Group Blog
 
All blogs
 

Entre Deux Rives

เมื่อเดือนที่แล้ว ตะลุยดูหนังเสียสามเรื่อง (เท่านั้นเเอง จ่ายค่าบัตรสมาชิกไว้เดือนละตั้งสิบแปดยูโร ฮือ)
ดูซูเปอร์แมนรีเทิร์นสุดหล่อ ก็ประทับใจดี เพราะพ่อซุปคนใหม่นี่ ดูเด็กๆ น่ารักแปลกตา ความหล่อล่ำก็เข้าขั้นไม่ต้องพูดถึง
อีกเรื่องคือ สเลวิน ก็มันดี ลูซี่ ลิว เล่นเรื่องนี้ น่าร้ากมาก แปลกตาไปจากบทสาวโหดๆ ที่เราเห็นบ่อยๆ จากในอัลลี่ แม็คบิล หรือ นางฟ้าชาร์ลี
แต่ที่ประทับใจที่สุดคือเรื่องนี้แหละ The Lake House หรือ Entre Deux Rives ในภาคฝรั่งเศส
นาน ๆ ทีหนังฝรั่งเศสจะแปลชื่อหนังออกมาดีๆ เลยขอเอามาตั้งชื่อบล็อกตอนนี้เสียหน่อย
ที่อยากไปดูเรื่องนี้ เพราะชอบซานดร้า บูลเล็อกหรอกนะจ๊ะ
ส่วนพ่อคีนูนั่น ไม่เคยจงรักภักดีเป็นแฟนหนังด้วยหรอก
แต่หลังจากดูหนังเรื่องนี้ ก็เพิ่งจะตระหนักว่า จริงๆ ตานี่ ก็เป็นนักแสดงมีฝีมือเหมือนกันนะเนี่ย

อย่างทอม ครูซนี่ เล่นกี่เรื่องๆ อิฉันก็ยังเห็นหล่อนเล่นเป็นทอม ครูซอยู่เหมือนเดิม
นานๆ ทีพ่อก็แยกเขี้ยว แสยะยิ้มยิงฟันเต็มที่ เพื่อให้ความหล่อมันแพรวพราวปรากฎให้เห็นเสียหน่อย
ส่วนที่เหลือก็เดิมๆ ตั้งแต่หนังเดอะ เฟิร์มจนถึงเอ็มไอบี ภาคสาม
นี่ไม่ได้ว่า นะคะ พ่อทอม (และบรรดาแม่ยกของพ่อทอม) จะบอกเพียงว่า
ไม่ได้รังเกียจรังงอนหรอกนะ ชอบเหมือนกัน เจริญหูเจริญตาดีจะตายไป

ส่วนคีนู รีฟ เรื่องนี้ ที่ว่าเล่นดีเพราะว่า เธอเล่นดีจนเราอิน
พลอยตกหลุมรับบทบาทของสถาปนิกใจน้อยคนนี้ไปด้วยนะซี
ยิ่งตอนที่เธอไปเจอนางเอกในงานวันเกิดแล้วอ้ำอึ้งๆๆๆ นั่นน่ะ
แหม ลุ้นจนตัวโก่งเชียว

ส่วนมิสบูลล็อค ก็เล่นดี เป็นธรรมชาติ ทำให้คุณหมอขี้เหงาคนนี้ มีชีวิตชีวาน่าเอ็นดู
ยี่ห้อ ซานดร้า บูลล็อกการันตีอยู่แล้ว

จะว่าไปหนังเรื่องนี้ เป็นรียูเนี่ยนของดาราสองคนนี้ ตั้งแต่หนังเรื่อง สปีด หรือเปล่าคะ
ตั้งแต่เรื่องแรกแล้ว รู้สึกว่า สองคนนี้จะมีปฏิกิริยาเคมีที่ดึงดูดคนดูได้ดี
พอมาถึงเรื่องนี้ ดารานำทั้งคู่ก็ไม่ทำให้ผิดหวังเลยค่ะ

ทีนี้ เนื้อเรื่องของหนัง จริงๆ มันก็ไม่ถึงกับว่า แหวกแนว อะไรนักหนา
หนังสือ และหนังแนวเทือกๆ นี้ก็มีออกมาเป็นระยะ เป็นที่ถูกอกถูกใจคนดูนักหนา
อย่าง Back to the Future, Frequency , The Butterfly Effect
ยกตัวอย่างที่ใกล้ๆตัว (คือ บนหิ้งหนังสือในบ้าน) ก็ ทวิภพ นั่นไง
จริงๆ ก็เยอะอะนะ จาระไนไม่หมดหรอก เข้าเรื่องดีกว่า

ความแตกต่างของหนังเรื่องนี้ก็คือ ตามท้องเรื่อง ตัวละครอาจจะงงๆ กับเหตุประหลาดที่ตัวเองเจอตอนแรกๆ
แต่ก็ไม่เคยหยุดคิด (ให้เสียเวลา) เลยว่า ทำไม เพราะอะไร
แถมไม่ตื่นตระหนกตกใจประสาทกินให้คนดูประสาทตามไปด้วย
ในทางตรงกันข้าม สองคนนี้ กลับยอมรับสิ่งประหลาดที่เกิดขึ้นได้อย่างเป็นธรรมชาติ
แถมส่งจดหมายโต้ตอบกันสนุกสนานไปเลย
มีการแสดงน้ำอกน้ำใจข้ามภพ ข้ามเวลา จนความผูกพันมันพันผูกหัวใจเข้าทุกทีๆ
แถมยังมีความมั่นคง หนักแน่น ไม่ยอมแพ้แก่โชคชะตา และกาลเวลาเสียด้วยนี่สิ
ดูตั้งแต่ต้นจนจบ หนังก็ไม่เฉลยเลยว่า อะไร หรือ ใคร ที่บันดาลให้เกิดความพิลึกพิลั่นซับซ้อนของห้วงเวลาแบบนี้
และด้วยความรัก ความผูกพัน สไตล์ดรามา โรแมนติกทั้งหลาย
ก็ทำให้เรื่องจบแบบแฮปปี้ เอ็นดิ้ง ไปตามฟอร์ม

ดูแล้วก็ย้อนกลับมามองดูตัวเรา ที่ติดแหงกอยู่ในห้วงเวลาปัจจุบันเก่าๆ เดิมๆ นี่แหละ ไม่ต้องมีหลืบมีมุมซับซ้อนซ่อนเงื่อนอย่างในหนังหรอก
ถ้าเรายอมรับในสิ่งต่าง ๆที่เกิดขึ้นในชีวิตอย่างที่มันเป็น
โดยไม่เสียเวลาหมกมุ่น ตีอกชกหัว ถามตัวเอง หรือถามใครๆ ว่า "ทำไม ทำไม๊ ทำไม"
มันอาจจะประหยัดเวลาเพื่อเอาไปทำอะไรต่างๆ ได้มากขึ้น

อันนี้ เจอบ่อยๆ เวลาทำงานนะ เวลาเกิดปัญหา ข้อผิดพลาด เหตุสุดวิสัย
คนรอบข้างจะเริ่มซัดกันนัว ซัดกันเป็นทอด ๆ เหมือนโดมิโน
ทะเลาะกันไม่มีวันจบด้วยคำถามนี้ ทำไม หรือ เพราะใคร
เรื่องของเรื่องคือ ไม่ยอมเป็นคนผิด นั่นแหละ จะต้องใช้ปากเป็นตะไกรฟื้นฝอยหาไอ้ตัวตะเข็บออกมารับกรรมให้ได้
จนไม่มีใครคิดเผชิญหน้าสถานการณ์และแก้ปัญหาด้วยการตั้งคำถามว่า ทำอย่างไร กันเลยสักคน
ดิฉันก็นั่งเซ็งไปตามระเบียบ หนังน่าเบื่อยังลุกหนีได้ แต่ชีวิตจริงนี่ หนีลำบากน่ะ

วิตกจริตมาถึงตรงนี้แล้วก็จะไม่มานั่งถามหรอกว่า ทำไม ทำไม๊ ทำไม
คนพวกนี้มันถึงได้น่าเบื่อ น่ารำคาญขนาดนี้
คิดเสียว่า มันเป็นกรรมของดิฉันแล้วก็ก้มหน้าก้มตารับกรรมไปแล้วกัน

พอดูหนังเรื่องนี้เสร็จก็เลยเกิดพุทธิปัญญา คิดใหม่ ทำใหม่
คำถามที่ผุดขึ้นในหัวตอนนี้ ก็คือ
ทำยังไงถึงจะกำจัดคนน่าเบื่อพวกนี้ให้หมดไปจากชีวิตเสียทีหนอ..

แต่ละรายๆ หนังเหนียวท้างน้าน สงสัยจะยากแฮะ




 

Create Date : 06 สิงหาคม 2549    
Last Update : 6 สิงหาคม 2549 21:11:53 น.
Counter : 370 Pageviews.  

Davinci Code ไลท์

เมื่อ ดาวินชี โค้ด ตีพิมพ์ออกมาเป็นหนังสือ ใครๆ ก็ตั้งหน้าตั้งตา "ถก" เรื่องนี้
ทางทีวี ทางวิทยุ ทางหนังสือพิมพ์ นิตยสาร ฯลฯ
ถกกันจนเขมรที่เจอถกมาแล้วยังอาย ว่างั้นเถอะ

พอ ดาวินชี่ โค้ด ภาคภาพยนตร์ออกฉาย
กระแสวิพากษ์วิจารณ์ก็เริ่มอีกแล้ว
วันนี้ ดูทีวีตั้งแต่เช้าจนบ่าย เกือบทุกรายการจะต้องพูดถึง
ขนาดรายการหุ่นพัพเพ็ตล้อเลียนการเมือง "เลส์ กินญอลส์" ยังเอามาล้อเลย
"ดาวินชี โค้ด ลึกลับซับซ้อนซ่อนเงื่อน แต่ยังไม่เท่าการเมืองของชีรัค"

เอาสั้น ๆ ดีกว่านะ ขี้เกียจเขียนยาว เดี๋ยวไม่เป็นอันต้องอัพกัน
(ถ้าเราเขียนได้มันส์ ๆ แบบเจ๊กอผู้น่ารักของเราก็ว่าไปอย่าง)

ทำไม บทประพันธ์ หรือ หนังเรื่องนี้ถึงได้รับความนิยมอย่างยิ่งยวดไปทั่วโลก
ทั้ง ๆ ที่ทฤษฎีเกี่ยวกับ โฮลี่ เกรล ความฉาวของคริสตจักรที่ใช้ศาสนาเป็นอำนาจทางการเมือง
ความสัมพันธ์ระหว่างพระเยซูกับแมรี่แมดเดอเลน หรือ ความแผลงของดาวินชี่ ก็เป็นที่รู้ๆ กันมาตั้งนานแล้ว
ไม่เห็นมีอะไรที่ไม่เคยมีมาก่อน
แต่ทำไม หนังสือของแดน บราวน์ ก่อให้เกิดกระแสโครมครามในหมู่ผู้คนมากได้เช่นนี้

สำหรับเฟื่อง ผู้มีหูตาไม่ค่อยกว้างไกล สมองก็ใหญ่เท่าปลาทองแคระนั้น
หนังสือเรื่องนี้ เปิดโลกทัศน์ของเฟื่องสู่ศาสตร์ เกร็ด และตำนานอื่นๆ อีกหลายแขนง
ทั้งประวัติศาสตร์ ทางศาสนา ศิลปะ วิทยาศาสตร์ ความลึกลับซับซ้อนที่สั่งสมกันมานาน
เป็นเหมือนสิ่งที่เรารู้เห็นอยู่แล้วทุกวัน แต่กลับไม่เคยจ้องให้ดี
ไม่เห็นในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่แทรกที่ซ่อนอยู่
หนังสือเล่มนี้ ทำให้เราประหลาดใจกับสิ่งต่างๆ ที่เหลื่อมซ้อนเป็นเงา
เป็นเบื้องหลังความเป็นมาของสิ่งที่เราเห็น และเป็นอยู่ในปัจจุบัน

คริสตศาสนิกชน และคริสตจักร ออกมาประนามว่า แดน บราวน์
เขียนหนังสือออกมาโดยมีข้อมูลเป็นเท็จ
เฟื่องยังสงสัยว่า แล้วคนเหล่านี้ เชื่อได้อย่างไรว่า
สิ่งที่เขาเชื่อ เขาเห็นและเป็นอยู่นั้นมัน เป็นความจริงล้วนๆ


ตัวคนเขียน เขาก็เขียนออกมาโดยทฤษฎี และจินตนาการ
ผูกเรื่องออกมาเป็นนิยายล้วน ๆ ให้อ่านกันสนุกๆ แท้ๆ
จะออกมาเต้นกันทำมั้ย ให้เมื่อยตุ้ม เถียงกันน้ำลายแตกฟอง
น่ารำคาญหูจะตายไป

ส่วนหนังนั้น เฟื่องไปดูมาแล้ว พบว่า ทำเพลงประกอบได้ดี
อีตอนจบที่พระเอกตามหาเส้นกุหลาบนั่น แหม ตื่นเต้นระทึกใจ
จริงๆ เซ็งตั้งแต่ที่แคสต์เอา ทอม แฮงค์ส์ มาเป็น โรเบิร์ต แลงดอนแล้วละ
เพราะถ้าใครได้อ่าน แอนเจิลส์ แอนด์ เดมอนส์ จะเห็นภาพแลงดอนได้ชัดกว่าในเรื่องนี้
แลงดอน อายุประมาณโฟร์ตี้ ซัมติง มาดนักวิชาการ หน้าตาหล่อแบบโบราณ
อย่างไรก็ตาม หล่อนเป็นนักว่ายน้ำ และเป็นนักโปโลตัวฉกาจ
เรียกว่า หุ่นผิดกันไกลกับ พ่อทอม ของเรา
เฟื่องลองจินตนาการดูเล่น ๆ ออกมา คิดว่า พ่อไคลฟ์ โอเวน
ที่เล่นเป็นคิง อาเธอร์นั่นน่ะ น่าจะเหมาะเป็น แลงดอน
แต่ต้องลดความหล่อลงกว่านี้สัก สองสามขีด

ส่วนคนที่เหมาะกับบทมากๆ อีกคน คือ ฌอง เรอโน
พ่อฟาช ในเรื่องตามบทนั่น หน้าตายแบบนี้เลย

ส่วนการดำเนินเรื่องก็รวบรัดตัดความเร็วดี
ดัดแปลงเป็นบทภาพยนตร์ได้ดีพอใช้ทีเดียว
โดยเฉพาะตอนที่เสิร์ชหาข้อมูลจากมือถือบนรถบัส
หรือตอนที่พระเอกบอกเสียเองว่า เหตุเกิดในแกรนด์ แกเลอรี่ใช่ไหม
พอฟาชถามว่า รู้ได้ไง พระเอกบอกว่า จำลายพื้นปาร์เกต์ได้
ประโยคเดียว บอกให้รู้เลยว่า แลงดอนรู้จักลูฟร์ในระดับดีมาก
ในหนังสือยังบรรยายอยู่หลายหน้าเชียว

เวลาอ่านหนังสือ รู้สึกเหนื่อยกับการผจญภัยของพระเอกนางเอกมาก
ในขณะที่พอเป็นหนังแล้ว การตัดต่อ การดำเนินเรื่องไม่ทำให้คนดูเหนื่อยเกินไป
อีกอย่าง ชอบตรงที่ ภาพในหัวตอนที่เราอ่าน กับภาพในหนังมีความคล้ายคลึงกันอย่างมาก
เลยไม่รู้สึกผิดหวังแฮะ บางคนอาจคาดหวังไว้มากกว่านี้ ก็เสียใจด้วยนะจ๊ะ

พอดูหนังเสร็จแล้ว กลับบ้านมาเริ่มอ่านหนังสือใหม่อีกรอบ
เพราะรายละเอียด ความรู้ สาระมันเยอะแน่นเอี้ยดเทียว

ดูหนังแล้วเหมือนกินอาหารไขมันต่ำ อิ่มน่ะอิ่ม ความอร่อยก็พอใช้
แต่ก็ไม่อิ่มหนำอร่อยลิ้นแบบกินอาหารเหลา หมูเห็ดเป็ดไก่


ใครดูหนังแล้วไม่ถูกใจ ขอให้ลองหาหนังสือมาอ่านกันนะคะ










 

Create Date : 22 พฤษภาคม 2549    
Last Update : 22 พฤษภาคม 2549 2:23:18 น.
Counter : 229 Pageviews.  

เรื่องของคนบ้าดารา



ต้องออกตัวไว้ก่อนว่า เฟื่องกลายเป็นยายเชยโดยปริยาย

เนื่องจากหนังฮอลลีวู้ดใช้เวลาเดินทางมานานมาก กว่าจะมาเข้าโรงฉายในฝรั่งเศสได้
เข้าช้ากว่าบ้านเราเป็นหลายเดือนเชียว ไม่ต้องพูดถึงดีวีดีเลย
จะออกวางแผงในร้านเช่าดีวีดีหลังจากหนังเข้าโรงไปแล้วหกเดือน
ส่วนวางตลาดนั้น คอยอีกหกเดือนต่อไปเหอะ
...................

เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม เฟื่องแวะไปคุยกับแพทเพื่อนร่วมงานคนนึง ซึ่งบ้าดูหนังพอกัน

พอพูดถึงหนังเรื่อง Mr.& Mrs.Smith ก็เลยนึกขึ้นมาได้ว่า วันรุ่งขึ้น (27 กค.) หนังเรื่องนี้จะฉายรอบปฐมทัศน์นี่นา
แถมยังคุ้ยหา เทรลเลอร์หนังจากอินเตอร์เน็ตมาดูกระตุ้นต่อมอยากกันเข้าไปใหญ่
เท่านั้นยังไม่พอ เราพบว่า เย็นวันนี้แหละ จะมีรอบก่อนปฐมทัศน์ (Avant-premier) ของหนังเรื่องนี้ด้วย

แพทกับเฟื่องมองตากันแล้วก็รู้ใจ (บ้าพอกัน)

เลิกงานเย็นวันนั้น เราทั้งคู่เลยเผ่นแน่บไปยังโรงภาพยนตร์ที่จะฉาย มิสเตอร์แอนด์มิสซิสสมิธ รอบก่อนปฐมทัศน์

เพื่อที่จะพบว่า....

หนังเต็มหมดทั้งรอบค่ำ และรอบดึก
(สมน้ำหน้าตัวเองชะมัด แต่จะลางานออกมาจองตั๋วหนังก็ดูกระไรอยู่นะ)

จริงๆ หนังทำเงินแบบนี้ มันก็คงเข้าโรงอยู่นานนั่นแหละ ไม่เห็นจะน่าเสียดมเสียดายอะไรนักหนาเล้ย แหม อะไรกันนักกันหนา

แต่เรื่องของเรื่องก็คือ เฟื่องกับตาแพทนี่ บ้าดาราขนาดหนัก
ไอ้ที่มาเนี่ย ก็คือหวังว่า จะได้เห็น หนูแอนเจลิน่า โจลี่ ซึ่งอาจจะมาปรากฎตัวในรอบก่อนปฐมทรรศน์นะแหละ ธ่อ

(ทั้งสองคนไม่สนใจแบรด พิทท์ เลยนะ)

ก่อนหนังเรื่องนี้จะเข้าโรงก็มีแผ่นโพสเตอร์โฆษณาหนังแปะให้ว่อนทั่วปารีสไปหมด
เฟื่องเห็นไอ้โพสเตอร์นี่ทีไร ก็ต้องมองจนเหลียวหลังทุกที

มองแต่แม่ แอนเจลิน่า โจลี่ ที่สวมชุดราตรีดำยาว ผ่าข้างขึ้นสูง
แถมเจ้าหล่อนยังพับเข่าข้างหนึ่งขึ้น ใช้เท้า (ในรองเท้าส้นแหลมสูงสีดำ) ยันกำแพงที่ยินพิงระทวยอยู่
มองเห็นช่วงขาเพรียวยาว แถมแม่ยังเหน็บปืนพกขนาดเล็กไว้บนขาอ่อนอีกตังหาก
ส่วนพ่อแบรด พิทท์ ก็คงหล่อพอกันนั่นแหละ อยู่อีกด้านของโพสเตอร์ เฟื่องไม่เคยเสียเวลามองตาแบรดเลย ให้ตาย...


สรุปว่า วันนั้น ได้แต่ทำตาปริบๆ อยู่หน้าโรง สมน้ำหน้าความบ้าดาราของตัวเองชะมัด

แต่หลังจากนั้นอีกสองวัน ก็ได้ดูหนังสมใจอยากนะ
สนุกเชียว แถมยังนั่งแทบจะติดจอ เห็นปากหนูแอนเจลิน่าเจ่อบวมที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาในชีวิต...

คงไม่ต้องเอามะพร้าวห้าวมาขายสวนเล่าเรื่องหนังให้ฟังหรอกนะคะ เพราะคงจะได้ดูกันหมดแล้วละซี

ใช่ไหมคะ ?





 

Create Date : 28 สิงหาคม 2548    
Last Update : 28 สิงหาคม 2548 18:57:10 น.
Counter : 617 Pageviews.  


*ProuD*
Location :
Paris France

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ซุ้มเฟื่องแก้ว
Friends' blogs
[Add *ProuD*'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.