It's My World that I Want to Have a Little Pride in..My World, so It's Not a Place I Have to Hide in.
Group Blog
 
All blogs
 
Viva Italia

เคยมีคนบอกว่า ถ้าเราชอบทานอาหารของชาติไหนเป็นชีวิตจิตใจ แสดงว่าชาติก่อน เราอาจจะเคยเกิดเป็นคนชาตินั้น เรื่องนี้ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า แต่ฟังแล้วก็ขำๆ ดี เพราะฉันเป็นคนชอบกินอาหารอิตาเลียนเข้าไส้ แถมชอบอะไรๆ ที่มาจากอิตาลี ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าหนังหรือชายหนุ่ม หุหุ

และอยู่มาวันหนึ่ง บุญก็หล่นทับดังตู้ม พี่ชายใจดีพาไปเที่ยวอิตาลีสมใจอยาก ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจที่การเดินทางครั้งนี้สุดแสนจะน่าประทับใจ เพราะนอกจากจะได้ไปเยือนประเทศในฝันอย่างอิตาลี แถมได้ลุยเที่ยวทั้งฟลอเรนซ์ เวนิซ มิลานและโรม ทริปนี้ยังเป็นทริปที่เรามีโอกาสได้ไปเที่ยวกันแบบพร้อมหน้าพร้อมตาสามคนแม่ลูก ซึ่งไม่ใช่อะไรที่เกิดขึ้นบ่อยนัก



เริ่มจากเมืองแรก Florence หรือ Firenze ในภาษาอิตาเลียน เมืองหลวงแห่งแคว้นทัสคานีที่โดดเด่นในด้านประวัติศาสตร์อันรุ่งเรือง ความงดงามของสถาปัตยกรรมและการเป็นแหล่งรวมของงานศิลปะล้ำค่า



ในบรรดาเมืองยอดนิยมทั้งสี่เมืองของอิตาลี ฉันรู้สึกประทับใจกับฟลอเรนซ์ที่สุด เพราะนอกจากจะมีความสวยงามทางสถาปัตยกรรมแล้ว ฟลอเรนซ์ยังเป็นเมืองที่แสนจะโรแมนติก เราสามคนเดินทอดน่องชมเมืองสวยริมแม่น้ำ Arno ในตอนกลางวัน นั่งจิบไวน์แก้หนาว พร้อมนั่งฟังเสียงดนตรีแจ็สและคลาสสิกที่สลับกันบรรเลงขับกล่อมผู้ที่เดินผ่านไปมาบริเวณ Piazza della Signoria โดยนักแสดงเปิดหมวกนานาชาติ



แอบมีเรื่องขำๆ ของแม่ คือตอนที่เราสามคนเข้าไปดูรูปปั้น David ที่ถือได้ว่าเป็นรูปปั้นของชายที่สวยงามที่สุด ที่ Accademia di Belle Arti Firenze นั้น ขณะที่สายตาทุกคู่กำลังจ้องมองหนึ่งในผลงานชิ้นเอกของ Michelangelo อยู่นั้น แม่ของฉันก็คิดออกดังมากๆ ว่า "ทำไม 'ไอ้นั้น' อันนิดเดียวเอง" ทำเอาทั้งฉันทั้งพี่ชายอดขำในความเป็นคนตรงไปตรงมาของแม่ไม่ได้ จากนั้นพี่ชายก็หันไปบอกแม่เบาๆ ว่า "อากาศหนาวก็อย่างนี้แหละแม่" เอาเข้าไป!



จุดมุ่งหมายต่อไปของเราก็คือ Venice เมืองเกาะกลางน้ำที่ว่ากันว่าจะจมหายไปภายในอีก 50 ปีข้างหน้า!

ก้าวแรกที่เราเดินออกมาจากสถานีรถไฟในเวนิซ ครอบครัวของเราก็เกิดอาการ Culture Shock ขึ้นเป็นครั้งแรก อันที่จริงเราก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่าเวนิซมีลักษณะเป็นเกาะ เวลาไปไหนมาไหนคนที่นั่นก็จะใช้เรือเป็นพาหนะ แต่สิ่งที่เราคิดไม่ถึงก็คือ พอออกจากสถานีรถไฟปุ๊บก็เจอนำปั๊บ มองไปทางไหนก็มีแต่น้ำกับเรือ นักท่องเที่ยวที่ลงรถไฟมาพร้อมกับเราก็ดูท่าว่าจะช็อคไม่ต่างกับเราเลยทีเดียว จนมีชายใจดีคนหนึ่งเดินมาบอกว่า ถ้าไปจะนั่งเรือเมล์ก็เดินไปอีกหน่อย แต่ถ้าจะนั่ง (เรือ) แท็กซี่ก็เดินตามมาเลย เราสามคนก็เลยตัดสินใจเดินตามไปขึ้นเรือแท็กซี่อย่างว่าง่ายเพราะยังไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าจะหาโรงแรมของตัวเองเจอได้ยังไง



เวนิซเป็นเมืองที่สวยและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเองมากๆ แต่ด้วยความที่มันทั้งสวยทั้งแปลกนี่แหละ ทำให้มองไปทางไหนก็เจอแต่นักท่องเที่ยว (สรุปว่าเมืองนี้มีแต่น้ำ เรือกับนักท่องเที่ยว หุหุ) เราเลยรู้สึกว่าไม่ได้ดื่มด่ำกับความงดงามของเมืองนี้เท่าที่ควร

Next Stop...Milan!



เราเดินทางมามิลานด้วยจุดประสงค์หลักคือ ช็อปปิ้ง! พี่ชายชาวสีม่วงของเราใฝ่ฝันมากที่จะได้เดินทางมาซื้อสินค้าเครืองหนังชั้นดีที่เมืองนี้ ซึ่งก็ไม่ผิดหวังเลยจริงๆ รองเท้าหนังสัญชาติอิตาลีนั้นคุณภาพดีขั้นเทพเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นฝีมือการตัดเย็บ สไตล์ หรือคุณภาพของหนังที่ใช้ อีกทั้งราคาก็ไม่แพงมาก แม้แต่รองเท้าแบรนด์เนมทั้งหลาย (หากว่าคุณไม่สนใจเรื่องความเก่าใหม่ของคอลเลกชั่นมันมากนักนะคะ) ก็สามารถหาซื้อได้ในราคาไม่แพงที่เอ้าท์เล็ท แต่นอกจากการช็อปปิ้ง และ Duomo โบสต์หลังใหญ่สไตล์ Gothic แล้ว มิลานดูจะสู้เมืองอื่นๆ ที่เราผ่านมาไม่ได้ ด้วยความที่เป็นเมืองแห่งธุรกิจการค้า ทำให้มิลานดูวุ่นวายในแบบฉบับของเมืองใหญ่ ซึ่งนอกจาก Duomo ที่งามตระหง่าน มิลานก็ไม่มีสถาปัตยกรรมที่สวยงามน่าจดจำอื่นๆ อีกเลยแต่แค่ได้มาช็อปที่นี่ก็เหมือนได้ขึ้นสวรรค์แล้วล่ะ ถ้าเพียงแต่สวรรค์แห่งนี้จะมีคนปั้มเงินให้เราใช้ด้วยก็คงจะดี



...และแล้วก็มาถึงเมืองที่ฉันรอคอย...โรม!


ด้วยความที่ฉันเป็นแฟนหนังคลาสสิกอย่าง The Roman Holiday ทำให้ฉันใฝ่ฝันเหลือเกินที่จะได้เดินทางมาเยือนโรมสักครั้งในชีวิต การมาเยือนคราวนี้ ตั้งใจเหลือเกินว่าอยากจะชักรูปตัวเองนั่งเวสป้าขี่ไปมารอบ Colossuem แล้วจินตนาการว่าตัวเองเป็น Audrey Hepburn หุหุ



โรมอาจจะดูเสื่อมโทรมและไม่สวยอย่างที่เคยเห็นในรูป แต่โรมในสายตาของฉันก็ยังคงความขลัง คลาสสิกและน่าหลงใหลอยู่ดี



ด้วยความที่โรมเองก็มีแต่นักท่องเที่ยว ครอบครัวของเราจึงต้องตื่นแต่เช้าเพื่อเดินเยี่ยมชมเมืองในช่วงเวลาที่นักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ยังหลับอยู่ แต่ถึงจะเช้า โรมก็ยังมีชีวิตชีวาด้วยคนท้องถิ่นที่ตื่นกันออกไปทำมาหากิน



น่าเสียดายที่ได้เที่ยวโรมเพียงสองวันกับอีกหนึ่งคืนเท่านั้น ความฝันที่อยากจะนั่งเวสป้ารอบ Colossuem แบบ Audrey Hepburn ก็ยังไม่ได้ถูกเติมเต็ม ("กลับไปขี่ควายที่บ้านนาก่อนนะเรียม" -- พี่ชาย) แต่เราก็หมายมั่นปั้นมือเอาไว้แล้ว ว่ามีโอกาสอีกเมื่อไหร่ ฉันจะต้องกลับไปอิตาลีอีกให้ได้ คราวนี้ล่ะฉันจะทำตัวเป็นนางเอกฮอลลีวูดให้ได้ คอยดู


Create Date : 30 กรกฎาคม 2552
Last Update : 2 สิงหาคม 2553 0:51:24 น. 1 comments
Counter : 580 Pageviews.

 
ใฝ่ฝันอยากไปอิตาลีอยู่เหมือนกันค่ะ


โดย: koipotter วันที่: 31 กรกฎาคม 2552 เวลา:10:58:06 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Raintree
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Big Girl with Bad Mouth, but a Bigger Heart
hits Tonghathai Suddee | Create Your Badge
Friends' blogs
[Add Raintree's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.