All Blog
**Review** Practice Makes Perfect - Jay Northcote


PRACTICE MAKES PERFECT
by Jay Northcote



Title : Practice Makes Perfect
Author : Jay Northcote
Genre : LGBT / Erotica
Published : June 22nd 2016

เรื่องย่อ : 

ลองหาประสบการณ์จากเด็กหนุ่มบ้านข้างๆดูเหมือนเป็นความคิดที่เจ๋งสุดๆไปเลย --- แต่จะทำยังไงล่ะ เมื่อเส้นแบ่งเริ่มเลือนหายไป

เดฟ เป็นพวก geek หมกมุ่นอยู่กับฟิสิกส์และตัวเลข  ประสบการณ์เรื่องอย่างว่าเป็นศูนย์ และตัดสินใจว่าจะเขาต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เร็วที่สุด!

อีวานพักอยู่บ้านข้างๆเดฟ เขายังหนุ่มแน่น โสด และยังไม่พร้อมจะมีใครเร็วๆนี้ แต่เมื่อเหตุการณ์น่าอับอายเหวี่ยงให้ทั้งคู่ต้องมาพบกัน อีวานเสนอตัวช่วยเดฟ เพื่อแลกกับการที่เดฟจะติวเลขให้เขา แล้วอย่างนี้เดฟจะรับข้อเสนอนี้ดีมั้ยเนี่ย? 

รีวิว + สปอยล์ :

เดฟ เคยถูกเพื่อนร่วมหอพักรังแก เขาจึงขอความช่วยเหลือจากเพื่อนที่ทำงานพิเศษด้วยกัน จนตัวเองได้ย้ายออกมาแชร์บ้านเช่าร่วมกับเด็กนักศึกษาคนอื่นๆ

เดฟกำลังเรียนอยู่ปี 1 สาขาฟิสิกส์ เขาชอบตัวเลข และชอบทำอะไรตามแผนที่ได้วางไว้เสมอ เดฟตั้งใจจะเริ่มต้นชีวิตใหม่หลังย้ายออกจากหอ เขาจึงจดลิสท์รายการสิ่งที่ต้องทำในปีนี้ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือต้องลองหาประสบการณ์เรื่องเซ็กส์ให้ได้ ถึงแม้ว่าเขาจะค้นหาข้อมูลตามเว็บไซต์ แต่ยังไงมันก็ไม่เท่ากับมีคู่ซ้อมแน่ๆ

หลังจัดห้องเสร็จ เดฟก็ต้องออกไปซื้อของกิน และโทรหาแม่ตามที่ลิสท์ไว้ ระหว่างทางกลับบ้าน เดฟบังเอิญเจออีวาน เด็กหนุ่มที่พักอยู่บ้านหลังข้างๆ ทั้งรูปร่าง หน้าตาโดนใจเดฟเป็นที่สุด เขาคิดว่านี่อาจเป็นโอกาสที่จะได้มีแฟนก็ได้ แต่อีวานกลับไม่ได้มีท่าทีสนใจเขาเลยสักนิด

เช้าวันหนึ่ง อีวานได้รับพัสดุจากอเมซอน เขาคิดว่ามันคงเป็นไฟจักรยานที่เขาสั่งซื้อไว้แน่ๆ อีวานเลยรีบแกะกล่องออกโดยไม่ทันได้ดูชื่อผู้รับ แต่สิ่งที่เขาพบกลับเป็นดิลโดทำจากแก้วคริสตัล ทั้งสวยและใหญ่กว่าของที่เขามีเป็นไหนๆ หลังหายตกใจ อีวานพลิกกลับมาดูชื่อผู้รับอีกครั้ง และชื่อนั้นก็คือ เดฟริน เด็กหนุ่มบ้านข้างๆที่เขาเพิ่งเจอเมื่อวานนี้เอง

อีวานลังเลอยู่นานว่า จะแอบเอาไปวางไว้หน้าบ้านเดฟ หรือเข้าไปขอโทษตรงๆดี แต่นั่นมันคงจะกระอักกระอ่วนน่าดู จนในที่สุดเขาตัดสินใจไปหาเดฟที่ห้อง และอธิบายเรื่องราวทั้งหมด เดฟฟังด้วยสีหน้าราวกับเห็นผี เพราะความลับของตัวเองถูกเปิดเผยออกมาจนได้ อีวานรู้สึกสงสารเดฟที่ต้องตกมาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ เขาจึงพูดปลอบใจเดฟว่าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ใครๆก็มี ตัวอีวานเองก็มี แต่ไม่แพงเท่าของเดฟหรอกนะ ได้ฟังอย่างนั้น เดฟจึงมีสีหน้าเบาใจลงได้บ้าง

แต่เรื่องวุ่นวายยังไม่จบลงแค่นั้น วันหนึ่ง ระหว่างที่อีวานกำลังนั่งเล่นแอพพลิเคชันของชาวเกย์ เขาบังเอิญเจอยูสเซอร์หนึ่งที่บอกว่าตัวเองเวอร์จิ้น และอยากมีประสบการณ์ เมื่อเขาลองดูรูปโปรไฟล์ดีๆ คนๆนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน แต่กลับเป็นเดฟริน เด็กหนุ่มข้างบ้านของเขาอีกแล้ว อีวานทั้งตกใจและเป็นห่วง เพราะเดฟดันลงรูปตัวจริง แถมแอพนี้ยังแสดงโลเกชั่นอีกด้วย ป่านนี้เดฟคงโดนพวกเกย์โรคจิตกระหน่ำส่งข้อความหาอยู่แน่ๆ อีวานจึงรีบวิ่งไปหาเดฟที่ห้อง และคงต้องเจอกับสถานการณ์เพี้ยนๆแบบเดิมอีกครั้ง

เดฟกำลังหัวเสียกับข้อความมากมายที่ถูกส่งมาหาตัวเอง แต่เมื่อเงยหน้าขึ้น เด็กหนุ่มก็พบว่าอีวานมายืนอยู่ต่อหน้าเสียแล้ว เดฟเอ่ยทักแบบเป็นทางการจนดูตลก ส่วนอีวานก็อึกอักอยู่ครู่หนึ่งก่อนเริ่มพูด เขาเล่าว่าเจอเดฟออนไลน์ในแอพ และงงว่าทำไมเดฟไม่ออกไปหาแฟนเอาข้างนอก ในนั้นมีแต่พวกโรคจิตอยู่เต็มไปหมด หรือถ้าเดฟไม่ว่าอะไร เขาจะช่วยสอนให้ก็ได้ เพราะยังไงตอนนี้ อีวานก็ยังไม่อยากมีใครจริงจังอยู่แล้ว

เดฟลังเลกับข้อเสนอของอีวาน เพราะพวกเขาก็เพิ่งจะรู้จักกัน แต่ว่าอีวานก็ดันตรงสเป็คของเขาเสียเหลือเกิน จะปฏิเสธก็คงน่าเสียดายแย่ แต่เขาก็ไม่อยากเอาเปรียบอีวานอยู่ฝ่ายเดียว เดฟจึงถามว่ามีอะไรที่เขาพอจะทำตอบแทนอีวานได้บ้างมั้ย ซึ่งอีวานเองก็สังเกตเห็น textbook ฟิสิกส์ในห้อง เลยขอให้เดฟสอนเลขเป็นการแลกเปลี่ยน และเมื่อทั้งสองคน shake hands กันแบบ gentleman แล้ว ข้อตกลงก็เป็นอันเสร็จสมบูรณ์ ต่อจากนี้คงมีบทเรียนแซ่บๆจากอีวานรอเขาอยู่มากมาย แต่ก่อนเริ่ม ขอเดฟไปจดลิสท์ก่อนนะว่าอยากให้อีวานสอนอะไรบ้าง



**ขอจบการรีวิวเพียงเท่านี้ เพราะเนื้อเรื่องต่อไปก็ตะลุงตุงแช่กันทั้งเรื่อง 55+

ภาษา : ง่าย - กลางๆ

ความรู้สึกหลังอ่าน : ที่จริงพล็อตก็ไม่ได้แปลกใหม่อะไรนะ ตอนแรกแค่ตั้งใจติวให้กัน แต่สุดท้ายก็ห้ามใจตัวเองไม่อยู่ ตกหลุมรักอีกฝ่ายซะงั้น แต่ว่าเรื่องนี้สนุกดีนะ  ตอนอ่านนี่ขำตลอดเลย ชอบที่เดฟมัก dirty talk (ภาษาไทยคืออัลไล 55) แบบหน้าตาย คือพูดเรื่องอย่างว่าออกไปแบบ 'เออ ก็กูไม่รู้จริงๆถึงได้ถาม ไม่ได้ตั้งใจทำตัวอินโนเซนส์นะ’  แล้วก็ชอบทำอะไรตามลิสท์เสมอ แม้แต่เรื่องนั้นก็ตาม แบบนี้ไม่ให้อีวานตกหลุมรักได้ยังไงล่ะ ที่เรารีวิวไปเป็นแค่เสี้ยวเดียวของหนังสือ ส่วนที่เหลืออีกเกินครึ่งเล่มก็เป็นบทเรียนเผ็ดๆของทั้งคู่ ถ้าใครชอบอ่านแนวนี้ เราแนะนำเลย อีกอย่างที่ชอบคือหน้าปก นายแบบแซ่บมากกก อยากได้ 55+

เราขอหักคะแนนนิดนึง ตรงที่ทั้งสองคนมีสลับตำแหน่ง ผลัดกันแทงด้วยอะ 555 นิยายเกย์ฝรั่งชอบเป็นแบบนี้เรื่อยเลย ไม่มีรุกรับที่แท้จริงในสนามรบ 55+ ไม่ไหวๆ ไม่ใช่แนวจริงๆ 55+

คะแนน : 3.5/5





Create Date : 13 สิงหาคม 2559
Last Update : 13 สิงหาคม 2559 12:27:56 น.
Counter : 953 Pageviews.

1 comment
**Review** The Statistical Probability of Love at First Sight by Jennifer E. Smith




THE STATISTICAL PROBABILITY OF LOVE AT FIRST SIGHT
(ความน่าจะเป็นทางสถิติของรักแรกพบ)
by Jennifer E. Smith



Title : The Statistical Probability of Love at First Sight (ความน่าจะเป็นทางสถิติของรักแรกพบ)
Author : Jennifer E. Smith
Genre : YA / Contemporary
Published : 2012

เรื่องย่อ : 
เพียงแค่ 4 นาที ก็สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของแฮดลีย์ได้ เธอตกเครื่องบินที่สนามบิน JFK และทำให้เธอไปเข้าร่วมพิธีแต่งงานครั้งที่ 2 ของพ่อกับแม่เลี้ยงที่เธอไม่เคยพบสาย แฮดลีย์ได้พบกับเด็กหนุ่มชาวอังกฤษที่สุดแสนจะเพอร์เฟ็ค เขานั่งแถวเดียวกับเธอ ค่ำคืนที่แสนยาวนาน กลับผ่านไปรวดเร็วราวกับกระพริบตา แต่แล้วทั้งสองคนก็ต้องคลาดกันเพราะความวุ่นวายในสนามบินฮีทโธรว์ แล้วโชคชะตาจะนำพาให้เธอและเขาได้มาพบกันอีกมั้ย?

รีวิว + สปอยล์ :
พ่อทิ้งแฮดลีย์กับแม่ไปเมื่อสองปีก่อน แต่วันนี้พ่อกลับมาบอกว่าจะแต่งงานใหม่ และอยากขอให้แฮดลีย์ไปร่วมงานด้วย แน่นอนว่าแฮดลีย์ไม่อยากไปอยู่แล้ว เพราะเธอเกลียดพ่อและชาร์ล็อต แฟนใหม่ของพ่อ แต่แม่แท้ๆของเธอกลับบอกว่า ถ้าแฮดลีย์พลาดงานครั้งนี้ เธอจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต แฮดลีย์จึงยอมทำตาม

เช้าวันออกเดินทาง แฮดลีย์ลืมหนังสือของพ่อ ทำให้เธอไปสนามบินสาย 4 นาที และเพียงแค่ 4 นาทีนั้นก็สามารถเปลี่ยนชีวิตเธอได้

แฮดลีย์ตกเครื่องบิน แต่ได้ไฟลท์ถัดมาตอนสามทุ่ม ระหว่างที่รอขึ้นเครื่องอยู่นั้น เธอได้รับความช่วยเหลือจากโอลิเวอร์ เด็กหนุ่มชาวอังกฤษ ทั้งสองคนคุยกันถูกคอ แม้กระทั่งขึ้นเครื่องแล้วพวกเขาก็ได้นั่งข้างกัน

แฮดลีย์เล่าเรื่องครอบครัวให้โอลิเวอร์ฟัง เขาชื่นชมเธอที่กล้าไปเผชิญหน้าหน้ากับพ่อในงานแต่งงาน ผิดกับตัวเขา ที่ไม่กล้าพูดคุยเปิดอกกับพ่อเลยสักครั้ง แฮดลีย์คิดว่าโอลิเวอร์คงมีปัญหากับที่บ้าน แต่เขาก็ปฏิเสธที่จะเล่าต่อ

แฮดลีย์เริ่มเป็นกังวลเมื่อใกล้ถึงเวลาที่เธอจะต้องแยกกับโอลิเวอร์ ยิ่งเขาต้องแยกไปเข้าจุดศุลกากรของพลเมือง EU เธอยิ่งกลัวว่าจะไม่ได้พบกันอีก แต่โอลิเวอร์ก็ส่งซิกให้ออกไปเจอกันข้างนอก

แต่..แฮดลีย์กลับหาโอลิเวอร์ไม่เจอ แม้เธออยากจะยืนรอเขานานกว่านี้ แต่ถ้าเธอไม่รีบล่ะก็ เธอจะต้องไปไม่ทันเข้าร่วมพิธีแต่งงานอย่างแน่นอน แฮดลีย์จึงต้องตัดใจ และทิ้งเรื่องของโอลิเวอร์ไว้เบื้องหลัง

ในงานแต่งงาน แฮดลีย์ได้พบกับชาร์ล็อตต เธอนิสัยดีกว่าที่แฮดลีย์คิดไว้ แต่แฮดลีย์ก็ไม่อยากยอมรับความจริงข้อนี้สักเท่าไรนัก

แฮดลีย์ได้รับการแนะนำให้รู้จักกับเพื่อนของพ่อ แต่เขาต้องขอตัวกลับก่อน เนื่องจากต้องไปร่วมพิธีศพของเพื่อน สมัยทำงานกฎหมายที่แพดดิงตัน คำพูดนี้ทำให้แฮดลีย์รู้สึกสับสน เธอเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวต่างๆที่ได้ฟังมาจากโอลิเวอร์ตอนอยู่บนเครื่องบิน ใช่แล้ว..ที่โอลิเวอร์ต้องบินกลับมาอังกฤษ ไม่ใช่เพื่อมาร่วมพิธีแต่งงานอย่างที่แฮดลีย์ทึกทักเอาเอง แต่เขากลับมาเพื่อร่วมพิธีศพของพ่อเขาต่างหาก แฮดลีย์รู้สึกเป็นห่วงโอลิเวอร์ขึ้นมาจับใจ เธอรีบออกจากงาน และมุ่งหน้าสู่แพดดิงตันทันที

แฮดลีย์ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำบ้าอะไรอยู่ ทั้งที่เธอไม่เคยมาอังกฤษเลยสักครั้ง แต่ตอนนี้เธอกลับรีบร้อนไปหาโอลิเวอร์ โดยคาดเดาสถานที่จากเรื่องเล่าสมัยเด็กขอเขา 

แฮดลีย์พบโบสถ์ที่มีพระแม่มารีตามคำบอกเล่าในที่สุด เธอมองผ่านรั้วเข้าไปเห็นโอลิเวอร์ยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนในชุดสีดำ ใบหน้าหมองเศร้าผิดกับตอนที่อยู่บนเครื่องบินลิบลับ แฮดลีย์ลังเลว่าเธอสมควรจะเข้าไปดีมั้ย แต่เขาก็สังเกตเห็นเธอพอดี

โอลิเวอร์ไม่ได้แสดงออกว่า ดีใจที่ได้เจอเธอเลยสักนิด ทั้งสองคนกลับเอาแต่นั่งนิ่งไม่พูดไม่จา จนสุดท้ายโอลิเวอร์ก็เอ่ยทำลายความเงียบว่า เขาไม่ได้รู้สึกเสียใจที่พ่อจากไป แต่เขากลับโกรธเรื่องที่พ่อเคยทำไว้สมัยยังมีชีวิตอยู่ พ่อของเขามีเมียน้อย และคบกันออกหน้าออกตา ส่วนแม่ก็ได้แต่กล้ำกลืนฝืนทนอยู่อย่างนั้น เพราะงั้น พ่อของแฮดลีย์ดีกว่าพ่อของเขามากมายนัก

“It's not the changes that will break your heart; it's that tug of familiarity.”

แฮดลีย์พูดอะไรไม่ออก จนกระทั่งมีเด็กสาวเดินมาตามโอลิเวอร์ แฮดลีย์เดาจากท่าทางแสดงความเป็นเจ้าของก็รู้ว่า เธอคนนั้นคงเป็นแฟนของโอลิเวอร์แน่ๆ แฮดลีย์จึงขอตัวกลับ และโอลิเวอร์ไม่มีทีท่าจะรั้งไว้แต่อย่างใด

แฮดลีย์เสียใจที่การพบกันครั้งนี้ไม่ได้เป็นอย่างที่เธอคิด ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม เธอทิ้งหนังสือของพ่อไว้ที่โบสถ์ เธอไม่คิดจะอ่านมันตามที่โอลิเวอร์บอกอีกแล้ว

แฮดลีย์ลืมความคับคั่งในสถานีรถไฟไปเสียสนิท ในหัวได้แต่คิดถึงเรื่องของโอลิเวอร์ซ้ำไปซ้ำมา จนกระทั่งกลับมาถึงโรงแรมได้ทันงานเลี้ยงช่วงค่ำพอดี พ่อของเธอโกรธมากที่อยู่ๆเธอก็ออกจากงานไปแบบนั้น แฮดลีย์ยอมเล่าความจริงให้ฟังทั้งน้ำตา และสองพ่อลูกก็ปรับความเข้าใจกันได้ในที่สุด

แฮดลีย์ร่วมเต้นรำในงานเลี้ยงได้สักพัก ก็ขอตัวออกมาโทรศัพท์หาแม่ เธออยากจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันที่แสนยาวนานนี้ให้ฟัง แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจ หลังวางสาย แฮดลีย์ได้แต่นั่งเหม่ออยู่อย่างนั้น จนมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งมาปรากฎตัวอยู่ต่อหน้า ในมือถือหนังสือที่แฮดลีย์ทิ้งไว้ เขาบอกว่า เธอลืมของไว้ และนั่งลงเคียข้างกัน

แฮดลีย์แทบไม่อยากเชื่อสายตาว่าเธอจะได้พบกับโอลิเวอร์อีก ทั้งสองคนพูดคุยปรับความเข้าใจกัน เขาบอกเธอว่า ผู้หญิงที่แฮดลีย์พบในงานศพเป็นแฟนเก่าของเขาเอง แต่ก็ไม่มีใครที่จากไปโดยทิ้งหนังสือไว้ให้ และชอบแกล้งล้อเลียนสำเนียงบริติชของเขาเช่นแฮดลีย์ เขายังจำเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างกันได้ แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า มันจะเกิดขึ้นในวันๆเดียว 

แฮดลีย์พาโอลิเวอร์เข้าไปในงาน ทั้งสองคนร่วมเต้นรำไปพร้อมกับพ่อและชาร์ล็อต เธอถามคำถามที่เขาบ่ายเบี่ยงมาตลอดตั้งแต่พบกันอีกครั้ง ว่าตกลงเขาเรียนอะไรกันแน่ และคำตอบที่ได้จากโอลิเวอร์ก็คือ สถิติความเป็นไปได้ของรักแรกพบ...

“Love is the strangest, most illogical thing in the world.” 



คำศัพท์ : กลาง - ยาก 

ความรู้สึกหลังอ่าน : ชอบมากกกกกกกกกกกกกกกกกก เราอ่านจบภายในคืนเดียว ทั้งที่ปกติเราเป็นคนอ่านหนังสือช้ามาก อ่านแล้ววางไม่ลงจริงๆ ไม่ใช่ว่ามันมีฉากมันส์ๆแบบพวกแฟนตาซีนะ แต่เรื่องนี้มีความรู้สึกอัดแน่นอยู่เยอะเลย เรื่องนี้ไม่ได้ให้น้ำหนักกับเรื่องรักๆใคร่ของหนุ่มสาว เหมือนนิยายวัยรุ่นทั่วไป (ผิดคาดมาก ถ้าดูจากชื่อเรื่อง) กลับให้ความสำคัญกับปัญหาครอบครัวค่อนข้างมาก แต่ก็ไม่ได้ดราม่าจนอ่านไม่สนุก เราว่าคนเขียนทำได้ค่อนข้างดี แต่เสียดายนิดนึงที่โอลิเวอร์ออกน้อยไปหน่อย 55 แล้วก็เราชอบนางเอกเรื่องนี้มากๆ เพราะนางไม่โง่ ขี้เหวี่ยง ขี้วีน ดูเป็นคนปกติจับต้องได้ 

อีกอย่างที่ชอบคือ เรื่องนี้ทั้งเรื่องเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายใน 1 วัน แต่เรากลับไม่รู้สึกเบื่อเลย ฟังแล้วดูเหมือนเว่อนะ ที่เจอกันวันเดียวก็ชอบกันได้ แต่เรื่องจริงๆมันก็มี เราเคยเป็น 555+ (รู้แล้วใช่มั้ยว่าทำไมเราถึงอิน 555+)

คะแนน : 5/5 ลองหามาอ่านดูนะ เห็นตามบล็อกของฝรั่งเค้าบอกว่า กำลังจะทำเป็นหนังด้วยล่ะ 



Create Date : 23 กรกฎาคม 2559
Last Update : 14 กันยายน 2559 11:59:43 น.
Counter : 2185 Pageviews.

1 comment
**Review** Kachi Kachi Yama (かちかち山)


かちかち山
(Kachi Kachi Yama)



รีวิว + สปอยล์ :

คาจิ คาจิ ยามะ เป็นเรื่องราวของเจ้าทานูกินิสัยเสียที่ชอบขโมยเมล็ดถั่วในไร่ของคุณตา วันหนึ่ง มันโดนคุณตาจับตัวได้ และพากลับบ้านเพื่อหวังจะทำเป็นอาหารเย็น ในขณะที่คุณตาออกไปซื้อของในเมือง เจ้าทานูกิก็หลอกคุณยายให้ปล่อยตัวมัน โดยบอกว่าจะช่วยนวดแป้ง เมื่อเสร็จแล้วค่อยมัดมันใหม่ก็ได้ คุณยายหลงเชื่อ จึงถูกเจ้าทานูกิใช้ค้อนนวดแป้งตีจนตาย

คุณตากลับบ้านมาพบศพภรรยาก็ร้องไห้คร่ำครวญเสียงดัง เจ้ากระต่ายได้ยินเข้าก็ถามไถ่เหตุผล และสัญญาว่าจะช่วยแก้แค้นให้คุณตาเอง

หลังจากนั้น เจ้ากระต่ายก็ตามแก้แค้นทานูกิไม่หยุดหย่อน ทั้งแอบจุดไฟเผาหลัง ทั้งหลอกเอายาแสบๆมาทาให้ และแกล้งต่อเรือให้โดยใช้โคลน แทนที่จะเป็นไม้ และในที่สุดเจ้าทานูกิก็ค่อยๆจมลงไปในทะเลพร้อมกับเรือของมัน

และนี่คือการแก้แค้นให้คุณยาย...

**かちかち (kachi kachi) คือ เสียงที่เจ้ากระต่ายใช้ก้อนหินจุดไฟเผาฟางบนหลังของทานูกิ

คำศัพท์ : เรื่องนี้เป็นนิทานเด็ก ศัพท์ไม่ยากเท่าไหร่ น่าจะอยู่ระดับ N5

ความรู้สึกหลังอ่าน : รู้สึกดีใจที่อ่านออก ฮาาา คือเรากำลังเรียนภาษาญี่ปุ่นอยู่ เลยหาอะไรง่ายๆมาอ่าน เหมือนตอนฝึกภาษาอังกฤษ แต่เวอร์ชันที่เรามีไม่ค่อยมีคันจิ เลยต้องเสียเวลางมหาความหมายนิดนึง เนื้อเรื่องโดยรวมก็โอเคนะ สนุกดี แต่มีบางฉากที่เราคิดว่าโหดร้ายไปหรือเปล่าสำหรับนิทานเด็ก คือถ้าเทียบกับสโนไวท์ ซินเดอเรลล่าของฝรั่งอะนะ น่าจะรุนแรงไปนิดดด 55

คะแนน : 3/5

ไปละจ้า ถ้าว่าง จะมาอัพบล็อกใหม่ Smiley



Create Date : 08 กรกฎาคม 2559
Last Update : 8 กรกฎาคม 2559 23:10:00 น.
Counter : 2413 Pageviews.

2 comment
**Review** The Dandelion Girl - Robert F. Young


The Dandelion Girl
(Tanpopo Musume)
by Robert F. Young



(ปกฉบับภาษาญี่ปุ่น)

Title : The Dandelion Girl
Author : Robert F. Young
Genre : Science Fiction / Romance
Published : April 1st, 1961

รีวิว + สปอยล์ :

มาร์ค แรนดอล์ฟ ชายวัย 44 ปี เดินทางมาพักผ่อนตามลำพังที่ Cove City เนื่องจากภรรยาและลูกชายต่างติดธุระด้วยกันทั้งคู่ วันหนึ่ง เขารู้สึกเบื่อกับกิจวัตรประจำวันเดิมๆ จึงเดินขึ้นเนินเขาไปอย่างไร้จุดหมาย มาร์คได้พบกับหญิงสาวชื่อว่า จูลี่ แดนเวอร์ส เธอมีผมสีดอก dandelion และสวมชุดเดรสสีขาวทำจากวัสดุที่ไม่น่าหาได้ในยุคนี้ จูลี่เล่าว่า เธออาศัยอยู่ที่เมืองนี้ แต่ในอีก 240 ปี ข้างหน้า

มาร์คไม่เข้าใจ และไม่เชื่อในสิ่งที่จูลี่เล่า แต่เขาไม่อยากจะหักหน้าเธอ จึงนั่งฟังเรื่องราวของเธออย่างตั้งใจ

จูลี่มาที่นี่ด้วย time machine ที่พ่อเป็นคนประดิษฐ์ขึ้น แม้ว่าเธอสามารถย้อนเวลากลับมาในวันเดิมๆได้ แต่เธอก็เลือกที่จะกลับมาในวันถัดไป เพราะเธอต้องการที่จะได้เจอกับสิ่งใหม่ๆ และวันนี้ เธอก็ได้พบมาร์ค

จูลี่ชอบความเงียบสงบของ Cove City ในอดีต แต่เธอไม่อาจอยู่ที่นี่ได้ตามปรารถนา เพราะเธอยังมีพ่อที่พิการต้องดูแล อีกทั้ง เธอยังเสี่ยงต่อการถูกตำรวจกาลเวลาจับกุม เนื่องจากการย้อนเวลาสงวนไว้แต่ชนชั้นสูงเท่านั้น

วันแล้ววันเล่า มาร์คและจูลี่นัดพบกันที่เนินเขา ทั้งสองคนพูดคุยกันอย่างถูกคอ ที่ผ่านมา มาร์คไม่เคยรู้สึกสนใจผู้หญิงคนไหน แต่กับจูลี่ ที่พบกันแค่ไม่กี่วัน เขากลับเกิดความรู้สึกรักขึ้นมาอย่างน่าประหลาด

แต่แล้ววันหนึ่ง จูลี่ก็ไม่มาตามสัญญา มาร์คเกลียดตัวเองที่มานั่งหงอยเหงาเหมือนเด็กวัยรุ่น ความหวังว่าเธอจะกลับมาค่อยๆเลือนหายไปทีละนิด จนกระทั่งสี่วันผ่านไป เขาได้พบเธออีกครั้ง ท่ามกลางแสงอาทิตย์ และชุดเดรสสีดำ 

พ่อของจูลี่เสียแล้ว และเธอไม่รู้ว่าจะอยู่ต่อไปได้อย่างไร มาร์คทำได้เพียงปลอบโยนเธอ และไม่อาจสัมผัสเธอได้มากไปกว่านั้น

มาร์คเอ่ยถามว่า วันพรุ่งนี้ เขายังจะได้พบจูลี่อีกหรือไม่  แต่เธอกลับเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบว่า time machine ใกล้จะหยุดทำงานแล้ว และเธอไม่รู้วิธีซ่อมมันเสียด้วย แต่ถึงอย่างไร เธอจะพยายามมาให้ได้ และอยากให้มาร์คจำไว้ว่า เธอรักเขา

มาร์คเที่ยวตามหาจูลี่ แต่บุรุษไปรษณีย์กลับบอกว่า ไม่มีคนนามสกุล เเดนเวอร์ส ในเมืองนี้ และไม่มีงานศพมาเป็นปีแล้ว แต่กระนั้น มาร์คก็ยังไปรอเธอที่เนินเขาทุกวัน จนกระทั่งวันหยุดพักผ่อนจบลง จูลี่ก็ไม่เคยกลับมา..

หลังมาร์คกลับจากหยุดพักผ่อน เขาพยายามปฏิบัติต่อแอนนี่ ภรรยาของเขา อย่างดีที่สุด ให้เหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ในนาทีที่เธอเห็นเขา เธอคงรับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงนั้น แม้จะไม่เอ่ยถามออกมา แต่เเอนนี่ก็ยิ่งพูดน้อยลงทุกที

ทุกบ่าย วันอาทิตย์ มาร์คมักกลับไปที่เนินเขาแห่งนั้น เขานั่งจ้องจุดที่จูลี่หายตัวไปอยู่หลายชั่วโมง และเฝ้านึกถึงคำพูดของเธอ

Day before yesterday I saw a rabbit, 
and yesterday a deer, 
and today, you.

ในคืนฝนพรำ กลางเดือนพฤศจิกายน มาร์คพบกระเป๋าเดินทางของแอนนี่โดยบังเอิญ เขาจำได้ว่าภรรยาไม่ยอมบอกว่ามีอะไรอยู่ภายใน และเก็บเป็นความลับตลอดมาตั้งแต่แต่งงาน 

มาร์คสังเกตเห็นชุดเดรสสีขาวโผล่พ้นขอบกระเป๋าออกมา และเป็นวัสดุแบบเดียวกับชุดของจูลี่ ในวินาทีนั้น เขารู้สึกว่าตัวเองเกือบจะร้องไห้ออกมา

มาร์คออกวิ่งจากห้องใต้หลังคา เพราะในอีกไม่กี่นาที รถบัสจะมาส่งภรรยาของเขาตรงหัวมุมถนน 

แท้ที่จริงแล้ว แอนนี่ ภรรยาของเขามีชื่อเต็มว่า จูเลียน (Julianne) มาร์คคิดว่าการที่เธอใช้ชื่อ แอนนี่ เป็นเพราะต้องการหลบเลี่ยงตำรวจกาลเวลา เขาเข้าใจแล้วว่า ทำไมเธอถึงไม่ชอบถ่ายรูป และทำไมเธอถึงดูหวาดกลัวนัก ตอนมาสมัครงานที่สำนักงานของเขา เธอต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวในยุคสมัยที่เธอไม่คุ้นเคย และไม่รู้เลยว่า ผู้ชายวัย 44 จะยังรักเธอหรือไม่ เมื่อตอนที่เขาอายุ 20 (จูลี่กลับมาหามาร์คตามสัญญา แต่ย้อนไปตอนที่เขาอายุ 20 กว่าๆ)

ในที่สุด มาร์คก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด เขาเดินไปรับภรรยา และยื่นมือไปสัมผัสผิวแก้มที่เปียกฝนของเธอ แอนนี่ หรือ จูลี่ รับรู้ได้ว่า ต่อจากนี้ คงไม่เป็นไรแล้ว และความกลัวในดวงตาของเธอก็ค่อยๆจางหายไป ทั้งสองคนเดินกุมมือกลับบ้านด้วยกันท่ามกลางสายฝนโปรยปราย...

คำศัพท์ : กลางๆ มีศัพท์ยากโผล่มาบ้าง

ความรู้สึกหลังอ่าน : บอกก่อน เรื่องนี้ เราหามาอ่านหลังจากดู Biblia จบไป เห็นซีรีย์บอกว่าเหมาะกับคู่ที่กำลังจะแต่งงานไรงี้ เราเลยสงสัยว่ามันเป็นยังไงน้ออ (ถึงแม้ว่าตัวเองกำลังจะขึ้นคานก็เหอะนะ 55) 

อืมมม... เราอ่านเรื่องนี้ไปสองรอบได้ รอบแรกก็รู้สึกเฉยๆนะ บวกกับงงๆเรื่องย้อนเวลาด้วย พอดีว่าเราไม่ค่อยถูกกับนิยายข้ามเวลาเท่าไหร่ แต่รอบสองนี่ตั้งใจอ่าน แล้วก็ดันชอบขึ้นมาซะงั้น ประมาณว่า เออ มันก็ซึ้งดีนะ 555 ถึงแม้ว่า พล็อตแบบนี้ ปัจจุบันจะมีเยอะแล้วก็เถอะ แต่ต้องดูด้วยว่า เรื่องนี้ตีพิมพ์ตั้งแต่ปี 1961 นู่น เราคิดว่ามันคงเป็นรุ่นออริของนิยายแนวนี้ล่ะมั้ง สรุปว่า ดีงามจ้ะ เล่มนี้ อยากได้ hard copy จัง แต่ไม่รู้จะไปหาจากไหน เฮ่อออ... Smiley

คะแนน : 4/5

ช่วงนี้รีวิวแต่เรื่องสั้น เพราะขี้เกียจอ่านเล่มยาวๆ หยิบเล่มไหนมาอ่านก็ไม่สนุกเลย เฮ่อออ...






Create Date : 19 พฤษภาคม 2559
Last Update : 19 พฤษภาคม 2559 1:05:43 น.
Counter : 2338 Pageviews.

2 comment
**Review** Rashomon - Ryunosuke Akutagawa


RASHOMON
by Ryunosuke Akutagawa



Title : Rashomon
Author : Ryunosuke Akutagawa
Genre : Classics / Short Story
Published : 1915

เรื่องย่อ (ปกไทย) :

"คนน่ะ..เขาเห็นสิ่งที่เขาอยากเห็น และพูดสิ่งที่เขาอยากได้ยิน"

(คนตัดฟืนทำท่าจะโต้ตอบ แต่คนทำช้องยกมือขึ้นห้ามแล้วหัวเราะ)

"แต่อย่าเป็นทุกข์เป็นร้อนไปเลยแกเอ๋ย
ข้าเชื่อเรื่องที่แกเล่ามากกว่าเรื่องของคนอื่น ไม่ใช่เพราะแกวิเศษกว่าคนอื่นหรอก
แต่เรื่องที่แกเล่านั้น มันมีกลิ่นทะแม่งๆ เหมือนกับความจริงมากที่สุด 
เฮ้อ! คิดดูมันน่าทุเรศเหมือนกันนะ คนเรานี่ ชอบเห็นว่าตัวเองและคนอื่นเป็นใหญ่เป็นโต
เป็นวีรบุรุษบ้างละ เป็นขวัญใจของชาติบ้างละ 
เป็นขุนโจรบ้างละ เป็นมหาโจรบ้างละ เป็นอะไรก็ได้ขอให้มันใหญ่เข้าไว้ก็แล้วกัน
แต่เอาเข้าจริงก็เปล่า คนจริงๆมันไม่ใหญ่ที่ตรงไหนสักนิดหนึ่ง"

คนทำช้อง

รีวิว + สปอยล์ : 

มีพระรูปหนึ่งนั่งพักอยู่ที่ประตูราโชมอน ท่านตั้งใจว่าจะสึกหลังจากได้ฟังคำให้การในศาล เพราะคิดว่าคำสอนของตนไม่อาจสอนให้ผู้คนตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรมได้

ครู่หนึ่งมีคนตัดฟืนเข้ามาขอให้ท่านจำพรรษาที่วัดต่อ ทั้งสองคนพูดคุยกันเสียงดัง จนทำให้หัวขโมยที่นอนอยู่บนประตูราโชมอนตื่น หัวขโมยไม่พอใจ ไล่ให้พระสึกไปเสีย แต่พอรู้สาเหตุว่าเกิดจากการให้การในศาลจึงเกิดความสนใจ และขอให้คนตัดฟืนเล่าเรื่องให้ฟัง

เมื่อไม่กี่วันก่อน เกิดเหตุฆาตกรรมขึ้นในป่าผู้ตายเป็นซามูไรชื่อ ทาเคฮิโกะ และตำรวจจับคนร้ายได้คือ จอมโจรที่มีชื่อเสียงเลื่องลือนามว่า ทาโจมารุ ทาโจมารุให้การว่า เขาอยากได้มาซาโกะ ภรรยาของทาเคฮิโกะมาเป็นของตน แต่คราวนี้เขาไม่อยากฆ่าใคร ทาโจมารุจึงใช้อุบายหลอกทาเคฮิโกะไปมัดไว้ และหวังจะเอามาซาโกะเป็นของตนเสีย เขาขอให้มาซาโกะไปอยู่ด้วยกัน แต่นางไม่ยอม  และบอกให้ทาโจมารุดวลดาบกับทาเคฮิโกะ ถ้าเขาชนะ นางจะยอมตกเป็นภรรยาของเขา แต่เมื่อทาโจมารุพลั้งมือฆ่าซามูไรตาย มาซาโกะก็วิ่งหนีหายเข้าไปในป่าโดยที่เขาไม่ได้ตามไป

มาซาโกะให้การแก่ศาลว่า นางโดนทาโจมารุปลุกปล้ำ แต่เสียอย่างไรนางก็ไม่ยอมไปเป็นภรรยาของจอมโจร ทาโจมารุจึงเลิกเซ้าซี้และจากไป มาซาโกะรู้สึกอับอายที่ถูกข่มขืน แต่สามีของนางกลับมองนางด้วยสายตาดูถูก ด้วยความโมโห นางจึงใช้ดาบแทงทาเคฮิโกะ และวิ่งหนีเข้าไปในป่า

สุดท้าย..เป็นคำให้การของวิญญาณทาเคฮิโกะผ่านทางร่างทรง ทาเคฮิโกะให้การว่า หลังจากที่มาซาโกะ ภรรยาของตนถูกข่มขืน นางตกลงเป็นภรรยาของทาโจมารุ โดยมีเงื่อนไขข้อหนึ่งคือ ทาโจมารุต้องฆ่าทาเคฮิโกะเสียก่อน จอมโจรโมโหมากที่ได้ยินเช่นนั้น จึงถามทาเคฮิโกะว่าอยากให้ตนฆ่าผู้ที่หญิงไร้เกียรติเช่นนี้หรือไม่ มาซาโกะได้ยินดังนั้น จึงรีบหนีเข้าป่าไป ทาโจมารุตัดเชือดที่รัดซามูไรและหนีไปเช่นกัน ด้วยความอัปยศ ทาเคฮิโกะจึงหยิบดาบและฆ่าตัวตายเสีย

หัวขโมยงุนงงกับคำให้การในศาลที่ขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิง เขาไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่โกหก คนตัดฟืนจึงเฉลยให้ว่า ทุกคนล้วนแล้วแต่โกหก เพราะคนตัดฟืนนั้นเห็นเหตุการณ์มาโดยตลอด ความจริงคือมาซาโกะไม่ได้มีท่าทีขัดขืนทาโจมารุอย่างที่ควรจะเป็น ซ้ำจอมโจรยังก้มหัวขอร้องให้นางไปเป็นภรรยาตน นางปฏิเสธเพราะไม่อยากเป็นเมียโจร แต่เมื่ิอทาโจมารุเอาสมบัติเข้าล่อ นางจึงยื่นข้อเสนอให้ทาเคฮิโกะและทาโจมารุดวลดาบเพื่อแย่งชิงนาง (มาซาโกะ คิดว่าผู้หญิงที่ได้มาง่ายๆดูไม่มีค่า) จอมโจรเกิดความลังเลเพราะอีกฝ่ายเป็นถึงซามูไร แต่ทาเคฮิโกะกลับเก็บดาบใส่ฝักและปฏิเสธไม่ต่อสู้ด้วย

ทาเคฮิโกะรู้มาแต่แรกแล้วว่าภรรยาของตนชอบยั่วยวนผู้ชายไม่เลือกหน้า แม้จะแต่งงานเป็นภรรยาซามูไรแล้ว แต่นางกลับไม่เคยรักษาเกียรติ ทั้งที่หวังว่าจะชุบเลี้ยงให้เป็นผู้ดี แต่ลูกคนครัว เลี้ยงให้ดีอย่างไรก็คงอยู่แค่นั้น ทาโจมารุนึกเสียใจที่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับสองสามีภรรยาคู่นี้ เขาเก็บดาบแล้วเดินจากไป แต่มาซาโกะกลับวิ่งมาฉุดรั้งไว้

มาซาโกะเสียใจที่ชายทั้งสองไม่สนใจจะแย่งชิงนาง นางจึงเริ่มพูดจาเยาะเย้ยถากถางสามีว่าเป็นคนขี้ขลาด และทาโจมารูที่ใครๆต่างร่ำลือว่ากล้าหาญ ที่แท้ก็ไม่ต่างจากสามีของนางเลย ดีแต่โอ้อวดกันทั้งคู่

ชายทั้งสองโกรธมาก จึงคว้าดาบหันมาประจันหน้ากัน แต่ไม่มีใครยอมเข้าสู้จริงๆจังๆเสียที ครั้นเมื่อทาเคฮิโกะเอาจริง ทาโจมารุก็คว้าทรายสาดใส่ตาของซามูไรจนล้มลง ถูกดาบที่ปักอยู่กับต้นไม้แทงเข้าที่หน้าอก และสิ้นใจในที่สุด

เมื่อซามูไรตาย ทาโจมารุจึงหันมาทวงสัญญากับมาซาโกะ แต่นางก็วิ่งหนีหายเข้าไปในป่าด้วยความขยะแขยง

หัวขโมยจับได้ว่าคนตัดฟืนเองก็โกหก เพราะดาบที่ปักบนหน้าอกของซามูไรหายไป และเป็นคนตัดฟืนนั่นเองที่ขโมยไป คนตัดฟืนเล่าว่าตนมีลูกอยู่6คน จึงต้องขโมยดาบไปขายแลกเงินมาเลี้ยงครอบครัว พระตระหนักได้ว่าคนตัดฟืนก็เหมือนกับคนอื่นๆ และได้สอนธรรมแก่ตนเสียด้วยซ้ำ พระกล่าวขอบคุณคนตัดฟืน แล้วเดินกลับวัดตามเดิม…


ความรู้สึกหลังอ่าน : อืม..ที่จริงเรายังอ่านไม่ค่อยแตกว่าเนื้อเรื่องต้องการสื่ออะไร คงแสดงความคิดเห็นได้ไม่มาก แต่ตอนแรกที่เห็นชื่อเรื่อง บวกกับประวัติของประตูราโชมอน เรานึกว่ามันจะเป็นเรื่องผีซะอีก ไหงกลายเป็นแนวสืบสวน(?)ซะได้ 555+ เนื้อเรื่องไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลยแค่เล่าไปเรื่อยๆ แต่ก็ทำให้เราแปลกใจตรงคำให้การที่ไม่ตรงกันซักคน งงว่า เอ..แล้วมันจะจบยังไงล่ะเนี่ย อ่านไปก็ขำไป โจรก็ออกแนวปัญญาอ่อน เมียซามูไรก็ดูหลงตัวเอง มีแต่คนไม่ปกติ 555+ สรุปแล้วก็สนุกดี ลองหามาอ่านกันนะ

**เราไม่เข้าใจว่า คนตัดฟืนสอนอะไรพระ ถ้าใครเคยอ่าน เม้นท์บอกเราข้างล่างด้วยนะ ขอบคุณคร่าา !





Create Date : 17 พฤษภาคม 2559
Last Update : 17 พฤษภาคม 2559 23:46:09 น.
Counter : 2794 Pageviews.

1 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  

Caymen51
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 13 คน [?]



Hi guys! My name is Geegee. I'm a book lover. Feel free to add me on goodreads. Let's be friends!

ฝากร้านหนังสือหน่อยจ้า https://goo.gl/e1jVlt
SHOPEE : shopee.co.th/palalees?smtt=0.0.9

G.'s bookshelf: read

In the Shadow of Blackbirds
really liked it
4.5/5
tagged: fantasy and own
The Bunker Diary
really liked it
3.5/5 SHIT! The ending was too heartbreaking. I couldn't stand it!
tagged: own and contemporary
Malice
really liked it
tagged: japanese and own
Practice Makes Perfect
liked it
3.5/5 This was a funny and fluffy story with two guys who have a secret agreement. Their relationship started with with an awkward situation which surprisingly turned out to be hilarious. I really like geeky Dev. I think it's cute when...
tagged: contemporary
Strangers
liked it
tagged: japanese and own

goodreads.com