อาณาจักร"โสน" ในบันทึกของ Ludovico Di Varthema


เมื่อวานนี้ไปค้นเจอเรื่อง ชาวคริสต์ในอาณาจักรโสนหรือที่ ludovico Di Varthema พ่อค้าชาวโบโลญญาในต้นศตวรรษที่ 16 เรียกว่า Sarnau ก็เกิดเป็นปัญหาอีกว่าโสน ในที่นี้จะหมายถึงกรุงศรีอยุธยาได้หรือไม่ เป็นที่ทราบกันดีว่าพระเจ้าอู่ทองทรงสร้างกรุงศรีอยุธยาในบริเวณที่เรียกว่า หนองโสน แต่อย่างไรก็ตามไม่มีหลักฐานว่ามีชุมชนชาวคริสต์ ไม่ว่านิกายใดๆอาศัยอยู่ก่อนการเข้ามาของชาวโปรตุเกสเลย แม้ว่าบันทึกของชาวต่างชาติร่วมสมัยกันจะกล่าวถึงชาวคริสต์นิกาย Nestorian  ซึ่งเดินทางค้าขายจากเปอร์เซียและอินเดียไปทั่วทั้งเอเชียก็ตาม

นิกายเนสเทรียน เป็นคริสต์นิกายโบราณที่ถูกเนรเทศออกจากคอนสแตนติโนเปิลและไปกระจายตัวอยู่ในตะวันออกกลาง รวมทั้งเปอร์เซีย บางส่วนเข้าไปถึงจีนและญี่ปุ่นแต่เราจะไม่กล่าวถึงด้านศาสนศาสตร์ในที่นี้ ยกไปวันอื่นก่อนนะครับ

เราสงสัยแค่ว่า โสน Sarnau ของ Varthema  จะหมายถึงกรุงศรีอยุธยาใช่หรือไม่ เพราะคำ ๆ นี้ปรากฏบ่อยครั้งในเอกสารของชาวต่างชาติ ทั้งในพงศาวดารของมลายู แผนที่ของวาสโก ดา กามาบันทึกของเมนเดส ปิ่นโต รวมทั้งในบันทึกของมาร์โค โปโลด้วย

ในพงศาวดารมลายูกล่าวถึงกษัตริย์แห่ง Shahar-annui (อาจจะเป็นเมืองโสน)ว่าทรงปกครองไพร่ฟ้าประชาชน และดินแดนกว้างขวาง ในครั้งนั้น ทรงได้ยินกิตติศัพท์ของพระเจ้าแผ่นดินแห่งเกาะสุมาตราว่ามีพระเกียรติยศทรงยิ่งใหญ่เสมอกัน จึงโปรดให้ทหารไปลักพาตัวพระเจ้ากรุงสุมาตรามาและบังคับให้พระองค์ไปทำงานเป็นคนเลี้ยงไก่ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นตำนานมากเหลือเกิน

อย่างไรก็ตามคำว่า Sarnau ของ Varthema อาจจะมีปัญหา เพราะมันอาจจะเป็นชื่อของเมือง Sharh-I-Nau หรือเมืองชารีนาว แปลว่าเมืองใหม่ อันเป็นเมืองหนึ่งที่อยู่ทางตอนเหนือของเปอร์เซียและก็คงไม่แปลกอะไร ถ้าจะมีชาวคริสเตียน นิกายเนสเทรียนอาศัยอยู่แถบนั้น

แต่ที่แปลกกว่านั้นก็คือชาวเปอร์เซีย กลับเอาคำ ๆ นี้มาใช้เรียกชื่อกรุงศรีอยุธยา ในภาษาเปอร์เซียด้วยสันนิษฐานว่าคงเป็นเพราะอยุธยาเป็นเมืองสร้างใหม่ในสมัยพระเจ้าอู่ทองก็เป็นได้คำว่า โสน กับชารีนาว จึงมาพร้อมกันโดยบังเอิญอย่างคิดไม่ถึง

“แล้วจะมีชาวคริสเตียนอาศัยอยู่ในกรุงศรีอยุธยาจริงๆ หรือ” พ่อค้าที่อ้างว่าตนเองมาจากเมืองโสนนั้น แท้จริงอาจจะเป็นพ่อค้าจากเปอร์เซียก็ได้เพราะพวกเขาพูดภาษาอาหรับ ซึ่งในขณะนั้นเป็นภาษากลางทางการค้าโลก (linguafranca) ที่ Varthema กับเพื่อนใช้ในการสื่อสารได้อย่างคล่องแคล่วถึงขั้นว่าสามารถไต่ถามถึงข้อความเชื่ออันลึกซึ้งทางศาสนาคริสต์ได้เลยทีเดียว

ประการที่สองไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่ามีนิกายเนสทอเรียน ตกค้างอยู่ในกรุงศรีอยุธยาเลยในสมัยนั้นอย่างไรก็ตาม ในเวลาที่กรุงศรีอยุธยาแตก เมื่อพ.ศ. 2310 มีการกล่าวถึงพ่อค้าชาวออโธดอกซ์นิกายอาร์เมเนียที่เมืองตะนาวศรี ยังพบว่าประเทศต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีโบสถ์ของนิกายอาร์เมเนียน กระจัดกระจายอยู่ทั่วไป ทั้งในพม่า มาเลเซียและสิงคโปร์

ประการที่สาม Varthema กล่าวว่าพระเจ้าปัญญารามกษัตริย์แห่งกรุงหงสาวดี ทรงมีทหารรับจ้างชาวคริสเตียนจำนวนกว่าพันคนซึ่งพระองค์จ่ายเงินเดือนให้อย่างงดงามข้อมูลเช่นนี้ทำให้นักประวัติศาสตร์ทั่วไปเชื่อว่า Ludovico อาจจะเข้าใจผิดเพราะไม่เคยปรากฏว่ามีกองทัพของทหารรับจ้างชาวคริสต์ในพม่าในช่วงเวลานั้นเลยตัวเลข 1000 คนก็ดูเกินจริง ระยะนั้นเป็นเวลาที่ชาวโปรตุเกสเพิ่งจะเข้ามามีอำนาจในมะละกาเท่านั้นยังไม่มีกองทหารรับจ้างที่อื่นใด และเขาอาจจะสับสนเรื่องความเชื่อศาสนาและชื่อเมืองอื่นๆ รวมทั้งชื่อโสนด้วย

ด้วยข้อสันนิษฐานเหล่านี้จึงทำให้นักวิชาการบางส่วนเชื่อว่าชาวคริสเตียนจากเมืองโสนนั้น น่าจะเป็นชาวเปอร์เซียมากกว่า

อย่างไรก็ตามนักวิชาการบางฝ่ายก็เชื่อมั่นว่า โสนใน จดหมายเหตุของ ludovico นั้น หมายถึงกรุงศรีอยุธยาจริงๆด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้

ประการแรกชาวคริสเตียนจากเมืองโสนนั้นกล่าวว่าประเทศของตนอยู่ภายใต้อำนาจของท่านข่านแห่งคาเธ่ย์ หรือจักรพรรดิจีน เราทราบแน่ชัดว่าเปอร์เซียมิได้เคยตกอยู่ในอำนาจของจักรพรรดิจีน รวมทั้งสยามด้วย อย่างไรก็ตามสยามก็ส่งเครื่องราชบรรณาการให้กับจักรพรรดิจีนอย่างสม่ำเสมอ นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ชาวคริสเตียนจากเมืองโสนกล่าวว่าบ้านเมืองของตนอยู่ภายใต้อำนาจของจักรพรรดิจีนหรือไม่

ประการที่สอง Ludovicoกล่าวว่า ชาวคริสเตียนเหล่านั้นมีผิวขาวพอ ๆ กับชาวยุโรปและจากลักษณะทางเผ่าพันธุ์แล้ว พวกเขาน่าจะเป็นชาวตะวันออกไกลหรือชาวจีน จากข้อสังเกตนี้มีความเป็นไปได้ว่าพวกเขาอาจจะเป็นชาวมองโกล หรือลูกหลานของชาวมองโกลที่นับถือศาสนาคริสต์นิกาย Nestorian  และย้ายมาตั้งสถานีการค้าในเมืองโสนดังนั้นพวกเขาย่อมไม่ใช่ชาวเปอร์เซียจากเมืองชารีนาว ส่วนการพูดภาษาอาหรับได้นั้นก็เป็นปกติของพ่อค้าในสมัยนั้น และแม้ว่าลูโดวีโก้ จะตั้งข้อสงสัยว่าพวกเขามีความคล้ายคลึงกับชาวออโธดอกซ์นิกายอาร์เมเนีย แต่ในเวลานั้นนิกายทั้งสองก็ผสมผสานปนเปกัน มิต้องกล่าวถึงศาสนาของพ่อค้า ซึ่งไม่เคร่งครัดเท่ากับศาสนาของบรรดานักบวชอยู่แล้ว

ประการที่สามนักวิชาการจำนวนหนึ่ง ตั้งข้อสังเกตแผนที่โบราณของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลายฉบับที่เขียนโดยชาวตะวันตกพบว่า ทางทิศเหนือของอ่าวสยาม มีเมืองชื่อโสนตั้งอยู่ ชาวคริสต์เหล่านี้จึงน่าจะมาจากเมืองโสนจริงๆ

เมื่อภารกิจการค้าขายที่เกาะสุมาตราจบสิ้นลงแล้วบรรดาพ่อค้าชาวคริสเตียนเหล่านั้น ก็เตรียมตัวเดินทางกลับ พร้อมชักชวนให้ Ludovico กับเพื่อนไปเยี่ยมเยือนประเทศของเขา แต่วาเทมากับเพื่อนต้องการจะเดินทางไปหมู่เกาะเครื่องเทศทั้งหมดจึงแยกทางกันที่เกาะสุมาตรา ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายว่า Ludovico ไม่ตัดสินใจออกเดินทางไปพร้อมกับพวกเขา มิฉะนั้นแล้ว เราคงจะได้ทราบเรื่องราวเกี่ยวกับชุมชนชาวคริสเตียนในกรุงศรีอยุธยาสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 มากกว่านี้และคงจะพิสูจน์ชัดเจนว่า เมืองเสนอนั้น หมายถึงกรุงศรีอยุธยาจริงๆ




Create Date : 10 กุมภาพันธ์ 2561
Last Update : 10 กุมภาพันธ์ 2561 16:13:40 น.
Counter : 604 Pageviews.

0 comment
นักเดินเรือชาวมาเลย์รู้จักทวีปแอนตาร์คติกในขั้วโลกใต้


บันทึกของ Ludovico Di Varthemaเรื่องนักเดินเรือชาวมาเลย์รู้จักทวีปแอนตาร์คติกในขั้วโลกใต้

“ในวันถัดมาเราเช่าเรือไปเกาะชวาอันเป็นเกาะที่สวยงามมาก เราใช้เวลาเดินทาง 5 วันจึงไปถึง โดยมุ่งหน้าไปทางทิศใต้กัปตันเรือบอกว่า พวกเขาใช้เข็มทิศระบบเดียวกับเรา และยังมีแผนที่แปลก ๆ ซึ่งมีการกำหนดพิกัดเอาไว้ด้วยเส้นตั้งและเส้นนอนเพื่อนของข้าพเจ้าถามพวกคริสเตียนว่า

“ตอนนี้เราอยู่ทางซีกโลกใต้เราไม่อาจมองเห็นดาวเหนือ เขาจะนำทางเราได้อย่างไรหรือมีดาวเหนือดวงอื่นซึ่งจะนำทางเราได้”

ชาวคริสเตียนจึงถามกัปตันเรื่องนี้ เขาจึงชี้ให้เราเห็นดาว4-5ดวง ซึ่งเขากล่าวว่ามันอยู่ตรงกันข้ามกับดาวเหนือแต่เขาก็ยังสามารถเดินทางไปทางเหนือได้ด้วยเข็มทิศ เขากล่าวแก่เราว่าในอีกฝั่งหนึ่งของเกาะชวา เลยไปทางใต้ มีชนเผ่าหนึ่งซึ่งสามารถเดินเรือโดยอาศัยดาว4 หรือ 5 ดวง ตรงกันข้ามกับดาวเหนือของเราเขายังกล่าวอีกว่า เกาะทางใต้ที่กล่าวถึงนั้น กลางวันมีเวลาไม่มากไปกว่า4 ชั่วโมง และมีอากาศที่หนาวเหน็บยิ่งกว่าที่ใดในโลกเราได้ยินดังนั้นก็ยินดีเป็นอันมาก

จากคำให้การของกัปตันเรือชาวมาเลย์ เรื่องวันที่ไม่ยาวไปกว่า4 ชั่วโมงนั้น ทำให้เชื่อได้ว่า พวกเขาน่าจะเคยเดินเรือลงไปทางทิศใต้ จนถึงเส้นละติจูดที่15 องศาใต้ ในบริเวณเกาะทัสาเนียที่ซึ่งมีช่วงวันสั้นเพียง 4 ชั่วโมงแล้วดวงดาวที่พวกเขาใช้นำทางนั้น แน่นอนว่าคือกลุ่มดาวกางเขนใต้ จากข้อมูลเหล่านี้ทำให้เชื่อว่านักเดินเรือชาวมาเลย์ได้ค้นพบว่าโลกใต้ก่อนหน้านักเดินทางชาวโปรตุเกสซึ่งจากหลักฐานเก่าแก่ที่สุดของชาวโปรตุเกสเกี่ยวกับทวีปแอนตาร์กติกนั้นอยู่ในราวศตวรรษที่ 16






Create Date : 10 กุมภาพันธ์ 2561
Last Update : 10 กุมภาพันธ์ 2561 16:18:19 น.
Counter : 556 Pageviews.

1 comment
มะละกาและสุมาตราในบันทึกของ Varthema


กะลำพัก (แก่นขึ้นราของต้นสลัดได ญาติๆโป๊ยเซียน ใช้ทำของหอม) จากเมืองโสน (สยาม) มีขายที่สุมาตรา
..................
บันทึกของ Ludovico di Varthema 2046-2051 ตรงกับรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2
.
.
ในวันถัดมา เราได้ลงเรือไปยังเมืองมะละกาซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตก สามารถไปถึงได้ใน 8 วัน ที่นั่นเราได้พบช่องแคบใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาช่องแคบนั้นกว้างถึง 25 ไมล์ ฝั่งตรงข้ามเป็นเกาะชื่อว่าเกาะสุมาตราสุมาตรา ชาวพื้นเมืองกล่าวกันว่าเกาะนั้นมีเส้นรอบวงกว้างถึงสี่พันห้าร้อยไมล์ แล้วเราจะกล่าวถึงเกาะนี้อีกครั้งหนึ่ง เมื่อเรามาถึงเมืองมะละกา เราได้เข้าไปเฝ้าสุลต่านทันที พระองค์เป็นแขกมัวร์ นับถือศาสนาอิสลามเช่นเดียวกับผู้คนของพระองค์ เมืองนี้ตั้งอยู่ในแผ่นดินและถวายบรรณาการให้กับเมืองสยาม ซึ่งเป็นต้นเหตุให้มีการสร้างเมืองนี้ขึ้นเมื่อ 80 ปีก่อน เนื่องจากเมืองแห่งนี้เป็นท่าเรือชั้นดี เป็นเมืองท่าหลักสำหรับติดต่อกับมหาสมุทร และข้าพเจ้าเชื่อว่ามะละกาคงจะเป็นหนึ่งในเมืองท่าที่มีเรือแวะเข้ามาจอดมากที่สุดในโลก บรรดาพ่อค้ามาที่นี่เพื่อซื้อเครื่องเทศชั้นเลิศ และสินค้าอื่น ๆ
.
.
มะละกาเป็นประเทศที่มิได้อุดมสมบูรณ์นัก มีธัญญาหารไม่มาก เนื้อสัตว์มีน้อย ต้นไม้และนกนั้นเหมือนกับในอินเดีย ยกเว้นนกแก้วที่ดูงามกว่า ที่นี่ยังมีไม้จันทน์คุณภาพดีและตะกั่วเป็นจำนวนมาก ช้าง ม้า แกะ วัวควาย เสือดาว นกยูง ก็มีอยู่อย่างล้นเหลือ ผลไม้บางอย่างหน้าตาคล้ายกับที่ศรีลังกา ไม่มีประโยชน์ที่จะคิดถึงการค้าอย่างอื่นนอกจากเครื่องเทศและผ้าไหม ผู้คนมีผิวสีมะกอก ผมยาว แต่งกายคล้ายกับแฟชั่นที่กรุงไคโร มีดวงตากลมโต และจมูกโด่ง เมืองนั้นค่อนข้างอันตราย ไม่สามารถออกจากบ้านได้หลังจากพระอาทิตย์ตกดิน เพราะผู้คนที่ออกมาเพ่นพ่านจะถูกฆ่าได้ง่ายเหมือนสุนัข และบรรดาพ่อค้าต่างก็อาศัยนอนในเรือ
.
.
ประชาชนที่นี่มีเชื้อสายชวา พระราชาเป็นผู้บังคับใช้กฎหมายและให้ความยุติธรรมกับชาวต่างชาติ แต่กระนั้นก็ดี พวกเขาก็แค่ถือกฎหมายไว้ในมือเท่านั้น อาจถือได้ว่าชนชาตินี้เป็นชนชาติที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่เคยถูกสร้างขึ้นในโลก เมื่อพระราชาต้องการจะปราบปรามคนร้าย พวกนั้นก็กล่าวว่า ไม่ได้เป็นคนของประเทศนี้ เป็นแต่เพียงพวกเดินเรือเร่ร่อนในทะเลเท่านั้น อากาศที่นี่ร้อนมาก ชาวคริสเตียนที่เดินทางมากับเรากล่าวว่า เราไม่ควรจะอยู่ที่นี่นาน เพราะว่าชนชาตินี้มีนิสัยเลวร้ายนัก ดังนั้นเราจึงรีบลงเรือสำเภาไปยังเกาะสุมาตรา เข้าไปยังเมืองที่ชื่อ Pedir ซึ่งห่างออกไป 80 ลีก
.

.
พวกเขากล่าวกันว่าเมืองนี้เป็นเมืองท่าที่ดีที่สุดบนเกาะที่ข้าพเจ้าบันทึกไว้ว่ามีเส้นรอบวงถึง 4500 ไมล์ เมืองนี้ปกครองด้วยกษัตริย์นอกศาสนา ความเชื่อประเพณี การแต่งกายต่าง ๆ คล้ายกับเมืองตะนาวศรี ยังมีธรรมเนียมการเผาภรรยาทั้งเป็นด้วย พวกเขามีผิวที่ค่อนข้างขาว ใบหน้ากว้าง ดวงตากลมสีเขียว จมูกกว้างและแบน มีโครงร่างค่อนข้างเล็ก มีระบบการศาลที่ค่อนข้างดีเหมือนกับในเมืองกาลิกัต พวกเขาใช้ทอง เงินและตะกั่วที่ประทับตราแทนเงิน ตราด้านหนึ่งเป็นรูปปีศาจ ตราอีกด้านหนึ่งเป็นรูปรถที่เทียมด้วยช้าง เหรียญเงินนั้นมีราคา 10 เหรียญต่อ 1 ดูกัต ส่วนเหรียญตะกั่วนั้นมีราคา 25 เหรียญต่อ 1 ดูกัต มีการเพาะเลี้ยงช้างที่นี่ด้วย และเป็นช้างขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่ข้าพเจ้าเคยเห็น ชาวบ้านมิใช่นักรบแต่ดูเหมือนพ่อค้ามากกว่า และเป็นมิตรกับชาวต่างชาติมาก
.
.
ในเมือง Pdedir แห่งนี้ เพาะปลูกพริกไทยที่มีคุณภาพดี มีพริกไทยเม็ดยาวที่เรียกว่า molaga มีขนาดใหญ่กว่าพริกไทยที่ขายกันในยุโรป และมีสีขาวกว่ามาก แต่ข้างในเม็ดนั้นกลวง และไม่เผ็ดเท่ากับของเรา พริกไทยที่นี่ขายราคาเท่าเท่ากับธัญพืชเท่านั้น ท่าเรือที่นี่มีเรือมาจอดปีละถึง 18-20 ลำ ซึ่งจะเดินทางต่อไปยังเมืองจีน พริกไทยที่นี่ให้ผลผลิตยาวนาน มีต้นใหญ่กว่า ใบกว้างกว่า และนุ่มกว่าพริกไทยที่เราพบเห็นในอินเดีย มีการผลิตผ้าไหมเนื้อดีด้วย
.
.
การตกลงซื้อขายพริกไทยกระทำกันในป่า ซึ่งจริงๆก็ไม่มีใครปลูกมันขึ้นมา แล้วคุณภาพก็ไม่ได้ดีนัก มีการผลิตกำยานจากยางไม้ด้วย ซึ่งเก็บมาจากป่าลึกห่างไกลออกไปจากชายฝั่ง
สินค้าของป่าที่มีมากมายของเกาะแห่งนี้ เชื้อเชิญให้บรรดาพ่อค้ามาเยี่ยมเยือน อย่างไรก็ดีเราสังเกตว่า ไม้หอมชั้นดีบางประเภทไม่เคยถูกส่งไปขายยังเมืองท่าของชาวคริสเตียนในยุโรปเลย ต้องเข้าใจก่อนว่ามีไม้หอม 3 ประเภทซึ่งมีราคาแพงมาก ผลิตจาก 3 แหล่งในเอเชีย และไม่ใช่ว่าไม้หอมทุกชนิดจะผลิตบนเกาะสุมาตรา ตัวอย่างเช่น กะลำพัก (Kalambak) หรือต้นสลัดไดซึ่งไม่มีถิ่นกำเนิดบนเกาะแห่งนี้ แต่ลำเลียงมาจากเมืองโสน หรือกรุงสยาม ไม้หอมชนิดที่ 2 เรียกว่า loban ขึ้นอยู่ตามริมแม่น้ำ และชนิดที่ 3 เรียกว่า bochor
.

.
พ่อค้าชาวคริสเตียนอธิบายกับเราว่า เหตุที่ไม้หอมทั้ง 3 ประเภทนั้นไม่ถูกส่งไปขายในเมืองท่าของชาวคริสต์เนื่องจากเป็นเพราะว่า ข่านแห่งคาเธ่ย์ หรือจักรพรรดิจีน พระเจ้าอยู่หัวแห่งเมืองโสน และกษัตริย์แห่งชวา ทรงร่ำรวยด้วยทองคำยิ่งกว่าชาวยุโรปมากนัก พวกพ่อค้ายังเล่าให้ฟังว่า ในดินแดนเหล่านั้นมีขุนนางผู้ร่ำรวยอาศัยอยู่มากเสียยิ่งกว่าในทวีปยุโรป กษัตริย์และขุนนางเหล่านั้นปรารถนาสินค้าเครื่องหอมเป็นยิ่งนัก เพราะว่าเมื่อผู้ปกครองเหล่านั้นสิ้นชีพลง ก็จะมีการใช้จ่ายทองคำอย่างไม่อั้นสำหรับซื้อไม้หอมชั้นเลิศ ด้วยเหตุนี้เครื่องหอมต่าง ๆ จึงไม่อาจส่งไปขายในยุโรปได้ ในเมืองโสนไม้หอมเหล่านี้มีราคาถึง 10 ดูกับต่อ 1 ปอนด์ เพราะเป็นของหายากและมีจำนวนน้อยมาก
.
.
พ่อค้าคริสเตียนได้นำไม้หอม 2 ชนิดมาให้เราดู มันมีขนาดเล็กมาก กะลำพักนั้นมีน้ำหนักเพียง 2 ออนซ์ เขาได้ให้เพื่อนของเรากำมันไว้ในมือ พร้อมกับสวดว่า “โปรดทรงเมตตาเทอญพระเจ้าข้า” 4 รอบเป็นเวลาสักครู่ จากนั้นเขาก็ให้แบมือออก เป็นความจริง ข้าพเจ้าไม่เคยได้กลิ่นอะไรที่หอมเช่นนี้ กลิ่นน้ำหอมยิ่งกว่าน้ำหอมทั้งหมดของเรา จากนั้นเขาก็หยิบกำยานขึ้นมาชิ้นหนึ่ง มีขนาดเท่าผลวอลนัท ใส่ลงไปในภาชนะเผาที่จุดไฟ พร้อมกับกะลำพักจากเมืองโสน ข้าพเจ้าพูดจริง ๆว่า กลิ่นนั้นยิ่งหอมหวนมากขึ้น มันนุ่มนวลและหอมหวาน ยิ่งกว่าเครื่องหอมใดๆทั้งสิ้น และยากที่จะพรรณนาออกมาได้เทียบเท่ากับกลิ่นสองชนิดที่ผสมตลบอบอวลกันในห้อง ถึงตอนนี้ข้าพเจ้าจึงเพิ่งจะทราบเหตุผลว่า เหตุใดสินค้าบางอย่างจึงไม่ตกมาสู่เราชาวยุโรปเลย นอกจากนั้นพวกเขายังเก็บเกี่ยวยางรักชั้นเลิศที่ให้สีแดง จากต้นที่หน้าตาคล้ายวอลนัท
.
.
ในประเทศนี้ข้าพเจ้าอย่างได้พบเห็นงานศิลปะชั้นยอด มันเป็นกล่องทำจากทองหนัก 2 ดูกัตแต่สำหรับเรามันมีค่าเท่ากับ 100 ดูกัต อีกครั้งหนึ่งข้าพเจ้าได้เห็นถนนสายใหญ่ที่มีพ่อค้าแลกเงินถึง 500 คน นั่นแปลว่ามีพ่อค้าจำนวนมากมายมหาศาลเดินทางมายังเมืองแห่งนี้ และทำให้การจราจรดูติดขัดไปเลย
ชาวบ้านมีเตียงอย่างดีทำจากฝ้าย ห่อหุ้มด้วยผ้าไหมและผ้าฝ้าย ในเกาะแห่งนี้มีไม้สักอย่างล้นเหลือ พวกเขาใช้มันต่อเรือที่เรียกว่า giunchi มีเสากระโดง 3 เสา มีหางเสือทั้งข้างหน้าและข้างหลังอย่างละ 2 ใบ พวกเขาเดินเรือด้วยความชำนาญราวในกับเดินทางในคลอง และเป็นชนชาติที่ทำงานในเรือด้วยความ Active เป็นอย่างยิ่ง พวกเขายังเป็นนักว่ายน้ำที่เก่งกาจ
.
.
บ้านของชาวบ้านใช้หินเป็นผนังไม่สูงมากนัก หลังคาหลายแห่งหนึ่งด้วยกระดองเต่าทะเล เพราะที่นี่พบได้เป็นจำนวนมาก ข้าพเจ้าได้เห็นกระดองเต่าอันหนึ่งหนักกว่า 103 ปอนด์ และยังได้ เห็นงาช้าง 1 คู่ที่มีน้ำหนัก 3,035 ปอนด์ งูเหลือมของที่นี่มีขนาดใหญ่กว่าที่กาลิกัตมากนัก
.
เพื่อนชาวคริสเตียนของข้าพเจ้าอยากจะเดินทางกลับไปยังประเทศของพวกเขา ที่เคยชักชวนให้พวกเราเดินทางร่วมไปด้วย เพื่อนของข้าพเจ้าบอกพวกเขาว่า เรามาที่นี่เพื่อที่จะดูแหล่งปลูกเครื่องเทศ และเราอยากจะเห็นเครื่องเทศบางชนิดก่อนที่เราจะกลับไป เพื่อนชาวคริสเตียนตอบเขาว่า ไม่มีเครื่องเทศชนิดอื่นแล้ว ที่นี่ก็มีเท่าที่คุณเห็นเท่านั้น
.
แต่เพื่อนของข้าพเจ้าอยากจะเห็นแหล่งปลูกกานพลู และลูกจันทน์เทศ เขาตอบว่า แหล่งปลูกนั้นอยู่ห่างจากที่นี่ไปมากถึง 300 miles เราถามเขาว่าจะไปถึงที่นั่นได้อย่างไร โดยปลอดภัยจากบรรดาโจรสลัดและหัวขโมย ชาวคริสเตียนตอบว่า ถ้าปลอดภัยจากหัวขโมยเราก็คงจะไป แต่ไม่แน่ใจนักสำหรับความแปรปรวนในท้องทะเล เขายังสำทับว่าเราไม่ควรจะไปที่นั่นโดยเรือใหญ่ เพื่อนข้าพเจ้าถามว่าแล้วเราจะไปที่นั่นได้อย่างไร พวกเขาตอบว่า เราจำเป็นจะต้องซื้อเรือสำปั้น (sampan) ซึ่งเป็นเรือขนาดเล็กและมีอยู่มากมายแถบนั้น เพื่อนข้าพเจ้าขอร้องให้พวกเขาหามาให้สัก 2 ลำเพื่อที่เราจะได้ซื้อ ชาวคริสเตียนก็หามาให้ได้ทันที พร้อมกับลูกเรือที่คุมเรือได้ เรือนั้นพร้อมออกเดินทางทันที และขายให้เราในราคา 400 pardai ซึ่งเพื่อนของข้าพเจ้าก็ตอบตกลง



Create Date : 09 กุมภาพันธ์ 2561
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2561 20:55:39 น.
Counter : 220 Pageviews.

0 comment
หงสาวดีในบันทึกของ Varthema


บันทึกของ Ludovico di Varthema 2046-2051 เรื่องพระเจ้าแผ่นดินกรุงพะโคหรือหงสาวดี ซึ่งในขณะนั้นยังเป็นเมืองมอญในรัชสมัยพระเจ้าปัญญาราม กำลังทำศึกกับพม่า ตรงกับรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2
.
.
เมืองพะโคเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ลึกเข้าไปในแผ่นดิน แต่ก็ใกล้กับทะเล มีแม่น้ำที่สวยงาม และมีเรือจำนวนมากล่องขึ้นลง กษัตริย์ของเมืองนี้เป็นพวกนอกรีต ความเชื่อประเพณี และเครื่องแต่งกายต่าง ๆ คล้ายคลึงกับประเพณีของชาวตะนาวศรี ยกเว้นสีบางสีที่ไม่อาจใช้ได้ และสีผิวของพวกเขาก็ขาวกว่า ที่นี่อากาศหนาวเย็นกว่าที่ตะนาวศรีเล็กน้อย มีฤดูกาลใกล้เคียงกับพวกเรา เมืองมีกำแพงล้อมรอบ มีบ้านเรือนที่สวยงามและมีพระราชวังที่สร้างด้วยหินฉาบปูน พระราชามีพระราชอำนาจมาก พระองค์ทรงชุบเลี้ยงชาวคริสต์มากกว่า 1000 คน ซึ่งข้าพเจ้าก็ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้แล้ว พระองค์พระราชทานทอง 6 ดูกัต เป็นเงินเดือน
.
.
ประเทศนี้อุดมด้วยธัญญาหาร มีเนื้อสัตว์หลากหลาย และมีผลไม้เหมือนกับในกาลิกัต พวกเขามีช้างไม่มากนัก แต่ก็ใช้สัตว์อื่น ๆ เป็นพาหนะด้วย นกก็มีจำนวนเหลือล้นคล้ายคลึงกับในอินเดีย จะมีนกแก้วชนิดหนึ่งซึ่งงดงามเป็นที่สุดเท่าที่ข้าพเจ้าเคยเห็นมา ไม้สักนั้นสวยงามและมีคุณภาพดี ทั้งหนาหนักราวกับถังเบียร์ ที่นี่มีชะมดเป็นจำนวนมาก เขาขายกันราคา 3-4 ตัวต่อ 1 ดูกัต สินค้าที่สำคัญของประเทศนี้ก็คืออัญมณี ซึ่งได้แก่ทับทิม ที่ขุดมาจากเมือง Capellan ห่างออกไปจากเมืองหลวง 30 วัน ข้าพเจ้าไม่ได้เดินทางไปดู แต่พวกพ่อค้ากล่าวกันเช่นนั้น ต้องกล่าวด้วยว่าราคาอัญมณีที่นี่โดยเฉพาะไข่มุกขนาดใหญ่ เพชร และมรกต ราคาแพงกว่าที่บ้านเมืองของเรามาก เมื่อพวกเรามาถึง พระเจ้าแผ่นดินเพิ่งจะเสด็จออกไปทำสงครามกับพระเจ้ากรุงอังวะ ในระยะทางที่ห่างจากที่นี่ไป 15 วัน พวกเรารีบหาทางไปเข้าเฝ้าพระองค์เพื่อที่จะทูลถวายกัลปังหากิ่งนั้น 
.
.
เราเดินทางด้วยเรือขนาดเล็กซึ่งขุดจากไม้ท่อนเดียว ไม้พายทำมาจากไม้ไผ่ เมื่อเดินทางมาได้ 3 วัน เราพบกับหมู่บ้านแห่งหนึ่ง และพบพ่อค้าที่นั่น พวกเขากล่าวว่า ไม่สามารถจะเข้าไปยังกรุงอังวะได้เพราะติดสงคราม พวกเราจึงตัดสินใจเดินทางกลับเมืองพะโคพร้อมกับบรรดาพ่อค้า หลังจากนั้นอีก 5 วัน พระเจ้าแผ่นดินเสด็จกลับมายังกรุงหงสาวดี ด้วยชัยชนะที่ยิ่งใหญ่
.
พระราชาแห่งหงสาวดีทรงสุภาพอ่อนโยนและเป็นกันเอง จนกระทั่งแม้แต่ทารกก็ยังอาจพูดกับพระองค์ได้โดยตรง แต่พระองค์ก็ทรงไว้ซึ่งพระเกียรติยศ สังเกตได้ว่าเครื่องทรงอย่างหรูหรานั้น ประดับด้วยทับทิม ที่มีค่าพอจะซื้อเมืองขนาดใหญ่ได้ ทรงประดับพระวรกายด้วยอัญมณีตั้งแต่พระเศียรจรดพระบาท แม้แต่พระเพลาก็รักด้วยห่วงทองประดับด้วยทับทิมอย่างอลังการ พระกรรณนั้นห้อยยาวลงมาถึงครึ่งฝ่ามือ ด้วยถ่วงน้ำหนักจากกุณฑลอัญมณี เราได้เข้าเฝ้าพระองค์ในเวลากลางคืน และสังเกตได้ว่าพระกายนั้นจับแสงไฟเปล่งประกายราวกับดวงอาทิตย์ พ่อค้าชาวคริสเตียนได้กราบทูลเกี่ยวกับสินค้าที่เราจะนำมาถวาย พระองค์ตรัสตอบว่า ให้เรากลับมาอีกครั้งหนึ่งในวันมะรืนนี้ เนื่องจากวันพรุ่งนี้พระองค์จะต้องทำพิธีบูชายัญให้กับปีศาจ หลังจากชนะศึก 
.
.
3 วันถัดมา หลังจากที่พระเจ้าแผ่นดินเสวยเสร็จ ก็โปรดให้พวกเราเข้าเฝ้าทันที เพื่อนของข้าพเจ้าเป็นคนถือกิ่งปะการังนั้นไปถวายด้วยตัวเอง เมื่อพระเจ้าแผ่นดินทอดพระเนตรเห็นกัลปังหากิ่งนั้นแล้ว ก็ทรงชื่นชมโสมนัสมาก แท้จริงแล้ว กัลป์ปังหากิ่งนั้นเคยมีคู่ของมัน แต่มิได้นำออกมาจากอินเดียด้วย ทรงตรัสถามว่าพวกเราเป็นชาวประเทศใด ชาวคริสเตียนล่ามทูลตอบว่า พวกเราเป็นชาวเปอร์เซีย 
พระเจ้าแผ่นดินตรัสถามว่า เราจะขายสินค้านี้ได้ไหม
เพื่อนข้าพเจ้าทูลตอบว่า “ยินดีเป็นอย่างที่สุดที่จะได้รับใช้พระองค์” 
พระเจ้าแผ่นดินตรัสว่า เนื่องจากพระองค์อยู่ในระหว่างการทำสงครามกับพระเจ้ากรุงอังวะมากกว่า 2 ปี ดังนั้นพระองค์จึงไม่มีเงินสดพอที่จะซื้อ แต่หากเรายินดีจะแลกกัลปังหานั้นกับทับทิม พระองค์ก็จะพระราชทานให้อย่างเท่าเทียมสมราคา

เรากราบทูลพระองค์ว่า ไม่ต้องการสิ่งใดนอกจากพระราชไมตรีที่จะยั่งยืนต่อไปในอนาคต 
ล่ามคริสเตียนกราบทูลพระเจ้าแผ่นดินว่า พวกเรายินดีถวายกัลปังหากิ่งนี้โดยไม่ขอรับพระราชทานเงินตอบแทนใดๆ 
พระเจ้าแผ่นดินทรงสดับคำตอบที่ใจกว้างเช่นนี้ ก็ประหลาดพระทัยมาก และตรัสตอบว่า
.
“เราได้ยินมาว่าที่กรุงเปอร์เซียนั้น ผู้คนใจกว้างนัก แต่ก็ไม่เคยพบผู้ใดที่จะใจกว้างเท่ากับชายผู้นี้”
พระองค์จึงทรงสาบานต่อพระผู้เป็นเจ้า และต่อหน้าปีศาจว่า 
“ดูซิว่าใครจะใจกว้างกว่ากัน ระหว่างเรากับชายเปอร์เซียผู้นี้” 
จากนั้นจึงทรงให้คนรับใช้ไปนำกล่องเล็ก ๆ ขนาด 2 ฝ่ามือออกมา กล่องนั้นเดินขอบไปด้วยทอง และตกแต่งด้วยทับทิมอย่างงดงาม เมื่อเปิดออกมา ข้างในเต็มไปด้วยทับทิมขนาดต่างๆ พระองค์ทรงเกลี่ยทับทิมเหล่านั้นต่อหน้าพวกเรา และจัดให้เราหยิบไปได้ตามใจปรารถนา 
.
เพื่อนของข้าพเจ้าทูลตอบว่า “ขอเดชะ พระอาญามิพ้นเกล้า พระองค์แสดงพระเมตตาต่อข้าพเจ้าอย่างล้นเหลือ ข้าพเจ้าขอสาบานต่อศาสนทูตมูฮัมหมัดว่า ข้าพเจ้ายินดีถวายบรรณาการนี้ให้พระองค์ ข้าพเจ้ามิได้เดินทางมากว่าครึ่งโลกเพื่อที่จะแสวงหาความร่ำรวย แต่เพื่อที่จะได้เห็นผู้คนและประเพณีที่แตกต่างกันไปต่างหากพระพุทธเจ้าข้า”
พระราชาทรงตรัสว่า “เราไม่สามารถเอาชนะเจ้าได้ในเรื่องของความใจกว้าง แต่ก็นั้นก็ดี จงรับเอาสิ่งนี้ไปเถิด” 
.
.
จากนั้นพระองค์ก็ใช้พระหัตถ์ กำทับทิมจากช่องต่าง ๆ ในกล่องจนพระหัตถ์ และพระราชทานให้เพื่อนผู้นั้น ตรัสว่ารับไปเถิด นี่สำหรับความใจกว้างที่ท่านมีให้กับเรา หลังจากนั้นพระองค์ก็พระราชทานทับทิมให้กับล่ามชาวคริสต์นั้น 2 เม็ด ตีราคาได้ประมาณ 1,000 ดูกัต ส่วนทับทิมกำใหญ่ที่เพื่อนของข้าพเจ้าได้รับพระราชทาน ตีราคาได้ถึงหนึ่งแสนดูกัต ข้าพเจ้าอยากจะกล่าวว่าพระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่พระทัยกว้างที่สุดในโลก ทุก ๆ ปีพระองค์มีรายได้เป็นทองคำกว่า 1 ล้าน นอกจากนี้ยังมีไม้หอม ไม้กฤษณา และไม้จันทน์เป็นจำนวนมาก ยังไม่นับฝ้ายและไหมชั้นเลิศอีกมหาศาล พระองค์โปรดพระราชทานรายได้เหล่านี้ทั้งหมดให้กับบรรดาทหาร 
.
.
ประชาชนที่นี่ช่างมีจิตใจกว้างขวาง ไม่กี่วันหลังจากนั้นพระเจ้าแผ่นดินโปรดพระราชทานห้องหนึ่งให้กับเราซึ่งตกแต่งอย่างงดงาม และเราจะอาศัยอยู่ที่นั่นนานเท่าใดก็ได้ เราพำนักอยู่ในห้องนั้น 5 วัน ก็ได้ข่าวว่า พระเจ้ากรุงอังวะเสด็จยกทัพมาแก้แค้น พระเจ้ากรุงพะโคทราบข่าวก็เสด็จยกพลโยธาขึ้นไปครึ่งทาง ทั้งทัพม้าและพลทหารราบ วันต่อมา เราได้เห็นผู้หญิง 2 คนถูกเผาทั้งเป็นด้วยความสมัครใจ ตามประเพณีที่เราเคยเห็นในเมืองตะนาวศรีมาก่อนหน้านี้



Create Date : 09 กุมภาพันธ์ 2561
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2561 20:50:41 น.
Counter : 225 Pageviews.

0 comment
ชาวคริสต์ในอยุธยาก่อนการเข้ามาของโปรตุเกส


บันทึกของ Ludovico di Varthema 2046-2051ตรงกับรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 กล่าวถึงชาวคริสต์นิกายอาร์เมเนียในกรุงศรีอยุธยา ก่อนชาวโปรตุเกสจะเข้าไปตั้งรกราก เชื่อว่าเป็นหลักฐานแรกที่กล่าวถึงชาวคริสต์ในสยามก่อนการเข้ามาของนิกายคาทอลิกจากยุโรป

จาก The travels of Ludovico di Varthema in Egypt, Syria, Arabia Deserta and Arabia Felix, in Persia, India, and Ethiopia, A.D. 1503 to 1508

.

.

“ที่เมืองเบงกอลแห่งนี้ เราได้พบพ่อค้าชาวคริสเตียนบางคน พวกเขาเดินทางมาจากเมืองที่เรียกว่า โสน (Sarnau) และได้ซื้อผ้าไหม รวมทั้งไม้กฤษณา ชะมด และกำยาน มาขายที่นี่ด้วย พวกเขากล่าวว่าในประเทศนั้น มีขุนนางหลายคนที่เป็นชาวคริสเตียน แต่พวกเขาอยู่ใต้อำนาจของท่านข่านแห่งคาเธ่ย์ หรือจักรพรรดิจีน เราได้สอบถามถึงความเชื่อของพวกเขาที่ประกาศตัวว่าเป็นชาวคริสต์ ได้ความว่า ทั้งหมดมีความเชื่อถึงพระตรีเอกภาพ อัครสาวกทั้ง 12 ผู้นิพนธ์พระวรสารทั้ง 4 และการรับศีลล้างบาปด้วยน้ำ แต่ก็มีความแตกต่างออกไปจากเราชาวคาทอลิก ด้วยพวกเขาถือจารีตอาร์เมเนีย พวกเขายังหรือวันฉลองพระคริสตสมภพ และการระลึกถึงการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูเจ้า 
.
.
.
พวกเขายังได้มาร่วมถือศีลอดอาหารกับเราในเทศกาลมหาพรต และร่วมทำวัตรกับเราในรอบปี พ่อค้าเหล่ามีผิวสีขาว นี้มิได้สวมรองเท้า แต่มีผ้าคาดเอวที่ประดับด้วยเพชรพลอย ส่วนผ้าคาดศีรษะก็ประดับด้วยเพชรพลอยเช่นกัน พ่อค้าเหล่านี้กินดื่มคล้ายคลึงกับชาวตะวันตก พวกเขารับประทานเนื้อทุกชนิด
..
.
หลังจากเสวนากันพอสมควรแล้ว เพื่อนของเราก็นำสินค้าบางอย่างออกมาอวด หนึ่งในนั้นคือกิ่งกัลปังหาซึ่งงดงามมาก เมื่อชาวคริสต์ได้ชื่นชมแล้วก็กล่าวกับเราว่า ถ้าเราเดินทางไปยังประเทศนั้นพร้อมกัน พวกเขาจะเตรียมเงินให้หมื่นดูกัต หรืออาจจะตอบแทนให้ด้วยทับทิมที่สามารถขายได้ถึง 100,000 ดูกัตในตุรกี เพื่อนของข้าพเจ้ารีบตอบรับด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ชาวคริสต์เหล่านั้นจึงกล่าวว่า อีก 2 วันจากนี้จะมีเรือออกเดินทางไปยังเมืองพะโค พร้อมกับบรรดาชาวเปอร์เซีย พวกเราสนใจจะไปด้วยกันหรือไม่ เราได้ข่าวจากชาวเมืองบางคนว่า ชาวคริสเตียนเหล่านี้มีความซื่อสัตย์เป็นอย่างยิ่ง จึงไม่รีรอที่จะผูกมิตรกับพวกเขา และยินดีที่จะติดตามพวกเขาไปยังเมืองพะโค 
..
.
แต่ก่อนจะออกเดินทาง พวกเราก็ขายสินค้าทั้งหมด ยกเว้นช่อกัลปังหานั้น และหญ้าฝรั่น รวมทั้งเสื้อคลุมสีกุหลาบจากเมืองฟลอเรนซ์ พวกเราออกเดินทางจากเมืองเบงกอลแห่งนี้ ที่ข้าพเจ้าเชื่อว่า เป็นที่ที่ดีที่สุดในโลกที่จะอาศัยอยู่ ที่นี่มีสินค้าทุกชนิดที่เคยได้ยินมา รวมทั้งผ้าทอที่ไม่ได้ทอด้วยมือของผู้หญิง แต่ใช้แรงงานชาย ชาวคริสต์เหล่านั้นบอกกับเราว่า เมืองพะโคอยู่ห่างจากที่นี่ไป 1000 ไมล์ และเราจะต้องเดินทางผ่านอ่าวมะตะบันลงไปทางใต้”




Create Date : 09 กุมภาพันธ์ 2561
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2561 20:43:51 น.
Counter : 484 Pageviews.

0 comment

ปลาทองสยองเมือง
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 23 คน [?]



New Comments