ชำแหละ/รีวิวหนังสือ/อ่านแล้วบอกต่อ
Group Blog
 
All blogs
 

ออกกำลังกายในตอนเช้า ดีกว่า? จริงหรือ?

จริงๆแล้วไม่สำคัญนะครับ ว่าคุณต้องออกกำลังกายเวลาไหน คุณสามารถออกกำลัง
กายเวลาใดก็ได้ครับ แต่ว่าดูเหมือนว่าจะยากนะครับ เพราะแต่ละคนมีกิจธุระใน
แต่ละวันไม่เหมือนกัน ดังนั้นการออกกำลังกายในตอนเช้าจะดีที่สุดครับ

สาเหตุที่ผมแนะนำให้ออกกำลังกายในตอนเช้านั่นเป็นเพราะว่าการออกกำลังกายใน
ตอนเช้าจะช่วยให้คุณอยู่ในโปรแกรมได้ตลอดครับ เพราะคุณจะมาอ้างไม่ได้ครับว่า
ติดประชุม ไปงานเลี้ยง รถติด อ้างไม่ได้ครับ และจะช่วยให้คุณอยู่ในโปรแกรมได้
นาน เพียงแค่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้าแล้วออกวิ่งหรือเดินในตอนเช้าครับ

มีการวิจัยบางชิ้นครับที่บอกว่าการออกกำลังกายในตอนเช้าช่วยในเรื่องของการนอน
หลับ โดยการให้ผู้หญิงน้ำหนักเกินที่มีอายุระหว่าง 50-75 ปีให้ออกกำลังกายในตอน
เช้าอย่างสม่ำเสมอ 4 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ สามารถนอนหลับได้ดีกว่าคนที่ออกกำลังกาย
น้อยกว่า

แล้วการนอนเกี่ยวกับการลดน้ำหนักอย่างไร? เอาละครับผมจะอธิบายให้ฟัง ถ้าคุณ
นอนไม่หลับก็จะมีผลต่อฮอร์โมนที่ควบคุมความหิวและความอิ่มครับ การออกกำลัง
กายจะมีผลต่อนาฬิกาชีวะที่มีอยู่ในร่างกาย ยิ่งคุณนอนได้เต็มอิ่ม คุณจะสามารถ
ควบคุมกลไกการหิว-อิ่มได้ดีขึ้น

ให้การออกกำลังกายตอนเช้าเป็นกิจวัตรครับ คุณจะขาดการออกกำลังกายได้ยากครับ
ถ้าคุณทำอย่างสม่ำเสมอแล้ว เยี่ยมครับ อย่าลืมว่าถ้าคุณอ้วนคุณจะมีความเสี่ยงต่อโรค
หลอดเลือดหัวใจตีบตัน และหัวใจวายเสียชีวิตได้ แต่ถ้าคุณไม่เริ่มต้นทำอะไรเลยสัก
อย่าง คุณก็จะไม่ได้สุขภาพที่ดีหรอกครับ

ผู้เขียนบทความ: ปิติ นิยมศิริวนิช //www.thaifittips.com




 

Create Date : 23 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 31 กรกฎาคม 2552 16:23:48 น.
Counter : 3780 Pageviews.  

สมุนไพร อาหารเสริม สารสกัดจากธรรมชาติ ปลอดภัย ใช้ได้ผลจริงหรือ



- คาเฟอีน/กาแฟ + L-Carnitine + สารสกัดจากผลส้มแขก
-สารสกัดจากผลส้มแขก + Vitamin C + โครเมียม
- กลูโคแมนแนน + ไคโตซาน+ โครเมียม

สูตรข้างบนนี้เป็นสูตรที่ถูกนำมาใช้ในอาหารเสริมเพื่อการลดน้ำหนักนะครับ ซึ่งก็
แล้วแต่ว่าผู้ผลิตอาหารเสริมต้องการจะนำอะไรมาใส่เข้าไป เพื่อช่วยในการลดน้ำหนัก
แต่ถามว่าใช้ได้ผลจริงหรือ ปลอดภัยหรือไม่

ความจริงคือบริษัทอาหารเสริมและสมุนไพรมักนำข้อมูลเพียงด้านเดียว และมักอ้างการ
วิจัยว่าช่วยอย่างโน้น ช่วยอย่างนี้และโน้มน้าวโดยการอ้างผลการวิจัยต่างๆนานา ทั้งๆที่
มีผลการวิจัยที่มีความน่าเชื่อถือสูงกว่าและให้ผลตรงกันข้ามออกมา

ผมยกตัวอย่างเช่น

สารสกัดจากผลส้มแขก หรือ HCA บริษัทอาหารเสริมจะบอกกับคุณว่าช่วยลดการ
สะสมไขมันโดยยับยั้งเอนไซม์ที่มีหน้าที่สะสมไขมันชนิดหนึ่ง และมักอ้างงานวิจัยที่
บอกว่าช่วยในเรื่องของการลดไขมัน แต่มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ใน JAMA และ
เป็นการวิจัยที่ถูกควบคุมอย่างดีที่ให้ผลลัพธ์ตรงกันข้ามออกมากลับไม่อ้างถึง

การวิจัยชิ้นนี้นำอาสาสมัครที่มีน้ำหนักเกินจำนวน 135คนที่ได้รับ สารสกัดจากผลส้ม
แขก ในปริมาณมากถึง 1500 มิลลิกรัม โดยทดลองเป็นเวลา 90 วัน เปรียบเทียบกับยา
หลอก(ไม่ได้รับสารสกัดจากผลส้มแขก) ไม่พบว่าสารสกัดจากผลส้มแขกช่วยในเรื่อง
ของการลดน้ำหนัก ทั้งๆที่ระดับความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับ A1 นะครับ คือเป็นงาน
วิจัยที่มีความน่าเชื่อถือขั้นสูงสุด (งานวิจัยต่างๆก็ไม่ได้น่าเชื่อไปเสียทั้งหมดนะครับ
อยู่ที่วิธีการทำการทดลอง แต่เหตุที่งานวิจัยชิ้นนี้มีความน่าเชื่อถือมากเป็นเพราะว่าได้
ใช้วิธีการทดลองที่มีความน่าเชื่อถือ มีวิธีที่ดีในการควบคุมตัวแปร และอคติออกไปจน
เกือบหมดแล้วนั่นเองครับ )

อีกตัวอย่างหนึ่งครับ

L-Carnitine ก็เป็นอีกตัวอย่างที่ผู้ผลิตอาหารเสริมมักจะบอกว่าช่วยในเรื่องของการเร่ง
การเผาผลาญพลังงานความร้อน L-Carnitine เป็นกรดอะมิโนไม่จำเป็น คือร่างกาย
สามารถผลิตขึ้นเองได้ครับ

มีการทดลองอีกการทดลองเช่นกันที่ถูกควบคุม โดยให้ L- Carnitine แก่หญิงที่มี
น้ำหนักเกิน 13 คนเปรียบเทียบกับ ยาหลอก (ไม่ได้รับ L-Carnitine 15คน) โดยได้รับ
อาหารชนิดเดียวกันและออกกำลังกายเท่าๆกัน ไม่พบความแตกต่างในการลดน้ำหนัก

นี่เป็นตัวอย่างครับที่แสดงให้เห็นว่าข้อมูลนั้นมีทั้งสนับสนุนและขัดแย้ง แต่ผู้ผลิต
อาหารเสริมมักบอกเพียงด้านเดียวกับคุณเท่านั้น แต่ข้อมูลด้านที่ขัดแย้งนั้นกลับไม่ได้
นำเสนอให้กับคุณ และบ่อยครั้งที่มักนำข้อมูลจากการทดลองในสัตว์ เช่นหนูทดลอง
มาอ้างอิง ซึ่งแน่นอนว่าในมนุษย์อาจไม่ได้ผล อันนี้ต้องตีความให้ดีครับ

คำถามครับ ถ้าเอา สารสกัดจากผลส้มแขก + L-Carnitine สามารถช่วยลดน้ำหนักแบบ
ในสูตรอาหารเสริมยี่ห้อหนึ่งได้หรือไม่ ? ไม่มีใครรู้ครับ เพราะไม่มีการศึกษาว่าถ้าเอา
มารวมกัน 2 ตัวจะเกิดผลลัพธ์อย่างไร

ถ้าจะให้รู้แน่ บริษัทอาหารเสริมต้องให้สถาบันวิจัยทำการศึกษาสูตรของบริษัทนั้นๆ
โดยทำการศึกษาให้ และเปรียบเทียบกันระหว่างได้รับประทานกับไม่ได้รับประทานที่
มีการควบคุมอย่างดี

แต่เชื่อเถอะครับ ไม่มีบริษัทไหนทำ เพราะใช้งบประมาณสูงมาก สู้เอาเงินไปเน้นทำ
การตลาดดีกว่า

ซึ่งแน่นอนครับว่าการที่นำส่วนประกอบมากกว่า 1 ตัวมาใส่เข้าด้วยกัน ก็ไม่แน่นอน
ครับว่าสามารถช่วยลดน้ำหนักได้จริงหรือไม่ ซึ่งแต่ละตัวก็ไม่ได้ผลอยู่แล้ว และ
การนำมาบวกรวมกันหลายตัวนั้นเกิดอันตรายมากขึ้นหรือไม่ ก็บอกไม่ได้อีก เพราะไม่
เคยมีการวิจัยที่ดูในเรื่องของความปลอดภัย ในทางการแพทย์ การให้ยาหลายอย่างมาก
ๆ บางครั้งก็เสริมฤทธิ์กัน หรือหักล้างฤทธิ์กันจนอาจเกิดปฎิกริยาต่อร่างกายหรือผลข้าง
เคียงที่รุนแรงมากขึ้นได้ครับ

อาหารเสริมมักอ้างว่าเป็นสมุนไพรจากธรรมชาติและผ่านอย. ครับ ทั้งที่ในความเป็น
จริง การผ่านอย. มีความหมายแค่ว่าปลอดภัยในองค์ความรู้ที่มีอยู่ สมุนไพรจาก
ธรรมชาติก็ไม่ได้ปลอดภัย 100% นะครับ คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่ามาจากธรรมชาติ
แล้วไม่มีอันตราย

ผมยกตัวอย่างเช่น ฝิ่น ทุกคนก็ทราบดีว่าฝิ่นมาจากธรรมชาติและเป็นอันตรายต่อ
สุขภาพ และสารสกัดจากฝิ่นก็คือมอร์ฟีน ยิ่งเพิ่มฤทธิ์ร้ายมากขึ้น หรือ KAVA มีฤทธิ์ที่
ทำให้เกิดตับอักเสบได้และถูกถอนออกจากตลาดในภายหลังทั้งที่เคยผ่านการตรวจ
สอบองค์การอาหารและยาของสหรัฐแล้วนะครับ

ชาเขียว แม้ว่าการดื่มชาเขียวในปริมาณปกติที่คนทั่วไปดื่มกันจะไม่เกิดอันตราย แต่
อาหารเสริมมักนำชาเขียวมาสกัด มักมีความเข้มข้นที่สูงมาก และมีรายงานว่าในช่วง
หลัง 5-6 ปีที่ผ่านมา ทำให้เกิดตับอักเสบมาแล้ว มี 1 รายนั้นเกิดตับวายต้องเปลี่ยนตับ
ครับ ที่แน่ๆครับ บริษัทอาหารเสริมไม่เคยบอกคุณ ดังนั้นความเชื่อเดิมๆว่าชาเขียวไม่
มีโทษนั้นอาจไม่เป็นความจริงเสมอไป

อีกตัวอย่างก็คือ บุก ก็เคยมีกรณีรายงานทำให้ผู้ป่วยเกิดโรคลำไส้อุดตันมาแล้ว
สมุนไพรบ่อยครั้งที่การศึกษายังน้อยมากและยังไม่ทราบผลข้างเคียงที่แน่ชัด และบ่อย
ครั้งอีกเช่นกันที่อย. ก็จะปล่อยผ่านไปก่อน การผ่านอย. ไม่ได้แปลว่าได้ผลนะครับ
เพราะอย. มีหน้าที่เพียงตรวจหาสารพิษและสารที่มีอันตรายในองค์ความรู้ที่มีอยู่หรือไม่
เท่านั้น

ประเด็นหนึ่งที่ผมสังเกตในอาหารเสริมครับ คือผู้ผลิตมักจะไม่บอกว่าส่วนประกอบ
ของอาหารเสริมที่นำมาขายนั้นมีส่วนประกอบแต่ละอย่างในปริมาณเท่าไหร่ ซึ่งเข้าใจ
ว่าเพื่อป้องกันไม่ให้บริษัทอื่นนำสูตรไปลอกเลียนแบบ แต่ว่าในอีกด้านหนึ่งก็เป็นการ
ปกปิดผู้บริโภคด้วยว่าอาจมีปริมาณน้อยมากๆจนแทบไม่ให้ประสิทธิผลในการลด
น้ำหนักเลยก็ว่าได้???

ผู้เขียนบทความ: ปิติ นิยมศิริวนิช //www.thaifittips.com




 

Create Date : 23 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 26 กรกฎาคม 2552 16:36:37 น.
Counter : 3594 Pageviews.  

ผู้ป่วยโรคหัวใจ ไม่ต้องออกกำลังกาย จริงหรือ ??

ภาวะหัวใจล้มเหลวเป็นภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นที่ระบบหัวใจและหลอดเลือดและกำลังเพิ่มขึ้นทุก
ขณะ แม้ว่าการรักษาทางการแพทย์จะลดอัตราการเสียชีวิต และลดอัตราการนอนโรงพยาบาล ช่วย
เพิ่มคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นก็ตาม

อาการของโรคหัวใจนั้นประกอบด้วย อาการเหนื่อย และจำกัดกิจกรรมต่างๆในชีวิตประจำวัน ใน
สมัยก่อนเมื่อสัก 20 ปีที่แล้ว แพทย์มักจะแนะนำผู้ป่วยว่า "อย่าออกกำลังกาย" แล้วผลลัพธ์ที่ได้คือ
คุณภาพชีวิตกลับแย่ลงไปอีก ( ความรู้ด้านวิชาการมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แม้แต่ในปัจจุบัน
สิ่งที่เรารู้ในตอนนี้ก็อาจเปลี่ยนแปลงอีกในอนาคตครับ สิ่งที่ผมกล่าวในวันนี้ เมื่อเวลาผ่านไปก็อาจ
เป็นสิ่งที่ผิดก็ได้ครับ)

การศึกษาเก่าๆ ที่ศึกษาเรื่องการออกกำลังกายในผู้ป่วยโรคหัวใจพบว่า เกิดภาวะแทรกซ้อนค่อนข้าง
น้อย ในทางกลับกัน การออกกำลังกายอาจจะช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นได้อีก ลดอัตราการเสีย
ชีวิต และลดอัตราการนอนโรงพยาบาล

ยังมีคำถามอยู่ครับ ว่าผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจควรออกกำลังกายหรือไม่ แม้ว่าการออกกำลังกายจะ
เสี่ยงต่อการกระตุ้นให้เกิดภาวะหัวใจขาดเลือดได้มากขึ้นมากกว่า 100 เท่า และทำให้เสียชีวิตทันที
มากขึ้น 50 เท่า เมื่อเทียบกับคนปกติ

AHA (American Heart Association) ได้เคยกำหนดแนวทางการออกกำลังกายในผู้ป่วยโรคหัวใจไว้
ครับ โดยใช้การศึกษาหนึ่งที่มีขนาดเล็กๆเท่านั้น ไม่มากพอที่จะยืนยันได้ครับว่าการออกกำลังกาย
เป็นประโยชน์ หรือเป็นโทษในผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลว

การศึกษาชิ้นนี้ครับ เป็นการศึกษาในผู้ป่วยที่ป่วยด้วยโรคหัวใจล้มเหลว กับการออกกำลังกายแบบ
เผาผลาญ ว่าสามารถช่วยลดอัตราการเสียชีวิตและเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับผู้ป่วยโรคหัวใจ ที่หัวใจ
บีบเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้น้อยลง (HF-ACTION trial : Heart Failure A Controlled Trial
Investigating Outcomes of Exercise Training)

การศึกษานี้จะศึกษาในผู้ป่วย 2331 รายที่มีการบีบตัวสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้น้อยกว่า 35%
และมีอาการเหนื่อยง่ายเมื่อทำกิจกรรมเบา จนไปถึงเหนื่อยแม้แต่นอนอยู่เฉย ๆ และได้รับการรักษา
ทางการแพทย์เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 6 สัปดาห์ครับ แล้วแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มออกกำลังกาย
และกลุ่มที่ไม่ได้รับการออกกำลังกาย

โปรแกรมการออกกำลังกายที่ใช้

ผู้ป่วยจะได้รับการสอนการออกกำลังกายภายใต้การดูแลเป็นระยะเวลา 3 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยวิธีการ
เดินหรือปั่นจักรยาน โดยเริ่มต้น 15-30 นาทีต่อครั้งที่อัตราการเต้นของหัวใจที่ 60% ของอัตราการ
เต้นของหัวใจสูงสุด และหลังจากเวลาผ่านไป 2 สัปดาห์จึงเพิ่มการออกกำลังกายเป็น 30-35 นาทีต่อ
ครั้งที่อัตราการเต้นของหัวใจ 70% ของอัตรการเต้นของหัวใจสูงสุด

หลังจากนั้นจึงให้กลับไปออกกำลังกายต่อที่บ้าน เป็นจำนวน 5 ครั้งต่อสัปดาห์ เป็นเวลา 40 นาที ที่
อัตราการเต้นของหัวใจ 60-70% ของอัตราการบีบตัวของหัวใจสูงสุด และติดตามผู้ป่วยทางโทร
ศัพท์

เมื่อเวลาผ่านไป 3 ปี อัตราการเสียชีวิตลดลงในกลุ่มที่ออกกำลังกาย หรืออัตราการนอนโรงพยาบาล
ลดลง ดังรูป



เส้นประคือไม่ได้ออกกำลังกาย ส่วนเส้นทึบคือออกกำลังกายครับ ซึ่งลดอัตราการเสียชีวิตและอัตรา
การนอนโรงพยาบาลได้ราวๆ 13%

สรุป

การออกกำลังกายในผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจล้มเหลวที่มีการบีบตัวให้เลือดออกไปเลี้ยงร่างกายได้น้อย
ลง ช่วยลดอัตราการเสียชีวิต และลดอัตราการนอนโรงพยาบาล

ที่มา : //www.thaifittips.com




 

Create Date : 21 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 22 กรกฎาคม 2552 11:25:02 น.
Counter : 3709 Pageviews.  

แบบทดสอบคุณภาพอึ

ระบบการย่อยอาหารของมนุษย์นั้นถูกรังสรรค์เพื่อให้ย่อยอะไรได้ง่ายๆ ฉะนั้นควรเลือกบริโภคอาหารที่ย่อยง่ายๆ และมีประโยชน์ต่อสุขภาพ และเพื่อช่วยระบบการย่อยในร่างกายไม่ให้ทำงานหนักจนเกินไป ควรเคี้ยวให้ละเอียดก่อนกลืน ซึ่งจะทำให้ร่างกายได้ซึมซับสารอาหารไปได้มากที่สุดด้วย

แบบทดสอบนี้ให้พิจารณาอึของคุณแล้วให้คะแนนดูว่าอึของคุณมีคุณภาพเป็นเช่นไร
1. อึของคุณจมน้ำ หรือลอยน้ำ
ลอยน้ำ (1 คะแนน)
จมน้ำ (2 คะแนน)
2. ลักษณะอ่อนนิ่ม หรือก้อนแข็ง
อ่อนนิ่มเหมือนยาสีฟัน (1 คะแนน)
เป็นก้อนแข็ง (2 คะแนน)
3. น้ำหนักและขนาดอึต่อครั้ง (กะด้วยสายตา)
200 กรัมขึ้นไป (1 คะแนน)
ต่ำกว่า 200 กรัม (2 คะแนน)
4. รูปร่าง ลักษณะของอึ
ลักษณะเหมือนกาวอ่อน (1 คะแนน)
ลักษณะเหมือนกล้วย (1 คะแนน)
ลักษณะเป็นก้อนแข็ง (2 คะแนน)
5. จำนวนครั้งที่ถ่าย/วัน
1 วัน/ครั้ง (1 คะแนน)
หลายวัน/ครั้ง (2 คะแนน)
6. ลักษณะสี
เหลืองทอง (1 คะแนน)
น้ำตาลแก่ (2 คะแนน)
7. กลิ่น
ไม่ค่อยมีกลิ่น (1 คะแนน)
มีกลิ่นเหม็น (2 คะแนน)

ผลคะแนนการประเมิน
รวมคะแนนแล้วได้ 7-9 คะแนน : ต้องขอแสดงความยินดีว่าคุณมีสุขภาพแข็งแรงดีเลิศ

รวมคะแนนแล้วได้ 10-12 คะแนน : คุณจะต้องคอยระวัง และดูแลสุขภาพให้มากขึ้น โดยต้องพยายามรับประทานอาหารที่มีส้นใยสูงกว่าเดิม

รวมคะแนนแล้วได้ 13-14 คะแนน : ระบบการขับถ่ายของท่านเริ่มเตือนภัยทางสุขภาพแล้ว ทางที่ดีลองตรวจสุขภาพ หรือปรึกษาแพทย์ได้แล้ว

"อึ" ที่เข้าข่ายวิกฤติและต้องรีบปรึกษาแพทย์โดยด่วน เพราะอาจก่อให้เกิดมะเร็งลำไส้ได้ คือ อึที่ เหนียวข้น สีดำเข้ม มีเลือดออกมากับอุจจาระ มีอาการท้องเสียสลับกับท้องผูกบ่อยๆ น้ำหนักตัวลดเร็วและเบื่ออาหาร
ควรแก้ไขโดยการกิน ผักผลไม้เยอะๆ รวมถึงธัญพืชที่มีไฟเบอร์สูง ซึ่งจะช่วยดูดซึมและขนถ่ายโปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไปใช้ประโยชน์มากขึ้น ช่วยเพิ่มเนื้ออุจจาระ ทำให้ขนาดพอเหมาะกับการบิดตัวของลำไส้ใหญ่ ลดความเสี่ยงจากการเป็นมะเร็งและท้องจะไม่ผูกอีกต่อไป

ที่มา : ผู้จัดการรายวัน ฉบับ 22 มิ.ย. 47






 

Create Date : 28 กันยายน 2551    
Last Update : 28 กันยายน 2551 5:51:50 น.
Counter : 3585 Pageviews.  

อย่าอั้น อึ ตด ฉี่ มันไม่ดี

อดมื้อกินมื้อถือเป็นความยากลำบากขั้นธรรมดา บางครั้งบางคราต้องหาขุดมันกินแทนข้าวติดๆ กันหลายมื้อ ไหนจะต้องลุกพรวดจากที่นอนเผ่นหาที่กำบังแทบไม่ทันเมื่อฐานที่มั่นถูกโจมตี ในขณะหลับไหลอีกเล่า เป็นชีวิตที่แขวนอยู่บนเส้นด้ายบางเบา ที่คนหนุ่มสาวผู้มุ่งมั่นในอุดมการณ์ยุคหนึ่ง ได้ตรวจสอบสมรรถนะของชีวิตตนเองกับสหายในราวป่า
แน่นอนว่าถ้าถึงเวลากินแล้วไม่ได้กินจะเป็นเพราะจำเป็นต้องทนหิวหรือไม่ก็ตาม พอนานเข้าก็ทำให้เป็นโรคกระเพาะได้ เมื่อไรที่โรคกระเพาะกำเริบจะมีอาการแสบท้องชนิดนั่งไม่ติด
ส่วนการอั้นฉี่บ่อยๆ ที่กลายเป็นบ่อเกิดของโรคนิ่วนั้น ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเป็นนิ่วเลย เอาแค่ว่าเวลาปวดฉี่แล้วหาที่ฉี่ไม่ได้ อาจจะเป็นเพราะรถติดแหง็กอยู่บนถนนหรือกำลังติดธุระ การงานสำคัญที่หลบเลี่ยงมาระบายความอัดอั้นตันกระเพาะ(ปัสสาวะ) ไม่ได้นั้น ทรมานชนิดที่ยืนไม่ติด ต้องขมิบแล้วขมิบอีกจนปวดบั้นเอวอย่างรุนแรง
ต้องยกนิ้วให้คนตั้งชื่อห้องส้วมว่า ห้องสุขา ที่เข้าใจความทุกข์ของคนปวดหนักปวดเบาจริงๆ
ความหิวและอาการปวดปัสสาวะนั้น ศาสตร์อายุรเวทถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของกลไกธรรมชาติของร่างกาย ซึ่งเรียกตามศัพท์อายุรเวทว่า " เวคะ" (vega) แปลว่า เสียงเพรียกหรือเสียงร่ำร้องของธรรมชาติ (the call of nature)
เป็นกลไกหรือสัญชาตญาณธรรมชาติของร่างกายที่จะเสพรับและขับออก เสพรับในสิ่งที่ร่างกายต้องการ และขับเอาของเสียที่ร่างกายใช้ประโยชน์ไม่ได้ออกไป เพื่อให้มีชีวิตอยู่และรักษาสมดุลของร่างกายและจิตใจ
ร่างกายเติบโตและดำรงอยู่ได้ก็ต้องอาศัยอาหารมาหล่อเลี้ยงและแปรเปลี่ยนเป็นเลือด เป็นกล้ามเนื้อ กระดูก รวมทั้งอวัยวะต่างๆ เมื่ออาหารที่กินเข้าไปถูกย่อยและดูดซึมไปเลี้ยงร่างกายหมด ก็ต้องรับอาหารใหม่ทำให้เกิดความหิว
เราต้องการน้ำเพื่อให้ความชุ่มชื้นฉ่ำเย็น รวมทั้งกลายมาเป็นของเหลวในร่างกาย ทำให้เราเกิดความกระหาย อีกทั้งต้องการอากาศซึ่งก็คือ ธาตุลมที่เป็นพลังขับเคลื่อนทำให้เคลื่อนไหว และทำกิจกรรมต่างๆ ได้ รวมทั้งเป็นลมหายใจให้พลังชีวิต เราจึงต้องหายใจ หรือเมื่อร่างกายใช้พลังไปมากๆ ก็ต้องการพักผ่อนนอนหลับ เราจึงมีอาการง่วงเหงาหาวนอน
เมื่อมีเข้าก็ต้องมีออก ส่วนไหนใช้ได้ก็ใช้ไป ที่ใช้ไม่ได้ก็กลายเป็นกากเป็นของเสียที่ถูกขับออกมา อาหารที่ย่อยแล้วเหลือกากก็กลายเป็นของเสียออกมาทางอุจจาระ ของเหลวที่เป็นส่วนเกินก็กลายเป็นปัสสาวะ ส่วนอากาศที่ใช้ไม่ได้ก็ถูกขับออกมากับลมหายใจออก เป็นต้น
ยามใดที่ร่างกายต้องการปลดปล่อยสิ่งที่ไม่ต้องการออก ก็จะเกิดอาการที่อยากจะขับออก แล้วแต่ว่าจะออกทางไหน
ถ้าต้องการปลดปล่อยของเสียที่เป็นกากทำให้ปวดหนัก ถ้าต้องการขับน้ำส่วนเกินออกไป ก็ทำให้ปวดเบา หรือถ้ามีอะไรแปลกปลอมอยู่ในทางเดินหายใจก็ทำให้คันจมูกฟุดฟิดอยากจาม หรือไม่ก็ไอถ้าสิ่งแปลกปลอมอยู่ลึกลงไปในลำคอ
ความหิวกระหาย หรือปวดหนัก ปวดเบา ก็คือ สัญญาณที่ร่างกายร่ำร้องบอกให้เจ้าของรู้ว่า ควรจะรับหรือปลดปล่อย
การดูแลสุขภาพแบบองค์รวมตามหลักอายุรเวทนั้นอยู่ที่การดำเนินชีวิตให้สอดรับ กับครรลองของธรรมชาติ ซึ่งหมายรวมถึงการทำกิจตามสัญชาตญาณหรือเสียงเพรียกตามธรรมชาติ ของร่างกายด้วย ถ้าไม่ทำตามเสียงร่ำร้องของธรรมชาติร่างกายก็จะเสียสมดุล และทำให้เจ็บไข้ไม่สบาย
ถ้าร่างกายต้องการรับแล้วเราไม่เติมเข้าไปก็เกิดการขาดแคลนทำให้ร่างกายเสื่อมโทรม เมื่อไรที่เขาต้องการปลดปล่อยแล้วเราอั้นเอาไว้ก็กลายเป็นสิ่งล้นเกิน ยิ่งถ้าเป็นของเสีย ก็จะทำให้เกิดการหมักหมมบูดเน่า และทำให้เกิดโทษ เช่น อั้นฉี่บ่อยๆ ก็เกิดเป็นนิ่ว
จึงมีข้อแนะนำว่า เวลาร่างกายส่งสัญญาณใดๆ ให้รู้ก็ให้พึงปฏิบัติตามนั้นอย่างเหมาะสม สัญญาณที่ว่าได้แก่ การผายลม ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ จาม หิว กระหาย ง่วงนอน ไอ หายใจแรงๆ เวลาเหนื่อย หาว ร้องไห้ (น้ำตาไหล) อาเจียน และการหลั่งน้ำอสุจิ
การผายลม อุจจาระ และปัสสาวะหรือเรียกสั้นๆ แบบไม่เกรงใจว่า ตด อึ และฉี่นั้น ถือเป็นเสียงเพรียกจากธรรมชาติของร่างกายอย่างแรกๆ ที่ศาสตร์อายุรเวทแนะนำว่า เมื่อไรที่มีก็ควรปลดปล่อยออกมา ด้วยความโอนอ่อนผ่อนตาม ไม่อดกลั้น ขณะเดียวกัน ก็ไม่เร่งเร้าอย่างรุนแรง
เพราะเมื่อไรที่เกิดอาการอยากตด อึ หรือฉี่ แสดงว่าร่างกายต้องการจะปลดปล่อย สิ่งที่ไม่ต้องการออกมาแล้ว พูดอีกนัยหนึ่งว่าเป็นของเสียที่ร่างกายอยากจะขับออกมาเต็มทน
การอั้นเอาไว้ ย่อมหมายถึง การกักเก็บของเสียเอาไว้ในลำไส้ อั้นไว้นานและบ่อยเท่าไร ก็หมายถึงของเสียอยู่ในร่างกายนานเท่านั้น ถึงจุดหนึ่งที่กักเก็บไม่ไหวก็จะล้นทะลักออกมา ไม่แน่ว่าของเสียบางส่วนอาจจะถูกดูดซึมกลับเข้าไปในร่างกายด้วย
ลองสังเกตว่า เวลาอยากตด ปวดอึ หรือปวดฉี่ ถ้าไม่ปวดชนิดที่เรียกว่าข้าศึกโจมตีอย่างหนักแล้ว เราอั้นไว้สักพัก อาการปวดตด ปวดอึ ปวดฉี่จะหายไป ถามว่าหายไปไหน ในเมื่อลำไส้ หรือกระเพาะปัสสาวะมันเต็มแล้ว จึงได้ส่งสัญญาณเตือนเป็นอาการปวดออกมา
ชวนให้คิดว่าน่าจะมีของเสียบางส่วนถูกร่างกายดูดซึมกลับเข้าไป การอั้นเอาไว้ก็เหมือนไปบอก กับร่างกายว่าอย่าปล่อยมันออกไป ฉันต้องการมันอยู่
โบราณาจารย์อายุรเวทอธิบายว่า การตด อึ หรือฉี่นั้น สัมพันธ์กับลมในช่องท้องส่วนล่าง ซึ่งจะมีแรงดันลงข้างล่างอย่างรุนแรงเพื่อที่พัดพาสิ่งที่ร่างกายไม่ต้องการออกมา เมื่อเราอั้นไว้ แรงดันที่พุ่งลงข้างล่างไม่ได้ เลยเกิดการปั่นป่วนและหาทางพัดไปในทิศทางอื่นตามธรรมชาติของที่ไม่อยู่นิ่ง ตรงนี้เองที่เป็นจุดเริ่มต้นของการเจ็บไข้ไม่สบาย
ซึ่งเรียกในทางโบราณว่า วาตะกำเริบ หรือในทางอายุรเวทเรียกว่า วาตะประกุปิตะ (vata prakupita) ซึ่งครูท่านเคยบอกว่า หมายถึงลมกันโกรธเกรี้ยวจนทำให้เกิดโทษ
ไล่มาตั้งแต่ การอั้นตด จะทำให้เกิดมีเป็นก้อนแข็งในท้อง (เถาดาน) ปวดท้อง เหนื่อยง่าย ทั้งที่ไม่ได้ออกกำลังมาก ท้องผูก ปัสสาวะขัด และผายลมไม่ออกเพราะเกิดการอุดตันในลำไส้ ทำให้สายตาพร่ามัว ระบบย่อยอาหารไม่ทำงาน และโรคเกี่ยวกับหัวใจ
อธิบายได้ว่า เวลาปวดตดแล้วอั้นไว้ ร่างกายโดยเฉพาะบริเวณท้องจะเกิดการเกร็งตัว พอเกร็งบ่อยครั้งหรือนานเข้า มันก็เลยไม่คลายออก เกิดเป็นก้อนแข็งในท้อง ระบบย่อยอาหารไม่ทำงาน
ขณะเดียวกันลมที่ปั่นป่วนหมุนวนในท้องก็ทำให้เกิดอาการปวดท้อง นอกจากนี้ลมมีคุณสมบัติแห้งและเย็น พออยู่ในท้องมากๆ ก็เลยทำให้อุจจาระแห้งจนท้องผูก ทำให้ลำไส้และกระเพาะเกิดการหดตัวจนเกิดอาการปัสสาวะขัดหรือตดไม่ออก เหล่านี้เป็นโทษภัยที่เกิดจากการอั้นตดจนเป็นนิสัย
หลายคนอาจแย้งว่าเวลาอยู่ต่อหน้าธารกำนัลแล้วจะปล่อยตดปู๊ดป๊าดออกมา ก็เกรงใจคนอื่นแย่เลย ยิ่งคุณๆ ผู้หญิงด้วยแล้วยิ่งไม่กล้าใหญ่
ว่ากันว่าผู้หญิงมีโอกาสตดเหม็นมากกว่าผู้ชาย เหตุผลที่ (ผู้ชายคิดแบบเข้าข้างตัวเอง) ก็คือผู้หญิงเวลาจำเป็นต้องตดจะกระมิดกระเมี้ยนตด ทำให้แก๊สหมักหมมนานเลยกลิ่นแรง ส่วนผู้ชายจะปล่อยปู๊ดป๊าดออกมาแบบไม่ต้องเกรงใจ แก๊สก็เลยกระจายไปเร็ว กลิ่นจึงไม่อบอวล
จริงเท็จอย่างไรคงต้องหาคนทำโพลมาดูกัน
การอั้นอึ จะทำให้เกิดอาการปวดหรือเป็นตะคริวที่น่อง เป็นหวัดน้ำมูกไหล ปวดศีรษะ สะอึก แน่นในท้อง เรอ เจ็บบริเวณทวารหนัก อึดอัดบริเวณหัวใจ อาเจียนเป็นของเสีย นอกจากนี้การอั้นอึยังทำให้เกิดอาการต่างๆ ที่เกิดจากการอั้นการผายลมอีกต่างหาก
การอั้นฉี่ จะทำให้เกิดอาการเจ็บร้าวตามร่างกายเหมือนถูกกรีด เป็นนิ่ว ปวดกระเพาะปัสสาวะ อวัยวะเพศและขาหนีบ
โดยเฉพาะคุณๆ ผู้หญิงซึ่งมักจะหาที่ปลดทุกข์ยากกว่าผู้ชาย สังเกตว่าผู้หญิงมักจะเป็นโรค ทางเดินปัสสาวะอักเสบได้ง่าย ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากความจำเป็นที่ต้องอั้นฉี่บ่อยๆ นอกจากนี้ การอั้นปัสสาวะยังทำให้เกิดอาการจากการอั้นอุจจาระและผายลมด้วย เรียกว่า เกิดโทษยกกำลังสามเลย
โทษภัยจากการอั้นทั้งสามอั้นเหล่านี้น่าจะเกิดในกรณีที่อั้นบ่อยๆ หรือนานๆ แต่ก็ไม่ควรชะล่าใจว่าถ้าไม่ปวดจริงๆ พออั้นได้ก็จะอั้น เพราะเคยเจอะเจอมาหลายคนแล้ว ที่ปวดนิดปวดหน่อยมักจะอั้นเอาไว้ก่อน พอทำแบบนี้บ่อยครั้งเข้าก็เลยเคยชินถ้าไม่ปวดจริงๆ จะไม่ปลดปล่อยออกมา ฉะนั้นถ้าไม่จำเป็นก็อย่าไปอั้นมันเลย เวลามีทุกข์ก็พึงถามหาว่า "สุขาอยู่หนใด" แล้วปลดปล่อยทุกข์นั้นเสีย ไม่เช่นนั้นคุณอาจเจอทุกข์ที่หนักกว่า
สำหรับการบำบัดอาการที่เกิดจากการอั้นตด อึและฉี่นั้น ใช้หลักทำให้ลมที่กำเริบสงบระงับลง ลมมีคุณสมบัติแห้งและเย็น การแก้อาการที่เกิดจากลมจะใช้ความร้อนและความชุ่มชื้น
วิธีที่น่าจะปฏิบัติได้ด้วยตัวเองได้แก่ การนวดร่างกายโดยใช้น้ำมันงาอุ่นๆ ทาและนวดให้ทั่วร่างกาย ส่วนที่เป็นข้อก็นวดคลึงเป็นวงกลม ถ้าเป็นกล้ามเนื้อก็ให้นวดตามแนวกล้ามเนื้อ ส่วนบริเวณท้อง ให้นวดโดยใช้ฝ่ามือวางราบบนท้องแล้วหมุนรอบสะดือตามเข็มนาฬิกา
หรือใช้สำลีแผ่นใหญ่ๆ วางบนหน้าท้องหลังจากนวดน้ำมันแล้ว จากนั้นเอาน้ำมันงาอุ่นๆ เทลงบนแผ่นสำลีให้ชุ่มน้ำมัน พอน้ำมันเริ่มเย็นก็เอาผ้าขาวบางซับน้ำมันจากสำลีมาบีบใส่หม้ออุ่น แล้วมาราดบนสำลีใหม่ ทำซ้ำอย่างนี้สักครึ่งชั่วโมง วันละครั้งเช้าหรือเย็น
วิธีอื่นๆ ก็มีคือ แช่น้ำอุ่นหรือน้ำยาสมุนไพร อบไอน้ำหรืออบสมุนไพร เช่น ขิง กะเพรา ข่า ราก ละหุ่ง ตะไคร้หอม กระเทียม เป็นต้น
กรณีของการอั้นอึมีข้อแนะนำเพิ่มเติมคือ ให้กินอาหาร เครื่องดื่มหรือยาที่มีฤทธิ์ระบายช่วยด้วย เช่น ผักใบเขียว กล้วยน้ำว้าสุก มะละกอ ลูกเกดสีดำ นมอุ่นๆ น้ำมันละหุ่ง ยาตรีผลา เป็นต้น หากมีปัญหาจากการอั้นฉี่เขาให้ดื่มเนยใส 2-3 ช้อนโต๊ะ ก่อนอาหาร และหลังจากที่อาหารย่อยเสร็จแล้ว (ประมาณ 2 ชั่วโมงหลังทานอาหารหรือเมื่อรู้สึกเริ่มหิว)
ใครที่เคยรังเกียจ ตด อึ ฉี่ คงต้องยอมรับแล้วว่า ความต้องการปลดปล่อยของร่างกาย ทั้งสามอย่างนี้สำคัญและมีคุณต่อร่างกายไม่น้อยทีเดียว


[ ที่มา... หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ประจำวันที่ 3-10 มิถุนายน พ.ศ. 2544 ]




 

Create Date : 28 กันยายน 2551    
Last Update : 28 กันยายน 2551 5:51:09 น.
Counter : 4296 Pageviews.  

1  2  

กันต์นัทธ์
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 19 คน [?]




กันต์นัทธ์ แปลว่า ผูกพันด้วยความรัก






แจกฟรี !! e-book

 รวม ฟรี !! E-BOOK 
Friends' blogs
[Add กันต์นัทธ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.