่อนด้วยล่ะ?! แล้วไอ้หนุ่มอินดี้อย่างคิตะรุก็ให้เหตุผลว่า ก็ถ้าจะให้เอริกะเดทกับผู้ชายอื่นล่ะก็ ให้เดทกับทานิมุระซะดีกว่า เพราะทานิมุระเป็นคนดี แล้วก็เป็นเพื่อนของคิตะรุด้วย ทานิมุระยอมตกลงเพราะว่าตัวเขาเองก็อยากรู้จักกับเอริกะเหมือนกัน คิตะรุแนะนำทานิมุระให้เอริกะรู้จัก แล้วให้ทั้งคู่วางแผนเดทกัน ให้คิดซะว่าเหมือนกับการไปเที่ยวแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างคันไซกับโตเกียว ด้วยความโมโหเอริกะเลยยอมตอบตกลงตามแผนบ้าๆของคิตะรุ ในวันเดทเอริกะปรึกษาเรื่องคิตะรุกับทานิมุระ เธอคิดว่าคิตะรุไม่ได้รักเธอเพราะทั้งคู่ไม่เคยมีอะไรกันเลย ทานิมุระก็ปลอบใจว่า คิตะรุรักเอริกะจริงๆแต่แค่ไม่กล้า (คิตะรุเคยเล่าว่า ทำไม่ลงเพราะเป็นเพื่อนกันมาตั้งนาน ขนาดตอนช่วยตัวเองก็ยังไม่กล้าคิดถึงหน้าเอริกะเลย เพราะรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ผิดต่อเอริกะ) เอริกะยอมเล่าให้ทานิมุระฟังว่าตอนนี้ก็กำลังคุยๆอยู่กับผู้ชายอื่นอยู่เหมือนกัน ทานิมุระเลยบอกให้ไปบอกคิตารุซะ ถ้าปล่อยให้หมอนั่นรู้เอาเองก็คงจะเจ็บปวดน่าดู เอริกะยังเล่าถึงความฝันที่เธอฝันซ้ำๆกันให้เขาฟังอีกว่า ในฝันเธอและคิตุระอยู่บนเรือลำหนึ่ง พวกเขากำลังออกเดินทางไกลไปด้วยกัน และคอยเฝ้ามองพระจันทร์น้ำแข็งที่ค่อยๆละลายเมื่อใกล้เช้า มันคงดีถ้าการเดินทางนั้นจะดำเนินต่อไปเรื่อยๆ เธอรู้สึกปวดใจทุกครั้งตอนตื่นขึ้นมา แล้วถ้าบางที..คืนหนึ่งพระจันทร์ไม่ได้อยู่ตรงนั้นล่ะ แค่คิดเธอก็รู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจ...

 วันต่อมา ที่ร้านคอฟฟี่ช็อบ คิตะรุถามเรื่องเดทกับเอริกะเมื่อวาน อย่างเช่นว่าทั้งสองคนได้จูบกันมั้ย แล้วเอริกะใส่กกน.แบบไหน - -*) คิตะรุเล่าให้ทานิมุระฟังว่าตัวเองเริ่มพบจิตแพทย์ตั้งแต่มัธยม คิตะรุไม่รู้ว่าความคิดของตัวเองมันแปลกตรงไหน เขาก็แค่ทำเรื่องธรรมดา แต่คนอื่นกลับมองว่ามันผิดปกติ แน่นอนว่าคิตะรุยอมรับว่าเรื่องภาษาคันไซก็ออกจะแปลกๆไปนิดนึง แต่ทานิมุระก็บอกว่าถึงมันจะแปลก แต่ไม่ได้ทำให้คนอื่นเดือดร้อนนี่ อยากพูดคันไซก็พูดไป ไม่อยากเรียนก็ไม่ต้องเรียน ชีวิตนาย อยากจะทำอะไรก็ทำ ไปแคร์คนอื่นทำไม คนเราไม่สามารถเปลี่ยนตัวตนที่แท้จริงได้หรอก แล้วอีกอย่างนะ ไม่ว่านายจะทำอะไร อย่าปล่อยเอริกะไป เพราะนายไม่สามารถหาผู้หญิงดีๆแบบนั้นได้ที่ไหนอีกแล้ว...

 แต่อยู่ๆ 2 อาทิตย์ถัดมา คิตะรุก็หายตัวไป 2 วันก่อนหน้านั้นคิตะรุเงียบผิดปกติ ทานิมุระอยากจะโทรถามกับเอริกะว่าเรื่องราวเป็นมายังไง แต่เขาก็ไม่ได้โทรไป เพราะเห็นว่ามันเป็นเรื่องของคนสองคน และตัวเขาเองก็ไม่อยากจะเข้าไปยุ่ง...

 16 ปีผ่านไป ทานิมุระได้พบกับเอริกะอีกครั้ง พอได้คุยกันเขาถึงได้รู้ว่าเธอยังไม่ได้แต่งงานเพราะมัวยุ่งๆกับเรื่องงาน แล้วตอนนี้คิตะรุก็ทำงานเป็นเชฟซูชิอยู่ที่เดนเวอร์ และติดต่อมาหาบ้างทางโปสการ์ด เอริกะเล่าว่าคิตะรุไม่ได้เข้าสอบเอนทรานซ์ และเลือกที่จะเข้าโรงเรียนสอนทำอาหารแทน ตอนนั้นคิตะรุก็เหมือนจะรู้เรื่องที่เธอมีคนอื่น และสุดท้ายมันก็ไปไม่รอดทั้งคิตะรุและผู้ชายคนนั้น...

ขณะขับรถ ทานิมุระได้ยินเพลง Yesterday เปิดทางวิทยุ เขาหวนคิดถึงเนื้อเพลงประหลาดๆของคิตะรุอีกครั้ง เมื่อเวลาผ่านไป ความทรงจำก็ค่อยๆจางหายไปเรื่อยๆ แต่เขากลับจำคิตะรุได้แม่น แม้พวกเขาจะเป็นเพื่อนกันเพียงแค่ไม่กี่เดือนก็ตาม ทุกครั้งที่ได้ยินเพลง Yesterday ทั้งฉากและคำพูดที่พวกเขาเคยคุยกันก็เอ่อล้นขึ้นในใจ เหมือนกับว่าเหตุการณ์เมื่อหลายปีก่อนนั้นเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง ดนตรีคงมีพลังพิเศษในการช่วยฟื้นความทรงจำ

ทานิมุระมองย้อนกลับไปเมื่อตอนเขาอายุ 20 ช่วงเวลานั้นเขารู้สึกโดดเดี่ยวจริงๆ ไม่มีเพื่อน ไม่มีแฟน ไม่รู้ว่าควรใช้ชีวิตต่อไปยังไงในแต่ละวัน มองไม่เห็นแม้กระทั่งอนาคต เขาได้แต่จมอยู่กับตัวเอง ทุกๆคืน..เขาก็เหมือนคิตะรุและเอริกะที่คอยจ้องมองพระจันทร์น้ำแข็งนั่น แต่เขาได้แต่เฝ้ามองมันอยู่เพียงลำพัง และไม่สามารถแบ่งปันความเหน็บหนาวอันสวยงามนี้กับใครได้เลย...

Yesterday
Is two days before tomorrow,
The day after two days ago. 

***เรารู้สึกว่าเรื่องนี้เข้าใจยากนิดนึง ถ้าผิดพลาดก็ขออภัยจ้า***

ภาษา : ไม่ยากนะคะ ไม่เก่งอังกฤษก็อ่านได้สบายบรื๋ออออ แต่เราคิดว่าเนื้อเรื่องมีอะไรให้คิดเยอะเหมือนกัน
คาแรกเตอร์ : เราว่าทานิมุระคาแรกเตอร์คล้ายกับโทรุคุงใน norwegian wood เลย เป็นประเภทเก็บตัว ไม่พูด แนว introvert เทือกๆนั้น ส่วนตัวเราชอบคิตะรุมากกกก แหมมมม่ อะไรมันจะอินดี้ขนาดนั้น อยากรู้จักคนแบบนี้จริงๆ ชีวิตคงมีสีสันน่าดู ฮ่าๆ เรื่องนี้เราขำคิตะรุอยู่หลายตอนเหมือนกัน เราว่าสนุกพอๆกับเรื่องอื่นๆที่เคยอ่านมาเลย
คะแนน : 5/5 ถึงเราจะอ่านเรื่องนี้ไม่แตก แต่แบบ..ชอบคิตะรุอะ เราลำเอียง เลยให้เยอะๆเลย ฮ่าๆ




Create Date : 08 พฤศจิกายน 2557
Last Update : 8 พฤศจิกายน 2557 14:26:00 น.
Counter : 1173 Pageviews.

0 comment
**Review** Afterward of Black Fairy Tale - Otsuichi
Afterward of Black Fairy Tale

Originally published in the Japanese paperback edition of Black Fairy Tale.



Title : Summer, Fireworks, and My Corpse also includes Black Fairy Tale
Author : Otsuichi
Genre : Horror / Fantasy
Published : September 21st 2010 by Haikasoru

รีวิว :
งืมม..วันนี้เราไม่ได้จะมารีวิวหนังสือนะคะ แต่เราจะมารีวิวบทส่งท้ายแทน ฮ่าๆ เหตุผลก็เพราะว่าในส่วนของ Summer, Fireworks, and My Corpse และ black Fairy Tale คงจะมีคนรีวิวกันไปเยอะแยะมากมายแล้ว เราเลยขอรีวิวบทส่งท้ายของ Black Fairy Tale ละกัน อิอิ พอดีเรามีทั้งเวอร์ชั่นไทยและอังกฤษ เลยรู้ว่าเวอร์ชั่นไทยไม่ได้แปลบทส่งท้ายให้ แล้วส่วนตัวเราคิดว่ามันเจ๋งดีด้วย ก็เลยขอรีวิวส่วนนี้ละกันเนอะ คุคุคุคุ

โอเค มาเริ่มเลย ในส่วนนี้โอตสึอิจิเล่าว่า วันๆประทังชีวิตอยู่ด้วยอาหารในร้านของครอบครัว ตอนเดินกลับบ้านก็แทบจะไม่ได้ระวังรถบรรทุกที่วิ่งผ่านเลย แต่ก็ดีเหมือนกันถ้าโดนชนไปซะได้ โอตสึอิจิเล่าต่อว่า Black Fairy Tale เป็นผลงานชิ้นแรกที่ยาวกว่าสองร้อยหน้า ตอนที่เรียนจบใหม่ๆ เขาตัดสินใจไม่หางานทำ และเลือกที่จะใช้ชีวิตเป็นนักเขียนแทน...

“ผมไม่สนใจว่าสุดท้ายแล้วมันอาจเป็นแค่ขยะชิ้นนึง ผมแค่ต้องการเขียนนิยายเรื่องยาวนี้ให้เสร็จ ถ้าผมอยากจะเป็นนักเขียนมืออาชีพ นิยายเรื่องนี้ก็คืออุปสรรคที่ผมจะต้องเอาชนะมันให้ได้”

นั่นคือแรงผลักดันให้ผมเขียนนิยายเรื่อง Black Fairy Tale และผลลัพธ์ที่ได้ก็เป็นเรื่องแปลกๆอย่างที่เห็น ทุกคนครับ ผมขอโทษจริงๆ..

โอตสึอิจิเล่าต่อว่า วันนี้ที่ร้านอาหารของครอบครัว ขณะที่กำลังนั่งตรวจต้นฉบับครั้งสุดท้ายว่ามีประโยคไหนที่ผมอยากจะเปลี่ยนแปลงอีกมั้ย ในมือกำปากกาแดงจนแน่น และค่อยๆอ่านอย่างระมัดระวัง ผมกำลังเผชิญหน้ากับต้นฉบับ บางครั้งก็ต้องลุกไปดื่มน้ำดับกระหายที่จุดบริการเครื่องดื่ม

ผมเขียนเรื่อง  Black Fairy Tale ในตอนที่ผมยังฝึกเขียนนิยายใหม่ๆ ผมมองเห็นความอ่อนหัดของตัวเองแทรกอยู่ตรงช่องว่างของแต่ละคำ ซึ่งนั่นก็ทำให้อุณหภูมิภายในร่างกายพุ่งสูงขึ้น และชีพจรก็เต้นเร่าๆ 

ผมละอายใจ.. แต่ละคำที่ผมเขียนทำให้ผมรู้สึกอับอายอย่างที่สุด ผมไม่กล้าแม้แต่จะอ่านมันด้วยซ้ำ ถ้าให้อธิบาย ก็คงจะเหมือนตอนที่คุณถูกบังคับให้อ่านไดอารี่สมัยวัยรุ่น ที่จริงผมไม่มีหรอกนะ แต่มันก็คงจะรู้สึกอย่างนั้นนั่นแหละ

เพียงแค่อ่านไปบรรทัดเดียว แก้มของผมก็แดงร้อนขึ้นจนรู้สึกได้ พออ่านบรรทัดที่สอง มือที่กำปากกาอยู่ก็เริ่มสั่น ส่วนเท้าก็กระทืบไปมาอยู่ใต้โต๊ะ จนมาถึงบรรทัดที่สาม ผมคิดในใจว่า “ไอ้ห่านนเอ๊ย! ไม่ไหวแล้ว!” และสุดท้ายผมก็ม้วนต้นฉบับแล้วฟาดเข้ากับกำแพง

และเมื่อผมอ่านถึงบทที่สอง ผมก็ถึงขีดจำกัดของความอดสู เส้นประสาทแทบจะระเบิด

อีกไม่นาน ถ้อยคำน่าอับอายนี่ก็จะถูกปริ๊นท์ และส่งไปให้คนทั้งโลกได้รับรู้ และผมต้องพบเจอกับเรื่องน่าขายหน้าซึ่งเกินกว่าจะทนได้ แล้วบางอย่างด้านหลังศีรษะก็แตกดังเปรี๊ยะๆ ผมตระหนักว่าตัวเองเกือบจะร้องไห้ฟูมฟาย เลยต้องลนลานกลั้นใจไว้ไม่ปล่อยมันออกมา

มีคนที่เห็นพฤติกรรมแปลกๆนี่อยู่ตลอดเวลา คาดว่าคงจะเป็นเด็กประถม และครอบครัวที่นั่งอยู่บูธข้างๆ

หยุดนะ! อย่างมองฉัน! อย่างจ้องเหมือนกับว่านายรู้สึกสมเพชฉันแบบนั้นสิ!

ผมถือตะเกือบแบบใช้แล้วทิ้งด้วยท่าทางน่ากลัว และจ้องไปที่ครอบครัวนั้น จนพวกเขารีบหันไปทางอื่นราวกับว่าได้เห็นอะไรน่ารังเกียจมาอย่างงั้นแหละ ผมมั่นใจว่าคนพวกนั้นกำลังหัวเราะเยาะผมอยู่ในใจ ผมสามารถเดาบทสนทนาอันเงียบเชียบได้จากดวงตาของพวกเขา

แม่ : ลูกรัก เห็นไอ้หนุ่มชุดวอร์มโต๊ะข้างๆนั่นมั้ย เขาคือโอตสึอิจิ ไอ้คนที่เขียนนิยายกากๆที่กำลังจะตีพิมพ์อยู่นั่นไง
ลูก : ผมไม่อยากโตขึ้นเป็นคนแบบเขาเลยฮะแม่
พ่อ : ถูกต้อง ทาคาชิ เป็นเด็กดี แล้วอย่ามีความคิดที่จะเขียนนิยายน่าอายๆพวกนั้นล่ะ!
ลูก : ครับ ผมจะตั้งใจเรียน และจะเป็นที่นับน่าถือตาในสังคมให้ได้ แล้วตอนเรียนมหาลัย ผมจะมองหางานดีๆ และจะไม่มีทางใช้ชีวิตในเส้นทางนักเขียนแน่นอน

ทาคาชิ....โอ..ทาคาชิ นายเจ๋งมาก ไม่มีอะไรที่จะดีไปกว่านี้อีกแล้ว ทาคาชิ ผมยังคงจ้องทาคาชิ ตะเกียบยังถือคาอยู่ในมือ แม่ของเจ้าเปี๊ยกนั่นพยายามกอดร่างลูกชายให้พ้นจากสายตาของผม

ทาคาชิพูดถูก ทำไมผมถึงไม่คิดหางานทำก่อนที่จะเรียนจบ ทำไมผมถึงเกิดความคิดที่จะใช่ชีวิตเป็นนักเขียน ถ้าไม่มีความคิดนั้น ผมก็จะไม่เคยเขียนนิยายเรื่องยาว ผมจะไม่ได้เขียน Black Fairy Tale และผมก็จะไม่ต้องมานั่งว้าวุ่นกับต้นฉบับพวกนี้

ในตอนที่เพื่อนร่วมชั้นของผมกำลังวางแผนอนาคตเกี่ยวกับการทำงาน ผมกลับช่วยเพื่อนทำหนังอินดี้ และเขียนเรื่องสั้นเพื่อส่งพิมพ์ในแมกกาซีน กิจกรรมพวกนั้นทำให้ผมผ่อนคลายลงเมื่อรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะประสาทกินกับงานสัมนา ความคิดที่จะหางานทำทำให้ผมปวดหัวเกินกว่าที่จะคิดถึงมัน ผมวิ่งหนีจาการสวมสูทเพื่อสัมภาษณ์งานและทำแบบทดสอบ ตอนนี้เพื่อนร่มชั้นของผมคงได้ใส่สูททำงานกัน ในขณะที่ผมกลับได้ใส่แต่ชุดวอร์มที่ยังไม่ได้ซัก

ภาพของเพื่อนร่วมชั้นที่ใส่สูทผูกไทด์ทำให้ผมรู้สึกละอายใจ พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในสังคมและเติบโตขึ้น แต่ว่าตัวผม..กลับนั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของร้าน และกินน้ำหวานอย่างมูมมามคล้ายตัวด้วงที่กำลังมองหาอาหาร ผมยังไม่เคยโต วันเวลาของผมมีแต่ความเฉื่อยชา นี่ผมทำผิดตรงไหนเหรอ? มันทำให้ผมอยากจะร้องไห้ออกมา และอยากจะตายไปให้พ้นๆซะ...

ทาคาชิ..อย่าเป็นเหมือนฉัน ใช้ชีวิตในทางที่ถูกที่ควร เล่นเบสบอลต่อไป และอย่าทำให้พ่อแม่ร้องไห้..

ผมยิ้มกว้างให้กับเด็กชายบูธข้างๆ และคอยเอาใจช่วยเขา แม่ของทาคาชิลุกขึ้นและจูงเขาออกไป พยายามหนีไปจากสายตาผมอย่างเร็ว เมื่อพวกเขาออกจากร้านไปแล้ว ผมจึงกลับมาทำงานต่อ คอยระวังไม่ให้หัวใจของตัวเองแหลกสลายไปเสียก่อน แต่ในขณะที่ผมทำงาน ใจผมก็ยังคงคิดถึงแต่ทาคาชิ โชคดีนะ..ทาคาชิ ไม่ว่านายจะทำอะไร ก็อย่ามาเป็นนักเขียนล่ะ หางานทำในบริษัทดีๆ และให้ของดีๆกับพ่อแม่ตอนที่ได้เงินเดือนเดือนแรก ได้โปรดทาคาชิ..ฉันขอนายล่ะ

พอผมตรวจต้นฉบับเสร็จก็ออกจากร้านอาหาร แล้วปั่นจักรยานกลับไปที่อพาร์ทเมนต์ ลมพัดแรงจนผมเกือบจะล้มหัวทิ่ม อีกไม่กี่อึดใจ รถบรรทุกก็ขับผ่านตัวผมไปในระยะกระชั้นชิด ผมโมโหไอ้คนขับนั่นเหลือเกิน ทำไมมันไม่ขับชนผมไปเลย ทำไมมันขับเข้าใกล้ผมอีกซัก 30 เซ็น แกมันก็ไอ้คนขับรถห่วยๆ!

เพราะงั้น ผมเลยมีชีวิตอยู่ต่อไป และเพราะไม่มีเหตุการณ์นั้น หนังสือเล่มนี้เลยถูกตีพิมพ์

Otsuichi ,march 18, 2004


***สกิลภาษาอังกฤษเรายังเด็กน้อยอยู่ ถ้าอ่านแล้วติดๆขัดๆ หรือผิดพลาดก็ขออภัยด้วยจ้า***

ภาษา(ของนิยายในเล่ม) : ในส่วนของ Summer, Fireworks and My Corpse กับ Yuko ศัพท์ไม่ยากค่ะ ไม่เก่งอังกฤษก็อ่านได้สบายบรื๋อออ ส่วนของBlack Fairy Tale ศัพท์ยากขึ้นิดนึง แต่ยังอยู่ระดับกลางๆ ไม่ได้ยากมาก ขอบ่นนิดนึง เราพอได้อ่านฉบับไทยคร่าวๆ เราว่าเขาแปลดีนะ แต่ภาษามันสวยจนเราไม่รู้สึกกลัวเลย ผิดกับตอนอ่านภาษาอังกฤษ เราว่ามันค่อนข้างเครียดเลย อิอิ บอกไว้เผื่อใครอยากลอง XD
คะแนน : 5/5 (หนูเป็นติ่งโอตสึอิจิคร่าาา *ชูป้ายไฟ*)




Create Date : 30 ตุลาคม 2557
Last Update : 31 ตุลาคม 2557 21:50:51 น.
Counter : 1288 Pageviews.

2 comment
**Review** The Ocean at the End of the Lane - Neil Gaiman
The Ocean at the End of the Lane  



Title : The Ocean at the End of the Lane (มหาสมุทรที่สุดปลายถนน)
Author : Neil Gaiman
Genre : Adult Fiction / Dark Fantasy
Published : January 1st 2013

เรื่องย่อ (จากปกหลังภาษาไทย) :
ณ เมืองซัสเซ็ก ประเทศอังกฤษ ชายวัยกลางคนกลับคืนสู่บ้านหลังเก่าเมื่อครั้งยังเป็นเด็กเพื่อร่วมพิธีศพ ถึงแม้บ้านเที่เขาเคยอาศัยอยู่ในตอนนั้นจะถูกรื้อไปนานแล้ว แต่เขาก็ถูกดึงดูดไปยังบ้านไร่ที่อยู่สุดปลายถนน ตอนอายุเจ็ดขวบ เขาเคยไปที่นั่นและได้พบกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ชื่อเล็ตตี้ เฮมป์สต็อก รวมทั้งแม่และยายของเธอด้วย เขาไม่เคยนึกถึงเล็ตตี้มาเป็นเวลาหลายทศววรษ แต่ในขณะที่เขานั่งอยู่ริมหนองน้ำที่เล็ตตี้อ้างเสมอว่าเป็นมหาสมุทร อดีตที่หลงลืมไปกลับโถมเข้าใส่ราวกลับระลอกคลื่น เมื่อสี่สิบปีก่อนความมืดถูกปลดปล่อยออกมา เป็นอะไรที่น่ากลัวและไม่อาจเข้าใจได้โดยสิ้นเชิงสำหรับเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ตอนนั้นเล็ตตี้สัญญาว่าจะปกป้องเขาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

รีวิว+ สปอยล์
เด็กชายวัย 7 ปี (ตอนแรกไม่ได้บอกว่าชื่ออะไร ตอนหลังพ่อเรียกว่าจอร์จ) อาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่กับพ่อแม่ และน้องสาว เขาชอบอ่านหนังสือ และทำการทดลองวิทยาศาสตร์ อยู่มาวันหนึ่งแม่ได้บอกกับเขาว่า บ้านไม่ได้ร่ำรวยเหมือนเก่า เลยต้องแบ่งพื้นที่บางส่วนในบ้านให้คนอื่นเช่า และเหตุการณ์ร้ายๆก็เกิดขึ้นเมื่อคนงานเหมืองมาเยือนบ้านของเขา เพียงแค่วันเเรกคนงานเหมืองก็ขับรถทับแมวของเด็กชายจนตาย มิหนำซ้ำแม่ยังยกห้องนอนของเขาให้คนงานเหมืองเช่า และบอกให้เขาแชร์ห้องกับน้องสาวแทน เรื่องราวดำเนินไปพร้อมกับความไม่พอใจของเด็กชาย เช้าตรู่วันหนึ่งเด็กชายตามหาหนังสือการ์ตูนที่พ่อของเขาซื้อให้แต่ดันลืมไว้ในรถ แต่พอเดินไปที่ลานจอดรถ รถก็ดันหายไปซะงั้น เด็กชายกับพ่อเลยออกเดินตามหารถไปด้วยกัน จนกระทั่งมาพบรถจอดอยู่ ณ สุดปลายถนน ภายนอกดูไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ภายในกลับพบร่างไร้วิญญาณของคนงานเหมืองเข้า พ่อของเด็กชายเลยฝากเขาไว้กับฟาร์มเฮมป์สต็อก ในระหว่างที่ตำรวจกำลังตรวจที่เกิดเหตุ และนั่นทำให้เขาได้พบกับเล็ตตี้เป็นครั้งแรก

หลังจากการตายของคนงานเหมือง เด็กชายพบว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น อยู่ๆคนสวนก็ขุดพบเหรียญโบราณที่หลังบ้าน เเละเช้าวันต่อมา เด็กชายก็ต้องตื่นจากฝันร้ายและพบว่ามีเหรียญนั้นติดอยู่ในลำคอ เขารีบไปหาเล็ตตี้ที่ฟาร์มและเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง แม่และยายของเล็ตตี้คิดว่าน่าจะเป็นเพราะวิญญาณคนงานเหมืองที่ไปขอเงินจากมอนสเตอร์(ในเรื่องเรียกว่า Fleaที่จริงชื่อว่า Skarthach แต่เราคิดว่าเป็นผีผ้าขี้ริ้ว ฮ่าๆ) เล็ตตี้เลยพาเด็กชายเข้าไปอีกโลกนึง(ล่ะมั้ง)โดยเดินผ่านป่าข้างฟาร์มไป พอไปถึงก็เจรจากับfleaตัวนี้ ให้เลิกยุ่งเกียวกับอีกโลกเพราะมันจะทำให้เกิดเรื่องยุ่ง แต่fleaก็เถียงกลับว่าชั้นแค่ให้เงิน ให้ความสุขกับมนุษย์ ตกลงกันไม่ได้ เล็ตตี้ก็เลยจัดการเจ้าFleaตัวนี้ และพากันกลับบ้าน หารู้ไม่ว่าได้พาเอาเจ้าFleaกับมาด้วย

พอเด็กชายกลับถึงบ้าน ก็พบว่ามีรูอะไรบางอย่างอยู่ที่เท้า เลยลองเอาแหนบแซะๆดู ปรากฎว่ามีหนอนอยู่ในเท้า - -* เขาเลยใช้แหนบดึงมันออกมาแล้วทิ้งลงท่อน้ำโดยไม่คิดอะไร เรื่องราวเหมือนจะกลับสู่ภาวะปกติ แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นน่ะสิ เมื่อวันต่อมา แม่ได้แนะนำให้เขารู้จักกับพี่เลี้ยงคนใหม่ชื่อ Ursula Monkton เด็กชายรู้สึกไม่ชอบหน้าเอาเสียเลย ผิดกับน้องสาวของตัวเองที่ดูจะปลื้มเออซูล่ามากๆ อยู่ไปซักพักนางเออซูล่าก็ออกลาย และเปิดเผยว่าตัวเองคือ Flea เข้ามาในโลกนี้โดยอาศัยมาในตัวเด็กชายซึ่งก็คือ หนอนตัวนั้นนั่นเอง เออซูล่าแกล้งเด็กชายสารพัด และไม่ยอมปล่อยให้เขาหนีไปขอความช่วยเหลือจากเล็ตตี้ จนมาถึงฉากเด็ด หึหึ เด็กชายรู้สึกทนยัยเออซูล่านี่ไม่ไหว เลยด่าต่อหน้าพ่อของตัวเองว่า อิเห็บ! (Flea) พ่อโมโหมากเลยจับเขากดน้ำมันซะเลย -__- โดยมีนังเออซูล่าหัวเราะชอบใจอยู่เบื้องหลัง แต่โชคดีที่เด็กชายหนีมาได้ และพ่อไม่คิดจะวิ่งไล่ฆ่าอีก - - ในคืนวันนั้น เด็กชายที่ทนความร้ายกาจของFleaตัวนี้ไม่ได้แล้ว เลยปีนหนีออกจากหน้าต่างลงมายังชั้นล่าง และพบว่าพ่อของเขากำลังมีอะไรกับเออซูล่าอยู่ในห้องรับแขก แต่วินาทีนั้นเขาไม่สนอะไรอีกแล้ว ที่นึกได้อย่างเดียวคือต้องไปหาเล็ตตี้ให้ได้ เขาออกวิ่งไปตามถนน วิ่งๆๆๆ จนสุดท้ายก็ถูกเออซูล่าไล่ตามจนได้ แล้วในขณะที่เออซูล่ากำลังจะพาเด็กชายกลับไปขังไว้ที่บ้าน เล็ตตี้ก็มาช่วยไว้ทัน และไล่เออซูล่าไป

 หลังเออซูล่ากลับไปแล้ว เล็ตตี้ก็พาเด็กชายไปพักที่ฟาร์ม ยายของเล็ตตี้ได้ช่วยลบเหตุการณ์ที่พ่อจับเขากดน้ำ โดยการตัดชุดนอนของเขาส่วนที่ขาดออก (เหมือนกับว่าผ้าส่วนที่ตัดออกไปเป็นเหตุการณ์นั้น) แล้วให้เด็กชายเอาไปทิ้งในเตาผิง แต่อยู่ๆเขาก็กลับรู้สึกเจ็บปวด ล้มลงไปดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้น ยายของเล็ตตี้เลยพบว่าที่เท้าของเด็กชายนั้นยังมีรูของหนอนหลงเหลืออยู่ ซึ่งนั่นก็เป็นเส้นทางที่เออซูล่าเหลือทิ้งไว้เพื่อเป็นทางที่ใช้กลับอีกโลกของเธอ (เพราะงั้นนางเลยจะเอาเด็กชายขังไว้ในบ้านไม่ให้ไปไหน) ยายของเล็ตตี้เลยจัดการดึงเส้นทางนั้นออก และปิดรูนั้นซะ และระหว่างที่เด็กชายพักอยู่ที่ฟาร์มเล็ตตี้ก็ไปทำข้อตกลงกับสัตว์ประหลาดที่เป็นนก (hunger bird) ให้มาจัดการกับเออซูล่าซะ หลังจากตกลงเสร็จก็พากันกลับไปที่บ้าน ระหว่างทางเข้าบ้านและรอบๆบ้านเล็ตตี้ได้วางของเล่นพังๆไว้เพื่อกันไม่ให้เออซูล่าหนีไป เล็ตตี้เจรจากับเออซูล่าให้กับไปดีๆ เพราะไม่อยากทำร้ายเธอ แต่เออซูล่าไม่ยอม หนีออกมาที่สนามหญ้า และตอนนั้นเองเออซูล่าได้ยินเสียงhunger birdบินเข้ามาใกล้เพื่อจะมาจัดการกับเธอ เออซูล่าจึงตกลงยอมกลับไปอีกโลกโดยผ่านเส้นทางที่ยายของเล็ตตี้ดึงออกมาจากตัวเด็กชาย แต่ว่าเส้นทางนั้นมันไม่สมบูรณ์ เพราะยายของล็ตตี้ดึงออกมาไม่หมด ยังมีอีกส่วนที่หลงเหลืออยู่ในหัวใจของเด็กชาย แต่กว่าจะหาวิธีแก้ไขได้ เออซูล่า+เส้นทางก็ถูกHunger birdจับกินจนไม่เหลือซากไปซะแแล้ว เอเมนนน

เรื่องเหมือนจะจบ แต่ไม่จบ เมื่อพวกhunger bird ไม่ยอมกลับ - - โดยอ้างว่ามาที่นี่เพื่อทำความสะอาด แต่ในเมื่อยังทำไม่เสร็จก็เลยยังกลับไม่ได้  (เพราะยังมีเส้นทางบางส่วนเหลืออยู่ในหัวใจของเด็กชายนั่นเอง) เล็ตตี้ไม่รู้จะทำยังไงเลยให้เด็กชายไปหลบอยู่ในวงแหวนศักดิ์สิทธิ์(ละมั่ง จำไม่ได้ว่าภาษาอังกฤษเรียกว่ายังไง - -;; แต่มีลักษณะเป็นพื้นที่วงกลมในสนามหญ้าที่หญ้าตายอยู่หย่อมเดียว) ส่วนเล็ตตี้ก็กลับไปขอความช่วยเหลือจากแม่และยายที่ฟาร์ม ระหว่างรอ ก็ีมีพวกวิญญาณเออซูล่า/คนงานเหมือง/พ่อ/น้องสาวมาหลอกให้ออกไปอยู่ตลอด จนในที่สุดเล็ตตี้ก็กลับมาพร้อมถังน้ำที่ใส่น้ำจากหนองน้ำหลังฟาร์ม เล็ตตี้และเด็กชายพากันกระโดดลงถังและไปโผล่ที่หนองน้ำหลังฟาร์มจริงๆ พอขึ้นจากน้ำปุ๊บ ก็พากันไปหาแม่และยายในบ้าน หลบได้ซักพัก Hunger bird ก็ตามมา(พวกนกเข้ามาในเขตฟาร์มไม่ได้ ถ้าเจ้าของฟาร์มไม่อนุญาต) แม่ของเล็ตตี้ออกไปเจรจาว่าให้ปล่อยเด็กชายไป แต่พวกนกไม่ยอม เลยจัดการกินทุกอย่างที่ขวางหน้า ทั้งต้นไม้ หมาป่า ท้องฟ้า ดวงดาว จนโลกกลายเป็นเพียงความว่างเปล่า เด็กชายตระหนักได้ว่าถ้าปล่อยไปแบบนี้ โลกนี้ก็จะไม่เหลืออะไรเลย ทั้งพ่อ แม่ น้องสาว ทุกอย่างจะหายไปหมด เขาเลยตัดสินใจวิ่งออกจากเขตฟาร์มยอมให้Hunger birdกินตัวเองซะ เรื่องจะได้จบๆ แต่ก่อนที่พวกนกจะถลาลงมากินเขา เล็ตตี้ก็เอาตัวเองเข้ามาเป็นโล่กำบังเด็กชาย และตัวเธอก็ถูกทำร้ายแทน แต่โชคดีที่อยู่ๆก็มีเสียงหนึ่งพูดขึ้นว่า พวกนกล้ำเส้น ละเมิดพันธะสัญญาทำร้ายหลานของเธอ เสียงๆนั้นคือยายของเล็ตตี้ันั่นเอง แต่เธอไม่ได้แก่หง่อมเหมือนที่เด็กชายเคยเห็น ยายของเล็ตตี้ขู่ว่าถ้าไม่ยอมกลับไป และไม่ยอมคืนทิวทัศน์ของโลกที่กินไปจะไปขอให้..(ใครซักคน จำไม่ได้ละ- -) ให้ทำให้พวกนกหายไปแทน พวกHunger bird จึงยอมขอโทษ และกลับโลกตัวเองไป เฮ่ออออ ทุกอย่างกลับเข้าสู่ความสงบ แต่เด็กน้อยเล็ตตี้ของเราดันไม่ฟื้น เด็กชายถามแม่ของเล็ตตี้ว่าเธอตายแล้วเหรอ แต่แม่ของเธอกลับตอบว่า เล็ตตี้เพียงแค่เจ็บหนักเท่านั้น แต่ในใจของเด็กชายไม่ได้เชื่อตามคำพูดนั้น เขารู้สึกเสียใจที่เป็นต้นเหตุทำให้เล็ตตี้ตาย แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ ทั้งแม่ ยาย และเด็กชาย พาร่างของเล็ตตี้ไปที่หนองน้ำหลังฟาร์ม และลอยร่างน้อยๆนั้นบนผิวน้ำที่นิ่งสงบ แต่อยู่ๆก็เกิดคลื่นระลอกแล้ว ระลอกเล่า จนสุดท้าย คลื่นลูกใหญ่ม้วนเอาตัวเล็ตตี้กลับไป และหายลับไปจากสายตา มหาสมุทรกลับกลายเป็นเพียงหนองน้ำเลี้ยงเป็ดเช่นเดิม แม่ของเล็ตตี้บอกเด็กชายว่า เล็ตตี้เจ็บหนักมาก แต่เธอจะกลับมาเมื่อเธอหายดีแล้ว แต่จะนานแค่ไหนก็ไม่มีใครรู้ อาจจะพรุ่งนี้ หรืออีกเป็นร้อยปีก็ได้.. 

เด็กชายรู้สึกเสียใจกับการกระทำโง่ๆของตัวเองที่ทำให้เล็ตตี้ต้องตาย(เด็กชายเชื่อแบบนั้น) เลยเสนอตัวจะทำงานที่ฟาร์ม แต่แม่เล็ตตี้ห้ามไว้ และบอกให้เด็กชายใช้ชีวิตตามเส้นทางของตัวเอง ให้คุ้มค่ากับที่เล็ตตี้เอาชีวิตของเธอปกป้องเขาไว้

เรื่องตัดกลับมาปัจจุบันที่เด็กชายตอนอายุ 47 ปี นั่งมองหนองน้ำ ระลึกถึงเหตุการณ์เมื่อตอนยังเด็ก เขาได้พูดคุยกับยายของเล็ตตี้อีกครั้ง ช่วงนี้เป็นตอนจบที่เปิดให้คนอ่านคิดเอาเองว่าเรื่องจะเป็นยังไง เพราะมีคำพูดหลายอย่างของตัวละครที่ขัดแย้งกันเต็มไปหมด - - อย่างเช่นเมื่อตอน 7 ขวบ เด็กชายคิดว่าเล็ตตี้ แต่ตอนนี้ดันคิดว่า เล็ตตี้ไปออสเตรเลียซะงั้น หรือเรื่องแมวที่เล่าว่าตายไปเมื่อตอนเขาเป็นผู้ใหญ่ แต่ยายของเล็ตตี้ดันบอกว่า ก็นายเอามาฝากไว้ที่ฟาร์มไง เหมือนกับว่าความทรงจำของแต่ละคนไม่มีทางเหมืนกันอะไรประมาณนั้น ถามคนนึงก็บอกอย่างนึง แต่พอไปถามอีกคนก็ไม่เหมือนกันแล้ว เฮ่ออออ อันนี้คงขึ้นอยู่กับสกิลในการจิ้นของแต่ละคนแล้วจ้า

**รีวิวเรื่องนี้ยาวมาก เพราะเพิ่งอ่านจบ แต่ก็อาจมีตกหล่น/ผิดพลาดบ้าง เพราะเราอ่านพร้อมกันหลายเรื่อง ฮ่า

แถมคำคมหน่อย เพราะมีเด็ดๆเยอะ

I was not happy as a child, although from time to time I was content. I lived in books more than I lived anywhere else.

Monsters come in all shapes and sizes. Some of them are things people are scared of. Some of them are things that look like things people used to be scared of a long time ago. Sometime monsters are things people should be scared of, but they aren't. 

I saw the world I had walked since my birth and I understood how fragile it was, that the reality I knew was a thin layer of icing on a great dark birthday cake writhing with grubs and nightmares and hunger. I saw the world from above and below. I saw that there were patterns and gates and paths beyond the real. I saw all these things and understood them and they filled me, just as the waters of the ocean filled me. 


(ภาพจากปกหลัง)

การเล่าเรื่อง : เล่าในมุมมองของเด็กชายอย่างเดียว ตอนแรกเราว่ามันเครียดๆเลยอ่านไป หยุดไป พอหลังๆเริ่มชิน(กับความเครียด)เลยอ่านได้แบบต่อเนื่องหน่อย
ภาษา : ศัพท์ไม่ยากเลย แต่ว่าการเขียนของลุงนีลแกนี่สุดยอด มึนตึ้บบบบบ บางย่อหน้านี่ไม่เข้าใจเลย เราลองถามเพื่อนที่เรียนอินเตอร์ มันก็บอกว่าไม่เข้าใจเหมือนกัน เพราะงั้น อันนี้คงขึ้นอยู่กับความสามารถส่วนตัวล้วนๆ ฮี่
คะแนน : 5/5 ถึงจะไม่เข้าใจบ้าง แต่รู้สึกว่ามันทรงคุณค่ากว่านิยายรักๆทั่วไป เลยให้เยอะ เราไม่งก ฮ่าๆ




Create Date : 28 ตุลาคม 2557
Last Update : 28 ตุลาคม 2557 0:59:04 น.
Counter : 3048 Pageviews.

2 comment
**Review** The distance between us - Kasie West
The Distance Between Us



Title : The Distance Between Us
Author : Kasie West
Genre : YA / Contemporary
Published : July 2nd 2013 by Harper Teen

เรื่องย่อ :
Caymen Meyers เด็กสาววัย 17 ปี เธออาศัยอยู่กับแม่เพียงลำพังในร้านขายตุ๊กตา ที่นั่นเธอได้เรียนรู้ว่าพวกคนรวยมีอะไรที่แตกต่างจากเธอมากมายนัก และสิ่งหนึ่งที่เธอมั่นใจเหลือเกินคือคนพวกนั้นมีดีอยู่เพียงอย่างเดียว นั่นคือการใช้เงินหมดไปกับของไร้สาระอย่างตุ๊กตาในร้านของแม่เธอ

 แต่แล้วเมื่อวันหนึ่ง Xander Spence ได้ก้าวเข้ามาในร้าน มองแค่แวบเดียว Caymen ก็รู้ได้ทันทีว่าเด็กหนุ่มคนนี้ก็คงไม่ต่างจากพวกลูกค้ากระเป๋าหนัก แต่ขี้เบื่อคนอื่นๆ แต่เธอคิดผิด... Xander ยังคอยมาหาเธอไม่ขาด แล้วคราวนี้ Caymen จะทำยังไงดีล่ะ ทั้งที่หัวใจเตือนให้อยู่ห่างจากเขา แต่ยิ่งอยู่ใกล้ Xander เท่าไหร่ เธอก็ยิ่งรู้ว่าตัวเองมีความสุขแค่ไหน!

 แต่เส้นทางมันไม่ได้สวยหรูอย่างที่เธอคิด Caymen ตระหนักดีว่าแม่ของเธอเกลียดพวกคนรวยเข้าไส้ สักวันหนึ่งเเม่เธอคงจะรู้เรื่องความสัมพันธ์นี้เข้า และต้องต่อต้านเธอเป็นแน่ แม้ Xander จะพิสูจน์ให้เธอเห็นว่าการที่เขามีฐานะ ไม่ได้หมายความว่าเขาจะมีนิสัยแย่ๆเหมือนคนอื่น แต่ Caymen กลับพบว่าเงินนั้น..เป็นส่วนสำคัญในความสัมพันธ์ครั้งนี้ยิ่งกว่าที่คิดเสียอีก!

รีวิว+สปอยล์
The Distance between us เริ่มเรื่องด้วยการที่บังเอิ๊ญ บังเอิญซานเดอร์ต้องไปรับตุ๊กตาแทนคุณยายเลยได้เจอกับเคย์เมนเข้า หลังจากวันนั้นความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคนก็เริ่มต้นขึ้น ทั้งเคย์เมนและซานเดอร์เหมือนกับวัยรุ่นที่ยังหาเป้าหมายในชีวิตไม่เจอ ไม่มีความฝัน ไม่รู้ว่าตัวเองอยากเป็นอะไรในอนาคต ทั้งสองคนเลยทำข้อตกลงกันว่าทุกวันหยุดสุดสัปดาห์จะไปค้นหากันว่าตัวเองชอบอะไรกัแน่ นางเอกพาพระเอกไปช่วยทำความสะอาดสุสาน (ถ้าจำไม่ผิด - -;;) พระเอกก็พานางเอกไปถ่ายรูปที่โรงแรมของพ่อ และนั่นก็ทำให้นางเอกรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อย ไม่เหมาะสมกับลูกเจ้าขงโรงแรม นางเอกเลยเฟดตัวเองออกมาอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ แล้วหันไปกุ๊กกิ๊กกับหนุ่มร็อคที่เพื่อนหาให้ แล้วแม่ของเคย์เมนก็ดันชอบใจหนุ่มร็อคมากกว่าคุณชายหล่อๆซะอีก (WHAAAT?!) 
พระเอกมาตามง้อ นางเอกใจอ่อนก็เลยยอมกลับมาทำตามข้อตกลง เที่ยวเล่นด้วยกันเหมือนเดิม ไปๆมาๆนางเอกดันไปเจอข่าวว่าพระเอกควงกับดาราอีก นางก็เลยนอยยยด์ซานเดอร์อีกรอบ แต่คุณพระ พี่ชายพระเอกช่วยไว้ เลยเข้าใจกันว่านั่นข่าวเก่า โอเค เรื่องเหมือนจะไปได้สวย เพราะที่บ้านซานเดอร์ดูไม่รังเกียจเคย์เมนเลย จนกระทั่งถึงวันที่ซานเดอร์พานางเอกไปงานเลี้ยง ที่งาน คุณยายของซานเดอร์พานางเอกไปพบแขกพิเศษซึ่งก็คือ คุณตาคุณยายที่นางเอกไม่เคยได้เจอมาก่อน (เพราะแม่ไม่ยอมเล่าอะไรให้นางเอกฟังเลย รวมทั้งเรื่องพ่อ) และยิ่งกว่านั้นคุณตาคุณยายของนางเอกยังเป็นเจ้าของบริษัทยาที่รวยค่อดๆ เคย์เมนก็เลย..อ๋ออออ ที่แท้คุนเมิง(พระเอก)ก็รู้ใช่มั้ยว่าชั้นรวย มิน่าล่ะพ่อแม่ซานเดอร์ไม่ว่าเรื่องที่เธอจนซักคำ คิดจบนางเอกก็วิ่งร้องห่มร้องไห้ออกจากงานไปประหนึ่งซินเดอเรลล่า พอกลับมาถึงบ้านก็รู้ว่าแม่เข้าโรงพยาบาลเลยตามไปเฝ้า และได้รู้ความจริงว่าร้านกำลังจะโดนธนาคารยึด ไม่รู้จะไปพึ่งใครก็เลยต้องขอความช่วยเหลือจากคุณตาคุณยาย และในที่สุดก็ได้ปรับความเข้าใจกับซานเดอร์ (ที่จริงพระเอกไม่รู้มาก่อนว่นางเอกรวย ชอบเพราะเคย์เมนคือเคย์เมน ไม่ได้ชอบเพราะนางเอกมีฐานะทัดเทียม) แล้วเรื่องก็จบลงอย่างแฮปปี้เอนดิ้ง..งิ้ง..งิ้ง..งงง..งง...

**เรื่องนี้อ่านไปเมื่อต้นปี อาจมีบางส่วนตกหล่นต้องขออภัยด้วยจ้า**

การเล่าเรื่อง : เป็นมุมมองของนางเอกคนเดียว เนื้อเรื่องไม่มีอะไรหวือหวา แต่ชอบโมเมนต์น่ารักๆตอนที่พรเอกนางเอกเที่ยวเล่นด้วยกัน
คาแรกเตอร์ : ชอบซานเดอร์มากกก เป็นผู้ชายโรแมนติก สุภาพ หล่อชิคๆแบบลูกคุณหนู กรี๊ดดด
ภาษา : อ่านง่าย ไม่มีศัพท์ยาก ไม่เก่งอังกฤษก็อ่านได้สบายบรื๋อออ
คะแนน : 4/5



Create Date : 27 ตุลาคม 2557
Last Update : 27 ตุลาคม 2557 12:41:07 น.
Counter : 2257 Pageviews.

4 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  

Caymen51
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 13 คน [?]



Hi guys! My name is Geegee. I'm a book lover. Feel free to add me on goodreads. Let's be friends!

ฝากร้านหนังสือหน่อยจ้า https://goo.gl/e1jVlt
SHOPEE : shopee.co.th/palalees?smtt=0.0.9

G.'s bookshelf: read

In the Shadow of Blackbirds
really liked it
4.5/5
tagged: fantasy and own
The Bunker Diary
really liked it
3.5/5 SHIT! The ending was too heartbreaking. I couldn't stand it!
tagged: own and contemporary
Malice
really liked it
tagged: japanese and own
Practice Makes Perfect
liked it
3.5/5 This was a funny and fluffy story with two guys who have a secret agreement. Their relationship started with with an awkward situation which surprisingly turned out to be hilarious. I really like geeky Dev. I think it's cute when...
tagged: contemporary
Strangers
liked it
tagged: japanese and own

goodreads.com