การดูจิต ที่รู้เห็นผิดจากความเป็นจริงไป เพราะรู้จักจิตผิดๆ
ในปัจจุบันนี้ มีการสอนเรื่องดูจิต  โดยมีวิธีการสอนที่ขัดกับหลักในพระพุทธพจน์อย่างสิ้นเชิง เช่นสอนว่า "เพราะเราไม่ได้ดูจิตเพื่อดับทุกข์ หากแต่ดูเพื่อให้รู้ความจริงว่า ทุกข์เกิดขึ้นได้อย่างไร ดับไปได้อย่างไร"

ทุกข์ดับไปจากจิตได้อย่างไร ใช่ดับจิตที่เป็นทุกข์ใช่หรือไม่?

ถ้าการดูจิต หรือ การปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนา(สัมมาสมาธิ)นั้น ไม่ใช่เพื่อการดับทุกข์ที่เกิดขึ้นที่จิตของตน หรือ จิตที่เป็นทุกข์แล้ว จะมีประโยชน์อะไรกับการอบรมจิตของตน ให้มีกำลังในการปล่อยวางอารมณ์ที่กำลังเป็นทุกข์นั้นออกไปจากจิต 

หากต้องการรู้ความจริงว่าทุกข์เกิดขึ้นมาได้อย่างไรนั้น  ใครๆที่เคยมีทุกข์มาก่อน ย่อมรู้ความจริงในข้อนี้ดีว่า ทุกข์ย่อมเกิดจากจิตเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์ต่างๆที่เข้ามากระทบจิต จนกระทั่งเกิดอาการของจิตที่เนื่องด้วยอารมณ์นั้นๆแสดงออกมาให้เห็น เป็นการแสดงออกถึงความรัก ชอบ ชัง เย็น ร้อน อ่อน แข็ง กับอารมณ์ที่มากระทบจิตของตนในขณะนั้นๆ ย่อมดับลงเมื่ออารมณ์เหล่านั้นจืดจางไปจากจิตของตน หรือเมื่อมีอารมณ์ใหม่ๆจรเข้ามาแทนที่ อาการของจิตที่เนื่องด้วยอารมณ์เก่า ที่แสดงออกมาให้ประจกษ์ก็ดับตามไปด้วยเช่นกัน 

เช่น คนที่ชอบดื่มสุรา เที่ยวนารี เล่นกีฬาบัตรนั้น ย่อมรู้ดีว่า ทุกข์ที่เกิดขึ้นเพราะอะไร และดับไปเพราะอะไร แต่ทำไม ทำไม ทำไม ถึงยังลด ละ เลิก กิเลสเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์เหล่านั้นไม่ได้สักที 

การรู้ว่าทุกข์เกิดขึ้นได้อย่างไร ทุกข์ดับไปได้อย่างไรนั้น จะมีประโยชน์อะไรหละ เมื่อรู้แล้วไม่สามารถ ลด ละ เลิกในสิ่งเหล่านั้นได้ รู้ไปก็ไร้ประโยชน์ ในเมื่อจิตไม่มีกำลังสติสงบมากพอที่จะยับยั้งหรือ ละเหตุแห่งทุกข์เหล่านั้นได้

ทุกข์ที่เกิดขึ้นที่จิตของตนนั้น เพราะจิตหลงใหลเพลินยิ่งเข้าไปในอารมณ์และยึดมั่นถือมั่น ในอารมณ์กิเลสต่างๆเหล่านั้นเอง ยิ่งนานวันก็ยิ่งถอนตัวเองออกจากอารมณ์กิเลสความรู้สึกนึกคิดเหล่านั้นได้ยากยิ่งขึ้น และจดจำธรรมารมณ์เหล่านั้นได้แม่นยำ มีความฉลาดในการจัดการกับธรรมารมณ์เหล่านั้น ด้วยการหาอารมณ์อื่นที่ได้กำหนดไว้ มาแทนที่ธรรมารมณ์เหล่านั้น หรือที่เรียกว่า "เปลี่ยนแปลงอารมณ์" ซึ่งเป็นธรรมชาติของจิตที่ติดข้องอยู่ในโลก

แต่กลับมีผู้สอนว่า "เมื่อจิตรู้ความจริงแล้ว จิตก็ย่อมหาทางพ้นทุกข์ของเขาเอง เรามีหน้าที่รู้เท่านั้น"

จะเป็นไปได้อย่างไรที่พูดว่า เมื่อรู้ความจริงแล้วจะพ้นทุกข์ได้เอง มันจะเป็นอะไรที่ง่ายๆ สบายๆ และลัดสั้น ที่พวกดื่มสุรา เที่ยวนารี เล่นกีฬาบัตร ทำให้ตนเองพ้นทุกข์อย่างนั้นหละหรือ?

ผู้ที่จิตของตน มีสติสงบสามารถรู้เห็นตามความเป็นจริงและพ้นทุกข์ได้นั้น ต้องเป็นผู้ที่เคยผ่านการปฏิบัติธรรมสมาธิกรรมฐานภาวนา ฝึกฝนอบรมจิตของตนมาจนชำนาญแล้ว

เรามองความเป็นไปได้ว่า เมื่อบุคคลที่กล่าวอ้างถึงนั้น รู้ถึงวิธีการพ้นทุกข์ในขณะนั้น เป็นพวกที่ชอบดื่มสุรา(ติด) เที่ยวนารี เล่นกีฬาบัตรนั้น เพราะมีความสุขในการเสพ และหาวิธีทางพ้นทุกข์ได้เองจริงๆ โดยการเสพสมอารมณ์ที่ว่ามาเหล่านั้น เข้าไปจนพอใจ คือสมอยากจากการเสพอารมณ์แล้ว ความทุกข์ที่ปรากฏอยู่ในขณะนั้น ก็ดับไปเอง(ชั่วคราว) 

เมื่ออยากใหม่ เค้าก็หาวิธีพ้นทุกข์ได้เองโดยวิธีเดิมๆ อย่างที่เคยทำมาจนชาชิน วนเวียนเป็นวัฏฏะวน จนจิตกระด้างและฉลาดในการจัดการต่อธรรมารมณ์ที่ปรากฏนั้น โดยไม่อินังขังขอบต่อสายตาของใครๆ หรือสามารถปกปิดให้พ้นสายตาใครต่อใครได้นั่นเอง

ที่ท่านสอนว่า เรามีหน้าที่รู้เท่านั้นหนะใช่ เพราะจิตเป็นธาตุรู้ และจิตต้องตั้งสติกำหนดรู้ลงไปด้วย แต่จะลด ละ เลิกได้จริงนั้น จิตของตนต้องมีปัญญาอันเกิดแต่สัมมาสมาธิ และจิตมีกำลังสติสงบตั้งมั่นได้เท่านั้น

การที่จะทำแบบนั้นได้ คือ จิตมีหน้าที่รู้สักว่ารู้ได้จริงๆ หรือที่เรียกว่ารู้แล้ววาง (รู้อยู่ที่รู้)  ต้องมีพื้นฐานด้านการปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนามาอย่างจริงจังไม่ย่อท้อ จนกระทั่งจิตมีกำลังสติสงบตั้งมั่นไม่หวั่นไหว ปล่อยวางอารมณ์ต่างๆที่เข้ามากระทบได้อย่างชำนาญเป็นวสีเท่านั้น จึงจะรู้อยู่ที่รู้ได้ โดยไม่ไปรู้อยู่ที่เรื่องราว หรือ อารมณ์กิเลสต่างๆได้ เพราะรู้แล้วละเหตุแห่งทุกข์ได้ คือจิตไม่ส่งออกนั่นเอง 

การพูดด้วยลมปาก ก็ได้แต่ลมปาก และจิตนาการที่เกิดจากความคิดที่ตกผลึกแล้วเท่านั้น การที่ได้พูดออกไปว่าตนเอง "รู้" ใช้ประโยชน์อะไรจริงจังได้ที่ไหน คนส่วนใหญ่ที่พูดว่า "รู้" แล้วยังละไม่ได้ คือการติดดีในดีอย่างเหนียวแน่นทั้งนั้น ที่เกิดจากความรู้สึกนึกคิดที่ตกผลึกของตนเอง แต่ยังปล่อยวางไม่เป็น มีความยึดมั่นถือมั่นอยู่

สามารถพูดออกมาได้เต็มปากว่า "การสอน "ดูจิต"ในปัจจุบัน ที่จริงจิตไม่เคยว่างจากอารมณ์ แม้อารมณ์หยาบจะดับไป เช่นดูแล้วความโกรธดับไป ความรู้สึกเฉยๆ ไม่มีอะไร ที่บางคนบอกว่า ว่างๆ ที่เข้ามาคั่นก่อนที่อารมณ์หยาบตัวใหม่จะจรมา อันนั้นก็คืออารมณ์อีกตัวหนึ่ง"

การสอนแต่ละครั้งของอัตโนมัติอาจารย์ ไม่เคยนำพาเลยว่าพูดขัดแย้งกับพุทธพจน์ที่ทรงตรัสไว้ดีแล้วหรือไม่ แต่กับแอบอ้างตลอดเวลาที่ตนเองสอนอยู่ว่า ตนเองเอามาจากพระพุทธพจน์ ทั้งๆที่มีพระพุทธพจน์ที่มาในหัวใจพุทธศาสนากล่าวไว้ชัดเจนว่า "สะจิตตะปริโยทะปะนัง เอตังพุทธานะสาสะนัง การชำระจิตให้บริสุทธิ์หมดจดจากเครื่องเศร้าหมอง ล้วนเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย"

ความที่ผู้สอนนั้น ไม่เคยลงมือปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนาอย่างจริงจังมาก่อน จนบรรลุผลที่ควรได้ควรเป็น จึงไม่รู้ว่าการที่ฝึกฝนอบรมจิตจนอยู่ในสภาวะปัจจุบันธรรมที่แท้จริงนั้น  เป็นสภาวะธรรมที่จิตปราศจากอารมณ์เครื่องเศร้าหมองใดๆในขณะนั้น  ซึ่งเป็นธรรมที่เหนือธรรมชาติ เหนือกาลเวลา ไม่ขึ้นกับกาลเวลา เป็นปัจจุบันธรรมที่แท้จริง

เมื่อผู้สอน "ดูจิต" ไม่เคยรู้จักสภาวะปัจจุบันธรรมที่แท้จริง ว่าปรากฏขึ้นมาได้อย่างไร จึงสอนไปเรื่อยเปื่อยว่า "ขึ้นชื่อว่าจิตแล้วไม่เคยว่างจากอารมณ์"

แถมยังสอนต่ออีกว่า "สติจะเกิดได้นั้น เพราะมีเหตุใกล้ทำให้เกิด คือจิตรู้รับอารมณ์เข้าแล้ว"

หากสติที่จะเกิดขึ้นได้นั้น ต้องผูกอยู่กับอารมณ์ที่เป็นเหตุใกล้ ำให้เกิด ถ้าเป็นอย่างงั้น เมื่อจิตรู้แต่ไม่รับอารมณ์ คือรู้แล้วละ ก็แสดงว่าสติเกิดขึ้นไม่ได้สิ เพราะไม่มีเหตุใกล้ทำให้เกิด พูดไปได้ โดยไม่อายความจริงที่ว่า พระอรหันต์นั้น จิตท่านบริสุทธิ์ปราศจากราคะ โทสะ โมหะ(เหตุ)แล้ว แบบนี้พระอรหันต์ท่านก็ต้องไม่มีสติสิ เพราะไม่มีเหตุใกล้ทำให้เกิด เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด เพราะพระอรหันต์นั้น ท่านมีสติตื่นอยู่เสมอ(ชาคโร) 

จะเห็นได้ว่าวิธีการสอนดูจิตดังกล่าวข้างต้นนั้น ขัดกับหลักในพระพุทธพจน์อย่างสิ้นเชิง 

เจริญในธรรมทุกๆท่าน
ธรรมภูต





Create Date : 25 มิถุนายน 2552
Last Update : 19 มกราคม 2558 16:33:11 น.
Counter : 786 Pageviews.

15 comments
  
/Quote/ “เพราะเราไม่ได้ดูจิตเพื่อดับทุกข์ หากแต่ดูเพื่อให้รู้ความจริงว่า
ทุกข์เกิดขึ้นได้อย่างไร ดับไปได้อย่างไร”

ถ้าการดูจิต หรือ การปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนานั้น
ไม่ใช่เพื่อการดับทุกข์ที่เกิดขึ้นที่จิตแล้ว
จะมีประโยชน์อะไรกับการอบรมจิตให้มีกำลังในการปล่อยวางอารมณ์

หากต้องการรู้ความจริงนั้น
ใครๆที่เคยมีทุกข์มาก่อน ย่อมรู้ความจริงทั้งนั้นว่า
ทุกข์เกิดจากความรัก ชอบ ชัง เย็น ร้อน อ่อน แข็ง
ย่อมดับเมื่อสิ่งเหล่านั้นจืดจางไป

เช่นคนที่ชอบสุรา นารี กีฬาบัตรนั้น
ล้วนรู้ดีว่าทุกข์เกิดขึ้นเพราะอะไรและดับไปเพราะอะไร
แต่ทำไม ทำไม ทำไม ถึงยังเลิกไม่ได้สักที

การรู้ว่าทุกข์เกิดขึ้นได้อย่างไร ดับไปได้อย่างไรนั้น
จะมีประโยชน์อะไรหละ รู้แล้วเลิกไม่ได้ รู้ไปก็ไม่เกิดประโยชน์

แต่กลับมีผู้สอนว่า

“เมื่อจิตรู้ความจริงแล้ว จิตก็ย่อมหาทางพ้นทุกข์ของเขาเอง
เรามีหน้าที่รู้เท่านั้น”

เป็นไปได้ที่ไหนครับว่า เมื่อรู้ความจริงแล้วจะพ้นทุกข์ได้เองครับ
อาจจะเป็นได้ว่า เมื่อบุคคลเหล่านั้นรู้ความจริงว่า
การเป็นคนที่ชอบสุรา นารี กีฬาบัตรนั้น หาทางพ้นทุกข์ได้เองจริงๆ
เพราะเมื่อได้เสพสมอารมณ์เหล่านั้นแล้ว
ความทุกข์ที่ปรากฏอยู่นั้นก็ดับไปเอง
/Quote/


-----------------------------------------------------------
อ้าว อย่างนั้นเค้าเรียกไม่รู้ทุกข์แล้วล่ะมั้งครับ ไม่รู้ว่า สุรา นารีฯ นั่นน่ะ เป็นเหตุให้จิตดิ้นรนขวนขวายเอามาเสพ จิตที่ดิ้นนั่นนะทุกข์มั้ยครับ อันนี้อย่างหยาบนะครับ อย่างละเอียดนี่ ทุกข์คือกายกับใจนะครับ สุรานารีไม่ได้เกี่ยวเลย จิตที่ดิ้นไปหาสุรานารีตางหากที่ทุกข์ จิตนั่นแหละที่เป็นทุกข์ ดูไม่เป็นน่ะซิครับ ถึงไม่เข้าใจ ท่านก็บอกอยู่ให้ดูจิต จิตนั่นล่ะเป็นตัวทุกข์ นี่ไปดูอะไรล่ะนั่น
-----------------------------------------------------------


/Quote/ แถมยังพูดออกมาได้เต็มปากว่า
“ที่จริงจิตไม่เคยว่างจากอารมณ์ แม้อารมณ์หยาบจะดับไป
เช่นดูแล้วความโกรธดับไป ความรู้สึกเฉยๆ ไม่มีอะไร
ที่บางคนบอกว่า ว่างๆ ที่เข้ามาคั่นก่อนที่อารมณ์หยาบตัวใหม่จะจรมา
อันนั้นก็คืออารมณ์อีกตัวหนึ่ง”



การสอนแต่ละครั้ง ไม่เคยนำพาเลยว่าพูดขัดแย้งกับพุทธพจน์
ทั้งที่มีพุทธพจน์ที่มาในหัวใจพุทธศาสนากล่าวไว้ว่า...

สะจิตตะปริโยทะปะนัง เอตังพุทธานะสาสะนัง
การชำระจิตให้บริสุทธิ์หมดจดจากเครื่องเศร้าหมอง
ล้วนเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

เพราะความที่ไม่เคยปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนา จนบรรลุผล
จึงไม่รู้ว่าการที่ฝึกฝนจนจิตอยู่ในสภาวะปัจจุบันธรรมที่แท้จริงนั้น
เป็นสภาวะที่จิตปราศจากอารมณ์ในขณะนั้น /Quote/


-----------------------------------------------------------
คุณน่ะซิไม่นำพา คำว่าการชำระจิต ที่คุณอ้างพระคัมภีร์นั้น ไม่ได้หมายความหยาบๆ แค่การสร้างสภาวะที่ปราศจากอารมณ์ นั่นน่ะง่ายๆ ไม่ต้องนำคัมภีร์มาอ้างก็ได้ มีเยอะแยะในศาสนาอื่น... นำคัมภีร์ชั้นสูงมาอ้าง โดยไม่ได้ศึกษาพื้นฐานเลยว่า "การชำระจิตให้บริสุทธิ์" นั้น ต้องทำอย่างไร ฟังเหมือนไม่มีอะไร แต่อริยสัจ๔ นั้น ลึกซึ่งยิ่งนัก... นี่อะไร แค่ทำให้ว่าง ก็บริสุทธ์รึ มันไม่กระจอกอย่างนั้นหรอก
-----------------------------------------------------------


/Quote/เพราะความที่ไม่เคยปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนา จนบรรลุผล
จึงไม่รู้ว่าการที่ฝึกฝนจนจิตอยู่ในสภาวะปัจจุบันธรรมที่แท้จริงนั้น
เป็นสภาวะที่จิตปราศจากอารมณ์ในขณะนั้น /Quote/


-----------------------------------------------------------
รู้ได้อย่างไรว่าท่านไม่ได้บรรลุ มีอะไร มีใครอ้างอิงรึเปล่า
-----------------------------------------------------------


/Quote/ เมื่อไม่เคยรู้จักสภาวะปัจจุบันธรรมที่แท้จริง
จึงสอนไปเรื่อยเปื่อยว่า ขึ้นชื่อว่าจิตแล้วไม่เคยว่างจากอารมณ์

แถมยังสอนต่ออีกว่า สติจะเกิดได้นั้นเพราะเหตุใกล้คือจิตรู้รับอารมณ์

ถ้างั้น เมื่อจิตไม่รู้อารมณ์ สติก็ไม่เกิดสิ
พูดไปได้ โดยไม่อายความจริงที่ว่า
พระอรหันต์นั้นจิตท่านบริสุทธิ์ปราศจากอารมณ์
แบบนี้พระอรหันต์ท่านก็ไม่มีสติสิ
เป็นไปไม่ได้เด็ดขาดเพราะพระอรหันต์นั้น ท่านมีสติตื่นอยู่เสมอ(ชาคโร) /Quote/

-----------------------------------------------------------
คุณน่ะซิไม่อาย เอาธรรมะที่ไหนมาอ้างว่า จิตพระอรหันต์บริสุทธิ์ ปราศจากอารมณ์ พระอรหันต์ท่านไม่ยึดถือจิตต่างหาก เหมือนที่ท่านไม่ยึดกาย กายมันจะเจ็บจะป่วย ท่านก็ไม่เกี่ยว จิตมันจะสงบ มันจะฟุ้งซ่าน ท่านก็ไม่เกี่ยว...



ผมว่าคุณกลับไปศึกษาให้แม่นก่อนหาพระคัมภีร์มาอ้างตามกิเลสคุณดีกว่า และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง มิจฉาทิฏฐิอย่างคุณ ถ้าไม่รีบแก้ซะ มันจะติดตัวไปอีกไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ แล้วขอเถอะ อย่าปรามาสผู้บริสุทธิ์ที่คุณยังไม่เข้าใจท่านเลย ไม่มีเหตุอันใดที่คุณจะทำอย่างนั้น กับคนที่คุณไม่รู้จัก ยกเว้นแต่เพื่อสนองกิเลส สนองอัตตาตัวคุณเอง ผมเองไม่ใช่พระอริยะหรอกนะ แต่คุณน่ะ ไม่ใช่แน่นอน กิเลสท่วมหัวอย่างนี้ รีบแก้ไขซะเถอะ...
-----------------------------------------------------------
โดย: ที่พยายามนำจขบออกจากหายนะ IP: 125.26.242.2 วันที่: 1 กรกฎาคม 2552 เวลา:17:57:53 น.
  
อ้างอิงข้อความโดย คุณหายนะฯ
อ้าว อย่างนั้นเค้าเรียกไม่รู้ทุกข์แล้วล่ะมั้งครับ ไม่รู้ว่า สุรา นารีฯ นั่นน่ะ เป็นเหตุให้จิตดิ้นรนขวนขวายเอามาเสพ จิตที่ดิ้นนั่นนะทุกข์มั้ยครับ อันนี้อย่างหยาบนะครับ อย่างละเอียดนี่ ทุกข์คือกายกับใจนะครับ สุรานารีไม่ได้เกี่ยวเลย จิตที่ดิ้นไปหาสุรานารีตางหากที่ทุกข์ จิตนั่นแหละที่เป็นทุกข์ ดูไม่เป็นน่ะซิครับ ถึงไม่เข้าใจ ท่านก็บอกอยู่ให้ดูจิต จิตนั่นล่ะเป็นตัวทุกข์ นี่ไปดูอะไรล่ะนั่น

ท่านหายนะฯครับ ท่านไม่รู้จริงๆหรือแกล้งไม่รู้กันแน่ครับ
หลายคนที่เค้าอยากเลิกสิ่งเหล่านี้นั้นก็มีถมเถไป

เค้ารู้ทั้งรู้อยู่ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี
เมื่อขาดสติไปเสพมาแล้วก็ทุกข์ใจทุกครั้งไปเช่นกัน
แบบนี้ละเอียดพอหรือยังครับ

ทำไมจะไม่เกี่ยวกับสุรา นารีหละครับ
เกี่ยวกันเห็นอยู่ชัดๆ หลอกตัวเองอยู่ได้

ดูทำไมจิตที่เป็นตัวทุกข์ ถ้าจิตเป็นตัวทุกข์ก็ดับจิตเสียเลยสิครับ
ดูสิว่าทุกข์จะหายไปมั้ย??? ทุกข์ไม่หายแต่กลับทุกข์หนักเข้าไปอีกครับ

ท่านหายนะฯครับ ทุกข์หนะมีไว้ให้กำหนดรู้ซะ ว่าที่ทุกข์เพราะอะไร???
จิตไม่ใช่ตัวทุกข์ซักกะหน่อย
ที่ทุกข์เพราะเหตุที่จิตออกไปยึดว่าสุรา นารีเป็นเรา เป็นของเรา
เนื่องจากไม่มีกำลังสติที่จิตมากพอ ที่จะปล่อยวางสิ่งเหล่านั้นต่างหากเล่า จึงเป็นทุกข์

เพราะไม่เคยลงมือฝึกฝนอบรมปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนาให้จิตมีกำลังสติครับ
เลิกโมเมแบบท่านอาจารย์ได้แล้วท่านหายนะฯ

ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 2 กรกฎาคม 2552 เวลา:8:30:12 น.
  
อ้างอิงข้อความโดย คุณหายนะฯ
คุณน่ะซิไม่นำพา คำว่าการชำระจิต ที่คุณอ้างพระคัมภีร์นั้น ไม่ได้หมายความหยาบๆ แค่การสร้างสภาวะที่ปราศจากอารมณ์ นั่นน่ะง่ายๆ ไม่ต้องนำคัมภีร์มาอ้างก็ได้ มีเยอะแยะในศาสนาอื่น... นำคัมภีร์ชั้นสูงมาอ้าง โดยไม่ได้ศึกษาพื้นฐานเลยว่า "การชำระจิตให้บริสุทธิ์" นั้น ต้องทำอย่างไร ฟังเหมือนไม่มีอะไร แต่อริยสัจ๔ นั้น ลึกซึ่งยิ่งนัก... นี่อะไร แค่ทำให้ว่าง ก็บริสุทธ์รึ มันไม่กระจอกอย่างนั้นหรอก

ท่านหายนะฯครับ ท่านก็โมเมเช่นเคยนะครับ

การสร้างสภาวะที่ปราศจากอารมณ์ได้นั้น
เป็นพฤติกรรมขนานแท้ของพวกดูจิตที่ติดอารมณ์ดูเฉย
จึงมีการสร้างสภาวะดูเฉยๆขึ้นมา ทั้งที่เป็นการสร้างขึ้นมาหลอกตัวเองเท่านั้น

พระพุทธพจน์นั้นชัดเจนอยู่ในตัวแล้วครับว่า
“การชำระจิตนั้น”คือ การขจัดอุปกิเลสต่างๆให้ออกไปจากจิต
จนกระทั่งจิตปล่อยวาง ว่างจากกิเลสครับ

ยากขนาดนี้ยังลึกซึ้งไม่พอใจท่านอีกหรือครับ ท่านหายนะฯครับ
ผมว่าท่านกำลังจะหายนะเอาจริงๆซะแล้ว ที่กล่าวจาบจ้วงพระพุทธพจน์

“ดูกรอานนท์ เราอยู่โดยมากด้วย สูญญตวิหารธรรม”
ใช่อยู่โดยมากในวิหารธรรมที่ว่างจากอารมณ์ใช่มั้ยครับ???

บาปกรรม บาปกรรม หายนะเพราะปากแท้ๆ กระจอกมากมั้ยครับ
กับการที่อยู่โดยมากในสูญญตวิหารธรรม???

ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 2 กรกฎาคม 2552 เวลา:8:33:44 น.
  
อ้างอิงข้อความโดย คุณหายนะฯ
รู้ได้อย่างไรว่าท่านไม่ได้บรรลุ มีอะไร มีใครอ้างอิงรึเปล่า

ไม่ยากหรอกครับท่านหายนะฯครับ

คำสอนที่ขัดกับพระบรมครูและครูบาอาจารย์ที่เคยแอบอ้างว่ารับรองก็บอกชัดอยู่แล้ว
จะเอาจริง ก็จัดให้ครับ

มีที่ไหนครับ “พบผู้รู้ทำลายผู้รู้ พบจิตทำลายจิต พบพระพุทธเจ้าให้ฆ่าทิ้ง”
ขนาดลูกเต่าอกตัญญู ยังไม่กล้าที่จะพูดเลย อย่าว่าแต่ทำเลย


ค้นพระพุทธพจน์มายันสิ หรือของครูบาอาจารย์ก็ได้
เอาเฉพาะที่ครูบาอาจารย์พูดเองหนะ
อย่าบอกหละว่าแอบสอนเฉพาะท่านนั้นองค์เดียวอีกหละ

ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 2 กรกฎาคม 2552 เวลา:8:36:41 น.
  
อ้างอิงข้อความโดย คุณหายนะฯ
คุณน่ะซิไม่อาย เอาธรรมะที่ไหนมาอ้างว่า จิตพระอรหันต์บริสุทธิ์ ปราศจากอารมณ์ พระอรหันต์ท่านไม่ยึดถือจิตต่างหาก เหมือนที่ท่านไม่ยึดกาย กายมันจะเจ็บจะป่วย ท่านก็ไม่เกี่ยว จิตมันจะสงบ มันจะฟุ้งซ่าน ท่านก็ไม่เกี่ยว...

ผมว่าคุณกลับไปศึกษาให้แม่นก่อนหาพระคัมภีร์มาอ้างตามกิเลสคุณดีกว่า และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง มิจฉาทิฏฐิอย่างคุณ ถ้าไม่รีบแก้ซะ มันจะติดตัวไปอีกไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ แล้วขอเถอะ อย่าปรามาสผู้บริสุทธิ์ที่คุณยังไม่เข้าใจท่านเลย ไม่มีเหตุอันใดที่คุณจะทำอย่างนั้น กับคนที่คุณไม่รู้จัก ยกเว้นแต่เพื่อสนองกิเลส สนองอัตตาตัวคุณเอง ผมเองไม่ใช่พระอริยะหรอกนะ แต่คุณน่ะ ไม่ใช่แน่นอน กิเลสท่วมหัวอย่างนี้ รีบแก้ไขซะเถอะ...


รู้ได้ไงครับว่าผมไม่ใช่??? ถึงไม่ใช่แต่ก็ใกล้เคียงหละครับ

มิฉะนั้นแล้วผมมิอาจหาญทำตนเป็นพุทธบุตรที่ดี
ที่คอยปกป้องศักดิ์ศรีของจอมศาสดาและพระอริยะเจ้าทั้งหลายหรอกครับ
เพราะท่านทั้งหลายโดนนำมาแอบอ้างจนเสียชื่อเสียงหมด

ท่านหายนะฯเอง ก็อย่าทำตัวให้เป็นมิจฉาทิฐิ
ที่คอยปกป้องท่านที่ชอบแอบอ้างผู้อื่นเพื่อผลักดันตัวเองให้สูงขึ้นเลยครับ

ทำไมหละครับ พระอรหันต์ท่านปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นออกไปหมด
เมื่อปล่อยวาง ย่อมปราศจากอารมณ์
เมื่อปราศจากอารมณ์ จิตก็ย่อมบริสุทธิ์ปราศจากกิเลสใช่มั้ยครับ???

ถ้าไม่รู้จริงๆก็พอให้อภัยได้ครับ
แต่ถ้ารู้ทั้งรู้อยู่ แต่ยังแกล้งไม่รู้ แบบนี้สมควรประณามมั้ยครับ???

ผมขอถามท่านนะครับว่า
ที่ท่านอาจารย์ปรามาสจอมศาสดาและครูบาอาจารย์ผู้บริสุทธิ์หละ ผมต้องขอมั้ย???

ขอเพียงท่านอาจารย์เป็นผู้ถึงพร้อมเถอะ ไม่ต้องขอ
ผมยินดีไปกราบไหว้ให้เป็นที่พึ่งเป็นสรณะอยู่แล้วครับท่าน

ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 2 กรกฎาคม 2552 เวลา:8:41:02 น.
  
เพิ่งเข้ามาอ่าน

แต่ก็เห็นด้วยกับคุณธรรมภูต

เคยศรัทธาและปฏิบัติตามอยู่พักใหญ่ๆ เชียวแหละ (เสียเวลาจริงๆ) ถึงตอนนี้รู้แล้วว่าโม้ ทั้งเพ โม้ทุกคนที่เป็นลูกศิษย์วงในของท่าน รู้ไม่จริงก็เอามาเขียนไปเรื่อย

อยากให้หูตาสว่างกันจัง แต่ก็อย่างว่าแหละ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
โดย: พุทโธ IP: 124.122.163.51 วันที่: 17 สิงหาคม 2552 เวลา:14:11:44 น.
  
ครับท่านพุทโธ ผมเองรู้เห็นเรื่องนี้มานานพอสมควรครับ
สืบเนื่องมาจาก ผมได้รู้จักใกล้ชิดศิษย์ฆราวาส(ก้นกุฏิ)หลวงปูดูลย์
และมีโอกาสสอบถามถึงท่านอาจารย์ปราโมทย์ ในสมัยเป็นฆราวาส
ที่ไปกราบหลวงปูดูลย์บ่อยๆ ว่าทำไม่ท่านสอนแปลกๆโดยอ้างอิงหลวงปู่ดูลย์
แต่มีที่ขัดแย้งกันอยู่หลายจุด แถมยังอ้างหลวงปู่มารับรองความถูกต้องในคำสอนเสียอีก

เมื่อผมได้คำตอบมา ก็กระจ่างแจ้งว่า ที่แท้ท่านชอบอ้างครูบาอาจารย์เพื่ออะไร???
ทั้งที่คำสอนของครูบาอาจารย์ทั้งหลายเหล่านั้น ขัดแย้งกับที่ท่านป.สอนอยู่
ผมถึงได้แปลกใจว่า ทำไมครูบาอาจารย์เหล่านั้น ท่านถึงมารับรองความถูกต้องให้ท่านป.
รับรองเพื่ออะไร??? ในเมื่อสอนขัดแย้งกับคำสอนของครูบาอาจารย์เหล่านั้น

ท่านพุทโธครับ ยังไงๆก็ช่วยๆกันดึงพวกที่ยังชอบคุกอยู่ในบ่อโคลนให้ขึ้นมาเถอะครับ

ธรรมภูต

โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 19 สิงหาคม 2552 เวลา:10:35:47 น.
  
อีชั้น อยากทราบคำตอบที่คุณได้รับมาจังเลยค่ะ แต่ไม่อยากเปิดเผยอีเมล รวมทั้งเบอร์โทรศัพท์ ตัวเองในบล็อคนี้
บอกกงๆ ว่ากัวววว อำนาจมืดคุกคาม

หุ หุ แต่ถ้าจะขออีเมลคุณธรรมภูติแทนจะได้มั้ย คุณกัวววหรือป่าวคะ

ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ
โดย: พุทโธ IP: 124.120.219.179 วันที่: 19 สิงหาคม 2552 เวลา:12:01:37 น.
  
ท่านพุทโธครับ ผมใส่ไว้ในโปรไฟล์แล้วครับ
มีอะไรอีเมล์มาถามได้ครับ...

ธรรมภูต

โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 20 สิงหาคม 2552 เวลา:9:38:15 น.
  
ไม่อยากจะยกเอาครูบาอาจารย์มาพูดแต่ก็ต้องขอย้ำว่ามีหลายองค์ที่ท่านมรณภาพไปแล้ว ก็เกือบทั้งหมดท่านละขันธ์ไปหมดแล้ว อาทิ
หลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่สิม หลวงปู่เทศก์ หลวงปู่สุวัจน์
หลวงปู่บุญจันทร์ แล้วยังบอกว่าเคยไปกราบพ่อแม่ครูบาอาจารย์หลวงตาพระมหาบัวอีก ถ้าแน่จริงทำไมท่านไม่ไปกราบหลวงตาตอนนี้เลยท่านเมตตากับทุกคนที่ไปหา ท่านพาลูกศิษย์ไปหาได้เลย ก็ท่านเคยบอกไม่ใช่หรือว่าจะยกขบวนลูกศิษย์ไปกราบครูบาอาจารย์ ให้ครูบาอาจารย์ท่านสงสัยว่าพวกนี้มันพากันมาได้ยังไง จิตสว่างกันทั้งนั้น แหน่ะ

เคยหลงผิดไปปฏิบัติอยู่เกือบสี่เดือน ถ้าไม่ได้พระอาจารย์ท่านชี้แนะทางสว่างให้ป่านนี้คง ตามรู้ตามดูกิเลสไปเรื่อยๆ ท่านพูดแรงนะเกี่ยวสำนักนี้ แต่ไม่เอามาเขียนดีกว่า

ส่งการบ้าน ส่งไปทำไม ผมยังไม่เข้าใจก็ในเมื่อท่านรู้วาระจิตจริงไม่ต้องยกมือหรอก แค่ให้พวกกระผมถือบัตรไว้เรียงเบอร์เลย แล้วให้ท่านกำหนดจิตดูเอา ชัดเจนไปเลย ก็ท่านบอกเองว่าในเมื่อรู้จิตของตัวเองแล้ว ก็จะรู้จิตคนอื่นได้ น้่น ก็นี่ท่านเป็นถึงขั้นอาจารย์แล้วลูกศิษย์ลูกหาก็เต็มบ้านเต็มเมือง แค่ไม่กี่สิบท่านกำหนดจิตแป๊ปเดียวคงได้หมด เสร็จแล้วก็ตรวจการบ้านเรียงลำดับกันไปเลย

ผมใช้ความพยายามที่ไปส่งการบ้านกับ สี่ ห้า หน ท่านไม่เคยสนใจเลย ผมแทบจะลุกยืนเลยด้วยซ้ำ ท่านยังชี้ไปที่คนข้างๆผมอีก แบบนี้ไม่ให้สงสัยได้ยังไงครับ

กว่าที่ผมจะเอาจิตผมคืนมาดังเดิม ไอ้ตอนภาวนานี่แหม ไอ้คำพูดเดิมมันหลอนตลอดเลย ตามรู้ตามดู ธรรมะเป็นของง่าย อะไรพวกนี้

จริงๆมีเยอะกว่านี้ท่านครูบาอาจารย์ท่านเตือนมา ผมแล้วก็ถึงกับอึ้งไปเลย โห กิเลสนี่มันร้ายกาจขนาดนี้เลยเหรอ นี่ขนาดกับขนาดเจ้าสำนักยังหลงไปกับกลมายาของมัน

คุณธรรมภูตกล้าหาญมากครับ นี่ตอนนี้ผมก็สงสารนักปฏิบัติรุ่นหลังที่หลงไป ก็ไม่รุ้จะทำยังไงดี ไปเตือนเขาเขาก็ด่ากลับ นี่น่ะหรือนักปฏิบัติ อนาจนัก กิเลสตัวเบ้อเริ่มมาแล้วยังใช้ปัญญาระงับมันไม่ได้อีก

ก็คงต้องปล่อยเป็นไปตามกรรมของสัตว์ครับ
โดย: คนตาบอดจูงคนตาบอด IP: 58.8.112.129 วันที่: 31 สิงหาคม 2552 เวลา:20:25:40 น.
  
ส่วนใหญ่ที่ไปหาหลวงพ่อสงบก็เข้าทำเนา คนตาบอดจูงคนตาบอด IP: 58.8.112.129 วันที่: 31 สิงหาคม 2552 เวลา:20:25:40 น.

ดูจิตเดี๋ยวนี้ทำกันไม่ถูกเยอะ มีเยอะพวกไม่รู้จริง ศึกษานิดๆหน่อยๆแล้วก็คิดว่าเข้าใจ ไปปฏิบัติมันเอาไม่ลงหรอก ต้องฟังให้มาก สังเกตให้มาก มัวแต่คิดไม่ได้กิน

คนดูจิตเป็นก็มี แต่ส่วนใหญ่ไม่เป็น หลวงพ่อสงบเจอแต่พวกคนตาบอดจูงคนตาบอด IP: 58.8.112.129 วันที่: 31 สิงหาคม 2552 เวลา:20:25:40 น เลยเชื่อว่าดูจิตผิดชัวร์ปาป

ถ้าเป็นท่าน เจออย่างนี้ ผมจะด่าให้หนักกว่านี้อีก

แต่ทำไงได้ สอนถูก เข้าใจผิด เล่าต่อผิด คิดพิจารณาผิด ประโคมกันผิดๆ ไปเล่าถวายครูอาจารย์ก็เอาของผิดไปเล่า

เรื่องพวกนักดูจิต (เรียกตัวเอง) นิสัยเสีย พวกนี้มีเยอะ เป็นของธรรมดา สำนักไหนก็มี ศิษย์หลวงตามหาบัว (ทั้งแอบอ้างและไม่รู้จริง) นิสัยเสียก็มีเยอะ เพราะเป็นพวกเห่อตามๆกันไป ทำไม่จริง ได้ของไม่จริง พวกนี้มีมาหลายสมัยแล้ว ไม่ใช่แค่สายดูจิตหรอก ผมเจอมาเยอะ
โดย: คนผ่านทาง IP: 117.47.62.70 วันที่: 31 สิงหาคม 2552 เวลา:22:09:14 น.
  
ขอบคุณคุณคนผ่านทาง ทีเมตตาธรรมสากัจฉากันถ้าผมไม่เริ่มแรงๆแบบนี้ มันก็จะอ้อมกันไป

ผมยังเป็นปุถุชนคนหนา คำพูดบางอย่างก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

เรื่องของครูบาอาจารย์ผมขอยกไว้ เป็นความผิดและโทษของผมเองที่ดันมาเริ่มก่อน

ขอโทษนะครับ ครูบาอาจารย์ที่แนะนำผมองค์แรกท่านเป็นเพียงศิษย์วัดป่าแห่งหนึ่งที่ท่านก็ศึกษาและปฏิบัติในสายการดูจิตเหมือนกัน ถ้าจะยกโทษให้หลวงพ่อสงบผมว่าคุณ คนผ่านทางเข้าใจผิดแล้ว

จะบอกไว้เลยนะครับครูบาอาจารย์บางวัดท่านตอบโต้แรงกว่านี้อีก

ผมไม่ได้ว่านักปฏิบัติที่ไปหาหลวงพ่อปราโมทย์ผิดหมด อย่างนั้นไม่ใช่ครับ บางท่านผมยังเคารพเหมือนเดิมและท่านก็เป็นผู้ใหญ่มาก ท่านนี้อานาปานสติท่านชำนาญมาก ท่านอธิบายว่าเมื่อจิตของท่านสงบแล้วท่านก็พิจารณาได้ทั้งเวทนา จิต และธรรม แบบนี้ผมก็ขออนุโมทนาด้วยครับ แต่คนที่ปฏิบัติมาน้อยรู้น้อยแต่มีเพื่อนแนะนำก็ลองหันมาปฏิบัติตามแบบนี้ก็มีเยอะมากนะครับ

ถ้าหากว่าคุณคนผ่านทาง IP: 117.47.62.70 วันที่: 31 สิงหาคม 2552 เวลา:22:09:14 น. ปฏิบัติตามสายของหลวงพ่อปราโมทย์แล้วจิตใจของคุณก้าวหน้าพัฒนาขึ้นอันนี้ผมก็กราบขอขมาและก็ขออนุโมทนาสาธุด้วยครับ

เราเป็นชาวพุทธด้วยกันเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าเหมือนกัน ถ้าไม่เคยทำบุญกับพระพุทธเจ้ามาก่อนเราก็คงไม่ได้ธรรมสากัจฉากันแบบนี้

พระพุทธองค์ท่านบำเพ็ญบารมีมากี่อสงไขย กว่าจะค้นพบพระธรรรมมาเผยแผ่ให้พวกเรารุ่นหลังได้ศึกษากัน พระธรรมที่พระองค์ตรัสไว้ชอบแล้ว เป็นหลักที่พึ่งพิงแก่พวกเราได้มากขนาดไหน พระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบกว่าท่านจะเป็นพระแท้ให้พวกเราได้กราบไหว้ปฏิปทาท่านดำเนินมายากขนาดไหน

ผมรู้สึกสลดใจมากที่หากจะมีบางพวกบางคณะพยายามที่จะดัดแปลงคำสอนให้เป็นไปตามความคิดเห็นของตน

ทุกคนก็มุ่งหวังที่มุ่งปฏิบัติก็คงกลัวการเกิดเหมือนกันทั้งนั้น แต่เราลองเปิดใจกันดูสักครั้งลองศึกษาและนำมาเปรียบเทียบกันดู ประโยชน์จะเกิดแก่พวกเราไม่มากก็น้อยครับ

ขออนุโมทนาครับ

โดย: คนตาบอดจูงคนตาบอด IP: 202.12.118.61 วันที่: 1 กันยายน 2552 เวลา:9:35:08 น.
  
ขออนุโมทนาครับท่านคนตาบอดจูงคนตาบอด ที่เดินมาได้ถูกทางแล้วครับ

ผมเองยังไม่ปักใจเชื่อนะครับ ว่าท่านคนผ่านทาง ได้รับความกว้าหน้าถึงจุดที่ดูจิตเป็นเห็นจิตได้

ท่านผ่านทางครับ ท่านควรแสดงให้ผมและท่านอื่นได้หายสงสัยด้วยสิครับ ว่าท่านได้ศึกษามาถูกจริงๆ
และที่ดูจิตเป็นแล้ว จริงๆเป็นยังไงบ้างครับ? ท่านพูดแบบนี้เหมือนตีหัวเข้าบ้านนะครับ

ที่ผิดนั้นผิดตรงไหน ทึถูกนั้นถูกยังไง? เผื่อท่านอื่นจะได้นำไปปฏิบัติได้บ้างครับ

ในเมื่อท่านดูจิตเป็น ท่านก็ลองตอบคำถามผมหน่อยสิครับ เพื่อเป็นการเปิดธรรมทัศน์

สติและปัญญาตั้งลงที่ไหนครับ???
สติเกิดขึ้นเองหรือต้องตั้งเจตนาให้เกิดครับ???
จิตเกิด-ดับหรือไม่???

ผมขอถามเพียงเท่านี้ก่อนนะครับ ความจริงมากกว่านี้
ในเมื่อท่านดูจิตเป็น ท่านก็ควรอนุเคราะห์ตอบคำถามด้วยนะครับ

ธรรมภูต

โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 1 กันยายน 2552 เวลา:11:07:41 น.
  
ขออนุโมทนาครับท่านคนตาบอดจูงคนตาบอด
ท่านครับมีอะไรดีๆ ที่ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวไว้ ส่งอีเมล์มาเล่าสู่กันฟังสิครับ
อีเมล์แอดเดส อยู่ที่โปรไฟล์ ผมอยากฟังที่ท่านครูบาอาจารย์ท่านวิจารณาไว้บ้างครับ
เอาเป็นข้อมูลเท่านั้นครับ ไม่นำมาเป็นส่วนประกอบในการเขียนบทความครั้งต่อๆไปครับ

ธรรมภูต

โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 1 กันยายน 2552 เวลา:11:16:14 น.
  
ได้ครับคุณธรรมภูต เดี๋ยวผมส่งไปให้ครับ
_/\\_ _/\\_ _/\\_
โดย: คนตาบอดจูงคนตาบอด IP: 202.12.118.61 วันที่: 1 กันยายน 2552 เวลา:13:57:33 น.

ในความฝันของใครสักคน
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]



สารบัญ Blog ธรรมภูต - พระภัทรสิทธิ์



หน้าแรก Blog ธรรมภูต - พระภัทรสิทธิ์