คุยไปเรื่อยๆตามประสาเด็กหัวตลาด

ชีวิตที่เปลี่ยนไปเพราะน้องนิน

น้ำตาร่วงเลยครับวันนี้กำลังอัพโหลดรูปลูกรักขึ้นบล็อก เน็ตที่สำนักงานดันรวน ทำให้บล็อกผมเดี้ยง ไม่รู้จะไปเอาบทความเก่ามาจากไหน
กลับมาถึงบ้านรีบเปิดคอมพ์ที่บ้าน ไปดึงข้อมูลจาก temp มาเก็บไว้ เสียดายของที่เขียนวันนี้
ต้องนั่งสงบสติอารมณ์เขียนใหม่ เป็นบทเรียนราคาแพงว่าต้องเขียนลงเวิร์ดส์แล้วเก็บไว้ทุกครั้ง




น้องนินลูกพ่อ

วันดีคืนดีผมก็ได้ลูกเพิ่มมาอีก ๑ คน เอ๊ย! ๑ ตัว

ประมาณปลายเดือนพฤศจิกายน ๒๕๔๘ คืนวันหนึ่งหลังจากเลิกงาน
ผมกลับเข้าห้องพัก ซึ่งเป็นรังหนู เพราะเขาเอาห้องสำหรับสาวโสดทายาทฟลอเรนซ์ ไนติงเกล มาให้พวกผมซึ่งเป็นคนมีครอบครัวพักอาศัย
ผมก็พบว่ามีสมาชิกใหม่มาอาศัยอยู่ในห้องพักผม
เจ้าสมาชิกใหม่ตัวน้อยสีดำสนิท นอนตาแป๋วจ้องมองผมด้วยความตื่นกลัว ตามประสาทารก
ใช่แล้วมันเป็นทารกจริงๆ มันเพิ่งจะมีอายุได้เพียง ๑ เดือน
น่าสงสารที่ทารกขนาดนี้ถูกพรากจากอกผู้เป็นแม่ จากบ้านเกิดมายังนิวาสถานแห่งใหม่
มันเป็นเจ้าพูเดิ้ลตัวน้อย ผมแทบจะไม่เห็นสีอื่นแซมอยู่ในตัวมันเลย มันดำสนิทจริงๆ
เราเลยพร้อมใจเรียกมันว่า น้องนินจา


น้องแพท น้องพิม

ก่อนจะเล่าเรื่องของน้องนิน ผมขอเกริ่นแบบยาวๆ ตามสไตล์ออกแขกลิเกเงินล้าน ที่ต้องร่ายยาวดึงคนดู ฮิๆๆ

ครอบครัวผมอาศัยอยู่ภายในแฟลตของโรงพยาบาล ที่มีห้องเล็กมาก ใน ๑ ยูนิต มี ๒ ห้องนอน ๑ ห้องโถง ๑ ห้องน้ำ
ช่วงนั้นลูกสาวผม น้องปรางค์ อยู่ในวัย ๑๐-๑๑ ปี อยากเลี้ยงหมา แต่เราเห็นว่าสภาพความเป็นอยู่เช่นนี้ไม่สะดวกต่อการเลี้ยงหมา
น้องปรางค์เลยขอเลี้ยงเจ้าหนูแฮมสเตอร์แทน ผมเลยพาลูกไปซื้อหนูแฮมสเตอร์จากร้านในเซ็นทรัล พระรามสอง มา ๒ ตัว
เป็นแฮมสเตอร์แคระพันธุ์วินเทอร์ไวท์ เราตั้งชื่อมันว่า น้องแพท และ น้องพิม เราซื้อคอนโดมิเนียมให้มันอยู่ตัวละหลัง



น้องแพทกำลังกินน้ำในคอนโด



น้องพิมหลับอุตุในคอนโด


ปกติผมเป็นคนที่ไม่ค่อยจะมีความผูกพันกับสัตว์เลี้ยง แต่เมื่อมีน้องแพท น้องพิม ชีวิตผมเปลี่ยนไป
ทุกคืนเมื่อกลับจากทำงาน ผมจะจับน้องแพท น้องพิม มาอุ้มเล่น ให้มันนอนบนแขน บนตัก จนรู้สึกว่ารักมัน และคิดเข้าข้างตัวเองว่ามันก็คงจะรักเราเช่นกัน

แต่จากตำราคู่มือการเลี้ยงแฮมสเตอร์บอกว่าเจ้าหนูพวกนี้มีอายุสั้น ส่วนใหญ่มีอายุได้ประมาณ ๓ ปีก็จะตาย
พอเราเลี้ยงน้องแพท น้องพิม ได้ปีเศษๆ น้องแพทเริ่มมีอาการผิดปกติ กินอาหารได้น้อย
ผมจับดูพบว่ามีตุ่มหนองที่มุมปากทั้ง ๒ ข้าง เลยพาไปหาสัตวแพทย์ ได้ยาปฏิชีวนะมากิน และเจนเชี่ยนไวโอเลทมาทา มันก็ดีขึ้น
หลังจากนั้นไม่นานน้องแพทก็มีอาการเหมือนเดิม ผมพบว่ามีก้อนเนื้องอกในปาก ตรงกับตำราที่บอกว่าเจ้าพวกนี้มีโรคมะเร็งเป็นโรคยอดฮิต
ในที่สุดน้องแพทก็จากพวกเราไปอย่างสงบ
ผมยอมรับเลยว่ามีความรู้สึกหดหู่ใจ เพราะรู้สึกผูกพันกับเจ้าหนู ๒ ตัวนี้มาก

ผมเลี้ยงน้องพิมต่อ เพียงตัวเดียว ไม่คิดจะซื้อมาเพิ่ม
เพราะเริ่มรู้สึกทำใจไม่ได้กับการจากไปภายในเวลาอันสั้นตามอายุขัยของมัน


เริ่มมีหมามาสู่รังหนู

ในระหว่างนี้ ครอบครัวเราเริ่มชินกับการเลี้ยงสัตว์ภายในห้องรังหนู ของแฟลตที่พักแพทย์
หมาตัวแรกที่เริ่มเข้ามาวิ่งภายในห้อง เป็นพูเดิ้ลตัวผู้สีน้ำตาล มีสมญานามว่า น้องน้ำเงิน
เจ้าของน้องน้ำเงินคือ พี่เหมียว เป็นรองผู้อำนวยการฝ่ายบริหารของโรงพยาบาลที่ผมทำงานในตอนนั้น
แกเอาเจ้าน้ำเงินมาจากบ้านย่านเซ็นทรัลปิ่นเกล้า มาเลี้ยงในแฟลตที่ติดกับอาคารที่ผมพัก
เวลาแกไปธุระที่ไหนนานๆ แกก็จะเอาน้องน้ำเงินมาฝากให้น้องปรางค์เลี้ยง
บางวันก็จะเปลี่ยนจากน้องน้ำเงินเป็น น้องน้ำหวาน เจ้าพูเดิ้ลสีน้ำตาลอ่อน




น้องน้ำเงิน เหมือนตุ๊กตาบนตู้โชว์



น้องน้ำหวาน เหมือนไก่ปิ้ง



น้องปรางค์กับน้องน้ำเงิน



น้องนินจามาแว้วววววว!

ในที่สุดวันหนึ่งเราก็ทราบข่าวจากป้าเหมียว รองฯ บริหารโรงพยาบาล ว่าน้องน้ำเงินเป็นหนุ่มใหญ่และผสมกับน้องน้ำฝน ได้ลูกมาหนึ่งครอก เมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๔๘
เมื่อลูกหมาอายุได้ ๑ เดือนเศษ ป้าเหมียวพาลูกหมาไปฉีดยาป้องกันสารพัดโรคที่บ้านโป่ง
เย็นวันหนึ่งน้องปรางค์กลับจากโรงเรียน ก็รีบไปห้องป้าเหมียวเพื่อดูเจ้าลูกหมาตัวน้อยๆ
เหมือนบุพเพอาละวาด น้องปรางค์เกิดต้องตาต้องใจเจ้าลูกหมาสีดำสนิท ที่นอนหมอบดูเชิงอยู่ จึงอุ้มกลับห้องตนเองทันที
จนกระทั่งตอนค่ำผมจึงได้มาเจอเจ้าลูกหมาวัยเดือนเศษ ตามที่ได้เกริ่นไว้ตอนต้น
เราต้องฝึกหัดน้องนินหลายเรื่อง ที่สำคัญคือการขับถ่าย
เราจัดหาถาดพลาสติกใบใหญ่ๆมาเป็นส้วมประจำตัว น้องนิน ไม่ว่าจะถ่ายหนักถ่ายเบา น้องนินจะขับถ่ายในถาดที่มีกระดาษหนังสือพิมพ์รองรับสิ่งปฏิกูล

นอกจากนั้นน้องนินถูกฝึกให้เป็นเพื่อนกับน้องพิม ซึ่งมีอายุประมาณ ๒ ปี เริ่มเข้าสู่วัยชรา
จนกระทั่งน้องพิมจากไปอย่างสงบ ด้วยโรคชรา หลังจากน้องนินเข้ามาเป็นสมาชิกในครอบครัวได้ระยะหนึ่ง




น้องนินตอนเด็กๆ ก่อนตัดขน แทบจะไม่เห็นลูกกะตา



สมาชิกของครอบครัว

ความเป็นอยู่ของน้องนิน เหมือนกับราชามีคนคอยหาอาหาร หาน้ำให้กิน มีคนคอยเช็ดอึเช็ดฉี่ น้องนินไม่เคยลงไปสัมผัสพื้นดินเลย เรียกว่าเป็นราชาชาวแฟลตขนานแท้
ระยะแรกเราจัดที่นอนให้น้องนิน โดยหาผ้ามาทำเป็นที่นอนให้นอนที่ห้องโถง แต่ในช่วงที่เรายังไม่นอนเราจะเปิดประตูห้องนอนทั้ง ๒ ห้องไว้ น้องนินสามารถวิ่งเล่นเข้าออกได้ทุกห้อง
ต่อมาน้องนินเริ่มแสดงอาการงอแง ด้วยการตามเข้าห้องนอนผม แล้วไม่ยอมออกไป พอพาออกไปก็จะส่งสายตาละห้อย เรียกร้องความเห็นใจ จนผมใจอ่อน
ผมเลยยกที่นอนหมอนมุ้งของน้องนิน มาไว้ปลายเท้าผม น้องนินก็เลยได้นอนในห้องแอร์สบายไป
ตอนนี้น้องนินเริ่มกลายเป็นลูกคนเล็กของผมแล้ว



ผมหล่อมั๊ยครับ



ความลำบากที่เราเผชิญ

เพราะเราเป็นประชาชนชาวแฟลต เราเลยไม่กล้าทิ้งน้องนินไว้ในห้องเพียงลำพัง กลัวจะส่งเสียงเห่าหอนสร้างความรำคาญให้ห้องอื่น
น้องนินเลยติดสอยห้อยตามไปกับเราทุกครั้งที่ออกจากแฟลตทั้งครอบครัว
ผมเคยแกล้งปล่อยน้องนินไว้ตามลำพัง แล้วออกไปนอกห้องน้องนินจะส่งเสียงครวญครางจนผมรู้สึกผิดที่ทิ้งน้องนินไว้ตามลำพัง ความรู้สึกเหมือนเราปล่อยลูกที่ยังเล็กไว้ตามลำพังคนเดียวยังไงยังงั้นเลย
เมื่อเราใจอ่อน ดูแลน้องนินแบบราชา เราก็เริ่มพบว่าชีวิตของพวกเราตกเป็นของน้องนินไปแล้ว
จะทำอะไรก็ต้องคิดถึงน้องนินเป็นอันดับแรก
เราอดไปกินอาหารตามร้านอาหาร เราอดไปเที่ยวต่างถิ่นที่ต้องพักโรงแรม เราอดไปกินสุกี้เอ็มเค เราอดไปดูหนังพร้อมกันทั้งครอบครัว เพราะสถานที่เหล่านั้นล้วนแล้วแต่ห้ามนำหมาเข้าไป
ความลำบากมาเยือนเราแล้ว แต่เราทุกคนก็เต็มใจที่จะเผชิญกับมัน เพราะเราทุกคนในครอบครัวรักน้องนินสุดขั้วหัวใจ
อะไรทำให้เรารักน้องนินมากมายขนาดนั้น...
ความขี้ประจบของเจ้าหนูไงครับ
น้องนินจะมีกิจวัตรประจำวันเช่นเดียวกับเรา ทุกเช้าน้องนินจะตื่นแล้วมาเลียหน้าปลุกผม พอผมตื่นก็จะเข้ามานอนซบแล้วหงายท้องให้เกาพุง
กลางวันก็จะเคลียคลอกับแม่ที่อยู่บ้านคนเดียวตลอด จนแฟนผมหายเหงา เวลาแม่นอนพักกลางวัน น้องนินก็จะไปนอนข้างๆ
พี่ๆกลับจากโรงเรียนก็จะไปเล่นฟัดกับพี่ๆ ตกค่ำผมเลิกงานกลับเข้าห้องน้องนินก็จะมาวิ่งดักหน้าดักหลังให้อุ้มและเกาพุง
ราวๆ ๓ ทุ่ม น้องนินจะเริ่มมีอาการง่วงนอน ก็จะไปตะกายประตู ขอเข้าห้องนอน พอเข้าห้องก็จะไม่พูดพล่ามทำเพลงนอนหลับอุตุเลย เป็นอย่างนี้ทุกวัน
มีอยู่คราวหนึ่ง น้องนินดันไปฉี่ในห้องนอน เลยโดนจับนอนนอกห้อง เพื่อเป็นการทำโทษ
น้องนินร้องครวญครางเบาๆทั้งคืน จนในที่สุดมีผู้ที่ทนไม่ได้ คือตัวผม รู้สึกสงสารเลยหอบหมอนออกไปนอนเกาพุงน้องนินจนหลับไปด้วยกันนอกห้องนอน



น้องนินนอนหลับสนิท ถ่ายด้วยโทรศัพท์ มองดูเหมือนเศษผ้าสีดำ



ถึงเวลาชีวิตเปลี่ยนไป

เนื่องจากผมลาออกจากโรงพยาบาล ไปอยู่หน่วยงานที่ไม่มีที่พักให้ เลยย้ายไปเช่าบ้าน เป็นบ้านเนื้อที่ ๕๐ ตารางวา มีบริเวณสนามหญ้า
ที่นี่มีรั้วรอบขอบชิดเราเลยเปิดโอกาสให้น้องนินได้สัมผัสพื้นดิน วันแรกน้องนินเลยวิ่งรอบบ้านเสียหลายรอบ
เรามานั่งหัวเราะกันตอนจะขึ้นนอน เพราะเป็นบ้าน ๒ ชั้น น้องนินขึ้นบันไดไม่เป็น ฮิๆๆ เราต้องนั่งฝึกการขึ้นบันไดอยู่พักใหญ่
ที่บ้านนี้ผมมีเตียงนอนขนาดใหญ่ น้องนินเลยยึดพื้นที่ส่วนหนึ่งไป เวลานอนจะต้องมาแย่งหนุนหมอน แย่งนอนบนผ้าห่ม
น้องนินเป็นหมาที่แปลกคือเวลานอนก็จะนอนจริงๆ ใครจะแกล้งยังไงก็ใม่สน หมานอกบ้านเห่าดังลั่นก็ไม่สน ข้าขอ นอนลูกเดียว อย่างที่เห็นในรูปนั่นแหละครับ
พอมาอยู่บ้านแฟนผมเลยมีภารกิจเพิ่มอีกอย่าง คือทุกคืนต้องจับน้องนินล้างเท้า เช็ดตัวให้เกลี้ยง ก่อนเข้านอน
เราจะพาน้องนินไปเสริมสวยเดือนละครั้ง ทุกครั้งที่ไปรับน้องนินจะมองด้วยสายตาตัดพ้อเช่นเคย แล้วจะซุกตัวกับเราแน่น เหมือนกลัวจะถูกทิ้ง
เราเลยปรับกลยุทธ์ว่าไหนๆก็ต้องตัดใจไปทิ้งให้เขาเสริมสวย เราเลยพาไปร้านเสริมสวยในห้างใหญ่ แล้วเราก็แอบไปใช้ชีวิตอย่างอิสระปราศจากน้องนินสัก ๒-๓ ชั่วโมง



น้องนินนอนซบพี่ปรางค์บนรถ





ยืนหลับกับตักพี่ปราชญ์




น้องนินหาว เพราะถูกปลุกไปใส่บาตรวันสงกรานต์ตั้งแต่เช้ามืด




เกาพุงหน่อยครับ




นอนโป๊เช่นเคย




เท่มั๊ยครับชุดนี้




 

Create Date : 23 พฤษภาคม 2550   
Last Update : 28 พฤษภาคม 2550 16:40:15 น.   
Counter : 1148 Pageviews.  


เด็กหัวตลาด
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เรียนจบหมอ เคยผ่านการเป็นอาจารย์ แล้วลาออกไปเป็นหมอจนๆ เพราะไม่ชอบใช้วิชาชีพหากิน
ปัจจุบันเลิกรักษาคน หันไปบริหารเงิน คอยดูคนอื่นรักษาคนไข้แทน
รับผิดชอบการจัดชุดสิทธิประโยชน์สำหรับโรคเรื้อรัง
และโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูงของผู้ป่วยสิทธิหลักประกันสุขภาพ (บัตรทอง ๓๐ บาท)
สนใจเรื่องราวประวัติตระกูล และประวัติศาสตร์บ้านเกิด ณ หัวตลาด หรือตลาดจีนเมืองตานี เป็นพิเศษ
[Add เด็กหัวตลาด's blog to your web]